My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-  (อ่าน 51899 ครั้ง)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


“ฟรี้~...” เสียงกรนเบาๆ แว่วเข้าหูผม นั่นเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายกำลังหลับสนิท


ดูเหมือนจะไม่ได้นอนเลยทั้งคืนจริงๆด้วย


น่าเสียดายที่เสียงของผมไปไม่ถึงในเวลานี้


แต่ไม่เป็นไร


ถ้าเขาตื่นผมจะบอกอีกครั้งเอง...


จะบอกถึงความรู้สึกที่ชัดเจนแล้วนี่


พวกเราจะได้ก้าวเดินไปข้างหน้ากันสักที


ในตอนแรกผมทำเพียงนอนนิ่งๆ เป็นหมอนข้างรอให้เบซิลต่อแต่ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายผล๋อยหลับไปด้วยอีกคน ความเหนื่อยล้าจากการโหมงานทำให้พวกเราหลับยาวตั้งแต่ 10 โมงยันบ่าย 3 โดยไม่มีการสะดุ้งตื่นใดๆ แม้จะตื่นขึ้นมาแต่ตัวผมยังคงถูกอ้อมกอดของเบซิลกอดแน่นและไม่มีทีท่าจะคลายอ้อมกอดนี้ง่ายๆ


“คุณกลัวผมจะหายไปรึไงกันเบซิล” ผมพึมพำระหว่างขยับตัวเพื่อออกจากอ้อมแขนนี่ อยู่ท่าเดิมมาตลอดหลายชั่วโมงร่างกายฝั่งซ้ายชาไปหมดแล้ว


“...อื้อ” เสียงครางคล้ายคำตอบนั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา


ขนาดหลับอยู่ยังตอบได้อีกนะคนเรา


ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าผมจะสามารถพาตัวเองออกมาจากเบซิลได้ สิ่งแรกที่ผมทำคือไปอาบน้ำและออกมาเตรียมอาหารเย็น ผมพอจะเดาได้ว่าเบซิลนอกจากจะไม่ได้นอนแล้วคงยังไม่ได้กินอะไรแน่ ตื่นมาผมคงบ่นเรื่องนี้ก่อนจะพูดเรื่องอื่น


สิ่งที่ร่างกายของมนุษย์จะขาดไม่ได้คืออาหารและการพักผ่อน เล่นขัดมันซะทุกอย่างแบบนี้ถ้าไม่ป่วยก็แปลว่าทำบ่อยจนร่างกายชินชา อาหารเย็นผมเลือกจะทำของง่ายๆ อย่างพวกต้มจืดผักกาดขาวใส่ไส้ห่อด้วยเต้าหู้ปรุงรสและทำกระเพราเห็ดกับเต้าหู้อบวุ้นเส้น ข้าวหอมมะลิที่หุ้งตั้งแต่ก่อนอาบน้ำบัดนี้สุกเรียบร้อย ที่เหลือก็แค่เอาอาหารไปตั้งบนโต๊ะแล้วไปปลุกเบซิล...


“ใบไธม์” พูดยังไม่ขาดคำเสียงเรียกก็ดังขึ้นพร้อมกับแขนสองข้างที่หมายจะสวมกอด แต่เพราะรู้ทันผมจึงเบี่ยงหลบก่อนยกผัดกระเพราะปละเต้าหู้อบวุ้นเส้นไปตั้งโต๊ะ


“ไปล้างหน้าแล้วค่อยมากินข้าว” ผมหันไปบอดเบซิลที่เกือนหน้าคะมำ


“ให้ผมกอดหน่อยสิ ไม่ได้เจอกัน 11 ชั่วโมงกับอีก 47 นาทีเลยนะ”


“พูดขนาดนั้นบอกวินาทีมาด้วยก็ได้”


“ได้ ผมไม่เจอใบไธม์มา 11 ชั่วโมง 47 นาทีกับ 39 วินาที” คำพูดประชดของผมถูกสวนกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง นี่จับเวลาอยู่จริงๆ เหรอเนี่ย


“ไปล้างหน้าแล้วอาบน้ำด้วย เสื้อผ้ายังชุดเดิมกับเมื่อวานอยู่เลย ซกมก!” ผมเพิ่มคำสั่ง พึ่งสังเกตเสื้อผ้าอีกฝ่ายตรงๆ ก็ตอนนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตด้านในหรือเสื้อนอกแม้แต่กางเกงก็ยังเป็นตัวเดิมที่ใส่เมื่อวาน


นี่หมกมากเป็นสิบชั่วโมงโดยไม่อาบน้ำได้ยังไงเนี่ย


ถ้ารู้แบบนี้ผมถีบตกเตียงไปแล้วไม่ยอมให้กอดอยู่เป็นชั่วโมงหรอก


“...ก็ได้” เมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของผมเบซิลจึงต้องยอมเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยดี


อยากจะถอนหายใจดังๆ


นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะทำสักหน่อย


เบซิลใช้เวลาในการจัดการทุกอย่างไม่ถึง 20 นาทีก็เดินออกมาจากห้องน้ำในชุดลำลองในยามปกติ เส้นผมสีเทาที่เปียกปอนนั่นแปลว่าคงสระผมด้วย เอาล่ะ ถ้าเป็นตอนนี้คงไม่มีอะไรมาขัดอีก


ผมจะให้คำตอบเบซิลแล้วนะ


“เบซิล”


“ฮืม?”


“คือ...”


โครกกกก~


เสียงท้องร้องจากเบซิลดังขึ้นตัดประโยคที่ผมใช้ความกล้าอย่างมากกว่าจะเอ่ยออกไปได้ สภาพผมในตอนนี้เหมือนรูปปั้นที่ยืนนิ่งค้างไม่ขยับเขยื่อน


“โทษทีผมไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน มีอะไรพูดมาได้เลย”


“...กินข้าวกันก่อนเถอะ” สุดท้ายผมกต้องเปลี่ยนคำพูด จะให้พูดต่อทั้งที่ท้องอีกฝ่ายยังส่งเสียงประท้วงก็คงไม่ดีนัก


“คุณเหมือนกำลังเครียดนะ” เบซิลพูดระหว่างตักเต้าหู้อบวุ้นเส้นเข้าปาก


“อืม” เครียดมากเลยแหละ


จะจริงจังทีไรดันมีเรื่องมาขัดตลอด


“เรื่องเกี่ยวกับผมสินะ”


“...มองออกเหรอ” รู้อยู่แล้วว่าคงปิดบังหรือตบตาอะไรเบซิลไม่ได้


“มองออกอยู่แล้ว เพราะผมมองใบไธม์มาตลอดนี่”


“เบซิล...”


“ถ้าเรื่องของผมทำให้เครียดก็ปล่อยมันไปเถอะ คำตอบไม่ต้องให้ผมก็ได้” อยู่น้ำเสียงของเบซิลก็เริ่มเปลี่ยนไปจะว่าเศร้าก็ไม่ใช่คล้ายกับกำลังปลงซะมากกว่า


“เข้าใจผิดแล้ว” ผมว่าเบซิลกำลังเข้าใจผิด ที่ผมเครียดไม่ใช่เพราะหาคำตอบไม่ได้หรือไม่แน่ใจในคำตอบแต่เป็นไม่มีโอกาสได้พูดออกไปต่างหาก


“...ผมว่าเข้าใจถูกนะ เพราะใบไธม์ดูมีสีหน้ากังวลอยู่ไม่น้อย”


“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ฟังผมนะเบซิล...ที่ผมเครียดไม่ใช่เพราะหาคำตอบไม่เจอแต่เป็นเพราะผมตั้งใจจะพูดแต่ดันมีอย่างอื่นมาขัดตลอด” ผมแทบจะตบโต๊ะอยู่รอมล่อ


“จะพูดอะไรใบไธม์”


“รางวัลที่คุณขอก่อนหน้านี่ผมตกลง”


“รางวัลก่อนหน้านี้หมายถึงเรื่องไหนล่ะ” เบซิลถามต่อ


“อ่ะ...คุณกำลังแกล้งผมใช่ไหมเบซิล” ผมไม่คิดว่าเขาจะลืมหรือจำไม่ได้หรอกนะ


“ผมขอรางวัลคุณเยอะจะตาย ผมจำไม่ได้หรอก”


ผมไม่รู้ว่าเบซิลกำลังแหย่ แกล้งหรือพูดเรื่องจริง สถานการณ์ในตอนนี้ผมไม่มีสติมากพอจะวิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ แค่คำพูดง่ายๆ อย่าง “ตกลง” ผมก็ใช้ความกล้าทั้งหมดแล้วถ้าต้องทำมากกว่านั้น...


แต่จะให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้


ความสัมพันธ์ของพวกเราในตอนนี้ไม่คืบหน้าไปไหนเพราะตัวผมที่เอาแต่ไม่ชัดเจนและยืดเวลาออกไปตลอด เพราะงั้นในวันนี้ผมจะทำให้พวกเราก้าวไปข้างหน้า...


ก้าวไปด้วยกัน!


“เป็นแฟนกัน นั่นคือรางวัลที่คุณบอกว่าต้องการ...” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะค่อยๆ เอ่ยทุกอย่างออกไป เบซิลไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาทำเพีบงจับจ้องมายังผมคล้ายกำลังจะตั้งใจฟังประโยคต่อไป...


“และผมตกลงที่จะเป็นแฟนคุณ...เบซิล”


“ยังมีอย่างอื่นที่ต้องบอกผมอีกไม่ใช่เหรอ” เบซิลพูดต่อราวกับล่วงรู้ถึงความคิดของผม


ทั้งอายและเขินแต่ผมรู้ดีว่าถ้าตัวเองไม่พูดทุกอย่างก็จะไม่เปลี่ยน ดังนั้นผมจะพูด...พูดในสิ่งที่ผมได้ใช้เวลาจนหาคำตอบเจอแล้ว


“ผมชอบคุณ”


“แค่ชอบ?”


“...รัก...รักเบซิล” ทั้งร่างกายเกร็งไปหมด ไม่รู้ต้องแสดงท่าทางอะไรออกไปอีกไหม ไม่รู้อะไรทั้งนั้นในตอนนี้


ความรู้สึกแรกหลังพูดออกไปคือความโล่งก่อนจะตามมาด้วยความเขินอายที่พานให้อยากวิ่งหนีออกไปจากสถานการณ์นี้สักสองสามชั่วโมง


ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเบซิลด้วยซ้ำ


“ใบไธม์” เสียงของเบซิลดังขึ้นในระยะประชิดเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปก่อนจะต้องชะงักเมื่อถูกฝ่ามือทั้งสองข้างสัมผัสบริเวณแก้มซึ่งกำลังเห่อแดงพร้อมกัน


“...อืม”


“ในทีสุดก็ยอมพูดสักทีนะ ผมรอจนเกือบจะปล้ำคุณก่อนฟังคำตอบแล้ว” ใบหน้านิ่งๆ อยู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ในชั่วพริบตาราวกับทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง...


เดี๋ยวนะ?


นี่อย่าบอกนะว่าตั้งแต่แรกจนถึงผมสารภาพรัก...เป็นแผนการของเบซิลทั้งหมดเลยน่ะ!


“ทั้งหมดนั่นเป็นการแสดงสินะ” ผมกัดฟัดถามออกไป ทั้งน้ำเสียงเศร้าคล้ายปลงกับผมที่ไม่ยอมให้คำตอบซะเต็มประดาตลอดจนคำล่อลอกให้ผมพูดประโยคหน้าอายออกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทุกอย่างนั่นเบซิลจงใจทำเพื่อให้ผมพูด


“อย่าเรียกว่าการแสดงเลย แค่อยากได้ยินคำตอบเร็วๆ เท่านั้นเอง ไม่งอนเนอะที่รัก” เบซิลดูปฏิกิริยาของผมว่าจะเป็นยังไงต่อไป


“ไม่งอนหรอก แต่โกรธ” พูดจบผมไม่รอช้าเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรงทว่าการฝึกวิชาการต่อสู้ให้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาส่งผลให้เบซิลสามารถเบี่ยงตัวหลบหมัดได้แม้จะเป็นระยะประชิด


“คิดจะชกแฟนได้ลงคอเหรอใบไธม์” เบซิลพยายามทำให้ผมใจเย็นลงด้วยคำพูด


“ชกเสร็จจะแถมลูกถีบให้ด้วย”


“เขินแรงน่ะเนี่ย”


“เบซิล!” นี่จะกวนอารมณ์ผมจนถึงที่สุดเลยใช่ไหม


“อย่าโกรธผมเลย คุณก็รู้ว่าผมรอคำตอบมานานแค่ไหน...แค่คำว่าตกลงมันไม่พอหรอกนะ”


“เบซิล...”


“ผมรักคุณ...ใบไธม์ ในที่สุดคุณก็ยอมตกลงเป็นแฟนผม” รอยยิ้มของเบซิลต่างจากทุกที ดูอ่อนโยนขึ้นและเปี่ยมไปด้วยความสุขจนทำเอาคนมองอย่างผมถึงกับหน้าเห่อร้อนตาม


“ขอโทษที่ให้รอนานนะ” นานจริงๆ กว่าผมจะหาคำตอบให้ตัวเอง ถึงจะยอมรับแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมให้คำตอบเอาแต่หาทางยืดเวลาออกไปเรื่อยๆ เบซิลต้องรอผมด้วยความรู้สึกแบบไหนกันนะ


ถ้าให้เดาคงไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนักหรอก


“รู้สึกผิดเล็กๆ สินะ” เบซิลเดินเข้ามาประชิดพร้อมกระซิบข้างใบหู


“ถอยออกไป อ๊ะ!” ผมเตรียมจะดันอีกฝ่ายให้ขยับออกห่างแต่เบซิลกลับก้าวเข้ามาใกล้จนผมต้องก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ ไม่นานแผ่นหลังก็สัมผัสกับเคาท์เตอร์เตรียมอาหาร


“ถ้ารู้สึกผิดก็ช่วยตามใจผมสักนิดนะ” ระหว่าพูดมือข้างนึงของเบซิลเริ่มลูบไล้หน้าท้องผมและเลื่อนต่ำลงไปสัมผัสส่วนร้อนใต้กางเกงที่เริ่มตื่นตัวขึ้นทีละน้อยจากการถูกกระตุ้นด้วยความช่ำชอง


“อ๊ะ! ไม่เบซิล ตอนนี้มัน...อื้อออ~”  ริมฝีปากถูกทาบทับและจาบจ้วงโดยไม่ได้รับอนุญาตสร้างความรู้สึกหยาบโลนแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต จูบอันร้อนแรงนั่นพานให้สมองเริ่มขาวโพลน เช่นเดียวกับท่อนล่างที่ถูกถอดลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


รู้แค่ความรู้สึกวาบหวามกระตุ้นทุกประสาทสัมผัสให้โลดแล่นขึ้นไปเรื่อยๆ ร่างกายไม่มีแรงแม้แต่จะผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยซ้ำ


“น่ารักจังใบไธม์ ท่าทางคุณในตอนนี้สุดยอดเลย” เบซิลพูดโดยพรหมจูบตั้งแต่หน้าผากลงมาจนถึงแผ่นอก ยอดอกถูกขบเม้มและดูดรั้งคล้ายจะทำให้สติหลุดลอย


“อ๊า!ไม่เอาเบซิล อื้อ! อ๊ะ...หยุด อึก...” นี่พวกเรากำลังกินอาหารมื้อเย็นกันอยู่ทำไมเรื่องราวถึงเลยเถิดมาถึงนี่ได้กัน


“หยุดไม่ได้แล้ว คุณเล่นส่งเสียงครางซะขนาดนี้รู้สึกดีใช่ไหม” เสียงซิบข้างใบหูมาพร้อมกับฝ่ามือรูดรั้งกระตุ้นส่วนร้อนไม่หยุด


“ไม่...อ๊ะ!”


“โกหก”


“อื้อออ~ อย่าขยับแบบนั้น อ๊า...” ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ถ้าไม่ได้เบซิลคอยช่วย เบซิลสัมผัสผมราวกับกำลังกลืนกิน ปลุกเร้าและกระตุ้นจนสมองคิดอะไรไม่ออก ยิ่งเจ้าตัวแนบส่วนร้อนของตัวเองกับของผมดวงตาสีน้ำตาลของผมก็เบิกกว้างขึ้นทันควัน


ความแข็งขืนนั่นคล้ายกำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงอารมณ์จนหยุดไม่อยู่ ผมปล่อยให้เบซิลทำตามใจเพราะตัวผมในตอนนี้ไม่มีกำลังพอที่จะหยุด และในส่วนลึกของผมก็ไม่คิดจะหยุดเช่นกัน ผมเคยคิดว่าเบซิลที่ผ่านคนมากมายเขาจะรู้สึกกับร่างกายของผู้ชายธรรมดาๆ อย่างผมได้งั้นเหรอ ร่างกายที่ไม่ได้แตกต่างจากของเขาจะทำให้เกิดความต้องการได้รึเปล่า


คำตอบเหล่านั้นผมได้รับแล้ว


“ใบไธม์ อ่า...ใบไธม์” เบซิลรวบส่วนร้อนของผมและเขาไว้แนบชิดกันก่อนจะขยับไปตามแรงอารมณ์ที่ใกล้จะปะทุเต็มที


“อึก...เบซิล...ไม่ไหว” ร่างกายผมใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มที


“ผมก็ไม่ไหวแล้ว” เสียงและลมหายใจของเบซิลดังหอบอยู่ข้างใบหู แรงเสียดสีและเคลื่อนไหวของฝ่ามือเร่งเร้าจนความต้องการปะทุออกมาในหวะเดียวกับเลซิลจูบผมอย่างดูดดื่มอีกรอบ


แม้ทุกอย่างจะสิ้นสุดทว่าความร้อนรุ่มภายในร่างกายนี้ยังคงอยู่ ทุกที่ที่เบซิลสัมผัสร้อน...ร้อนราวกับจะบอกว่ายังไม่พอ นี่ร่างกายผมเป็นเอามากขนาดนี้เลยเหรอ


“ใบไธม์...ต่อกันไหม” ดวงตาสีเขียวมรกตประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลของผมสื่อความนัยว่ายังต้องการมากกว่านี้อีก


“...พอแล้ว” แค่นี้ก็สูบกำลังผมจนหมดตัวขืนมากกว่านี้ผมคงลุกไปทำงานไม่ไหว


“แต่ผมยังไม่พอนี่”


“หื่น” ผมนึกคำอื่นนอกจากนี้ไม่ออกแล้ว


“ไม่ปฏิเสธ...ที่หื่นก็เพราะคุณแหละใบไธม์ รู้ไหมว่าผมต้องอดกลั้นมากแค่ไหน อยู่กับคนที่รักมาตลอดมันก็ต้องมีอยากสัมผัสกันบ้าง ในเมื่อคุณยอมตกลงเป็นแฟนผมแล้วขอ...”


“หยุดพูดเลยเบซิล! นี่คุณคิดอะไรลามกมาตลอดงั้นเหรอเนี่ย!” ผมพึ่งรู้เลยนะว่าอีกฝ่ายคิดแบบนี้มาตลอด


“เพราะรักถึงต้องการ มันผิดตรงไหนล่ะ”


“ไม่ได้บอกว่าผิดเพียงแค่มันเร็วไป...ผมพึ่งตกลงเป็นแฟน” ตกลงยังไม่ถึงนาทีก็มาถึงขั้นนี้แล้ว


เรื่องการเล้าโลมให้คล้อยตามนี่ไม่มีใครเกินเบซิลจริงๆ


“ทั้งที่รักผมมาตั้งนานแล้วแท้ๆ ”เบซิลพูดลอยๆ ด้วยใบหน้ายียวน


“เบซิล!” นี่คิดจะหาเรื่องกันสินะ


“ผมจะรออีกสักหน่อยเพราะผมไม่ได้ต้องการแค่เซ็กซ์ แต่เป็นหัวใจของใบไธม์” ทั้งคำพูดและสายตาที่ประสานมาเรียกหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น


เขารู้ว่าผมกำลังคิดหรือกังวลเรื่องไหนจึงได้อธิบายทุกอย่างออกมาโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถาม ต้องบอกว่าสมแล้วกับที่เป็นเบซิล


“จะรอได้นานแค่ไหนกัน” ขนาดวันนี้ยังทำผมซะแทบแย่ อยากจะอาบน้ำอีกรอบแล้วด้วยความเปียกเยิ้มจากการถูกสัมผัสและปลดปล่อยทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้


“สักสองวันมั้ง”


“ความอดทนต่ำไปแล้ว” แค่สองวันเนี่ยนะ


“แค่เรื่องคุณหรอกที่ผมอดทนไม่ได้”


“...ถ้าทำตัวเป็นเด็กดีจะลองคิดดูก็ได้นะ” ผมพึมพำเสียงเบาหวิวก่อนจะดึงกางเกงขึ้นมาสวมแล้วตรงไปยังห้องน้ำ


“พูดจริงเหรอใบไธม์” เบซิลก้าวตามหลังมาด้วยใบหน้ามีความหวัง ยิ่งรอยยิ้มแพรวพราวนั่นยิ่งน่าโมโหซะเหลือเกิน ราวกับเด็กที่ตาเป็นประกายยามผู้ใหญ่บอกจะซื้อของที่ต้องการให้


“โกหกมั้ง” ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากินอาหารแต่ค้องหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรดลใจผมถึงกล้าเอ่ยประโยคบ้าๆ นั่นออกไปได้

...................................................

สวัสดีค่าา

มาอัพต่อแล้ว

เรื่องนี้เนื้อหาค่อนข้างเบาสมองเรียกว่าอ่านได้เรื่อยๆ ก็ว่าได้

แต่งมาจนถึงตอนนี้แทบไม่อยากเชื่อว่าเราเคยวางนิสัยให้เบซิลเป็นคนเย็นชา

ลองมาดูตอนนี้สิ...ช่างกวยโอ้ยได้ใจซะเหลือเกิน

น่าจะกวนที่สุดในบรรดาพระเอกทุกคนที่แต่งมาเลยก็ว่าได้

หวังว่าทุกคนจะชอบตอนนี้นะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เหมือนเป็นพี่เลี้ยงเลย  :laugh:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เค้าตกลงเป็นแฟนกันแล้ว  อิอิ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หื่นได้เป็นแฟนกันแล้ว

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เบซิลจะไวไฟเกินไปแล้วพี่ไธม์เพิ่งจะตอบตกลงเป็นแฟนเองนะ แล้วนี่ถ้าผ่านไปสองวันพี่ไธม์จะรอดมือเบซิลมั้ยเนี่ย

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่15



แม้หน่วยสืบสวนพิเศษจะเหนื่อยล้าจากการจัดการปิดคดีใหญ่ได้สำเร็จแต่ใช่ว่าพวกเรานั้นจะได้หยุดพักยาว หัวหน้าไพลสันต์อนุญาตให้พวกเราหยุดเพียงแค่ 2 วันซึ่งเท่ากับว่าวันนี้ทั้งผม เบซิลและทุกคนในหน่วยต้องมาทำงานทั้งที่เป็นวันศุกร์


เมื่อทำงานในราชการพวกเราได้รับสิทธิ์ในการหยุดเสาร์อาทิตย์อยู่แล้วทว่ามีหลายๆ ครั้งที่ต้องรีบเร่งจัดการคดีพานให้ไม่ได้หยุดเลยสักวันก็มีโดยเฉพาะผมเป็นพวกไม่ชอบให้อะไรค้างคา อย่างกำลังสืบคดีอยู่แล้วติดวันหยุดจะให้นอนพักอยู่ห้องจนถึงวันจันทร์ก็ไม่ใช่นิสัย


“ยังอยากนอนอยู่เลย” เสียงหาวเบาๆ ดังขึ้นด้านข้างผมที่กำลังเปิดแฟ้มเอกสารดูคดีต่างๆ ที่พึ่งส่งเข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


“ไปฟุบนอนที่โต๊ะไปเบซิล” มาหาวข้างๆ แถมยังทำเสียงงัวเงียแบบนั้นเดี๋ยวผมได้ง่วงตามไปด้วยพอดี อีกอย่างโต๊ะของเจ้าตัวก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมไม่รู้ทำไมต้องมานั่งติดๆ กันให้คนอื่นมองด้วย


“ไม่เอา จะอยู่กับใบไธม์”


“เว่อร์ไปแล้ว” พูดอย่างกับผมบอกให้ไปอยู่อีกห้องงั้นแหละ


“แหม ขอสวีทกันหน่อยสิ ยังไงพวกเราก็เป็นคนรักกันแล้วนี่นา!” ไม่รู้ว่าจงใจหรืออะไรอีกฝ่ายถึงพูดเน้นคำว่าคนรักเสียงดังจนสายตาของทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว


“คนรัก? แต่งงานกันแล้วเหรอเนี่ย” แม็กถึงกับตาลุกวาวทันทีที่ได้ยิน


“ไม่เชิญพวกเราไปร่วมงาน เสียใจจังเลย” สกายยกมือขึ้นปิดปากพร้อมบีบน้ำตาให้ไหลลงอาบแก้ม


“แอบแต่งกันแบบนี้ไม่ดีนะ บอกพวกเราด้วยสิท่านรอง” จิวก็เข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน


เอาเข้าไปสิ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ผมคบกับเบซิลแถมข้ามขั้นเป็นแต่งงานอีก!


“คิดข้ามขั้นกันไปไหม อย่างน้อยก็ให้เริ่มจากคบกันก่อน” ผมบอกทุกคนเสียงเนือย


“นี่อย่าบอกนะว่าพึ่งคบกัน?” ซันที่นั่งฟังอยู่ถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ


“...แล้วทำไม” พึ่งคบกันแล้วมันน่าตกใจขนาดนั้นเลย


“ก็ท่านรองใจตรงกับเบซิลตั้งนานแล้วทำไมถึงพึ่งมาคบกันล่ะ” จิวเปิดฉากถามผมด้วยใบหน้าสงสัยเต็มเปี่ยม


“จิว!” ผมขึ้นเสียงใส่คนพูดทันที ปกติผมไม่ใช่พวกชอบตะโกนแต่ในสถานการณ์นี้จะให้อยู่เฉยคงไม่ได้


นี่อย่าบอกนะว่าไม่ใช่แค่เบซิลที่รู้แต่จิวเองก็รู้ด้วยถึงความรู้สึกของผมน่ะ หรือผมจะเผลอแสดงอะไรผิดปกติออกไป


“เขารู้กับทั้งหน่วยแล้วท่านรอง ไม่ต้องอายๆ ” คำปลอบใจนั่นยิ่งส่งผลให้ใบหน้าผมแดงซ่านเข้าไปใหญ่


“อึก...” อยากหนีออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้เลย


สายตากรุ๋มกริ่มของแต่ละคนที่มองมากะจะแหย่ให้ผมเขินตายชัดๆ


“ไธม์คิดว่าจะหลอกสายตาพวกเราหน่วยสืบสวนพิเศษได้เหรอ” เบียร์พูดพลางส่งยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ดูกวนโอ๊ยที่สุดเท่าที่รู้จักเบียร์มาเลย


ก็จริงมันยากถ้าจะตบตาหน่วยสืบสวนพิเศษ ด้วยสายตาของพวกเขาบางทีแค่มองก็เหมือนถูกล้วงความลับอยู่ ต่อให้ผมจะพยายามนิ่งยังไงคงตบตาอีกฝ่ายไม่ได้


“...ช่างสังเกตกันจังนะ” ผมบ่นเสียงเบาหวิว


“ไม่ต้องสังเกตพวกเราก็รู้ ไธม์ที่มักจะทำหน้านิ่งๆ กลับแสดงสีหน้าหลากหลายออกมาเวลาอยู่กับเบซิล” เบียร์อธิบายเพิ่ม


“แถมยังมีการยอมให้ในหลายๆ เรื่องอย่างให้เลื่อนเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ แบบนี้ไง” จิวพูดเสริมแล้วชี้นิ้วมายังเบซิลที่เอียงคอรอดูว่าผมจะตอบกลับไปยังไง


“ผมทั้งบ่นแล้วก็ไล่ให้กลับไปนั่งที่หลายรอบแล้วเถอะ” ไม่ได้ยอมให้นั่งสักนิด ทั้งบอกทั้งบ่นไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งตั้งแต่เบซิลเข้ามาอยู่ที่นี่จนถึงวันนี้ผมยังไม่หยุดบ่นเลย


“พูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังแบบนั้นใครจะยอมทำตามล่ะ ถ้าไม่อยากให้นั่งจริงๆ มีอีกหลายวิธีที่จะจัดการให้เด็ดขาดไม่ใช่แค่บ่นแล้วก็ปล่อยไว้เหมือนเดิม การกระทำนั่นราวกับจะบอกว่าอยู่ข้างๆ ผมเถอะ เนอะเบซิล” เบียร์อธิบายการกระทำของผมได้อย่างทะลุประโปร่งแถมยังส่งยิ้มให้เบซิลอีก


“ใช่ เพราะแบบนั้นผมเลยมาอยู่ข้างๆ ไงล่ะ”


“ไม่ต้องมาพูดเสริมเลย” เข้ากันได้ดีเป็นปรี่เป็นขลุ่ยจริงๆ


“อ๊ะ อ๊ะ เขินเหรอใบไธม์” น้ำเสียงยียวนกับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์นั่นทำเอาผมทนไม่ไหวต้องผลักหัวอีกฝ่ายแรงๆ สักที


นี่ผมรักคนแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย!


“พอเลย หัวหน้าสวัสดีครับ” ผมก้มหัวทักทายหัวหน้าไพลสันต์ที่เดินเข้ามาทางประตู


“อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะ ยกเว้นอยู่คนนึงสินะ” คนที่หัวหน้าไพลสันต์พูดคือจูน สาวห้าวประจำหน่วย ตอนนี้คงกำลังง่วนกับการทำระเบิดอยู่ในห้องทดลอง


“มีคดีเหรอครับ” ผมถามตามตรง


“เธอนี่อยากทำคดีตลอดเลยนะ วันนี้ไม่มีคดีพิเศษหรอกแต่มีเรื่องพิเศษแทน”


“เรื่องพิเศษ?” คำพูดของหัวหน้าเรียกใบหน้าสงสัยจากทุกคนในห้องได้ทันที


เรื่องพิเศษงั้นเหรอ...นึกไม่ออกเลยว่าเป็นเรื่องอะไร


ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลอะไรด้วย


“ไม่รู้จะเรียกเรื่องพิเศษได้ไหม เป็นเรื่องของเธอน่ะเบซิล” สิ้นประโยคนั้นทุกคนในห้องก็หันมามองหน้าเบซิลพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แม้แต่ผมยังหันไปมองเลย


“ผม?” เบซิลเองดูจะคิดไม่ออกเหมือนกันว่ามีเรื่องอะไร


“ใช่ ตั้งแต่ที่เธอตอบรับข้อเสนอและเข้ามาทำงานในหน่วยสืบสวนพิเศษก็ผ่านมาครบปีแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอได้ช่วยจัดการคดีมามากมายโดยเฉาะคดีใหญ่ที่พึ่งจบไปเมื่อไม่กี่วันก่อนถือเป็นฝีมือของเธอกว่าครึ่ง...การแอบแฮ็กเข้าในระบบเพื่อสืบหาข้อมูลอาจถือเป็นความผิดทว่าการกระทำเหล่านั้นก็ช่วยให้พวกเรามีหลักฐานแน่นหนามากพอในการพาตัวคนผิดมาลงโทษ” หัวหน้าไพลสันต์กล่าวชื่นชมในความสามารถของเบซิลอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก


ทุกคนในที่นี้ต่างรู้ถึงทักษะและความสามารถของเบซิลอยู่แล้ว และยิ่งได้อยู่หรือทำทำคดีด้วยกันความสามารถของเขาก็ยิ่งเผยให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่ทักษะด้านคอมพิวเตอร์แต่ยังมีทั้งการสังเกตรอบตัว การวิเคราะห์สถานการณ์ไปจนถึงการวางแผนจัดการอย่างรอบครอบ


“เข้าเรื่องเลยเถอะ” ใบหน้าของเบซิลยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นเดียวกับพวกเราในห้อง


เรื่องที่พูดมานั่นดูยังไงก็เป็นเพียงแค่การเกริ่นนำก่อนจะเข้าสู้เนื้อหาหลัก


“ดูเหมือนเธอจะลืมฐานะของตัวเองไปแล้วสินะ”


“หมายถึงนักโทษ?” เบซิลถามกลับคล้ายจะบอกอีกฝ่ายว่าไม่ได้ลืมฐานะของตัวเองอย่างที่หัวหน้าพูด


“จำได้นี่ ตัวเธอที่เป็นนักโทษได้เข้ามาอยู่ในหน่วยสืบสวนพิเศษเพื่อคอยช่วยเหลือและให้ความร่วมมือพวกเราในการทำคดีต่างๆ โดยแลกกับการได้ไธม์เป็นคนดูแล...”


“เรื่องนั้นรู้แล้ว” ตั้งแต่แรกที่เบซิลยอมรับข้อเสนอก็เพราะสาเหตุนี้


“แต่นั่นเป็นเพียงข้อแลกเปลี่ยนพิเศษระหว่างหน่วยสืบสวนพิเศษกับเธอเท่านั้น”


“จะบอกว่ามีข้อแลกเปลี่ยนอื่นอีกสินะ” น้ำเสียงของเบซิลเริ่มนิ่งลงคล้ายกำลังเริ่มการวิเคราะห์หลายๆ อย่าง


“ถูกแล้ว ยังไงการที่นักโทษยอมให้ความร่วมมือจะมีอย่างหนึ่งที่จะได้รับไม่ว่าจะไปอยู่ที่หน่วยไหนก็ตาม นั่นคือการลดโทษของนักโทษคนนั้นตามคดีที่ช่วยจัดการ” พอหัวหน้าอธิบายมาถึงตรงหน้าหลายๆ คนในห้องรวมถึงตัวผมและเบซิลต่างเดากันได้แล้วว่าหัวหน้ากำลังจะสื่อถึงอะไร


หัวใจผมที่สงบนิ่งค่อยๆ เต้นรัวขึ้น ทว่าไม่ใช่เพราะความเขินหรืออายแต่เป็นความรู้สึกที่อธิบายยากกว่านั้น เหมือนกับความตื่นเต้นปะปนกับความกังวล


“แปลว่าเรื่องพิเศษคือการลดโทษของผม”


“ใช่ คดีที่เธอเป็นตัวหลักในการจัดการรวมจนถึงวันนี้ก็มีทั้งหมด 103 คดีรวมกับคดีที่คอยช่วยซับพอทหรือสนับสนุนคนในหน่วยอีก 128 คดีรวมทั้งสิ้น 231 คดี เรียกว่ามากมายจนหลายคนต้องตะลึงยิ่งกับคดีล่าสุดการเผยความจริงด้วยวิธีการเปิดคลิปเป็นทางเลือกที่ดีมากแถมหลักฐานยังแน่นหนาจนเจ้าตัวพูดไม่ออก ดังนั้นพวกเราจึงมีการลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุมว่าโทษจำคุก 20 ปีถูกลดลงจนเหลือ 0 นั่นหมายถึงนักโทษฉายาเมเกอร์จะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระในวันนี้” สิ้นคำประกาศจากหัวหน้าไพลสันต์ทั้งห้องก็ต้องอยู่ในความเงียบ


ความยินดีในการพ้นโทษไม่มีใครแสดงออกมาแม้แต่แม็กหรือสกายที่ชื่นชอบเรื่องพวกนี้ ทุกคนต่างเข้าใจความหมายของการพ้นโทษกันดี เมื่อนักโทษที่ทำความดีจนได้รับการปล่อยตัวจะสามารถออกไปใช้ชีวิตอิสระได้อีกครั้ง นั่นหมายความว่าเบซิลต้องออกจากหน่วยสืบสวนพิเศษ


ภายในหัวใจผมรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาทั้งที่ควรจะแสดงความยินดีกับการพ้นโทษของอีกฝ่าย พวกเราพึ่งตกลงคบกันได้ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องที่พานให้ต้องแยกกันซะแล้ว จริงอยู่การออกจากหน่วยไม่ได้หมายความว่าต้องเลิกกัน เพียงแต่จากนี้ผมจะไม่ได้มีอีกฝ่ายคอยนั่งกวนอยู่ข้างๆ หรือส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้อีกแล้ว


โล่งใจเหรอ


ไม่ใช่!


สบายใจเหรอ


ไม่มีทาง!


ใครจะไปรู้สึกแบบนั้นล่ะ ผมอาจไม่ชอบให้ใครมากวนเล่นตอนทำงานแต่พอถูกทำซ้ำๆ มาเป็นปีทำให้เกิดความเคยชินขึ้นมา อีกอย่างผมไม่ได้คิดว่าการกระทำเหล่านั้นน่ารำคาญสักนิด


“...เบซิล” ผมหันไปมองคนข้างกายเพื่อรับฟังว่าเขาจะทำยังไงต่อไปกับสถานการณ์นี้


“ขอเวลาสัก 5 นาทีได้ไหม” เบซิลพูดกับหัวหน้าไพลสันต์


“ไม่มีปัญหา ว่าแต่จะเอาเวลาแค่นั้นไปทำอะไร”


“ถามความเห็นคนรัก” พูดจบเบซิลก็คว้ามือผมก่อนจะดึงให้เดินตามออกไปด้านนอก


ผมถูกเบซิลกุมมือพาเดินไปตามทางจนถึงด้านในห้องอาหารซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ด้วยแรงของเขาผมสามารถสบัดมือหนีได้ง่ายทว่าผมกลับทำเพียงจับมือนั่นแน่นขึ้น แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเลย


“เอาล่ะ ตรงนี้น่าจะได้”


“เบซิล...จะทำยังต่อไป” เมื่อหยุดเดินผมจึงเอ่ยถามทันที ตอนนี้ผมไม่อยากรอ...อยากรู้ว่าทางที่อีกฝ่ายจะก้าวต่อไปจะเป็นแบบไหน แล้วพวกเราจะเป็นยังไงต่อไป


“คุณอยากให้ผมทำยังไงล่ะใบไธม์”


“...นั่นเป็นสิ่งที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง” จะมาถามผมทำไม


“ผมอยากรู้ถึงความรู้สึกของคุณ”


“...ยินดีด้วยที่พ้นโทษ หลังจากนี้ก็จะเป็นอิสระ สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้โดยไม่ต้องมีคนมาบังคัญ...แต่อย่าไปแฮ็กระบบหรือหลอกลวงใครอีกรู้ไหม ด้วยความสามารถและทักษะที่คุณมีสามารถต่อยอดทำหลายๆ อย่างได้...” ผมหยุดพูดเมื่อเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาสีเขียวมรกตที่มองมาอยู่ก่อน สายตาของเบซิลกำลังสื่อบอกว่าไม่ได้ต้องการฟังคำพูดพวกนี้แต่เป็นอย่างอื่น


“ที่ผมพูดว่าความรู้สึกไม่ใช่ความรู้สึกจากสมองแต่เป็นตรงนี้” เบซิลพูดแล้วใช้นิ้วชี้มายังหัวใจของผม


“...เบซิล”


“ผมไม่ต้องการคำพูดที่มาจากการคิดหรือไตร่ตรอง ผมต้องการความรู้สึกจริงๆ ที่มาจากหัวใจ” น้ำเสียงจริงจังนั่นราวกับกำลังปลุกเร้าให้ผมกล้าพูดความรู้สึกจริงๆ ออกไป


“ความรู้สึกจริงๆ ผมสามารถพูดได้งั้นเหรอ”


“ผมอยากได้ยิน”


“แม้จะความเอาแต่ใจของผม?” ไม่ยากพูดเพราะมันเหมือนผมกำลังเผยด้านแย่ๆ ให้อีกฝ่ายเห็น


ความเห็นแก่ตัวและความเอาแต่ใจของตัวเอง


“อืม...พูดสิใบไธม์ ความรู้สึกจริงๆ ของคุณคืออะไร” เบซิลไม่ได้บังคับหรือไล่ต้อนให้ผมตอบแต่ค่อยๆ กล่อม...กล่อมตัวผมที่ไม่กล้าให้เผยความรู้สึกจริงๆ ออกมาทีละนิด


“อย่า...อย่าไป อยู่กับผมอย่าไปเลย คอยกวน คอยยิ้ม คอยแหย่อยู่ข้างๆ ผมสิ” ผมพูดสิ่งที่อยู่ภายในหัวใจออกมา ความเห็นแก่ตัวอันแสนเอาแต่ใจนี่ผมไม่อยากจะแสดงมันออกมาแต่สุดท้ายพูดถูกเบซิล...กลับยอมแสดงทุกอย่างออกมาโดยไม่ขัดขืน


“ในที่สุดก็ยอมพูดจนได้ ให้รอนานเลยนะ” รอยยิ้มจากริมฝีปากนั่นอ่อนโยนจนแทบหลอมละลาย


“...เบซิล”


“ดีใจมากเลยที่ได้ฟัง ใบไธม์รักผมมากว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”


“อึก...เลิกแหย่สักที” นี่ไม่ใช่เวลาจะมาแหย่ผมสักหน่อย


“ก็อยากน่ารักทำไมล่ะ”


“เบซิล!” นี่จงใจกวนโมโหกันใช่ไหม


“ผมจะทำตามที่คุณต้องการ” อยู่ๆ เบซิลก็กลับไปมีสีหน้าจริงจัง


“หมายถึงยังไง”


“ถ้าคุณอยากให้อยู่ข้างๆ ผมก็จะอยู่...แต่ต่อให้คุณบอกว่าให้ผมไปผมก็ไม่ไปหรอกนะ” รอยยิ้มอ่อนโยนถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในเวลาไม่วินาที


“อะ...” แล้วจะถามผมทำไมเนี่ย?!


“งั้นเรากลับไปจัดการเรื่องนี้กันเถอะ” เบซิลกุมมือผมพาเดินกลับไปทางเดิม


“จะจัดการยังไง” ผมเอ่ยถามระหว่างทาง


“คิดว่าผมเป็นใครล่ะ” นอกจากไม่ตอบแล้วยังหันมาถามกลับอีก


เป็นใครงั้นเหรอ


“เป็นคนบ้า”


“หึ...ผมยอมบ้าถ้าได้คุณเป็นคนดูแลตลอดชีวิต”


“ใครจะดูแลตลอดชีวิตกัน?”


“ไม่ต้องดูแลผมก็ได้ เดี๋ยวผมจะดูแลใบไธม์ตลอดชีวิตเอง” เบซิลส่งยิ้มมุมปากมาให้ ทั้งที่น่าจะโมโหแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเขินขึ้นมาดื้อๆ


เบซิลและผมกลับมายังห้องทำงานที่ทุกคนยังคงรวมตัวกันอยู่ภายใน หัวหน้าไพลสันต์เมื่อเห็นเบซิลเดินเข้ามาก็เริ่มเปิดฉากการสนทนาอีกครั้ง


“ดูเหมือนจะได้คำตอบแล้วใช่ไหม”


“อืม...ได้แล้ว”


“งั้นฉันขอฟังในฐานะหัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษละกัน” หัวหน้าไพลสันต์ยืนนิ่งรอให้เบซิลพูดทุกอย่างโดยไม่เร่งรัด


“ผมจะอยู่ในหน่วยสืบสวนพิเศษต่อไป” เบซิลพูดเพียงประโยคสั้นๆ


“ทำไมฉันถึงต้องรับเธอเข้ามาล่ะ หลังจากวันนี้เธอจะได้มีอิสระ จะทำอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องมานั่งเบื่อหรือออกไปทำคดีเสี่ยงๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ทักษะในด้านการต่อสู้นัก จริงอยู่ที่ทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์นั้นเยี่ยมยอดแต่แค่นั้นไม่เพียงพอให้ฉันรับเข้าหน่วยหรอกนะ” คำถามนั่นคล้ายกำลังทดสอบเบซิลอยู่


ผมอยากจะช่วยตอบแต่ก็รู้ว่าไม่ควร


เขาต้องผ่านการทดสอบนี่ด้วยตัวเอง และผมคิดว่าเบซิลสามารถทำได้แน่ๆ


“คุณก็รู้ดีว่านอกจากทักษะด้านคอมพิวเตอร์แล้วผมยังมีความสามารถในการมอง อ่านและสังเกตผู้คน ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหนผมมั่นใจว่าตัวเองสามารถหาวิธีจัดการรวมทั้งเอาตัวรอดไม่ใช่แค่ตัวเองแต่เป็นทุกคนในทีม...”


“การอยู่ในหน่วยนี้ไม่ใช่แค่ความสามารถหรือทักษะเฉพาะตัวแต่ต้องมีความเชื่อใจที่จะฝากชีวิตไว้กับเพื่อนหรือทีมได้ ก่อนหน้านี้ผมอาจไม่มีความเชื่อใจนั้นแต่ในตอนนี้ผมกล้าพูดว่าผมเชื่อใจทุกคนที่นี่และพร้อมที่จะฝากทุกอย่างไว้กับหน่วยนี้” สิ้นคำพูดของเบซิลทั้งแม็ก จิว ซันและทุกคนรวมไปถึงสกายวิ่งกรูกันเข้ามากอดเบซิลกับพร้อมหน้า


“เราก็เชื่อใจนายนะเมเกอร์!” จิวพูดพลางสูดน้ำมูกที่กำลังไหลจากความซาบซึ้ง


“มาเลย มาอยู่ด้วยกันเถอะ!”


“นี่สินะคือความรู้ของแม่ที่เห็นลูกเติบโต!” สกายกอดแขนเบซิลด้วยน้ำตา


“เธอไม่ใช่แม่ของเบซิลสักหน่อย” แม็กพูดแย้งสกายในสิ่งเดียวกับที่ผมกำลังคิดอยู่พอดี


“ก็บอกอยู่ว่าเป็นความรู้สึกน่ะ เข้าใจฟีลลิ่งไหม” สกายตอบกลับแม็ก


“หัวหน้า...คำตอบนี่น่าจะเพียงพอแล้วมั้งครับ” เบียร์หันไปสบตากับหัวหน้าคล้ายจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้


“นั่นสินะ เธอตอบได้ดีมากเบซิล ไม่คิดว่าจะได้ยินคำว่าเชื่อใจจากปากของเธอแบบนี้ การมาอยู่นี่คงจะได้รับประสบการณ์ในการทำงานพร้อมกับสร้างสายสัมพันธ์กับคนอื่นควบคู่กันไป ฉันดีใจที่จะได้คนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและความคิดเข้าร่วมในหน่วยสืบสวนพิเศษ” หัวหน้าไพลสันต์พูดพลางยื่นมือข้างนึงไปตรงหน้าเบซิลที่บัดนี้ยังคงถูกทุกคนรุมกอดอยู่


“ฝากตัวด้วย” เบซิลเอื่อมมือไปจับมือที่ยืนมาด้วยรอยยิ้ม


“เช่นกันสมาชิกใหม่ แต่คงไม่ต้องแนะนำแต่ละคนแล้วเนอะ” หัวหน้าไพลสันต์พูดติดตลก


“ครับ แล้วผมจะได้เงินเดือนใช่ไหม” คำถามนั้นเรียกบรรยากาศรอบๆ เปลี่ยนไป


“เงินเดือน? ได้แน่นอนแต่คงยังไม่มากเท่าคนอื่น ไม่คิดว่าเธอจะสนใจเรื่องพวกนี้นะ” ไม่ใช่แค่หัวหน้าที่สงสัย ผมเองก็คิดเหมือนกันว่าเบซิลไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องเงินทองหรือลาภยศ เพราะถ้าสนใจคงหาธุรกิจทำเป็นหลักแหล่งไม่ใช่เล่นแฮ็กระบบไปวันๆ


“เมื่อก่อนคงไม่สน แต่ตอนนี้ผมมีคนรักที่ต้องดูแลเพราะงั้นต้องมีงานที่มั่นคงจะได้ดูแค่เขาได้ตลอดชีวิต” ไม่พูดเปล่าเบซิลคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่นท่ามกลางเสียงวี๊วิ้วของทุกคนในหน่วย ด้วยความที่เหตุการณ์เกิดขึ้นกระทันหันผมเลยไม่ได้ขัดขืนนั่นกลายเป็นว่าผมสมยอมซะอย่างงั้น


“เบซิล!” พอสติกลับมาผมรีบดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนทว่าอีกฝ่ายกลับกอดแน่นเข้าไปอีก


“ขยับไม่จริงจังแบบนั้นผมไม่ปล่อยหรอกนะ”


“รักกันดีนี่ พวกเธอทั้งคู่เหมือนกันมาก คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ให้เจอกัน” หัวหน้าไพลสันต์พยักหน้าพอใจยามมองดูผมถูกเบซิลกอด


“เหมือนกัน?” หมายถึงผมเหมือนกับเบซิล?


เหมือนตรงไหนกัน


อย่าเอาผมไปรวมกับพวกกวนประสาท เจ้าเล่ห์แถมยังเหลี่ยมจัดแบบเบซิลนะ!


“ไม่ใช่เหมือนที่นิสัยแต่เป็นภายในจิตใจแต่ต่างฝ่ายต่างสร้างกำแพงสูงชัดเอาไว้ แต่เมื่อได้เจอกันต่างฝ่ายต่างช่วยกันทำลายกำแพงนั่นลง ไธม์ที่มักจะนิ่งๆ เอาจริงเอาจังและเต็มไปด้วยบรรยากาศของความลับตอนนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แสดงอารมณ์ไม่ว่าจะโกรธ โมโหหรือดีใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับเบซิลคงไม่ต้องพูดเพราะเห็นๆ กันอยู่ถึงความเปลี่ยนแปลง พอพวกเธออยู่ด้วยกันแล้วแผ่บรรยากาศดีๆ ออกมาทำให้หน่วยเราน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย” หัวหน้าไพลสันต์ดูมีความสุขมากเมื่อมองมาทางผมและเบซิล


หัวหน้าเป็นคนมองการณ์ไกล เขารู้ว่าผมมีสิ่งที่ปิดบังและไม่อยากบอกซึ่งเขาไม่เคยถามหรือพูดอะไร ทำเพียงแค่มองดู และเขาคาดไว้แล้วว่าการที่พาเบซิลมาจะทำให้ผมเปลี่ยนไป เป็นหัวหน้าที่สุดยอดจริงๆ


“ขอบคุณครับ” ขอบคุณที่ให้ผมและเบซิลได้เจอกัน


“เอาล่ะ แบบนี้ต้องฉลอง ได้ใช่ไหมครับหัวหน้า” จิวหันไปถามหัวหน้าด้วยแววตาทอประกาย


“เอาสิ ไปฉลองกัน”


“เดี๋ยว แล้วงานล่ะ มีคดีที่ต้องจัดการ...”


“อย่าพูดเรื่องเครียดตอนนี้สิท่านรอง ไปฉลองการพ้นโทษของเบซิลและรับน้องใหม่กันดีกว่า!” จิวตะโกนเสียงดังนำทุกคนให้ออกไปด้านนอก


“แต่นี่มันเวลางาน...” ถ้าไม่ให้พูดตอนนี้แล้วจะให้พูดตอนไหนเล่า!


“ไม่เห็นเป็นไร ผ่อนคลายอีกสักวันก็ได้”


“แล้วคดี...”


“คุณจริงจังไปแล้ว เอางี้สิลองคิดว่าคุณส่งคดีกลับไปให้เจ้าของจัดการต่อก็ได้ เพราะยังไงเดี๋ยวคงส่งกลับมาในอีกไม่กี่วันอยู่ดี” เบซิลเสนอความคิดเพื่อไม่ให้ผมคิดมาก


“อย่าไปว่าสิ พวกเขาก็พยายามแล้ว” แม้จะยังพยายามไม่เต็มที่ก็ตาม อีกอย่างคนเก่งก็มีอยู่ไม่น้อยเพียงแค่อาจทำไม่ทันเท่านั้นเอง


“ก็ได้ๆ ไปฉลองที่ใบไธม์คบกับผมกัน”


“ไม่ใช่ฉลองเรื่องนั้นสักหน่อย!” นี่เพิ่มหัวข้อฉลองได้เองตามใจชอบเลยเหรอเนี่ย


“ต้องโทรตามจูนด้วยนี่!” สกายตะโกนขึ้น


“จริงด้วย โทรเลยแม็ก” จิวหันไปบอกแม็ก


“โทรศัพท์ฉันเงินหมด นายโทรเลย” แม็กชูโทรศัพท์มือถือที่ปราศเงินเงินโทรออกให้ทุกคนในหน่วยดูด้วยรอยยิ้มเริงร่า


“เอาน่าไธม์ ไปกันเถอะ” หัวหน้าแตะไหล่ผมเบาๆ แทนการพูดว่าอยากคิดมาก


ขนาดหัวหน้ายังพูดผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจแล้วเดินตามทุกคนออกไปด้านนอก ด้วยจำนวนคนที่เยอะพอสมควรทำให้พวกเราต่างแยกกันเดินทางโดยมีจุดหมายอยู่ที่ร้านอาหารบุฟเฟ่ขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ร้านนี้มีดีไซน์ทันสมัย ตัวอาคารเป็นสีขาวสะอาดด้านในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้


ในส่วนของอาหารร้านนี้ค่อนข้างพิเศษเพราะไม่ได้มีให้ตักแต่จะมีเมนูให้พวกเราเลือกว่าต้องการกินอะไรซึ่งสามารถบอกได้ว่าเราอยากได้อยากหารแบบไหน อย่างในเมนูมีเห็ดประมาณ 6 ชนิดผมก็บอกพนักงานว่าอยากได้ซุปเห็ดไม่ใส่เนื้อสัตว์ น้ำปลาและซอสที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ พนักงานที่รับออร์เดอร์ทำน้าสงสัยเล็กน้อยแต่ก็จดเมนูตามความต้องการ




(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)



จูนมาถึงช้ากว่าคนอื่นประมาณครึ่งชั่วโมงได้ งานเลี้ยงฉลองของหน่วยสืบสวนพิเศษจึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่หัววันกว่าจะเลิกลาก็เกือบถึงเวลาเลิกงานคือ 4 โมงเย็น ถึงจะเป็นงานเลี้ยงทว่าพวกของมึนเมาตัดไปได้เลย เห็นแบบนี้หน่วยผมไม่ชอบกินกันถ้าไม่ใช่เรื่องงานที่มีความจำเป็นต้องดื่มเล็กน้อย ผมและเบซิลบอกลาทุกคนก่อนขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับมายังคอนโดและเดินคุยเรื่องไร้สาระมาถึงชั้นที่ 5 เหมือนอย่างทุกวัน


“พรุ่งนี้วันหยุด เราไปเดทกันเถอะ” อยู่ๆ เบซิลก็พูดเรื่องเดทขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคุยเรื่องงานเลี้ยงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอยู่เลย


“เดท?...พรุ่งนี้ผมว่าจะเข้าไปดูคดี วันนี้ยังจัดการไม่เสร็จ”


“จริงจังไปแล้ว วันหยุดก็ต้องหยุดสิ อีกอย่างพวกเราพึ่งเป็นแฟนกันการไปเดทถือเป็นเรื่องปกติ”


“ทำหน้าจริงจังเชียวนะ” ตอนทำงานถ้าทำหน้าจริงจังแบบนี้บ้างก็คงดี


“ไปเดทกัน”


“นี่คือวิธีขอเดทของเมเกอร์เหรอเนี่ย ไม่คิดว่าจะธรรมดาแบบนี้นะ” ได้ทีผมเลยขอแหย่อีกฝ่ายกลับบ้าง


“อยากให้ผมจัดเต็ม?”


“...ไม่ดีกว่า” ดวงตาสีเขียวมรกตที่ทอประกายนั่นทำให้ผมก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว รู้สึกได้ว่าถ้าให้จัดเต็มคงเป็นฝ่ายผมเองที่จะแย่ ฉายาเมเกอร์ไม่ใช่ฉายาที่ตั้งไปงั้นๆ เทคนิคการพูด การใช้น้ำเสียงรวมถึงการกระทำทั้งหมดนั่นล่อหลอกให้ทุกคนติดกับอย่างง่ายดาย แม้แต่ผมเองก็โดนเหมือนกันเพียงแต่ที่ผมติดกับไม่ใช่การลวงหลอกของเมเกอร์แต่เป็นชายที่ชื่อเบซิล


“งั้นคำตอบล่ะ” เบซิลถามย้ำ


“...ได้ ไปเดทกัน” ผมคิดสักพักจึงพยักหน้าตอบ


อย่างที่เบซิลพูด ในเมื่อเป็นแฟนก็ต้องมีการเดท ว่ากันตรงๆ คือไม่ค่อยชินกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่แต่ละวันของผมหมดไปกับการทำงานรู้ตัวอีกทีอายุก็ปาไปจะ 30 แล้ว


“เยี่ยม! งั้นคืนนี้เรามาต่อจากวันนั้นกันดีกว่า” รอยยิ้มมีเลศนัยนั่นทำเอาผมขนลุกทั้งร่าง ภาพของเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนปรากฎขึ้นมาเป็นฉากๆ ตั้งแต่การสารภาพรักและตกลงเป็นแฟนกันลามไปถึงเหตุการณ์หยาบโลนที่พานให้ร่างกายหลอมละลาย


“ไม่!” ผมปฏิเสธเสียงจริงจัง จะให้ต่อจากนั้นผมในตอนนี้ไม่ไหวหรอก


“ใบไธม์” น้ำเสียงกึ่งออดอ้อนกึ่งน้อยใจนั่นไม่ได้ทำให้ผมเอ็นดูสักนิด


“พวกเราพึ่งคบกัน”


“ทั้งที่รักกันมาตั้งนาน?”


“ไม่ต้องย้ำเรื่องนี้ได้ไหม” ทั้งเบซิลทั้งคนในหน่วยต่างพูดย้ำเรื่องผมกับเบซิลรักกันมานานแล้วอยู่นั่นแหละ คนอื่นรู้แต่ผมไม่รู้นี่ก็ถือว่าผมพึ่งรักละกัน


“ยังไม่ทำต่อก็ได้ ขืนทำต่อพรุ่งนี้คงไปได้ไม่ไหว”


“นี่คิดจะทำขนาดไหนกันน่ะ” ถึงขนาดจะลุกไม่ไหวเลยเหรอ


“เพราะผมอดกลั้นมานาน ยิ่งอดทนเวลาอารมณ์ปะทุออกมามันจะห้ามไม่อยู่...ดังนั้นรีบหน่อยก็ดีไม่งั้นผมได้เผลอทำให้คุณเป็นของตัวเองโดยไม่รู้ตัวแน่” ทั้งพูด ใบหน้าหรือแม้แต่รอยยิ้มแสดงความจริงจังออกมาจนผมถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


“หมกวุ่นไปแล้ว”


“ไม่ปฏิเสธ”


“หื่น”


“ใช่”


“ลากมก”


“รู้ดีนี่” รอยยิ้มปิดท้ายกวนโอ้ยกว่าปกติหลายเท่า


“รีบเข้าห้องเลย” นี่พวกเรามายืนคุยเรื่องแบบนี้กลางทางเดินได้ยังไง


“จะรีบทำต่อใช่ไหมล่ะใบไธม์” เบซิลที่ก้าวตามมาส่งเสียงหัวเราะหึๆ ปิดท้าย


“เบ...เพกา?” ผมซึ่งกำลังจะหันไปบ่นคนด้านหลังถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าหน้าห้องตัวเองตอนนี้มีร่างของสาวน้อยในชุดนักเรียนสีขาวกระโปรงสีน้ำเงินยืนพิงหลังอยู่หน้าประตู เส้นผมสีดำยาวถูกมัดรวบขึ้นเช่นเดียวกับดวงตาสีน้ำตาลที่หันมาตามเสียงเรียก


“พี่ไธม์!” น้องสาวผมเพกาวิ่งปรี่เข้ามากอดเอวผมแน่นแล้วซุกใบหน้านั่นกับเสื้อผม


“ทำไมมาอยู่นี่” ผมถาม ในหัวกำลังเรียบเรียงความเป็นไปได้หลายๆ อย่าง ความจริงตอนนี้เพกาควรจะอยู่ที่โรงเรียนรอพ่อหรือโป๊ยกั๊กมารับกลับไม่ใช่มาอยู่ห้างห้องผม


“อยากเจอพี่ไธม์นี่” เธอตอบ


“พึ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อนเองนะ” ผมลูบเส้นผมสีดำนั่นเบาๆ


“ก็วันก่อนยังไม่ได้คุยอะไรกันเลยพี่ไธม์ก็กลับแล้ว...ยังอยากคุยเล่นกันนี่นา” เพกาตอบเสียงอ้อนพลางเอียงคอเล็กน้อย เป็นท่าทางที่ใครเห็นเป็นต้องเอ็นดู


“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แอบมาเองใช่ไหม” ดูจากรูปการพ่อหรือโป๊ยกั๊กคงไม่ได้มาส่ง เพราะถ้ามาส่งคงยืนรออยู่ด้วยไม่ใช้ทิ้งให้เพกายืนอยู่คนเดียวหน้าห้อง


“...ค่ะ ขอโทษ” เพกาก้มหน้าลงเมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิด


“พี่จะโทรบอกพ่อกับโป๊ยกั๊ก เข้ามาในห้องก่อนเถอะ” ผมเปิดประตูห้องพาเพกาเข้าไปด้านใน


“พี่ไธม์...คนนั้น...” สายตาของเพกามองไปยังเบซิลที่ก้าวตามเข้าในห้องด้วยความไม่ไว้ใจ


จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่เพกาเจอเบซิลซินะ


“ไม่ต้องห่วงเขาเป็นเพื่อนพี่ชื่อเบซิล เบซิลนี่คือเพกาน้องสาวผมเอง” ผมแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกันแม้จะมั่นใจเกินครึ่งว่าเจ้าตัวรู้จักอยู่แล้วก็ตาม


“ยินดีที่รู้จักนะเพกา พี่ชื่อเบซิล เป็นทั้งพื่อนและคนรักของพี่ไธม์ ฝากตัวด้วยนะ” เบซิลนั่งยองๆ กับพื้นระหว่างพูดเพื่อจะได้อยู่ในระดับเดียวกับเพกา


“เบซิล” แนะนำตัวอะไรน่ะ


“พี่เบซิลก็รักพี่ไธม์เหรอ” เพกาถามเสียงใสตามประสาเด็ก


“ใช่...รักมากเลย”


“แต่หนูรักพี่ไธม์กว่า” เพกาไม่ยอมแพ้


“พี่รักมากกว่าเพกา 10 เท่า”


“งั้นหนูก็รักมากกว่าพี่เบซิล 100 เท่าเลย” เพกายกมือขึ้นแล้วกางออกแสดงความรักที่มีต่อผม


“ของพี่แค่มือไม่พอจะบรรยายความรักที่มีต่อเขาหรอก”


“หยุดเลย...ทั้งคู่แหละ” ผมรู้สึกเหมือนเป็นพี่เลี้ยงคอยดูเด็ก 2 คน


มันใช่เรื่องที่ต้องข่มกันไหม


“พวกเรามาสนิทกันไว้เถอะ ในฐานนะคนที่รักพี่ไธม์มาก” เบซิลส่งยิ้มให้เพกา


“อืม ได้เลยค่ะ” เพกายอมพยักหน้าโดยดี


จากนั้นเบซิลจึงพาเพกาไปยังห้องครัว เปิดตู้เย็นแล้วถามว่ามื้อเย็นอยากกินอะไรโดยมีผมยืนดูอยู่ห่างๆ ในมือกำลังถือโทรศัพท์ติดต่อพ่อเป็นคนแรก


(ใบไธม์ เพกาหายไป!) ประโยคแรกที่ดังขึ้นทำเอาผมต้องเลื่อนโทรศัพท์ให้ห่างหูไปเล็กน้อย


“ใจเย็นก่อนครับพ่อ เพกาอยู่ที่ห้องผม” พ่อคงกำลังร้อนรนที่ไปรับแล้วไม่เจอ


(ห้องลูก? ไธม์มารับน้องเหรอ)


“เปล่าครับ ดูเหมือนเพกาจะมาเอง” พูดถึงตอนนี้ก็อดที่จะตกใจไม่ได้ โรงเรียนของเพกาอยู่ใกล้บ้านก็จริงแต่เป็นคนละฝั่งกับคอนโดผมการจะมาถึงคงต้องขึ้นหลายต่อ มาได้โดยไม่หลงแบบนี้น่าชื่นชม


(ไปเอง? อันตรายเกินไปแล้ว เดี๋ยวพ่อจะไปรับเดี๋ยวนี้ล่ะ)


“เดี๋ยวครับ วันนี้ให้เพกาค้างกับผมเถอะ” ผมคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนโทรหาพ่อแล้ว การที่เพกามาถึงนี่ส่วนนึงเป็นความผิดของผมเองที่มีเวลาให้น้องน้อยเกินไป ไหนๆ ก็มาถึงนี่จะให้กลับทันทีคงไม่ดีเท่าไหร่


(แต่ลูกต้องทำงานรึเปล่า) ปลายสายดูกังวลเรื่องผมอยู่ไม่น้อย คงกลัวเพกาจะมากวนผมตอนกำลังทำงาน


“ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้ผมหยุด ช่วงเย็นๆ จะพาไปส่งนะครับ”


(ถ้าไธม์ว่าแบบนั้นพ่อก็ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวจะบอกที่บ้านให้)


“ครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” คุยเสร็จผมเดินไปหาเบซิลกับเพกาที่กำลังทำบางอย่างอยู่ในห้องครัว


เพกานั่งอยู่บนเก้าอี้โดยในมือกำลังใช้ตะกร้อตีของแหลวสีนวลในชามพลาสติกขนาดกลาง มีเบซิลคอยยืนมองดูอยู่ด้านหลัง จากที่มองทั้งสองคนเข้ากันได้ดีเลยซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับเบซิล เขาสามารถเข้ากับใครก็ได้ถ้าอยากจะเข้าแต่กับเพกาค่อนข้างระแวงคนที่พึ่งเจอกันครั้งแรงอยู่พอสมควรผมจึงค่อนข้างตกใจที่สนิทกับเบซิลได้เร็วขนาดนี้


“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” ผมเอ่ยถามทั้งคู่


“ทำแพนเค้กค่ะพี่ไธม์” เพกาหันมาตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง


“แพนเค้กเหรอ”


“ไม่ได้ใส่ไข่ลงไป คุณกินได้” เหมือนเบซิลจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรเลยรีบอธิบายเพิ่ม


ส่วนผสมของเพนเค้กหลักๆ จะมีแป้ง นม ไข่ น้ำตาลและกลิ่นวนิลา ในกรณีที่ไม่ใส่ไข่ไก่จะใช้เป็นผงฟูช่วยแทน ผมเองทำกินบ่อยๆ แต่ช่วงนี้ไม่ได้กินเลย


รู้สึกอยากกินเหมือนกันแฮะ


อีกอย่างถ้าทำอาหารหนักๆ พวกเราคงกินกันไม่ไหวเพราะกำลังจุกกับงานเลี้ยงเมื่อชั่วโมงก่อนอยู่เลย


“ใกล้ได้ที่รึยัง”


“พักไว้สักครึ่งชั่วโมงน่าจะโอเคแล้ว เก่งมาเลยเพกา” เบซิลก้มลงไปชมน้องผมก่อนจะถือชามพลาสติกไปแช่ไว้ในตู้เย็น


“ระหว่างรอทำอะไรกันดี ดูการ์ตูนไหมหรือจะทำอย่างอื่น” ผมถามเพกา ถ้าจะดูการ์ตูนคงต้องเปิดโน๊ตบุ๊กเอาเพราะในห้องผมไม่มีโทรทัศน์ เวลาว่างๆ ผมมักจะเปิดข่าวผ่านทางโน๊ตบุ๊กทิ้งไว้ ในเมื่อดูทางโน๊ตบุ๊คได้ผมเลยไม่คิดจะซื้อโทรทัศน์


“ทำอะไรดี...ระเบียงมีต้นไม้ด้วย” สายตาของเพกาทอประกายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นต้นไม้ที่ปลูกอยู่ตรงระเบียงห้องผม เพกาเป็นเด็กผู้หญิงที่ชอบต้นไม้และธรรมชาติมาก


“ไปดูไหม”


“ไปค่า”


ผมพาเพกาเดินมาถึงระเบียงห้องอัเต็มไปด้วยต้นโหรพา กระเพราและพริกส่วนมากจะเป็นพืชผักสวนครัวที่สามารถตัดมาทำอาหารได้เลย เมื่อไม่นานมานี้ผมพึ่งนำตำลึงมาปลูกโดยทำไม้มาปักไว้ให้ตำลึงเลื้อยไปได้ตามต้องการ


“ต้นเล็กนิดเดียว” เพกานั่งลงมองต้นตำลึง


“พี่พึ่งเอามาปลูก” ขนาดของต้นยังไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดเลย


“หนูจะช่วยปลูกนะ” พูดจบเพกาใช้มือทั้งสองข้างกวาดดินรอบๆ มารวมยังโคนต้นตำลึง สัมผัสใบสีเขียวอ่อนและแก่เพียงแค่นั้นต้นตำลึงก็เล่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อพลังของเพกา ส่วนยอดอ่อนเริ่มแตกยอดออกแล้วพันเข้ากับไม้ที่ผมเตรียมไว้อย่างเชื่องช้า


นี่แหละคือพลังของน้องคนสุดท้องของครอบครัวผม


ไม่ว่าจะปลูกต้นอะไรก็จะโตขึ้นและเร่งการออกผล เป็นพลังที่ดูจะมีประโยชน์ที่สุดในบรรดาพวกเราสี่พี่น้อง ต่อให้ไม่มีเงินก็คงไม่อดตายเพราะสามารถปลูกผักกินได้ตลอด


“นั่นคือพลังของเธอสินะ” เสียงของเบซิลจากด้านหลังทำให้ยอดอ่อนตำลึงที่กำลังแตกออกหยุดการเจริญเติบโต เพกาหันไปมองเบซิลที่ยืนกอดอกพิงประตูระเบียงด้วยสีหน้าตื่นตกใจและเต็มไปด้วยความกังวล


เรื่องของพลังนี้พวกเราไม่อยากให้ใครรู้ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทหรือใครก็ตาม เพราะพวกเราต่างรู้ดีกว่าพลังเหล่านี้หากมีคนอื่นรู้อาจเกิดปัญหาขึ้นได้


“พะ...พี่ไธม์” เพกาลุกขึ้นแล้ววิ่งมาหาผมด้วยใบหน้ากระวนกระวาย


“ไม่เป็นไร เบซิลรู้อยู่แล้วเรื่องที่เพกามีพลัง” ที่รู้คงเป็นรูปแบบของพลัง


“รู้เหรอ” เพกาเงยหน้าขึ้นถาม


“อืม รู้สิ ทั้งของพี่ไธม์ทั้งของโป๊ยกั๊กรู้หมดแหละ” เบซิลบอก แปลว่าเหลือแค่กระวานกับแม่และคุณตาที่เบซิลยังไม่รู้สินะ


“รู้ของพี่โป๊ยกั๊กด้วย? ไม่คิดว่าแปลกเหรอคะ”


“คิดว่าน่าอิจฉามากกว่า ของเพกาเป็นพลังที่ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตสินะ” เบซิลก้มมองตำลึงที่โตขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ด้วยสายตาคล้ายกำลังวิเคราะห์


“ใช่ค่ะ ถ้าหนูกวาดดินรอบๆ มาแบบนี้แล้วสัมผัสกับต้นไม้พวกเขาจะเติบโตขึ้น ถ้ามีผลก็เร่งผลด้วย” เพกาที่ระแวงกลับวิ่งไปยังต้นมะเขือเทศจิ๋วเพื่อสาทิตพลังให้ดู ดอกสีขาวของมะเขือเทศเริ่มแห้งลงและถูกแทนที่ด้วยผลสีเขียวและแดงขึ้นในเวลาไม่กี่นาที


“สุดยอดไปเลยพลังนี่”


“ไม่หรอกค่ะ ทุกครั้งที่ใช้พลังจเหมือนโดนสูบพลังไป บางทีก็เหนื่อยมากเลย”


“พลังของเพกาก็เหมือนกับปุ๋ยชั้นดี ซึ่งปุ๋ยที่ดีจะเปี่ยมไปด้วยสารอาหารจำนวนมากซึ่งเพกาเปลี่ยนพลังกายให้กลายเป็นปุ๋ยเพื่อให้ต้นไม้เติบโต” คำอธิบายเปรียบเทียบของเบซิลคล้ายกับรู้จักพลังของเพกาเป็นยังทีทั้งที่พึ่งได้เห็นครั้งแรก ตัวผมยังไม่คิดว่าจะอธิบายแบบนั้นได้เลย


“พี่เบซิลอธิบายเข้าใจง่ายจัง”


“ขอบคุณสำหรับชม แพนเค้กได้แล้วมั้ง หิวรึยัง” เบซิลถามเพกาต่อ


“หิวแล้วค่ะ”


“ไปทำแพนเค้กกันเถอะ หยิบเนยให้ด้วยเบซิล” ผมบอกเบซิลที่เดินนำหน้าไป


“รับทราบครับที่รัก...โอ๊ย!” ยังไม่ทันที่คำว่ารักจะถูกเอ่ยจบผมก็ใช้หมัดชกเข้าไปที่แขนอีกฝ่ายแรงๆ


“มาทำด้วยกันเนอะ” ผมคุยกับเพกาต่อโดยไม่สนใจเบซิลที่ทำสีหน้าเจ็บปวดจากการถูกชกแขน


“หนูจะทำให้พี่ไธม์กับพี่เบซิลด้วยได้ไหมคะ”


“ได้สิ”


หลังจากนั้นผมก็ยืนดูเพกาทอดแพนเค้กให้พวกเราทีละชิ้น ในตอนแรกอาจมีทั้งชิ้นไหม้และรูปร่างเละๆแต่พอผ่านไปสักระยะรูปร่างก็เริ่มดูดีขึ้น สีเองก็เป็นสีน้ำตาลทองน่ากินมากทีเดียว ท๊อปปิ้งที่ใช้ราดมีทั้งเนย น้ำผึ้งและแยมตามความชอบของแต่ละคน อย่างเพกาชอบกินหวานหน่อยก็จะราดแยมสตอเบอร์รี่


“เบซิล ช่วยหาข้อมูลของคนชื่อจักพรรดิให้ทีสิ” พอออกมาจากห้องน้ำก็เห็นเบซิลกำลังเปิดจอโน๊ตบุ๊คอยู่โดยเพกาเดินเข้าไปอาบน้ำต่อจากผม เมื่อหลายวันก่อนเพกาโทรมาบอกผมว่าโป๊ยกั๊กบุกไปพาตัวกระวานกลับมาจากที่ทำงาน เหมือนกระวานจะไปทำแหวนมูลค่า 10 ล้านหายเลยต้องทำงานที่คลับนั้น


"ได้ จักพรรดิ บริบรรณ ชื่อเล่นหนึ่ง เจ้าของคลับอาบอบนวด wonderful land เกิดวันที่ 1 มกราคม ครอบครัวเสียหมดแล้ว มีบอดี้การ์ดคนสนิทชื่อดนัย จารุรักษ์ หรือดีนเคยอยู่หน่วยสวาทมาก่อน”


“ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายรึเปล่า มีอิทธิพลระดับไหน” ผมถามต่ออีก


“ตัวจักรพรรดิไม่มีเรื่องผิดกฎหมายแต่ในอดีตของรุ่นปู่ก็มีอยู่บ้างนิดหน่อยแต่คงไม่เกี่ยวกัน อิทธิพลปานกลางแต่ไม่ควรเข้าไปยุ่งตรงๆ แล้วน้องคุณไปเกี่ยวข้องกับหมอนี่ได้ยังไงล่ะ”


“ทำแหวน 10 ล้านของเขาหายน่ะสิ”


“10 ล้าน? ผมสามารถหาเงิน 10 ล้านให้คุณได้นะ” อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


“ผมไม่คิดจะรับเงินจากการแฮ็กระบบธนาคารของคุณหรอกนะ”


“ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นธนาคารเสมอไปนี่ แค่หยิบจากพวกเศรษฐีคนละล้านสองล้านพวกเขาไม่รู้หรอก”


“เบซิล” เดี๋ยวพวกเราได้เข้าไปนอนในคุกสักวันนึงแน่


“ผมล้อเล่นน่า ดูแล้วไม่น่าใช่คนมีอันตรายอะไร”


“อืม ต้องดูต่อไปถ้ากระวานเป็นอะไรขึ้นมาผมคงไม่ยอมอยู่เฉย”


“ถ้าแบบนั้นให้ผมช่วยแหย่นิดหน่อยก็ได้นะ แค่แฮ็กเข้าไปรวนระบบการเงินหรือระบบสั่งสินค้าคงสร้างความเสียหายได้พอดู” ใบหน้าของเบซิลดูสนุกที่ได้ก่อกวนคนอื่นเล่น


“หวังว่าจะไม่ต้องให้คุณทำแบบนั้นนะ”


ตกดึกผมปูผ้านวมข้างเตียงเป็นแนวยาวต่างจากทุกครั้งที่เบซิลนอนเนื่องจากวันนี้ผมจะนอนพื้นกับเบซิลด้วย เพกาถึงจะบอกว่าให้ผมขึ้นไปนอนด้วยกันได้แต่จะให้นอนกับเด็กผู้หญิงแม้จะเป็นน้องสาวก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี


“พี่ไธม์ไม่ขึ้นมานอนด้วยกันจริงๆ เหรอ” เพกาถามทั้งที่ซุกใบหน้าลงบนหมอน เพกาค่อนข้างเหนื่อยมากเพราะพลังงานถูกใช้อย่างต่อเนื่องทั้งปลูกผัก ทำแพนเค้กแถมยังเล่นกับพวกเราจนดึกอีก


“ไม่ล่ะ นอนเถอะพี่จะปิดไฟแล้วนะ” ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปยังโคมไฟข้างหัวเตียง


“ค่ะ ฝันดีนะคะพี่ไธม์ พี่เบซิล”


“ฝันดีเช่นกัน” ผมและเบซิลตอบพร้อมกัน


ตัวผมนอนชิดกับเตียงซึ่งเพกานอนอยู่โดยข้างๆ มีเบซิลขยับตัวเข้ามาแนบชิด ในช่วงแรกๆ ผมยังไม่คิดอะไรและปล่อยไว้แบบนั้นทว่ามือฝ่ายกลับไม่ยอมอยู่เฉยกอดเอวผมจากด้านหลังพร้อมขยับตัวเข้าแนบสนิทจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาได้อย่างชัดเจน


“เบซิล” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบาเพราะกลัวว่าเพกาจะตื่น


“ขอผมกอดหน่อยน่า วันนี้ยังไม่ได้กอดกันเลย”


“ผมให้พูดใหม่” จำได้ว่ากอดไปหลายรอบแล้วนะ


“อยากสวีทนี่”


“พอเลย เดี๋ยวเพกาตื่น” ผมขยับตัวหนีไม่ให้อีกฝ่ายกอดแน่นมากไปกว่านี้


“ถ้าขยับหนีผมจะกอดให้แน่นกว่านี้อีก”


“เบซิล” กล้าขู่ผม?


“พรุ่งนี้พาเพกาไปเดทกับเราด้วยเนอะ” เบซิลทำเมินเปลี่ยนเรื่องทั้งที่แขนยังคงกอดผมไว้แน่น


“จะออกไปข้างนอก? ผมกะจะอยู่แค่ในห้องแล้วตอนเย็นจะพาเพกาไปส่งบ้าน”


“น้องมาทั้งทีจะให้อยู่แต่ในห้องได้ยังไง”


“เบซิล...ขอบคุณ” ผมรู้สึกว่าต้องพูดออกไป เบซิลมองคนเก่ง เขารู้ว่าเพกาเป็นยังไงและพยายามเข้าหาอย่างถูกวิธีจนได้รับความเชื่อใจ มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างความสนิทสนมกับคนอื่นในเวลาอันสั้น อีกอย่างเบซิลไม่จำเป็นต้องสนิทกับน้องผมก็ได้แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำและสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นโดยการเข้าครัวหรือเล่นเกม


ผมถึงรู้สึกขอบคุณที่ใส่ใจไม่ใช่แค่ผมแต่รวมถึงครอบครัวผมด้วย


“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นจูบสักทีผมคงจะหลับฝันดีทั้งคืน” เสียงพึมพำจากเบซิลเรียกรอยยิ้มบางๆ ให้ปรากฏขึ้น ผมอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายคลายอ้อมกอดพลิกตัวไปเผชิญหน้ากับเบซิลตรงๆ และฉวยโอกาสที่เขากำลังคิดแนบริมฝีปากลงตัวลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย


ไม่เพียงแค่แนบแต่ผมส่งปลายลิ้นเข้าไปพัวพันกับเบซิลสักพักแล้วจึงถอนจูบออก เป็นจูบแบบจริงจังครั้งแรกของผมเลยค่อนข้างตื่นเต้นและไม่มั่นใจ


“แบบนี้ก็ฝันดีทั้งคืนแล้วนะ” พูดจบผมพลิกตัวกลับไปนอนตามเดิม ไม่กี่วินาทีต่อมาอ้อมแขนของเบซิลก็รัดแน่นพร้อมลมหายใจร้อนมาคลอเคลียอยู่บริเวณแก้ม


“เล่นทีเผลอขี้โกงนี่ ขออีกรอบทันไหม”


“ของดีมีครั้งเดียว” ให้ผมทำอีกรอบ...ฝันไปเถอะ


แค่นี้ก็อายจะแย่แล้ว


“ถ้าน้องคุณไม่อยู่ละก็...”


“ก็อะไร” ผมถามกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยุดพูดไปดื้อๆ


“ถ้าน้องคุณไม่อยู่คุณเสร็จผมแน่ใบไธม์” แม้จะเป็นเพียงเสียงกระซิบแต่ก็เป็นเสียงที่ทำเอาร่างกายผมรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างกระทันหัน


“ถ้ายังไม่นอนคุณได้สลบด้วยศอกผมแน่”


“เปลี่ยนจากศอกเป็นปากได้ไหม”


“เบซิล!”


พวกเราต่างถกเถียงกันด้วยประโยคไร้สาระไปอีกไม่กี่ประโยคความง่วงก็เข้ามาโจมตีทำให้พวกเราหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันไปจนถึงรุ่งเช้าของวันต่อไป

..........................................................

สวัสดีค่า

มาต่อแล้วกับตอนต่อไป

เนื้อเรื่องดูไม่ค่อยมีอะไรให้ดราม่าหรือตื่นเต้นสักเท่าไหร่เราเลยเขียนให้เนื้อหาเหมือนคลื่นเล็กๆ จะได้ไม่เบื่อกันเกินไป

อีกอย่างพอแต่งมาใกล้จบก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะมีฉากที่ครอบครัวมาเจอกับเบซิลสักเท่าไหร่เลยนะ

ก็เลยแต่งตอนนี้ออกมาโดยพูดถึงน้องสาวคนเล็กของครอบครัวสักหน่อย

แต่งไปแต่งมาทำไมดูกลายเป็นพวกเดียวกับเบซิลซะอย่างงั้น 555

สำหรับเรื่องนี้มีบรีฟปกออกมาแล้วใครสนใจอยากเห็นสามารถเข้าไปดูในเพจได้นะคะ

ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามเสมอ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เพกาหนีมาหาด้วยเหตุผลแค่คิดถึงเนี่ยนะ   ไม่น่าใช่อ่ะ


มันต้องมีวาระซ่อนเร้นอื่นแอบแฝงอยู่แน่ ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เหตุผลของเพกามันน่าจะมากกว่านั้นสิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หรือว่าเพกาจะมีความรักกกกก  o18

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ไม่ใช่ว่ามีใครรู้เรื่องพลังของเพกาเหรอ เพกาถึงมาหาพี่ใบไธม์ อาจมีอะไรสักอย่างที่มากกว่าความคิดถึงอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่16



ในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของใครหลายๆ คนทำให้สถานที่ส่วนมากเต็มไปด้วยผู้คนไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรักหรือครอบครัว ผม เบซิลและน้องสาวเพกาออกมาเดินเล่นยังสวนสาธารณะใจกลางเมืองในช่วงสายของวัน สาเหตุที่เลือกสวนสาธาระเพราะว่าเพกาอยากไปที่ที่มีต้นไม้เยอะๆ นั่นเอง


“มีคนเต็มเลย” เพกาวิ่งไปพูดไป


“ระวังหกล้มนะ!” ผมตะโกนตามไปแล้วพยายามก้าวยาวๆ ตามหลังเพกา


“เด็กๆ ก็ต้องให้ล้มบ้างจะได้แข็งแกร่ง” เบซิลพูด


“แต่เพกาเป็นเด็กผู้หญิง” ถ้าเป็นผู้ชายผมคงไม่ห่วงขนาดนี้


“ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ต้องมีกันบ้าง มันเป็นประสบการณ์ที่ดี”


“ถ้าบาดเจ็บไปจะทำยังไง”


“หวงน้องกว่าที่คิดนะใบไธม์”


“เรียกว่าห่วงจดีกว่านะ” ใช้คำว่าหวงแล้วรู้สึกแปลกๆ


“ผมอยากให้ทั้งหวงและห่วงผมบ้างจัง”


“ทำไมวกไปเรื่องนั้นได้?” คุยเรื่องเพกาอยู่ดีๆ กลายเป็นเรื่องเบซิลไปได้ยังไง


“เรามาเดทกันนี่”


“ไม่ได้มาสองคนสักหน่อย” มีเพกามาด้วยอีกคน


“ไม่เห็นเป็นไร การได้ออกมากับใบไธม์สำหรับผมถือเป็นเดท”


“เดทก็เดท...เฮ้ย!”


โฮ่ง!


แรงกระแทกจากด้านหลังมาพร้อมกับเสียงเห่าของสัตว์สี่ขา ด้วยแรงกระแทกที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมเซล้มไปยังพุ่มไม้ข้างต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นร่างของสัตว์สี่ขาขนฟูสองสีก็ขยับเข้ามาเลียหน้าผมจนเปียกเยิ้ม ไม่มีเวลาแม้แต่จะขยับหนีรู้ตัวอีกทีร่างผมก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสุนัขขนฟูสีขาวแซมดำ หูที่ตั้งฉากเป็นรูปสามเหลี่ยมกระดิกไปมาท่ามกลางเสียงถอนหายใจของผมในร่างสุนัขพันธ์ไซบีเรี่ยนฮัสกี้


กลายเป็นหมาซะแล้ว


อ่า...ประมาทจนได้เรื่องทุกทีสิน่า


“ใบไธม์” เบซิลรีบตามเข้ามาดูสถานการณ์


“พี่ไธม์เหรอ? น่ารักจัง” เพกาเองส่งยิ้มหวานมาให้แล้วก้าวเข้ามากอดคอสุนัขพันธุ์ไซบีเรี่ยนตัวสีขาวดำ ที่เพกากอดไม่ใช่ผมแต่เป็นสุนัขของจริง อาจเพราะผมและสุนัขขาวดำมีรูปร่างเหมือนกันเป๊ะเลยยากถ้าจะแยก


“ทำหน้าเหนื่อยใจนะใบไธม์” เบซิลก้าวเข้ามาลูบแฝงคอผมพร้อมรอยยิ้ม


หงิ๋ง!


รู้ด้วยเหรอว่าผมเป็นตัวไหน


“เดาไม่ยากนี่มีแค่ตัวเดียวที่ที่เหมือนอยู่ในเสื้อผ้า อีกอย่างสุนัขตัวนั้นเป็นตัวเมียส่วนคุณเป็นผู้ชาย” เบซิลอธิบายทุกอย่างออกมาราวกับเข้าใจว่าผมถามอะไร


“อ้าว นี่ไม่ใช่พี่ไธม์เหรอ” เพกาหยุดกอดสุนัขตัวโตแล้วหันไปถามเบซิล


“อืม ใบไธม์นะอยู่นี่”


“พี่ไธม์ นุ่มจังเลย” เพการีบพุ่งตัวมากอดผมทันที ใบหน้าเล็กๆ ซุกไซร้ยังขนสองชั้นแสนนุ่มฟูซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสายพันธ์ไซบีเรี่ยนฮัสกี้ การกลายร่างเป็นสัตว์ของผมอาจก๊อปปี้ได้เหมือนตัวจริงเด๊ะๆ ทว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเพศเดิมได้ นั่นคือต่อให้ผมไปแตะนกหรือกระรอกตัวเมียก็ไม่ได้ทำให้ผมกลายเป็นตัวเมียตามไป


“จูลี่ อ๊ะ...มีสองตัว?” ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะเป็นเจ้าของสุนัขพันธ์ไซบีเรี่ยนตัวนี้ และคงตกใจที่เห็นว่ามีสุนัขที่เหมือนกับเปี๊ยบอยู่ 2 ตัว


สถานการณ์ท่าจะจัดการยากแล้วสิ


แต่คงไม่มีปัญหาเพราะมีเบซิลอยู่ ต่อให้อยู่ในสถานการณ์แบบไหนเบซิลสามารถจัดการได้อยู่แล้ว


“สวัสดีครับ สุนัขแสนสวยนี่เป็นของคุณสินะครับ” เบซิลก้าวไปด้านหน้าเพื่อบังเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นเช่นเดียวกับผมที่ขยับตัวออกมาอยู่ด้านหน้า


“ใช่ค่ะ จูลี่...ฉันพึ่งเคยเห็นสุนัขที่เหมือนกันขนาดนี้ครั้งแรก” เธอลูบทักทายสุนัขเพศเมียชื่อจูลี่ก่อนจะมองมายังผมที่มีเพกากอดฟัดอยู่


“นั่นสิครับ คล้ายกับปีเตอร์ของผมมากเลย”


เอาแล้วไง ปีเตอร์มาอีกแล้ว


ไม่มีชื่ออื่นที่ดีกว่าปีเตอร์แล้วใช่ไหมเบซิล


“เหมือนเปี๊ยบเลยค่ะ ฉันว่าตาฝาดซะอีก”


“ของคุณสวยส่วนของผมหล่อ” เบซิลยิ้มพลางหันมาลูบหัวผมในร่างสุนัข


“จริงด้วย พอมองดีๆ แล้วหล่อมากเลยนะปีเตอร์” เธอก้มหน้าลงมามองผมชัดๆ คำพูดของเบซิลเป็นเหมือนเวทย์มนต์ที่จะชักนำคนให้เป็นไปตามที่ต้องการได้


ควรจะพูดว่าน่าทึ่งหรือน่ากลัวดีล่ะ


“พวกเราคงต้องขอตัว” เบซิลพยายามปิดฉากการสนทนาโดยมีเพกาที่รู้งานค่อยๆ หยิบเสื้อผ้าผมขึ้นมาไว้ในมือ


“นี่อาจเป็นโชคชะตาก็ได้ ถ้ายังไงเราให้ทั้งคู่มามีลูกกันดีไหมคะ” คำถามนี่ทำเอาผมในร่างสุนัขถึงกับสะดุ้ง


“เรื่องนี้คงต้องขอปฏิเสธ” น้ำเสียงของเบซิลไม่มีทีท่าตกใจเลยสักนิด เก็บอารมณ์ได้ดีมาก


“ทำไมล่ะคะ หรือว่ามีอีกตัวอยู่แล้ว”


“ไม่ใช่หรอกครับ เพราะผมรักเขามากและคงยอมให้ผู้หญิงคนอื่นมาแตะต้องไม่ได้” ไม่พูดเปล่าเบซิลก้มลงมาจูบเบาๆ ยังบริเวณแก้มอันเต็มไปด้วยขนสีขาวเบาๆ


“แหม...น่ารักจังเลยค่ะ ฉันเองก็รักจูลี่มากเหมือนกัน ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีก ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอกล่าวลาพร้อมใส่สายจูงพาสุนัขพันธ์ไซบีเรี่ยนฮัสกี้เดินกลับไปทางเดิม


โฮ่ง!


ผมเห่าใส่เบซิลเสียงดังลั่นโดยไม่สนว่าเพกาจะมองว่ายังไง รู้แค่ตอนนี้ผมอยู่นิ่งไม่ได้


คำพูดพวกนั้นกล้าพูดออกไปได้นะ


ถึงจะไม่อายผมแต่ก็ช่วยอายคนอื่นบ้างเถอะ


คนฟังอย่างผมยังอายแทนเลย


โฮ่ง!


“ไม่ต้องเขินน่าใบไธม์”


โฮ่ง!


ใครเขินกัน! ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ทันเลยนะ!


“ผมไม่ยอมให้ใครมาแตะคุณหรอกต่อให้เป็นสุนัขตัวเมียก็ตาม” รอยยิ้มของเบซิลเด่นชัดราวกับจะเน้นย้ำคำสัญญา


สุดท้ายการเดินเล่นในสวนสาธารณะก็ต้องหยุดกลางครันเพราะการกลายร่างของผม จากนั้นพวกเราพาเพกาไปเดินห้างกินข้าวในร้านอาหารญี่ปุ่นและพาเดินเที่ยวตามชั้นต่างๆ ตกเย็นผมขับรถพาเพกามาส่งที่บ้านโดยมีเบซิลตามลงจากรถมาด้วย


“รออยู่นี่ดีกว่ามั้ง” ผมยังไม่ได้เตรียมใจจะแนะนำเบซิลกับครอบครัวเลย ผมรู้ว่าถ้าเจออีกฝ่ายต้องบอกแน่ว่าผมเป็นคนรักของเขา จริงอยู่พ่อกับแม่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องพวกนี้แต่ผมอยากมีเวลาพูดเกริ่นกับพ่อแม่ก่อนจะพาเบซิลมาให้รู้จัก


“ผมยังไม่พูดเรื่องเราหรอก”


“ให้จริงเถอะ” ทำไมผมรู้สึกว่าเชื่อไม่ได้กันนะ


“พี่ ยืนทำอะไรหน้าบ้าน...” เสียงของกระวานดังขึ้นก่อนจะเปิดประตูบ้าน และทันทีที่ก้าวเข้ามาใกล้ดวงตาสีน้ำตาลของกระวานก็เบิกกว้างราวกับกำลังตกใจกับบางสิ่งบางอย่าง


ถ้าให้เดาคงเป็นเบซิล แต่แค่เบซิลไม่เห็นต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นแถมยังหน้าแดง


“กระวาน...”


“โป๊ยกั๊ก!” กระวานตะโกนแทรกเสียงแรกผมด้วยการเรียกน้อยชายคนที่สองอย่างโป๊ยกั๊ก


เสียงฝีเท้าวิ่งลงมาจากบันไดดังขึ้นไม่นานประตูบ้านก็ถูกเปิดอ้าออกพร้อมโป๊ยกั๊กในชุดลำลองอยู่บ้านก้าวมาหยุดยืนอยู่ข้างกระวานโดยใช้สายตาคมๆ จ้องมองไปยังเบซิล จริงอยู่ทั้งคู่อาจเคยเจอกันแล้วแต่ในครั้งแรกนั้นไม่ใช่โป๊ยกั๊ก พลังของโป๊ยกั๊กคือสามารถสลับกับตัวเองที่อยู่ในกระจกได้ทว่าโป๊ยกั๊กไม่ชอบตัวตนที่อ่อนแอของตัวเองนักจึงมีไม่บ่อยนักที่สลับตัวยกเว้นถึงคืนเดือนมืดก้านพลูจะสลับออกมาทันที


อธิบายง่ายๆ คือโป๊ยกั๊กไม่มีความทรงจำตอนที่ก้านพลูเจอกับเบซิลในครั้งก่อน ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานโป๊ยกั๊กได้มาหาผมที่ห้องอีกครั้งและได้เจอกับเบซิลแล้ว นี่จึงเป็นครั้งที่ 2 ที่ทั้งคู่ได้เจอกัน


“เกิดอะไรขึ้น หมอนั่น...” โป๊ยกั๊กแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรออกมาทันที ตั้งแต่เจอกันครั้งก่อนก็มีท่าทีไม่เป็นมิตรตลอด คงสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในตัวเบซิล


“เอ่อ...”


“จัดการหมอนั่นเลยโป๊ยกั๊ก!” เป็นอีกครั้งที่คำพูดผมถูกขัดโดยกระวาน


“หมายความว่ายังไง” โป๊ยกั๊กหันไปถามกระวาน


“หมอนั่นมัน...มัน...”


“มันอะไรล่ะ” โป๊ยกั๊กเร่ง


“มันคิดลามกกับพี่ไธม์อยู่เต็มหัวไปหมดเลย!” สิ้นคำพูดของกระวานโป๊ยกั๊กไม่รอช้าเหวี่ยงหมัดซ้ายใส่เบซิลทันที โชคดีที่เบซิลเก่งเรื่องการหลบหลีกเลยลอดหมัดนั้นไปได้ ถ้าโดนได้สลบแน่


หมัดของโป๊ยกั๊กยิ่งแรงๆ อยู่ด้วย


เดี๋ยวนะ...กระวานพูดว่าเบซิลคิดเรื่องลามกกับผมอยู่เต็มหัวไปหมด?


“อย่าเอาหลบสิ” โป๊ยกั๊กเริ่มอารมณ์เสียที่เบซิลเอาแต่เบี่ยงตัวหลบการจู่โจมไม่ว่าจะเป็นหมัดหรือขา ผมรู้ว่าการหลบมันกวนอารมณ์คู่ต่อสู้แต่ในตอนนี้เบซิลทำได้ดีสุดแค่นี้แหละ จะให้ชกกลับด้วยหมัดเบาๆ ที่ตั้งท่ายังไม่คล่องนั่นได้ถูกโป๊ยกั๊กหลบแล้วจู่โจมสวนกลับด้วยการทุ่มข้ามหลังแน่ หรือเบซิลจะรู้เลยทำเพียงหลบไปมาอยู่แบบนี้


“พอได้แล้วโป๊ยกั๊ก” ผมรีบเข้าไปห้ามเพราะขืนให้ต่อสู้ระยะยาวเบซิลจะเสียเปรียบในด้านกำลังกายและความคล่องตัว


“พี่ปกป้องหมอนั่นทำไม มันคิดลามกกับพี่ขนาดไหนรู้ไหม” กระวานชี้หน้าเบซิลพร้อมจ้องเขม็งอย่างไม่ยอมถอย


“เบซิล” จะมาคิดลามกอะไรตอนนี้


“ไม่ได้ตั้งใจคิดสักหน่อย มันเป็นไปเอง” เบซิลแก้ตัว


“เบซิล”


“รู้แล้วน่า”


“...ไม่ได้ยินแล้ว” กระวานพึมพำเสียงเบา


“เฮ้อ...ขอแนะนำนะ นี่เพื่อนพี่ชื่อเบซิล เบซิลคุณคงรู้อยู่แล้ว...โป๊ยกั๊กคงรู้จักอยู่แล้ว ส่วนนี่กระวานน้องชายอีกคนของผม” ผมพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้นโดยเริ่มจากการแนะนำตัวทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน


“เรียกพี่เบซิลก็ได้นะ”


“คุณไม่ใช่เพื่อนพี่ไธม์” กระวานดูเหมือนจะยังไม่ยอมรับเบซิลง่ายๆ


“ใช่ ผมเป็นคนรักของใบไธม์น่ะ”


“เบซิล!” ไหนบอกว่าจะไม่พูดไง


“น้องชายคุณเซ้นต์ดีจะตายอย่าโกหกดีกว่า” เบซิลพูดตามที่คิด


“เขาเป็นคนรักของพี่จริงเหรอ” โป๊ยกั๊กหันมาถามราวกับไม่เชื่อในคำพูดของเบซิลเท่าไหร่ อย่างที่เบซิลพูดโป๊ยกั๊กเซ้นต์ดีมากต่อให้ผมเลือกที่จะโกหกเขาคงรู้ทันที


“อืม...แฟนพี่เอง” ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดตัวแต่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้แล้ว


“คงไม่ได้คิดจะคบเล่นๆ หรอกใช่ไหม” โป๊ยกั๊กจ้องเขม็งไปทางเบซิลอีกรอบ บรรยากาศที่สื่ออกมาคล้ายจะบอกว่าถ้าตอบไม่ดีได้มีคนถูกหามส่งโรงพยาบาลแน่


“จริงด้วย เอาแค่คิดลามกแบบนั้นถ้าคิดจะหลอกพี่ไธม์พวกเราไม่อยู่เฉยแน่!” กระวานเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน ตอนนี้เพกาที่เด็กสุดได้แต่ยืนเงียบมองพี่ชายตัวเองกับเบซิลคุยกันด้วยใบหน้างงๆ


“พูดเหมือนก้านพลูเลยนะ”


“...ทำไมถึงรู้เรื่องนั้นได้” โป๊ยกั๊กเริ่มรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อก้านพลู


“ก็เคยเจอกันครั้งนึง การที่โป๊ยกั๊กจำไม่ได้หมายความว่าความทรงจำไม่ได้เชื่อมกันสินะ” เบซิลวิเคราะห์พลังของโป๊ยกั๊กได้อย่างยอดเยี่ยม ถูกต้องทุกอย่าง...ความทรงจำตอบก้านพลูอยู่ในร่างโป๊ยกั๊กจะจำไม่ได้ในทางตรงกันข้ามก้านพลูกลับสามารถจดจำทุกอย่างได้แม้จะไม่ได้ออกมาก็ตาม


“...” โป๊ยกั๊กถึงกับอึ้งที่ถูกคนที่พึ่งเจอกันแทบนับครั้งได้พูดถึงพลังของตัวเองได้เป็นฉากๆ


“ส่วนพลังของกระวานคงเป็นการอ่านใจไม่ก็ความคิดแน่ๆ และคงอ่านได้แค่พวกเรื่องลามกเพราะตอนนี้ผมคิดเรื่องอื่นอยู่ในหัวเต็มไปหมดแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย อ้อ คงมีขอบเขตของการอ่านด้วยน่าจะไม่กี่เมตรใช่ไหม” หลังจากวิเคราะห์พลังของโป๊ยกั๊กเสร็จก็ต่อด้วยพลังของกระวานทันที น้ำเสียงและแววตานั่นแสดงความมั่นใจว่าสิ่งที่พูดออกไปจะไม่ผิด


“...หมอนี่เป็นใครกัน” กระวานมองไปทางเบซิลด้วยความรู้สึกหลากหลาย คงไม่เคยเจอคนที่สามารถใช้แค่การสังเกตและเก็บข้อมูลคำพูดต่างในเสี้ยวนาทีและมาวิเคราะห์แบบนี้


“เขาชื่อเบซิล ถ้าจะให้ชัดฉายาเขาคือเมเกอร์” ผมตอบคำถามของกระวานแทนเบซิล


“เมเกอร์...ไม่จริงน่า นักโทษคดีหลอกลวง ตุ้มตุ๋นและแฮ็กระบบธนาคารนำเงินออกมาโปรยว่อนคนนั้นน่ะนะ” กระวานถึงกับก้าวถอยหลังเมื่อรู้ว่าตัวจริงของเบซิลเป็นใคร


“ใช่แล้ว คนนั้นคือพี่เอง” เบซิลชี้มายังตัวเองโดยไม่มีการปิดบัง


“ไม่ใช่ว่าอยู่ในคุกเหรอ” โป๊ยกั๊กพูดบ้าง


“ออกมาด้วยพลังแห่งรัก...โอ๊ย!” ผมชกเข้าที่ท้องอีกฝ่ายแรงๆ เพื่อไม่ให้พูดออกมามากกว่านี้


“หน่วยพี่ต้องการความสามารถและทักษะของเมเกอร์เลยได้มาทำงานร่วมกันน่ะ” ผมอธิบายความจริงให้น้องๆ ฟัง


“คนแบบนี้พี่เชื่อใจได้งั้นเหรอ ไม่แน่เขาอาจจะหลอกพี่อยู่ก็ได้” ผมเข้าใจความเป็นห่วงของน้องชายดี ไม่ว่าใครที่รู้ว่าเบซิลคือเมเกอร์สิ่งแรกที่จะถามหาคือความเชื่อใจ


จะเชื่อใจได้เหรอ


จะหลอกลวงรึเปล่า


สำหรับผมได้คำตอบมานานแล้ว


“พี่เชื่อใจเขา” เชื่อว่าคำพูดที่บอกว่ารักจะไม่ใช่คำโกหกหรือหลอกลวง


“...พี่ไธม์ พวกเรายังไม่ได้ฟังคำตอบของคุณเลยนะ” ประโยคสุดท้ายโป๊ยกั๊กและกระวานหันไปทางเบซิล


“ใบไธม์เป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด” ไม่จำเป็นต้องอธิบายเวิ้นเว้อเพียงแค่ประโยคเดียวก็มาพอในการสื่อความรู้สึกและความจริงใจออกมาได้


“...พวกเรายังไม่เชื่อใจคุณ แต่เชื่อใจพี่ไธม์ที่เชื่อคุณ” โป๊ยกั๊กนิ่งไปสักพักก่อนจะสบตากับผมสลับกับเบซิลระหว่างพูด


“แค่นั้นก็พอแล้ว ความเชื่อใจที่ได้รับจากใบไธม์จะไม่ทำให้ผิดหวังเด็ดขาด” เบซิลไม่ได้พูดกับโป๊ยกั๊กหรือกระวานแต่เป็นผม ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องมาราวกับกำลังสัญญา


“ถ้าทำให้พี่เสียใจผมจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่!” โป๊ยกั๊กย้ำ


“ได้ ถ้าถึงตอนนั้นจะยอมเป็นกระสอบให้ซ้อมโดยไม่ขัดขืนเลย”


“เบซิล” ใจกล้าไปแล้วที่สัญญาแบบนั้น


“กลับกันเลยไหม”


“พาเพกามาส่งแล้ว พี่ขอตัวก่อน” ผมบอกกับน้องๆ ทุกคน


“ไม่เข้าไปข้างในก่อนล่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็กลับแล้วจะได้แนะนำคนคนนั้นให้รู้จักไปเลย” กระวานเสนอ


“ครั้งหน้าพี่จะคุยกับพ่อแม่เอง”


“ตามใจพี่ละกัน งั้นพวกเราจะปิดเงียบเรื่องนี้ไว้ก่อน เนอะ” กระวานใช้ศอกกระทุ้งแขนโป๊ยกั๊กเพื่อขอความเห็น


“จะยังไม่บอกพ่อกับแม่” โป๊ยกั๊กพยักหน้าตอบเบาๆ


“อืม ไว้เจอกันใหม่” ผมบอกลาน้องทั้งสามคนก่อนจะขับรถตรงกลับคอนโด


(มีต่อ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


ไม่กี่วันต่อมาผมและเบซิลมีคดีที่ต้องไปจัดการแถวชานเมืองซึ่งเป็นคดีที่ผมแทบไม่มีส่วนร่วมสักเท่าไหร่เพราะการช่วยจัดการระบบที่ถูกเหล่าแฮ็กเกอร์จู่โจมทั้งแบบจริงจังและแบบเล่นนั้นแค่มีเบซิลอยู่ก็ถือว่าภารกิจนี้เป็นอันเสร็จสิ้น ในโลกยุคปัจจุบันแทบไม่มีกำแพงกั้นในเรื่องของความรู้ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือเด็กแค่ไหนก็สามารถศึกษาหาความรู้ได้ เช่นเดียวกับการแฮ็กเข้าระบบ


โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยปกติไม่มีทางที่จะสอนในเรื่องพวกนี้แต่บนเว็บไซต์นั่นมีสอนกันเป็นเหมือนรายวิชาหนึ่งที่ต้องเรียน
และคนที่เรียนก็มักจะอยากลองให้ภูมิโดยการหาระบบอะไรสักอย่างมาแฮ็กข้อมูลเล่นๆ หรือไม่ก็ต้องการข้อมูลของทางบริษัทจริงๆ ผมเองก็ไม่รู้เหตุผลรู้แค่ว่าการกระทำเหล่านั้นส่งผลให้ระบบการป้องกันของฐานข้อมูลต่ำลงจนใกล้จะถูกทำลายทางบริษัทจึงได้ต่อผ่านทางหัวหน้าไพลสันต์ให้ช่วยเรื่องนี้หน่อย

ดูเหมือนว่าจะเป็นคนรู้จักของหัวหน้าพวกเราเลยมาจัดการเรื่องนี้ให้ ทีมงานของทางบริษัทก็มีอยู่แต่ไม่ว่าจะทำการซ่อมแซมสักกี่ครั้งก็โดนเข้าแฮ็กอยู่ตลอด


ทันทีที่เบซิลเดินเข้ามา เขาขอดูระบบของทางบริษัทเป็นอย่างแรก ดวงตาสีเขียวมรกตไล่มองไปยังโค้ดต่างๆ นันพันนับหมื่นบรรทัดแถมยังมีหน้าต่างแยกอีกไม่รู้กี่ร้อยหน้าซึ่งเบซิลทำเพียงเปิดดูผ่านๆ และสรุปออกมาให้ทุกคนที่จับจ้องไปฟังว่าสาเหตุที่ถูกแฮ็กบ่อยเพราะระบบของทางบริษัทถูกเขียนไว้ตามแบบแพทเทิ้น แปลง่ายๆ คือหากเรียนรู้วิธีการแฮ็กข้อมูลมาจำเป็นต้องมาหาหบริษัทที่มีการวางระบบง่ายๆ เพื่อทดลองการแฮ็ก บริษัทนี้จึงตกเป็นเป้านั่นเอง


การแก้ไขนั้นทำได้ง่ายมากแค่วางระบบใหม่ให้มีความซับซ้อนขึ้นจนไม่สามารถเจาะเข้ามาได้เป็นอันจบ แต่การวางระบบใหม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำนานเบซิลจึงทำเพียงฐานหลักให้ ในส่วนย่อยๆ ให้ทางบริษัทไปจัดการต่อเอง


พวกเรามาถึงบริษัทนี้ในช่วงประมาณ 9 โมงกว่าเบซิลจะจัดการวางฐานให้เสร็จก็ใช้เวลาไปถึง 3 ชั่วโมงเต็ม สำหรับมุมมองผมคิดว่าค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ที่ได้เบซิลช่วยแต่ในมุมมองของนักคอมทีมบริษัทนั้นมีปฏิกิริยาแต่งต่างกันอย่างสุดขั้ว ตรงกันข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง ทุกคนต่างทำตาโตเท่าไข่ห่านระหว่างดูเบซิลจัดการคีย์วางระบบและดวงตานั่นยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปุ่มเอนเทอร์ตัวสุดท้ายถูกกดตาของพวกเขาก็แทบจะถลนออกมา


“คุณทำได้ยังไง?!”


“นี่มันสุดยอด!”


“มีการใช้วิธีลัดแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?!”


คำพูดของทุกคนแสดงความชื่นชมเบซิลอยู่ไม่ขาดแถมยังมีคนมาขอเป็นลูกศิษย์เบซิลด้วย อาจเพราะมีความรู้และทักษะทางด้านคอมอยู่แล้วเลยรับรู้ถึงความสามารถของเบซิลได้ชัดเจนขึ้นกว่าคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรแบบผม


“ดีจังนะได้ลูกศิษย์ด้วย” ผมเอ่ยระหว่างขับรถ


“ผมปฎิเสธไปแล้วนี่”


“น่าเสียดายออก” เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดแหละคือปฎิเสธไปแล้วแต่ยังไงผมก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ดี ในเมื่อมีความสามารถระดับนี้ผมก็อยากให้เขาถ่ายทอดมันให้กับคนที่ต้องการ


“ต่อให้สอนไปก็เท่านั้น ทุกอย่างที่ผมทำมันไม่สามารถสอนเป็นแบบแผนได้เหมือนอย่างอาจารย์หรือคนอื่น ในกรณีของผมใช้การทำเป็นลัดขั้นตอนหากไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการทำหรือคิดผิดสเต็ปไปรับรองว่าออกมาเละแน่” เบซิลอธิบายเพิ่ม


“ก็คงใช่” ดูจากที่ผ่านๆ มาก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายใช้การจัดการที่ต่างจากคนอื่นถึงใช้เวลาน้อยขนาดนั้น


“แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกัน”


“รู้ด้วยเหรอว่าผมไม่ได้กลับห้องหรือที่ทำงาน” ผมหันไปถาม


“รู้สิ เส้นทางนี้อาจไปถึงห้องกับที่ทำงานได้ก็จริงแต่ปกติคุณจะขับเลนส์กลางไม่ใช่ริมขวามือคล้ายจะเตรียมเลี้ยวแบบนี้”


“สุดยอด” แค่ความผิดปกติเล็กๆ ยังสามารถดูออกได้อีกนะ


สมแล้วจริงๆ


“เปลี่ยนจากคำชมเป็นจูบหวานๆ สักทีได้ไหม”


“ถ้าเป็นหมัดแรงๆ สักทีผมจะให้เดี๋ยวนี้แหละ” ผมอาศัยช่วงติดไฟแดงยกกำปั้นขึ้น


“...ผมล้อเล่นน่า สรุปเราจะไปไหนกัน”


“ไปร้านพ่อผม”


“ฮืม พาผมไปพบพ่อตาแบบนี้น่าจะให้เตรียมตัวหน่อยสิ”


ผมมอบความเงียบให้อีกฝ่ายพร้อมเลี้ยวขวาเข้าไปซอยจนถึงร้านอาหารโทนสีขาวที่มีสวนขนาดเล็กอยู่ด้านข้าง จากด้านนอกจะเห็นด้านในได้จากกระจกใสซึ่งภายในมีโต๊ะโทนสีน้ำตาลและอุปกรณ์ตกแต่งสีชมพูประดับอยู่เต็มไปหมด ผมจอดรถดไว้ชิดรั้วร้านก่อนจะเดินนำเบซิลที่ตามหลังมาเข้าไปด้านใน


กระวานไม่ได้ทำงานอยู่ที่นี่แล้วตั้งแต่เผลอไปทำแหวนมูลค่ากว่า 10 ล้านหายพ่อเลยมีการจ้างผู้ช่วยและพนักงานเสิร์ฟเพิ่ม และเนื่องจากผมไม่ได้ร้านนี้บ่อยขนาดนั้นพนักงานใหม่ๆ เลยไม่รู้ว่าผมเป็นลูกชายของเจ้าของร้าน ครั้งนี้ผมเลือกโต๊ะนั่งด้านในสุดเป็นมุมที่ค่อนข้างส่วนตัวมากทีเดียว เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่ช่วงพักแถมยังเป็นวันธรรมดาเลยไม่มีลูกค้ามานั่งแต่ถ้ามาช่วงเย็นอาจไม่มีโต๊ะนั่งก็เป็นได้


“ยินดีต้อนรับ...พี่ไธม์?” เจ้าของคำพูดต้อนรับปรากฏตัวออกมาพร้อมเมนูอาหาร ร่างสูงที่ดูจะมากกว่าผมอยู่เล็กน้อยแถมหน้าตาไม่ค่อยรับแขกนั่นผมเคยเจออีกฝ่ายมาก่อนที่บ้าน ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนของโป๊ยกั๊ก


ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจำผมได้ การพบกันของผมและเขาไม่ค่อนข้างแปลกพอสมควรเพราะผมในตอนนั้นอยู่ในสภาพเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าขนหนูพาดเอวเท่านั้น ช่วยไม่ได้นี่ก็ก่อนหน้านั้นผมดันอยู่ในร่างแมวพอกลับร่างมนุษย์เลยไม่มีเสื้อผ้าใส่


“คำนับสินะ” ผมไม่ค่อยแน่ใจในชื่อของอีกฝ่ายนักแต่ไม่น่าจะจำผิด


“อืม เอ้ย...ครับ ตอนนี้คนอื่นออกไปพัก อาฟ้าเองก็เห็นว่าจะออกไปไหนสักที่ผมเลยอยู่ดูร้านคนเดียว”


“ใส่ชุดแบบนั้น ทำอาหารได้สินะ” ผมมองชุดครัวที่อีกฝ่ายใส่ระหว่างถาม


“ได้ครับ พวกพี่จะเอาอะไรดี...ครับ”


“สลัดเต้าหู้ผักรวม เบซิลเอาอะไร” พอบอกของตัวเองเสร็จก็หันไปถามเบซิลบ้าง


“เอาเป็น Frikadelle กับ Linsensuppe อ้อ...เครื่องดื่มขอเป็น Der Rotwein นะ” ไม่เพียงแค่คำนับที่หรี่ตามมองราวกับกำลังฟังภาษาต่างดาวแต่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างผมเองก็ถึงกับถอนหายใจเบาๆ


“เลิกแกล้งน้องเขาเบซิล”


“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย ดูจากร้านนอกจากอาหารไทยน่าจะมีอาหารอย่างอื่นอีกผมเลยสั่งอาหารเยอรมันแค่นั้นเอง”


“มีแค่ในเมนู” ผมแบมือของเมนูจากคำนับแล้วยื่นให้เบซิลเปิดดู


“ข้าวกระเพราไก่ใส่เครื่องใน ไข่ดาวด้วย”


“สั่งแต่แรกก็จบแล้ว” ผมแอบบ่น


“ก็เผื่อมี เหมือนเราจะพึ่งเจอกันครั้งแรกสินะ...เรียกพี่เบซิลก็ได้ คำนับ” เบซิลแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มมุมปากทำทำให้คำนับขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม


“น้ำเอาเป็นอะไรดีครับ” คำนับถามต่อ


“Der Rotwein...”


“น้ำเปล่าละกัน” ไม่ต้องรอให้เบซิลพูดจบประโยคผมก็รีบหันไปตอบคำนับ


“...ครับ” เมื่อทวนรายการอาหารเสร็จอีกฝ่ายก็หันหลังกลับเดินเข้าห้องครัวด้านหลังไป


หลังจากนั้นไม่นานข้าวกระเพราไก่ใส่เครื่องในไข่ดาวของเบซิลก็ถูกยกมาเสิร์ฟเป็นอย่างแรก ไม่กี่นาทีต่อมาสลัดเต้าหู้ผักรวมของผมพร้อมน้ำสลัดที่มีให้เลือก 2 แบบทั้งแบบน้ำใส่และน้ำข้น


“เอาน้ำสลัดนั่นคืนไป” เบซิลหยิบถ้วยน้ำสลัดน้ำข้นกลับไปวางบนจานถาดของคำนับ


“น้ำสลัดแบบข้นของที่ร้านอร่อยมากนะ...ครับ ได้รสชาติของมายองเนสกับไข่กุ้งด้วย” คำนับพูดอธิบายเพิ่ม คงคิดว่าเบซิลเอาคืนเพราะดูไม่อร่อยน่ะสิ


“เพราะมีทั้งมายองเนสทั้งไข่กุ้งเลยให้เอาคืนไป ไว้เสิร์ฟโต๊ะอื่นที่กินได้เถอะ” เบซิลพูดต่อ


“โต๊ะอื่นที่กินได้?” คำพูดของเบซิลทำให้คำนับถึงกับทำหน้างง


“พี่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้น่ะ ทั้งไข่ไก่หรือไข่กุ้งก็กินไม่ได้ทั้งนั้น” ผมตัดสินใจอธิบายเหตุผลจริงๆ ออกไปแม้จะไม่ได้บอกเรื่องพลังของตัวเองก็ตาม


“...ผมไม่รู้ ขอโทษครับ”


“ไม่เป็นไร โป๊ยกั๊กตอนอยู่ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”


“...ก็ดีพอสมควร แต่บ้างครั้งก็มาวุ่นวายเกินไปจนน่ารำคาญ” ประโยคท้ายๆ อีกฝ่ายเข้าข่ายระบายเรื่องโป๊ยกั๊กให้ผมฟัง


“แปลว่าสนิทกันดีนี่”


“ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นสักหน่อย”


“ถ้าไม่เป็นเพื่อนสนิทหรือคนที่ให้ความสำคัญจริงๆ ขานั้นไม่เข้าไปยุ่งด้วยหรอก” ด้วยนิสัยของโป๊ยกั๊กถ้าไม่เห็นว่าคนคนนั้นมีความสำคัญต่อตัวเองส่วนมากก็จะปล่อยไป ประมาณว่าไม่สนใจแต่เมื่อเป็นคนสนิทหรือคนสำคัญจะเข้าไปยุ่งแทบทุกอย่างเลยล่ะ


“...จะแกล้งผมน่ะสิ” อีกฝ่ายดูไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดไปนัก


“ลองอยู่ด้วยกันอีกสักพักคำนับจะเข้าใจนิสัยของโป๊ยกั๊กเอง”


“...ครับ” แม้จะดูไม่มั่นใจแต่คำนับก็ยอมพยักหน้าตอบรับ


“น่าสนใจดีแฮะ” เบซิลพึมพำพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นโดยที่สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคำนับที่เดินไปรับออร์เดอร์อีกโต๊ะอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก


“สนใจคำนับ?”


“อะไร...นี่คุณหึงผมเหรอใบไธม์” รอยยิ้มแพรวพราวนั่นทำเอาอยากยกถ้วยน้ำสลัดสาดใส่ใบหน้าอันหล่อเหล่าให้เปียกโชกไปยันกางเกงจริงๆ


“ไม่ได้หึง”


“แต่ท่าทางของคุณบอกว่าหึงนะ”


“เบซิล!” ผมเริ่มเสียงดังใส่อีกฝ่าย


“โอ๊ะ จะประกาศให้คนอื่นรู้เหรอว่าหึงผม แบบนี้ผมก็อายแย่สิ” ไม่พูดเปล่าเบซิลแกล้งยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้าด้วย


“ถ้ายังไม่หยุด...”


“จะทำไมเหรอ?” เบซิลดูสนุกที่จะได้ฟังคำขู่ของผม รอยยิ้มนั่นน่าหงุดหงิดชะมัด


“นอนนอกห้อง” คำขู่เดียวที่นึกออกก็ดูเด็กซะเหลือเกิน


“ถ้าจะทำแบบนั้นชกผมให้สลบแทนเถอะ”


“ได้” ผมพยักหน้าตกลง


จะให้ชกจนสลบใช่ไหม...จัดให้ตามคำขอ!


“ช่วงลังเลสักนิดได้รึเปล่า นี่เราเป็นแฟนกันนะใบไธม์”


“ก็ใครล่ะที่กวนก่อน”


“ผมแค่พูดว่าคุณหึง...ก็ได้ ไม่พูดแล้ว” เมื่อถูกสายตาผมจ้องเขม็งไปเบซิลจึงยอมหยุด


“แล้วที่บอกว่าคำนับน่าสนใจหมายถึงอะไร” ผมวกบทสนทนากลับเข้ามายังประเด็นสำคัญหลังจากออกนอกทะเลไปไกล


“คุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”


“รู้สึกอะไร” ผมต้องรู้สึกอะไรด้วย?


“ก็เวลาคุยกันเรื่องของโป๊ยกั๊กน่ะ”


“ยังไง” นี่ผมยังไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างนะ


“ไม่แน่ว่าคำนับอาจอยู่ฝ่ายเดียวกับคุณก็ได้”


“ฮะ?”


“แล้วดูเหมือนโป๊ยกั๊กจะอยู่ฝ่ายเดี๋ยวกับผมละนะ” เบซิลพูดสลับกับตักข้าวกระเพราเข้าปาก


“หมายถึงอะไร ไปสนิทกับโป๊ยกั๊กตอนไหนถึงอยู่ฝ่ายเดียวกันน่ะ” เจอกันครั้งก็แทบจะนองเลือดแล้ว แบบนั้นเรียกอยู่ฝ่ายเดียวกันตรงไหน


“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย”


“งั้นหมายถึงแบบไหน”


“ไว้รอให้โป๊ยกั๊กพูดเองดีกว่ามั้ง” รอยยิ้มของเบซิลเหมือนกำลังรู้สึกสนุกกับเรื่องในอนาคตอันใกล้


“แล้วทำไมคุณถึงพูดไม่ได้ล่ะ” ต้องให้ผมไปถามโป๊ยกั๊ก?


ต่อให้ไปถามจริงจะให้ผมถามว่ายังไง...


‘เบซิลให้มาถามว่าการที่โป๊ยกั๊กอยู่ฝ่ายเดียวกับเบซิลคืออะไร’ งั้นเหรอ


คงได้คำตอบกลับมาหรอก


“มันเป็นเรื่องส่วนตัว”


“แล้วคุณก็ดันรู้เรื่องส่วนตัวนั้น?” ผมย้อนถาม


“ประมาณนั้น”


“ไม่ต้องมาทำวางท่าเลยนะ”


“เรื่องของคนอื่นผมไม่ค่อยสนใจหรอก”


“เหรอ” ผมพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรเลยเลือกที่จะไม่ถามกลับ


“ไม่ถามเหรอว่าอะไรที่ผมสนใจ”


“ไม่ล่ะ” คำตอบน่ะผมพอจะเดาได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นไปตามบทที่อีกฝ่ายต้องการนี่


“ผมสนแค่คุณ...ใบไธม์” ต่อให้ผมไม่ถามแต่เบซิลก็พูดพร้อมใช้ดวงตาสีเขียวมรกตสอดประสานมา เสียงหัวใจที่พยายามควบคุมกลับเต้นเร็วขึ้น แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่ทั้งน้ำเสียง ท่าทางหรือแม้แต่สายตาที่เบนมาสบ ทุกอย่างนั่นทำให้ผมรู้สึกใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ไม่เข้าใจว่าจะเขินเพื่อ?


“...รีบกินจะได้รีบกลับ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย


“อยากรีบกลับห้องจู๋จี๋กันสองคนใช่มะ” เบซิลเล่นเสียงในคำสุดท้าย


“กลับไปที่ทำงาน มีคดีกองอยู่อีกเป็นสิบและผมจะให้คุณไปจัดการด้วย”


“ไม่มีปัญหา ถ้าได้ทำคดีกับคุณจะยังไงก็ได้” อีกฝ่ายยักไหล่คล้ายไม่แคร์เรื่องการทำคดีนับสิบเท่าไหร่


“ผมจะให้คุณไปทำกับเบียร์”


“ใบไธม์” เบซิลถึงกับเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมเขม็ง


“เป็นคดีที่ต้องออกไปค้างคืนข้างนอกสักสองสามอาทิตย์”


“ได้ แต่ถ้าผมกลับมาคุณเตรียมยื่นใบลาพักร้อนได้เลย”


“ทำไม?” ผมขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องยื่นใบลาพักร้อนด้วย


“เพราะจะฟัดคุณจนลุกไม่ขึ้นไปทั้งอาทิตย์เลย” น้ำเสียงจริงจังของเบซิลทำเอาผมขนลุกขึ้นมาแต่ใครจะยอมง่ายๆ ล่ะ


ไม่มีทาง!


“ทำอย่างกับผมจะยอมงั้นแหละ”


“คุณก็รู้ว่าผมทำให้คุณยอมได้”


“มั่นใจจังนะ”


“ลองไหมล่ะ” คำพูดท้าทายนั่นมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่พานให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย


“...ไม่ล่ะ” ดูอันตรายเกินไปสำหรับตัวผม


“ลองหน่อยน่า”


“ไม่”


“น่านะ”


“เบซิล!” แค่มองก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกสนุกแค่ไหนที่ได้เห็นท่าทางกระวนกระวายของผม


เดี๋ยวคงได้มีสักวันที่ผมจะเผลอลงมือกับอีกฝ่ายเพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แน่!

................................................

สวัสดีค่ะ

มาต่อแล้วกับตอนต่อไป

ตอนนี้จะเป็นการรวมตัวของพี่น้องที่ไม่ค่อยจะได้พูดถึงนักแถมยังมีกระวานที่เพิ่งได้เจอกับเบซิลครั้งแรก

แต่งไปก็ขำไป ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเบซิลดูจะเข้ากับน้องๆ ได้ดีกว่าที่คิด 555

ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอนะคะ

ไว้เจอกันใหม่กับตอนหน้าซึ่งเป็นตอนจบ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสันกระวานคงตะลึงกับความคิดในหัวเบนซิลมากจริง ๆ 5555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 เหลือพ่อกับแม่ที่ยังไม่ได้แนะนำตัว  :hao3:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำเป็นไร้เดียงสานะ ใบไธม์

ฝ่ายเดียวกันเนี่ย  เบซิลเขาหมายถึงฝ่ายรุก ฝ่ายรับ อ่ะจิ  อิอิ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
5555 ใบไธม์น่ารัก ตอนยังไม่เจอเบซิล
ก็เข้าใจว่าจะเป็นพระเอกค่ะ ลุยมาก มาดแมนเหลือเกิน
แล้วรู้ว่าเบซิลแหย่ แต่ก็ของขึ้นตลอดเลย สมควรโดนแกล้ง
ใบไธม์มาเหนือมากค่ะ ทำเบซิลยอมได้ ตามติดยิ่งกว่าลูกเป็ด
แต่ที่แน่มากกว่า คือ หัวหน้าค่ะ มองได้แม่นมาก ส่งไปถูกคน

เบซิลบอกคำนับเป็นพวกเดียวกับใบไธม์ 55555
ใบไธม์ไม่ทันจริง อะไรจริง แต่เรื่องงานไม่ต้องให้บอกเลย

เบซิลคือตัวร้าย หลอกล่อให้ใบไธม์เผยตัวตลอด
แต่มันดี เพราะหลุดออกจากกรอบตัวเองทั้งคู่

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีสุดท้าย




ยามค่ำคืนเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุดของวัน ยิ่งเวลาล่วงเลยเกินกว่าตี 2 ยิ่งแทบไม่มีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใดๆ ยกเว้นสัตว์ซึ่งหากินกลางคืนอย่างค้างคาวตัวสีดำสนิทที่กลังกางปีกร่อนจากด้านบนของต้นไม้เข้าสู่คฤหาสน์อันเต็มไปด้วยการป้องกัน ไม่เพียงแค่มีคนแต่ยังมีการวางเซ็นเซอร์ตรวจจับเมื่อเผลอไปโดนเข้าเซ็นเซอร์นั่จะส่งสัญญาณเตือนเรียกกลุ่มคนที่ทำหน้าที่อยู่ไม่ไกลมารวมตัวกัน


ดังนั้นการจะหลบผ่านทั้งกำลังคน เซ็นเซอร์และกล้องวงจรปิดจนเข้ามาถึงยังห้องซึ่งเป็นเป้าหมายได้นั้นหากอยู่ในร่างค้างคาวเหมือนในตอนนี้สามารถทำได้ง่ายกว่าร่างมนุษย์ที่ทั้งใหญ่และเตะตาได้ง่าย


เป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้คือการเปิดโปงหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำการลักลอบค้ามนุษย์จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังประเทศรวมไปถึงการนำคนในประเทศส่งออกไปต่างประเทศด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในการเข้าถึงข้อมูลเพราะทางคนทำผิดไม่ยอมปล่อยให้ใครล่วงรู้ความลับนี้ได้ง่ายๆ ข้อมูลแทบทุกอย่างเห็นว่ามีการจ้างผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะมาจัดทำระบบทำให้ไม่สามารถแฮ็กจากภายนอกได้


ใช่ คนอื่นอาจทำไม่ได้แต่ถ้าเป็นเบซิลที่มีฉายาว่าเมเกอร์ต่อให้เป็นระบบป้องกันที่แน่นหนาหรือรัดกุมยังไงก็สามารถทะลวงเข้าไปได้แน่เพียงแค่ทางฝั่งของเจ้าหน้าที่รัฐคนนี้ไม่ได้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ตหรือไวไฟมาหลายอาทิตย์แล้วราวกับรู้ว่ากำลังถูกจ้องอยู่ เพราะงั้นผมและเบซิลจึงได้วางแผนการนี้ขึ้นมา หากกคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นยังไม่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตหรือไวไฟก็ทำให้เชื่อมกันซะสิ แค่นี้เบซิลก็สามารถจัดการแฮ็กระบบและดึงข้อมูลที่จำเป็นออกมาได้แล้ว


ในตอนนี้ผมในร่างของค้างคาวสีดำจึงบินหลบเซ็นเซอร์ที่กางไว้รอบๆ ห้องเข้าไปจนถึงหน้าประตูบานสีดำสนิทที่มีการให้ใส่รหัสจึงจะสามารถเปิดประตูเข้าไปได้ โครงสร้างของคฤหาสน์หลังนี้พวกเราทำการตรวจสอบมาอย่างดีทำให้ง่ายต่อการบุกเข้ามา ด้วยสายตาของค้างคาวเซ็นเซอร์ระบบแบบนี้สามารถมองเห็นได้โดยไม่ต้องใส่กล้อง


ปัญหาหลักอยู่ที่รหัสเปิดประตูนี่แหละ ในแต่ละวันรหัสจะถูกเปลี่ยนโดยอัตโนมัติซึ่งเป็นการสุ่มตัวเลข 4 หลักวนไปมาจึงอยากในการหารหัส แต่หากผมไม่มีวิธีจัดการคงไม่บุกเข้ามาถึงนี่หรอก


(...รหัสคือ 8903) เสียงจากลำโพงขนาดจิ๋วซึ่งคล้องคอผมในร่างค้างคาวอยู่ดังขึ้นเพื่อบอกรหัส คนปลายสัญญาณไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเบซิลที่รออยู่บนรถถัดออกจากคฤหาสน์ไปไกลพอสมควร


เบซิลทำการหารหัสโดยการแฮ็กเข้าไปในโทรศัพท์ผ่านทางแอพพิเศษสำหรับบอกรหัสโดยเฉพาะ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ง่ายเลยถ้าจะแฮ็กผ่านระบบเหล่านั้นเข้าไปแต่เบซิลกลับบอกว่าทำได้ให้ผมรอฟังรหัสอยู่เฉยๆ รหัสใหม่จะถูกเปลี่ยนใหม่ในทุกๆ ตี2 เห็นว่าช่วงเวลาที่รหัสเปลี่ยนและส่งเข้าไปให้ทางนั้นดูจะเปิดช่องให้ทำการแฮ็กง่ายขึ้น


แม้ในร่างค้างคาวจะไม่มีนิ้วให้กดรหัสแต่ใช่ว่าจะจัดการไม่ได้ ผมใช้ส่วนเท้าแทนนิ้วในการกดตัวเลข 4 หลักลงไปแล้วยืนยัน เสียงของระบบทำการอ่านค่าสักพักก็ทำการปลดล๊อดพร้อมประตูที่เลื่อนออกทำให้ผมสามารถบินเข้าไปด้านในได้ ในกรณีที่เป็นประตูแบบผลักคงเป็นงานหินสำหรับร่างค้างคาวนี่แน่นอน


ภายในห้องถูกตกแต่งแบบเรียบง่ายในทนสีดำทั้งโซฟาหรือแม้แต่โต๊ะหรือตู้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสีดำทั้งสิ้น ผมมองหาสิ่งที่ต้องการก่อนจะพาร่างแสนเบาหวิวบินลงมาเกาะยังโต๊ะคอมพิวเตอร์ ผมใช้ส่วนหัวในการเปิดทั้งปุ่มบนซีพียูและหน้าจอ เมื่อเข้าสู่หน้าจอปกติผมก็ส่งเสียงครางเบาๆ เพื่อให้เบซิลได้ยิน


(เปิดเสร็จแล้วสินะ...อย่างแรกเข้าไปเชื่อมต่อไวไฟที่ชื่อว่า home’sse44 โดยใส่พาสเวิด Nopp4451 ตัวเอ็นตัวแรกใช้เป็นตัวใหญ่) เบซิลอธิบายการเชื่อมไวไฟและพาสเวิดอย่างไม่รีบร้อนเพราะรู้ว่าผมที่อยู่ในร่างนี้ค่อนข้างลำบากในการใช้เม้าส์คลิกเข้าไปยังตำแหน่งต่างๆ


กว่าจะใช้คีย์บอร์ดพิมพ์พาสเวิดเสร็จก็ใช้เวลาไปค่อนข้างนาน พวกเรามีเวลาอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงในการลอบเข้ามาดึงข้อมูลและจากไปโดยไม่ให้ใครรู้แต่กว่าจะเข้ามาด้านในและเตรียมคอมพิวเตอร์ตรงหน้าให้พร้อมใช้งานเวลาก็ผ่านไปครึ่งนึงได้แล้ว


(ไม่ต้องห่วง ต่อให้เป็นระบบที่ป้องกันแน่นหนาขนาดไหนก็กันผมไม่ได้หรอก) เสียงของเบซิลดังขึ้นราวกับล่วงรู้ถึงความคิดในหัวของผม


เมื่อทำการเชื่อมต่อไวไฟเสร็จขั้นต่อไปก็ต้องยกให้เป็นฝีมือของเบซิลจัดการต่อทั้งหมด ผมไม่รู้ว่าเบซิลใช้วิธีการแฮ็กเข้ามายังไง รู้แค่ว่าอยู่ๆ สัญลักษณ์ลูกศรบนหน้าจอก็ขยับเองพร้อมหน้าต่างนับสิบที่รับเปิดขึ้นเป็นแท็บๆ คล้ายหน้าจอในหนังที่เคยดูเมื่อก่อน


ตลอดการเจาะข้อมูลผมเบซิลไม่ได้พูดอะไรมีเพียงเสียงการใช้แป้นพิมพ์บนโน๊ตบุ๊คที่แล่นเข้ามาเป็นระยะๆ ผมเองพยายามดูและเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะให้กับตัวเองแต่ไม่ว่าจะดูมากี่สิบครั้งทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมของผมไม่สามารถเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถเชี่ยวชาญได้แต่เป็นทักษะเฉพาะซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ของแต่ละคน


เบซิลมีหัวทางด้านนี้มากคล้ายกับในหัวเขามีโครงสร้างของระบบอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้การตรวจสอบนาน แค่มองผ่านๆ ก็สามารถจัดการทุกอย่างให้ได้ดังใจ


ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในที่สุดข้อมูลทุกอย่างที่จำเป็นก็ถูกโหลดจนเสร็จสิ้น ที่ใช้เวลานานไม่ใช่การแฮ็กเข้าระบบหรือเจาะฝ่าด่านการป้องกันหลายต่อหลายชั้นแต่เป็นเวลาในการคัดลอกหรือย้ายข้อมูลไปยังเครื่องโน๊ตบุ๊คของเบซิลต่างหาก ดูเหมือนว่าข้อมูลจะมีมากทำให้ใช้เวลานานกว่าที่คาดการไว้


ด้วยประสาทสัมผัสของผมในร่างค้างคาวทำให้ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นในระยะไม่ไกลมาจากห้อง มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเจ้าของคฤหาสน์นี้ เวลา 2 ชั่วโมงผมใช้จนถึงวินาทีสุดท้ายที่ประตูห้องถูกเปิดด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ดึงข้อมูลไปแล้วเสร็จแต่ผมต้องรอให้เครื่องดับแล้วปิดหน้าจอให้อยู่ในสภาพเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


ผมอาศัยความมืดกลืนร่างตัวเองและบินออกจากห้องไปก่อนไฟในห้องจะเปิดตามไล่หลังมา เมื่อผ่านเซ็นเซอร์ตัวจับไปได้ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น เหลือแค่หาช่องลอดออกไปเท่านั้น ตอนแรกที่เข้ามาผมใช้จังหวะที่บอดี้การ์ดคนนึงเปิดประตูบินเข้ามา ตอนขาออกค่อนข้างใช้เวลานานกว่ามากทำให้พอบินกลับเข้ามาถึงรถที่มีเบซิลรออยู่ร่างของค้างคาวก็แปรเปลี่ยนกลับสู่ร่างมนุษย์ตามเดิม


ถ้าช้ากว่านี้แค่วินาทีเดียวคงได้แก้ผ้านอกรถไปแล้ว


“แฮ่ก...” ผมหายใจแรงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากการพยายามฝืนร่างให้อยู่นานกว่าปกติส่งผลต่อเรี่ยวแรงอยู่พอสมควร


“ไหวไหมใบไธม์ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคุณออกมาช้ากว่าที่ผมคำนวณตั้งนาน” เบซิลหันมาถามพร้อมกางเสื้อคลุมร่างเปลือยเปล่าของผมให้


“ใช้เวลาหาทางออกนานไปหน่อยน่ะ” ผมตอบกลับไปตามตรง


“ถ้ามาช้ากว่านี้อีกหน่อยผมจะตามเข้าไปหาคุณในคฤหาสน์แล้ว”


“เข้าไปให้ถูกจับน่ะเหรอ” ด้วยการรักษาความปลอดภัยระดับนั้นเบซิลไม่มีทางเข้าถึงด้านในตัวคฤหาสน์ที่ผมอยู่ได้แน่ ถ้าเป็นเรื่องการใช้คอมหรือโน๊ตบุ๊คเขาอาจจะชำนาญและไว้ใจได้แต่ถ้าเป็นเรื่องทักษะการย่องเบาเข้าคฤหาสน์ผมก็ขอส่ายหน้ารัวๆ


“ดูถูก”


“ก็ถูกจริงไหมล่ะ” แค่พูดความจริงไม่ได้โกหกสักนิด


“ต่อให้ไม่ใช่ผมก็เข้าไปด้านในไม่ได้เหมือนกันเถอะ”


“จริงอย่างที่พูด” ต่อให้เป็นคนอื่นการจะแอบเข้าไปฝ่าด่านบอดี้การ์ดและระบบเซ็นเซอร์ไปจนถึงห้องคนธรรมดาไม่มีทางทำได้ แต่เพราะผมไม่ธรรมดาเลยสามารถฝ่าทุกการป้องกันเข้าไปได้ พลังพิเศษที่มีหากนำมาใช้อย่างเหมาะสมก็จะเป็นเหมือนอาวุธแต่หากนำไปใช้โดยไม่รู้อะไรมันอาจกลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายตัวเองได้ทุกเมื่อเช่นกัน


“จะเอายังไงต่อ กลับห้องหรือไปที่ทำงาน” เบซิลหันมาถามหลังผมสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย


“ไปที่ทำงาน” ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเช้าจะให้กลับไปห้องแล้วออกมาใหม่ก็ดูจะเสียเวลาเกินไป


“คุณนี่นะ พักๆ บ้างก็ได้มั้ง งานมันไม่หนีไปไหนหรอก”


“งานไม่หนีหรอกผมแค่อยากจัดการคดีที่รับมาให้เสร็จโดยเร็วที่สุดแค่นั้นเอง” ทุกคดีย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดยิ่งเราปล่อยให้คดียืดนานไปมากเท่าไหร่การหาหลักฐานหรือตามจับคนร้ายก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น


“ถ้ามีคนแบบคุณอยู่สัก 100 คนคงทำงานง่ายขึ้นเยอะ”


“ผมก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน”


“หมายถึงพลังในการแยกร่างตัวเอง?” เบซิลหันมามองผมระหว่างติดไฟแดง


“ใช่” ผมพยักหน้า


“ฟังดูน่าสนุกดีนี่ ถ้าผมมีพลังแบบนั้นนะคงจะให้คนนึงกอดคุณจากด้านหลัง สองคนแยกกันจับแขนทั้งซ้ายขวาโดยให้ผมอยู่ตรงกลางได้มองคุณกำลังถูกตัวเองสัมผัส...”


“ลามก!” ผมตบไหล่อีกฝ่ายแรงๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ


นี่เบซิลกล้าพูดประโยคลามกพวกนั้นออกมาได้ยังไงกัน


“ไม่ปฏิเสธ” เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับคำบ่นผมเลยสักนิด


ผมได้แต่นั่งนิ่งหยุดการสนทนานี่ลงก่อนจะติดเรทมากไปกว่านี้ เมื่อมาถึงที่ทำงานผมและเบซิลต่างเข้าไปนอนพักงีบยังห้องนอนด้านในซึ่งเมื่อก่อนเป็นห้องที่เบซิลเคยอยู่ ตอนนี้เปิดเป็นห้องพักให้ทุกคนสามารถมานอนหรืองีบได้ ตลอดทั้งคืนพวกเราไม่ได้นอนกันเลยส่งผลให้เมื่อหัวถึงหมอนสติอันเลือนรางก็หายไปอย่างรวดเร็ว


ใช้เวลานอนพักประมาณ 4 ชั่วโมงผมตื่นขึ้นมาก่อนเบซิล ทั้งที่คิดว่าจะออกไปนั่งโต๊ะเขียนรายงานก่อนแต่กลับถูกแขนของเบซิลกอดเอวไว้แน่นแถมยังขยับหัวมาซุกราวกับเด็กที่ขาดความอบอุ่นอีก ผมรู้ว่าเจ้าตัวหลบจริงเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มีหลายวันในช่วงเช้าพอผมตื่นและทำท่าจะลุกอีกฝ่ายจะเอื้อมแขนมากอดเอวผมรั้งไม่ให้ไปไหน ตอนแรกผมนึกว่าถูกแกล้งแต่พอดูดีๆ ก็รู้ว่าเป็นนิสัยของเบซิล


นิสัยเด็กๆ ที่ไม่เหมาะกับหน้าตาอันหล่อเหลานั่นเลยสักนิด


ตกบ่ายผมนั่งเขียนรายงานของคดีเมื่อคืนเรื่อยๆ ท่ามกลางความสงสัยที่เพิ่มขึ้นทีละนิด ผ่านไปสักพักความสงสัยก็ชนะผมปล่อยรายงานที่ยังเขียนไม่จบเดินไปหาเบซิลที่นั่งทำบางอย่างบนโน๊ตบุ๊คมาสักพักใหญ่แล้ว ปกติเขาจะมานั่งๆ นอนๆ เล่นอยู่ข้างๆ ผมทว่าครั้งนี้กลับไม่มาอยู่ด้วยเหมือนปกติแถมยังทำหน้าจริงจังด้วย


“ทำอะไรอยู่น่ะเบซิล” ผมเอ่ยถามเพื่อคลายความสงสัย


“จัดการอะไรนิดหน่อย”


“นิดหน่อยที่ว่าคือ? นี่มันบัญชีธนาคาร ทำอะไรน่ะเบซิล” ผมรีบถามซ้ำเมื่อเห็นหน้าจอของอีกฝ่ายปรากฏตัวเลขของจำนวนเงินที่มากกว่า 6 หลักอยู่หลายสิบบรรทัด


“ช่วยน้องคุณนิดหน่อย”


“น้องผม? อธิบายมามาเดี๋ยวนี้เบซิล” เมื่อมีคำว่าน้องผมเข้ามาเกี่ยวจะให้ปล่อยผ่านคงทำไม่ได้


“วันก่อนโป๊ยกั๊กโทรมาหาคุณตอนอาบน้ำผมเลยรับแทนให้ ดูเหมือนคำนับจะถูกคนตามกวนอยู่น้องชายคุณเลยวานให้ผมจัดการหน่อย”


“คุณยอมทำตามโป๊ยกั๊ก?” ผมค่อนข้างแปลกใจที่อีกฝ่ายจะยอมทำตามคำขอใครง่ายๆ แบบนี้


“เปล่า ผมแค่บอกว่าถ้ามีอารมณ์จะจัดการให้ แล้วพอดีผมดันมีอารมณ์ขึ้นมาแค่นั้นเอง” เบซิลยักไหล่เล็กน้อยระหว่างตอบ


“คนที่ตามกวนอยู่เป็นใคร เกี่ยวข้องกับตัวเลขมากมายในบัญชีนี่ใช่ไหม” ผมค่อยๆ ประติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน


“ใช่ เป็นครอบครัวน่ะ คนที่ตามกวนอยู่คือนาย ปฏิวัติ กิตติยุทธ ลูกชายคนเล็กของบ้านที่ทำธุรกิจส่งออกอาหารกระป๋อง”


“น่าจะเป็นยี่ห้อดังถึงได้มีเงินไหลเวียนมากขนาดนี้” ผมตั้งข้อสังเกต


“หึ...คิดผิดแล้วใบไธม์ธุรกิจอาหารหระป๋องนั่นเป็นแค่ฉากหน้าต่างห่างล่ะ”


“จะบอกว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายสินะ”


“เข้าใจถูกแล้ว ผมลองหาข้อมูลเล่นๆ แล้วไปเจอเรื่องน่าสนใจเข้า ครอบครัวกิตติยุทธนอกจากจะมีธุรกิจอาหารกระป๋องเป็นของตัวเองแล้วยังมีการค้ายาเสพติดด้วย” เบซิลอธิบายต่อด้วยใบหน้านิ่งๆ


“คุณจะแจ้งความ?”


“ใบไธม์ก็รู้ว่าผมไม่ได้ชอบทางการขนาดนั้น” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเบซิลทำให้ผมรู้สึกสงสารครอบครัวกิตติยุทธขึ้นมาจับใจ เบซิลต้องกำลังคิดอะไรบางอย่างที่คนปกติธรรมดิดไม่ออกแน่


“คิดจะทำอะไร” ผมถามกลับตามตรง ต่อให้พยายามคิดยังไงก็ไม่มีทางรู้ความคิดแปลกๆ ของเบซิลได้หรอก


“ง่ายๆ ”


“ง่ายแค่คุณคนเดียวน่ะสิ” ทุกครั้งที่บอกว่าง่ายไม่เคยมีครั้งไหนง่ายจริง หมายถึงกับคนอื่นคงทำให้เป็นเรื่องง่ายไม่ได้แต่เบซิลสามารถทำเรื่องพวกนั้นให้กลายเป็นเรื่องง่าย


“คุณคิดงั้นเหรอ ผมแค่จะแฮ็กบัญชีพวกนี้เพื่อเอาเงินออกมาไปแบ่งให้คนที่มีฐานนะไม่ค่อยดีอย่างเท่าเทียม จากนั้นก็จัดการเข้าไปเยี่ยมชมระบบการผลิตพร้อมทำการแก้ไขนิดหน่อย ดูเหมือนว่าทางนั้นจะไม่ค่อยรอบคอบเลยเปิดโล่งให้ผมดึงข้อมูลของผู้ค้ารายย่อยออกมาได้ง่ายๆ ผมเลยคัดลอกข้อมูลพวกนั้นส่งต่อให้ทางตำรวจและทหารโดยลบข้อมูลพวกนั้นออกจากเครื่อง อ้อ ถ้ามีเวลาผมจะเข้าไปในระบบของโรงเรียนแล้วส่งจดหมายเตือนภายใต้ชื่อของผู้อำนวยการเป็นของแถมสักนิด ทุกอย่างที่ผมทำเป็นแค่การก่อกวนเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง สายตาหรือแม้แต่รอยยิ้มทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ


สิ่งที่พูดออกไปนั่นเรียกว่าการก่อกวนเล็กน้อยได้ที่ไหนกัน!


กะจะทำลายครอบครัวกิตติยุทธให้ย่อยยับชัดๆ เมื่อไม่มีเงินที่สะสมมานอกจากจะส่งผลต่อธุรกิจแล้วยังมีในเรื่องของความหน้าเชื่อถือและอื่นๆ อีกมากมายซึ่งทางครอบครัวนั้นคงไม่กล้าพอที่จะแจ้งให้ตำรวจจัดการเพราะกลัวว่าข้อมูลเรื่องยาเสพติดจะรั่วไหล ทั้งที่แค่นั้นก็น่าจะพอแล้วยังเข้าไปแก้ไขระบบการผลิตส่งผลต่อออร์เดอร์ยาวไปจนถึงพ่อค้ารายย่อยที่รอสินค้าอยู่ กว่าจะแก้ไขสถานการณ์นั้นได้คงไม่ใช่แค่อาทิตย์สองอาทิตย์แต่เบซิลยังไม่ยอมหยุดส่งข้อมูลผู้ค้ายาเสพติดทั้งหมดให้ทางการ นั่นหมายถึงตัดช่องทางการค้ายาเสพติดทั้งหมด หากไม่มีคนซื้อยาเสพติดกำไรหรือเงินที่ได้ประจำก็จะหายเกลี้ยง นี่ยังไม่รวมกับแฮ็กเข้าระบบของโรงเรียนแอบอ้างเป็นผู้อำนวยการและเขียนจดหมายข่มขู่อีกนะ


ถ้าให้ตั้งข้อหาเบซิลอาจมากกว่าที่ครอบครัวกิตติยุทธจะโดนด้วยซ้ำมั้งเนี่ย


“นี่เบซิล...ผมจับคุณได้รู้ไหม” ตอนนี้ผมแทบจะยกมือก่ายหน้าผากตัวเองอยู่รอมร่อแล้ว


“รู้สิ ไม่ใช่แค่จับแต่คุณยังกอด ยังจูบผมได้ด้วย”


“ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย” ทำไมตีความหมายไปได้แบบนั้นกัน


“เหรอ” รอยยิ้มนั่นแค่ดูก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจงใจแหย่ผมเล่น


“ถ้าถูกจับรู้ไหมจะโดนกี่ข้อหา”


“ไม่รู้สิ แค่ไม่โดนจับก็พอนี่ ถ้าจะมองภาพรวมผมช่วยทางการอยู่นะ รายชื่อคนค้ายาเสพติดพวกนี้มีทั้งเบอร์ติดต่อไปจนถึงจังหวัดที่พวกเขาอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาข้อมูลสำคัญขนาดนี้มาได้อีกทั้งยังปิดช่องทางการซื้อขายยาได้จำนวนมาก ดูประโยนชน์ที่ได้สิว่าส่งผลต่อประเทศเราขนาดไหน” ต้องบอกว่าสมกับเป็นเมเกอร์ การกล่อมให้คนคล้อยตามนี่ไม่เป็นลองใคร


ขนาดทำผิดเต็มๆ ยังพูดให้ผมรู้สึกว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกได้อีก


“เฮ้อ...เอาเถอะ” ยังไงก็มีผลดีมากกว่าผลเสียล่ะนะ ก็ผลเสียดูเหมือนจะตกไปอยู่กับครอบครับกิตติยุทธฝ่ายเดียวซะแล้วล่ะ


สงสารอยู่แต่ก็ช่วยไม่ได้ ไม่บ่อยนักที่โป๊ยกั๊กจะมาขอให้ช่วยโดยเฉพาะกับเบซิลที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะไม่ถูกกัน นั่นแปลว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญมากถึงขนาดยอมเอ่ยปากให้เบซิลช่วย


“น้องสะใภ้มาขอให้ช่วยทั้งทีจะปฎิเสธได้ไงล่ะจริงไหม” เบซิลพูดระหว่างจัดการดึงเงินในบัญชีธนาคารออกมา


“น้องสะใภ้?”


“เอ้า โป๊ยกั๊กเป็นน้องคุณนี่จะไม่ให้เรียกว่าน้องสะใภ้แล้วจะให้เรียกว่าอะไร” ดวงตาสีมรกตเงยขึ้นมาสบพร้อมรอยยิ้มกวนๆ


“ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งนั้นแหละ” ขืนไปเรียกน้องสะใภ้ต่อหน้าโป๊ยกั๊กเบซิลได้โดยเตะสูงภายในสามวิแน่


“ครับๆ รออีกแป๊บนะเดี๋ยวจัดการเสร็จจะไปนั่งด้วย”


“ใครรอคุณกัน” เสียงผมดังจนหลายคนที่นั่งทำงานอยู่หันมามองเป็นตาเดียว


“เหงาที่ผมไม่ไปนั่งข้างๆ ใช่ไหมล่ะ”


“ผมไม่ได้เหงาสักหน่อย”


“ไม่เกิน 10 นาทีเดี๋ยวไปหานะที่รัก”


“เบซิล!” ผมตะโกนลั่นด้วยใบหน้าแดงก่ำโดยไม่สนว่าใครจะได้ยินหรือหันมาเห็นใบหน้าแดงๆ ของตัวเอง


ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบทำให้ผมเขินนักนะ


เบซิลรู้อยู่แล้วว่าทำไมผมถึงเดินมาหาต่อให้ผมปฏิเสธเสียงแข็งยังไงความจริงก็ไม่เปลี่ยนแต่ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ไหม แค่นั่งนิ่งๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ได้รึไงถึงต้องมาแหย่ให้ผมหน้าแดงต่อหน้าคนอื่นอยู่ตลอดน่ะ


ผมมันไม่เก่งเรื่องแบบนี้ จะให้บอกว่ารออยู่หรือเหงาก็ไม่ใช่นิสัย


ผมอยากเปลี่ยนและพูดสิ่งที่ตรงกับที่ตัวตัวเองคิดออกไปบ้าง


ตอนนี้ผมและเบซิลเป็นคนรักกัน ถ้าขืนผมยังคงทำนิสัยแบบนี้เบซิลอาจจะ...ไม่ชอบในสักวันนึง


นอกจากเรื่องนี้ยังมีอีกเรื่องที่ผมกำลังคิดหนักมาตลอดหลายอาทิตย์เพื่อหาคำตอบ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้สักทีผมเลยกะว่าจะเลิกคิดแล้ว เลิกคิดด้วยหัวแต่ใช้ตรงอื่นคิดแทน



(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


เมื่อกลับมาถึงห้องในตอนเย็นผมเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ โดยมีเบซิลเป็นลูกมือ กินมื้อเย็นเสร็จก็อาบน้ำและนั่งเล่นอยู่บนเตียงจนถึงเวลาเข้านอน กิจวัตรทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องปกติที่ทำอยู่ในทุกวัน สิ่งที่ต่างไปคงเป็นความรู้สึกของผมในตอนนี้ละมั้ง


“นี่ เบซิล” ผมส่งเสียงเรียกพลางหันไปมองเบซิลที่กำลังทำอะไรสักอย่างกับโน๊ตบุ๊ค ตั้งแต่เบซิลมาอยู่ด้วยข้าวของ เฟอร์นิเจอร์หลายๆ อย่างเริ่มเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กสำหรับวางโน๊ตบุ๊กซึ่งผมเคยบอกว่าจะซื้อเป็นโต๊ะทำงานให้แต่อีกฝ่ายปฏิเสธบอกชอบนั่งทำกับพื้นมากกว่า แล้วก็พวกข้าวของเล็กๆ น้อยๆ อย่างจาน ชาม แก้วน้ำ


พอมานึกย้อนดูพวกเรานี่เหมือนคู่รักที่แต่งงานแล้วอยู่ร่วมกันเลย


“ฮืม มีอะไรใบไธม์ เหงาเหรอ” คนถูกเรียกเอียงคอถามด้วยรอยยิ้มแพรวพราว


“หยอดไม่หยุดเลยนะ อยู่ใกล้แค่นี้จะเหงาทำไม”


“แต่ผมเหงานะ ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้สวีทกันเลย”


“คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่พวกชอบแสดงความรู้สึกออกมาแบบนั้น” จะให้เอ่ยคำหวานหรือออดอ้อนผมไม่ถนัด จะพูดว่าทำไม่เป็นก็ได้ ดังนั้นเรื่องการสวีทก็คง...


“ผมรู้ เอาเถอะเพราะยังไงผมก็ชอบคุณที่เป็นแบบนี้ ไม่ต้องออดอ้อน ไม่ต้องอ่อนหวาน ไม่ต้องเอาใจ ไม่ต้องพยายามทำอะไรแค่เป็นตัวคุณอย่างที่เป็น...แค่นั้นก็พอแล้ว”ดวงตาสีมรกตขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นรู้ตัวอีกทีเบซิลได้ขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงข้างๆ ผมแล้ว


หัวใจมันเต้นแรง แรงอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใคร


เบซิลเป็นคนแรก และอาจเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้


เขาชอบที่ผมเป็นผม ไม่ใช่ตัวผมที่พยายามเป็นแบบคนอื่น


ผมเป็นพวกคิดเยอะและคิดมาก เวลาจะทำอะไรสักอย่างผมมักจะใช้เวลาอยู่กับมัน ไตร่ตรองจนกว่าจะแน่ใจถึงจะทำหรือพูดออกไป ตอนหาความรู้สึกที่มีต่อเบซิลเองก็เช่นกันผมใช้เวลานานมากแม้จะระแคะระคายหรือยอมรับแต่ผมก็ยังต้องใช้เวลาในการไตร่ตรองจนมั่นใจในระดับนึงจึงจะกล้าพูด


มันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน


การคิดก่อนทำเป็นเรื่องดีทว่าการคิดมากเกินไปอาจทำให้พลาดบางอย่างไปเช่นกัน


เบซิลบอกว่าอย่าใช้สมองในการบอกความรู้สึกแต่ให้ใช้หัวใจ


ถ้าครั้งนี้ผมเลือกที่จะใช้หัวใจเพื่อบอกบางอย่างออกไปผมจะออกมายังไงกันนะ


“เบซิล” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีเขียวมรกตตรงๆ


“ฮืม? ดูเหมือนมีเรื่องสำคัญจะบอกผมสินะ” สมกับเป็นเบซิล เพียงแค่ใช้การมองและสังเกตก็สามารถคาดการได้ตรง


“ที่กระวานพูดเป็นความจริงรึเปล่า” ผมเอ่ยถามเสียงเบาโดยดวงตาของเรายังคงสอดประสานกันอยู่ แม้การมาถามหลังจากผ่านไปหลายอาทิตย์มันออกจะแปลกๆ หน่อยก็ตามที


“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ”


กวน!


ผมขอมอบคำนั้นให้เลย ดวงตาและรอยยิ้มนั่นสื่อความหมายว่ารู้อยู่แล้วถึงเรื่องที่ผมต้องการจะถามแต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่รู้เพื่อให้ผมเป็นฝ่ายพูดขยายความด้วยตัวเอง


ขอเพิ่มคำว่าเจ้าเล่ห์ให้อีกคำ


“...เรื่องที่คุณคิดลามกกับผม” ถึงจะอายทว่าความอยากรู้มีมากกว่าทำให้ผมมีความกล้าในการถาม


“ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็อย่างที่น้องคุณพูดแหละ ผมคิดลามกกับคุณจริงๆ คงไม่ชอบใช่ไหมล่ะ”


“...นิดหน่อย” ผมหลบสายตาอีกฝ่าย


“ตกใจแฮะ นึกว่าจะบอกว่าไม่ชอบแล้วถีบผมตกเตียงซะอีก” เบซิลเลิกคิ้วขึ้นคล้ายกำลังดูท่าทีอันไม่เป็นไปตามที่คิด


“อยากให้ทำแบบนั้นมากกว่า?” ถ้าชอบแบบนั้นผมจะได้จัดให้


“ไม่เอา” เบซิลส่ายหน้าปฏิเสธจริงจัง


“ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีหรอกนะ”


“หมายถึงที่ผมคิดลามกกับใบไธม์?”อีกฝ่ายเอียงคอถาม


“อืม...เพราะถ้าคิดมันหมายถึงชอบผมมากจนต้องการครอบครอง” ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมผมต้องไม่ชอบล่ะในเมื่อเบซิลแสดงออกว่าชอบผมขนาดนี้ ผมรู้ว่าเขาชอบแต่ไม่คิดว่าจะมากถึงขนาดคิดลามกถ้าไม่ได้กระวานบอกผมคงคิดว่าที่บอกเรื่องปล้ำอะไรนั่นเป็นแค่เรื่องล้อเล่น


“พูดผิดไปหน่อยนะใบไธม์”


“ผิดยังไง” ผมคิดว่าที่ตัวเองคิดน่าจะถูกต้องแล้ว


“ที่คิดไม่ใช่เพราะชอบแต่เป็นเพราะรักต่างหากล่ะ เพราะรักถึงต้องการครอบครองให้มาเป็นของตัวเอง ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ได้อย่างน้อยก็ขอคิดแค่ในหัวละกันเนอะ” เบซิลส่งยิ้มมาให้ประโยคสุดท้าย ไม่มีการเร่งหรือบังคับสักนิด


ถ้าจะทำจริงๆ เขามีวิธีเป็นร้อยพันที่จะพูด โน้มน้าวหรือจู่โจมให้ผมยอมแต่กลับไม่ทำ การกระทำในตอนผมยอมตกลงเป็นแฟนอีกฝ่ายใช้คำพูดกึ่งบังคับผมให้สมยอมแถมยังสัมผัสผมโดยไม่ขออนุญาติอีก ไม่แน่ว่าอาจกำลังรู้สึกผิดอยู่ก็เป็นไปได้


“อยากจะคิดแค่ในหัวเหรอ” ครั้งนี้ผมอยากจะลองดู จะไม่ใช่สมองในการพูดแต่เป็นความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองในตอนนี้


“ใบไธม์...พูดแบบนี้ผมคิดจริงจังนะ” ดวงตาสีเขียวมรกตหรี่ลงเล็กน้อยระหว่างพูด


“ก็จงใจพูดให้คิดไง” เบซิลสามารถแปลความหมายของสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อได้อยู่แล้ว


“...พูดจริงเหรอ” เบซิลขยับใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนผมเห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น


“อืม บอกผมหน่อยว่าในหัวคุณกำลังคิดเรื่องลามกแบบไหนอยู่...อื้อออ~” ไม่ทันได้เอ่ยจบริมฝีปากก็ถูกช่วงชิง กลืนกินทุกคำพูดให้เลือนหายไปและแทนที่ด้วยสัมผัสอันร้อนแรงที่พานให้อารมณ์เปิดเปิง รสสัมผัสของจูบไม่ได้รีบเร่งแต่ค่อยๆ คืบคลานอย่างเชื่องช้าก่อนจะกดย้ำเรียวลิ้นที่สอดประสานราวกับกำลังกลั่นให้ขาดใจกันไปข้าง


พวกเราจูบกันอยู่นานมากโดยไม่มีการละริมฝีปากออกจากกัน แม้กระทั่งตอนแผ่นหลังผมแนบลงบนเตียงเบซิลก็ยังคงมอบจูบแสนดูดดื่มให้ผมไม่ขาด เพียงแค่ส่วนเดียวที่เชื่อมต่อกลับสร้างความร้อนแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย


“...ไม่หยุดกลางครันหรอกนะ” เบซิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ


“ผมไม่บอกให้หยุดนี่ อ๊ะ!” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ เสื้อถูกถกขึ้นตามมาด้วยฝ่ามือร้อนๆ ลูบไล้ทั่วหน้าท้องและแผ่นอก มือนั่นปัดป่ายไปมาก่อนจะหยุดลงอยู่บริเวณหน้าอกผม บีบเค้น ตอกย้ำสัมผัสที่พานให้ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ปลายลิ้นร้อนๆ ขบเม้มบริเวณแผ่นอกรามไปถึงหน้าท้องและเลียยาวขึ้นมาถึงหน้าอกอีกข้างแล้วมอบความเปียกชื้นละเลงไปทั่วทั้งร่างกาย


“อึก...เบซิล อ๊ะ! อื้อ!” ผมพยายามที่จะกลั้นเสียงโดยการยกมือปิดปกตัวทว่ากลับถูกเบซิลดึงมือนั่นออกพร้อมก้มลงไล้เลียหน้าอกผมต่อ ท่าทางของเบซิลดูลามกจนคนมองยังรู้สึกร้อนตามไปด้วย


“ได้ฟังเสียงแบบนี้ดีกว่าเยอะเลย”


“อื้ออ~ ไม่...ตรงนั้น อ๊า!” แม้จะพยายามสะกดกลั้นมาเท่าไหร่แต่ยามถูกริมฝีปากนั่นไล่ลงมาจนถึงช่วงกลางหว่างขาเสียงครางก็ดังขึ้นตามอารมณ์ที่พุ่งทะยานสูง กางเกงถูกปลดแล้วส่วนร้อนถูกครอบครองด้วยปากเน้นย้ำสัมผัสที่พานให้ร่างกายบิดเร้าโดยไม่รู้ตัว


ผมรู้ว่าต้องทำยังไงแต่ไม่คิดว่เขาจะใช้ปากกับตรงนั้น


ระหว่างริมฝีปากกำลังมอบความสุขสมจนแทบทนไม่ไหวมือทั้งสองข้างของเบซิลไม่ได้อยู่เฉย ขยับสะโพกผมเล็กน้อยก่อนจะสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วที่แทรกเข้ามาเพื่อเตรียมพร้อมรองรับสิ่งที่ใหญ่กว่า


“อ๊ะ! เบซิล ช้าหน่อย อื้ออ~” ผมปัดป่ายมืออันไร้เรี่ยวแรงของตัวเองเพื่อบอกอีกฝ่ายให้ชะลอความเร็วแต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ความเร็วไม่เพียงแค่เพิ่มขึ้นแต่ยังหยอกล้อจนแทบหยุดหายใจ


“ผมทนไม่ไหวแล้ว...ทั้งเสียง ทั้งร่างกาย ทุกอย่างของใบไธม์ทำให้ผมทนไม่ไหว” ใบหน้าคมคายมีเหงื่อผุดขึ้นประปรายช่างดูมีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ


“...อ๊ะ! ถุงยาง” ผมพูดเสียงกระเส่า เขาคงไม่คิดว่าผมจะยอมให้เข้าไปตรงๆ หรอกใช่ไหมเวลาทำความสะอาดมันยากจะตายไป


“ผมเตรียมไว้แล้ว” ลิ้นชักข้าหัวเตียงถูกเลื่อนออกพร้อมกล่องถุงยาง เบซิลจัดการฉีกแต่สวมใส่ก่อนจะค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาในตัวผม


“อื้อ! ไปเตรียมมาตอนไหน” ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่ามีของแบบนี้อยู่ในลิ้นชักข้างหัวเตียงด้วย


“หลายเดือนก่อน”


“อึก...คนลามก อ๊า!” นี่เตรียมไว้นานขนาดนั้นเลย


“อืม” เบซิลพยักหน้าตอบพลางเริ่มขยับสะโพกช้าๆ ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาถึงสมอง และยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นยามอีกฝ่ายขยับตัวเร็วขึ้น


“หื่น!” ผมพูดเมื่อความแข็งขืนด้านในอยู่ๆ ก็ขยายขึ้นอีก


“อ่า...ตอนนี้ผมทั้งลามกทั้งหื่นเลย เพราะคุณนะใบไธม์ รับผิดชอบด้วย” เสียงอันเต็มไปด้วยอารมณ์กระตุ้นอารมณ์ให้หลุดลอยไป


ความร้อนรุ่มยามร่างกายแนบชิดจนไม่เหลือแม้ช่องว่างทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังหลอมละลายกลายเป็นไอน้ำล่องลอยอยู่บนอากาศแต่ไม่นานก็ถูกดึงลงมาให้จมดึ่งไปกับห้วงอารมณ์ของความกระสันแสนหยาบโลนจากการถูกเล้าโลมแผ่นอกและส่วนร้อนที่ชูชันอยู่ตรงหว่างขาด้วยมือและริมฝีปากของคนด้านบน


“อ๊ะ! อ๊า...ไม่ไหว เบซิล อื้ออ~” เล่นกระตุ้นทุกที่พร้อมกันแบบนั้นร่างกายผมทนไม่ไหว


“ใบไธม์...สุดยอด ผมรู้สึกดีสุดๆ เลย”


“เบซิล อื้อ! จะ...ไม่...อ๊ะ”


“ผมก็ไม่ไหวแล้ว” เบซิลเคลื่อนไหวและขยับสะโพกเร็วขึ้นด้วยใบหน้าอันเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์จนกระทั่งปลดปล่อยออกมาพร้อมๆ กัน...ดวงตาสีเขียวมรกตประสานมาพร้อมกับฝ่ามือข้างนึงลูบใบหน้าผมอย่างแผ่วเบาและปิดท้ายด้วยรอยยิ้มกว้างที่ทำเอาหัวใจเต้นรัวมากขึ้นไปอีก


เสียงหอบหายใจของเราทั้งคู่ดังก้องไปทั่วห้อง น่าแปลกที่แม้จะเหนื่อยจนแทบหมดสติแต่ดวงตากลับไม่สามารถละออกจากรอยยิ้มของเบซิลได้


มันเปี่ยมไปด้วยความสุขและความพึงพอใจราวกับได้ครอบครองสิ่งที่ต้องการที่สุดแล้ว


เป็นรอยยิ้มที่ช่างสว่างไสวจนอดไม่ได้ที่เผลอยิ้มตามไป


“ผมรักคุณใบไธม์ รักมากๆ เลย” เบซิลพูดพลางซุกใบหน้าลงยังไหล่ผม


“...อืม รู้อยู่แล้ว” ความรักที่เบซิลมีให้ผมตอนนี้ผมสามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน


“ขอโทษที่ฝืนคุณมากไปนะ”


“ถ้ารู้ตัวก็ช่วยถนอมผมหน่อยเถอะ” บอกให้เบากลับรุนแรงขึ้น บอกว่าให้หยุดกลับยิ่งกระตุ้นปลุกเร้า


จะทำให้ผมขาดใจเลยใช่ไหม


“หยุดไม่ได้นี่ ใบไธม์อยากน่ารักเอง”


“มีแต่คุณแหละที่บอก” ผมพึ่งได้ฟังคำว่าน่ารักจากเบซิลเป็นคนแรก หน้าตาผมไม่ได้หล่อหรือน่ารัก เป็นหน้าตาธรรมดาที่สามารถหาได้ทั่วไป จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าที่น่ารักมันคือตรงไหน


“ดีแล้ว ให้มีแต่ผมที่รู้ถึงความน่ารักของคุณเถอะ”


“ขี้หวงนะ” ผมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย


“นอกจากขี้หวงแล้วยังขี้หึงด้วยนะ ถ้านอกใจผมล่ะก็...”


“จะไปชกกับคนที่ผมนอกใจด้วยฝีมืออันเก่งอาจ?” ได้ทีผมเลยขอแหย่สักหน่อย


“แดกดันเข้าไป เดี๋ยวผมจะเก่งจนชนะคุณให้ดู” น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจนั่นกระตุ้นความไม่ยอมแพ้ในตัวผมให้ตื่นขึ้น


“โห่...จะชนะผมเหรอ เอาสิ” มาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะหมอบก่อน


“...อย่าทำหน้าจริงจังสิ”


“ผมจริงจังเสมอ”


“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม?” เบซิลถามต่อ


“ใช่ ไม่ว่าเรื่องอะไรผมก็จริงจังเสมอ” ผมพยักหน้าตอบ


“แปลว่าเรื่องรักผมก็จริงจังด้วยใช่ไหม” น้ำเสียงยามถามแตกต่างไปจากทุกที


“จริงจังสิ...ถ้าไม่จริงจังผมคงไม่ยอมให้คุณได้ครอบครองผมแบบนี้หรอก” เพราะเป็นเบซิลผมถึงได้ยอม


สำหรับผมที่มีพลังซึ่งไม่สามารถบอกกับใครได้กลับถูกนักโทษคนนึงเข้ามาปั่นหัวและป่วนจนหัวใจเริ่มแปลกไป พวกเราเหมือนกันตรงที่ต่างฝ่ายต่างมีกำแพงสูงและหนาคอยกั้นไม่ให้ใครเข้ามาล่วงล้ำได้ แต่แล้ววันเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน


ทุกรอยยิ้ม ทุกคำพูด ทุกการกระทำต่างเป็นเหมือนอาวุธที่คอยทำลายกำแพงสูงที่ขวางกั้นพวกเราไว้ เมื่อทลายกำแพงนั่นลงมาสิ่งที่รออยู่ตรงหน้าคือความรู้สึกแสนล้ำค่าที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน


พวกเราไม่ได้ทำลายกำแพงของกันและกันแต่ช่วยกันทำลายกำแพงไปพร้อมๆ กัน


พลังของผมนั้นผมเคยคิดว่าทำไมต้องมี


ผมอยากเป็นปกติ อยากเป็นคนธรรมดา


แต่แล้วในวันนี้ผมกลับดีใจที่มีพลังนี้


และขอบคุณพลังนี้ที่ทำให้ผมได้มาเจอกับคนสำคัญที่สุด


คนที่พร้อมจะอยู่ข้างๆ ไม่ว่าผมจะอยู่ในร่างไหน


คนที่พร้อมจะก้าวไปพร้อมกันไม่ว่าต้องเจอกับอะไร


คนที่พร้อมจะยอมรับทุกอย่างที่ผมเป็น


ผมอาจไม่ใช่คนที่ออดอ้อนหรือแสดงความรู้สึกเก่ง แต่ตอนนี้ผมอยากบอกให้เบซิลรู้ถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อเขา


“...เบซิล” ผมเรียกพลางโอบคออีกฝ่ายให้ก้มลงมาหา ดวงตาของเราทั้งคู่ประสานราวกับกำลังดึงดูดซึ่งกันและกัน


“ฮืม?”


“...รักนะ รักเบซิลมากๆ เลย”


“ผมก็รักใบไธม์”

..............................จบบริบูรณ์............................

มาต่อแล้วกับตอนจบของเรื่อง

เพราะอัพอาทิตย์เว้นอาทิตย์เลยรู้สึกเหมือนนานมาก

ขอบคุณทุกคนที่ยังคอยติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ

ถึงเรื่องราวจะจบลงแต่ทั้งเบซิลและใบไธม์จะคงก้าวเดินต่อไปเคียงข้างกัน

แค่คิดก็มีความสุขแล้วค่ะ

อีกไม่นานจะมีเรื่องการรวมเล่มซึ่งจะแจ้งให้ทราบในภายหลังนะคะ

ตอนนี้มีเรื่องใหม่ที่เราเพิ่งเปิดไปชื่อเรื่อง Defeat Heart เสี่ยงรัก สยบหัวใจ เป็นเรื่องราวของนักฆ่าที่ไม่มีใครล่วงรู้ตัวตน หากสนใจสามารถเข้าไปอ่านกันได้นะทุกคน

ขอฝากผลงานต่อๆไปด้วยค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ในผลงานต่อๆ ไป

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จบไปแล้วคู่พี่ใหญ่ ต่อไปจะเป็นคู่ของใครน่ะ  :hao3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปิดจบด้วยการฟีเจอริ่ง

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด