Dormitory Boys - สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 9 - สิ่งที่ยังไม่ผลิบาน “ตื่นเถอะค่ะคุณอาทิตย์”
“อือ...ม...”
“อือแล้วก็ขยับด้วยสิคะ”
“...........ขยับแล้วครับบัว”
...ว่าแล้วก็ขยับจริง แต่เป็นแค่การพลิกตัวเข้ากอดก่ายแนบสนิทกับหมอนข้างใบโปรดมากขึ้นเท่านั้น
บัวยิ้มบาง ๆ ถึงกระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอ่อนใจไปด้วย ถ้าจะมีงานไหนยากเย็นสูสีกับการทำให้บอลไทยไปบอลโลกได้ ก็คงเป็นการแซะคุณชายสุดรักของเธอขึ้นจากเตียงนี่เอง
“จะตีสี่แล้วนะคะ”
“....ตีสี่?......งั้นราตรีสวัสดิ์ครับ....เก้าโมงค่อยปลุกผมนะ”
เขางึมงำแล้วฝังใบหน้าลงกับหมอนข้างอุ่น ๆ ที่มีกลิ่นหอมต่างไปจากทุกที แปลกจัง...สงสัยแม่บ้านจะเปลี่ยนน้ำยาซักผ้า
“อาทิตย์”
บัวเสียงเปลี่ยนนะ...“ไอ้ลูกเจี๊ยบอาทิตย์”
และบัวไม่เคยเรียกเขาว่าไอ้ลูกเจี๊ยบด้วย เด็กหนุ่มผู้ถูกยัดเยียดตำแหน่งหมอนข้างขยับตัวยุกยิกด้วยสุดจะทนกับสถานการณ์ ณ เวลาใกล้ตีสี่
ละเมออย่างเดียวยังไม่เท่าไหร่ แต่มีอย่างที่ไหนพี่แกเล่นประเคนมาทั้งแขนทั้งขากอดก่ายเปะปะแล้วยังรัดเสียแน่นหนึบเป็นหมึกกินจะเหยื่อ การที่เขาตื่นมาพบกับสภาพแบบนี้แล้วยังพยายามหาทางเป็นอิสระ(แม้จะไม่ประสบผลสำเร็จ)มาตั้งครู่ใหญ่แบบเงียบ ๆ โดยไม่ทำร้ายร่างกายลูกเจี๊ยบหลับก็ถือว่าสงบสติอารมณ์ได้ดีแค่ไหนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะนึกให้ออกเลยว่าพ่อคุณชายขี้เซานี่ปีนขึ้นเตียงมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“อาทิตย์ ตื่นเว้ย!” เขาลองโวยอีกทีพร้อมกับดิ้นดุกดิกเป็นดักแด้ไปด้วย แม้นาฬิกาจะยังไม่ส่งเสียงปลุกแต่เข็มนาทีที่เห็นเลือนรางกลางแสงไฟสลัวซึ่งลอดเข้ามาผ่านผ้าม่านก็บอกให้รู้ว่าใกล้จะตีสี่ ไอ้ลูกครึ่งสัตว์ปีกกับหมึกทะเลนี่บังอาจทำเขาตื่นก็อย่าหวังจะได้นอนต่อสบายเลย
“ตื่น! แล้วก็ปล่อยด้วย... อึดอัด! เตียงยิ่งแคบ ๆ”
“.......บอกว่าเก้าโมง...นะครับบัว”
เพ้อเจ้อโคตร… แล้วบัวนี่ใคร? หลับแต่ดันละเมอชื่อสาวออกมามันน่าหมั่นไส้สุดติ่ง! การที่อีกฝ่ายกอดเขาเสียแน่นแถมยังพูดชื่อผู้หญิงแบบนี้ชวนให้คิดว่าคนตรงหน้าเป็นประเภทเดียวกับคุณชายเสเพลที่หาผู้หญิงมานอนกกไม่ซ้ำหน้าขึ้นมาแบบห้ามไม่ได้ และความคิดนั้นก็ทำให้เขาหงุดหงิดบอกไม่ถูก
แพขนตาหนายังคงปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอของอีกฝ่ายรินรดลงบนหน้าผากของเขา... ปิ่นหยกเหลือบตาซึ่งเป็นอวัยวะหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ยังขยับได้อย่างอิสระในสภาวะถูกรวบแขนขาไว้แบบนี้เพื่อลอบมองดวงหน้าหล่อเหลาของผู้บุกรุก...ใจคอไอ้บ้านี่จะบุกรุกมันทุกอย่าง...ตั้งแต่ห้องของเขา เตียงเขา ฝักบัวเขา ตำแหน่งพนักงานร้านเค้กของเขา แทรกแซงไปหมดอย่างกับไวรัสคอมพิวเตอร์
ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แบบทุลักทุเลที่ใช้ต้องชีวิตร่วมห้อง ตั้งแต่ห้องเรียน ห้องนอน ยันห้องน้ำ ไม่นึกว่าวันนี้จะถึงขั้นร่วมเตียง เมื่อเรียกเฉย ๆ ไม่เป็นผลเขาจึงเปลี่ยนไปเอานิ้วแงะมือใหญ่ ๆ ของอีกฝ่ายที่เกาะอยู่แถวเอวออก ทว่ายิ่งแกะก็เหมือนจะยิ่งโดนดึงเข้าไปนัวเนียมากขึ้นแล้วยังเพิ่มโปรโมชันช่วงข้าวใหม่ปลามันเป็นยื่นหน้าเข้ามาซุกแถวกระดูกไหปลาร้าเขาพร้อมกับเสียงฮืมฟังไม่ได้ศัพท์ในลำคอ โรมรันพันตูขนาดนี้ถ้าเป็นผู้หญิงเขาคงท้องไปแล้ว
“....อ...ไอ้บ้านี่”
ปิ่นหยกกลั้นหายใจ...หรือบางทีเขาอาจจะลืมวิธีหายใจไปแล้ว และเสียงที่เปล่งออกมาก็ตะกุกตะกักจนเหมือนไม่ใช่ของเสียงตัวเอง... “...จักจี้...”
ที่จริงแล้วมันไม่ใช่แค่จักจี้หรอก เพียงแต่เขาไม่รู้จะบรรยายส่วนผสมของอาการขนลุกชัน...ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว...และหัวใจที่เต้นโครมครามจนแน่นหน้าอกไปหมดแบบนี้ออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร นึกตัดพ้อในชะตาชีวิตตัวเองต่อเทพเจ้าแห่งเงินตราและความร่ำรวยของเขาที่นอกจากจะไม่เคยมอบโชคอะไรให้ยังจะชักนำไอ้ตัววุ่นวายนี่มาช่วยทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้นไปอีก
ความจริงแล้วเรื่องเพื่อนผู้ชายจะนอนกอดกันเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก กับคิมก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงเป็นเรื่องปกติ(แม้ส่วนใหญ่เขาจะเป็นฝ่ายถูกกอด) แต่พอนึกถึงความจริงว่าอีกฝ่ายเพิ่งละเมอชื่อผู้หญิงที่ไหนออกมาไม่รู้ขณะที่ทั้งรัดทั้งซุกอย่างนี้ก็ทำเอาอยากยันโครมตกเตียงเสียให้รู้แล้วรู้รอดด้วยความหมั่นไส้ระคนรังเกียจ พวกลูกคนรวยนี่วัน ๆ ทำอะไรกันนะ!
“ไม่ปล่อยจะถีบตกเตียงแล้วนะ”
เขาส่งเสียงเตือนแบบไม่หวังผล เพราะถึงอย่างไรก็ตั้งใจจะทำอยู่แล้วในเมื่อเรียกยังไงก็ไม่ยอมตื่น ขาเขายังขยับได้นิดหน่อย แม้ระยะการเหวี่ยงจะไม่มากนัก แต่ถ้าเล็งดี ๆ ใส่แรงเหมาะ ๆ เชื่อว่าสามารถส่งคุณชายอาทิตย์ลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นได้แน่นอน ติดจะแย่นิดหน่อยก็ตรงที่เขาอาจจะพลอยกลิ้งหล่นลงไปด้วยถ้าแขนขาคู่นั้นไม่ยอมปล่อยตัวเขา...
อย่างเช่นในกรณีนี้
พลั่ก!!!
ตึงงง!!!!!!!“......อ....อูย.....”
และนาฬิกาปลุกก็กรีดเสียงแสบหูขึ้นพอดี....ให้ตาย....เป็นการตื่นเช้าด้วยสภาพแย่ที่สุดในรอบหลายปีทีเดียว
อาทิตย์ลืมตาสะลึมสะลือ...
ชีวิตต้องสู้ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์...เขาถูกปิ่นหยกแซะออกจากที่นอนเวลาตีสี่ทุกเช้าด้วยวิธีการต่าง ๆ นา ๆ ตั้งแต่ตะโกนใส่ไปจนถึงลงไม้ลงมือในบางวันที่เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์การนอนเป็นพิเศษ ซึ่งปิ่นหยกบอกทุกครั้งว่าเรียกดี ๆ แล้วไม่ตื่น แต่เขากลับไม่มีความทรงจำว่าเคยถูกเรียกดี ๆ มาก่อนเลย.. และอีกฝ่ายก็อธิบายในส่วนนี้ว่าที่ไม่มีความทรงจำเรื่องนั้นเพราะเรียกเฉย ๆ ไม่สามารถแทรกแซงการนอนของเขาได้สักนิด จึงเป็นเหตุผลที่ต้องใช้กำลังเข้าว่า
สภาพวันนี้แปลกออกไปจากทุกที เขาไม่ได้ตื่นด้วยการตะโกนใส่หูผ่านหนังสือที่ม้วนเป็นกระบอก เอามือเขย่า หรือเอาเท้าเขี่ย แต่กลับเป็นความรู้สึกเหมือนบ้านหมุนตีลังกาสองสามรอบตามด้วยเสียงของหนัก ๆ ตกลงบนพื้นที่เรียกให้เขาได้สติ และเมื่อลืมตาขึ้นก็กลายเป็นว่าตัวเองกำลังล้มคว่ำเอาหน้าฟุบอยู่ที่ซอกคอปิ่นหยกซึ่งนอนแน่นิ่งผิดปกติอยู่บนพื้น มีเพียงเสียงหอบหายใจหนัก ๆ ของร่างข้างใต้ที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้กลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว
“อืม...อรุณสวัสดิ์....นึกว่าบัวซะอีก”
‘ลุกออกไปได้แล้ว!’ เป็นสิ่งที่ปิ่นหยกควรจะตะโกนออกไปจึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์และบุคลิกของเขา ไม่ใช่ประโยคคำถามที่เพิ่งหลุดจากปาก....
“ใครคือบัว?”
เสียงนาฬิกาปลุกเงียบไปแล้ว... อาทิตย์เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วก้มลงสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเขาที่นอนอยู่เบื้องล่าง ซึ่งนั่นทำให้ปิ่นหยกยิ่งรู้สึกขัดใจตัวเองมากขึ้นไปอีก
ผู้หญิงชื่อบัวนั่นจะเป็นใครไม่เห็นเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด เขาไม่ใช่คนชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่น โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเงินทองหรือปากท้องของแม่กับน้องที่บ้าน และหากจะใช้เกณฑ์นั้นในการวัด อาทิตย์เองก็เป็นแค่......
......คนอื่น.......อีกคนหนึ่ง....แต่คำพูดที่หลุดไปนั้นเรียกคืนไม่ได้ หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะไม่หลบตา ก็เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงที่ละสายตาออกไปเองก่อนจะที่พยุงตัวขึ้นนั่งบนพื้น สีหน้ายังคงเรียบเฉยเหมือนเช่นทุกทีแม้ในขณะที่ส่งเสียงตอบกลับมา
“เป็นผู้หญิงในดวงใจน่ะ”ปิ่นหยกเม้มปาก... ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี ละเมอกอดรัดซะขนาดนั้น
“รักมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว”....นั่นไม่ใช่เรื่องของเขาเลย.....
ไม่ใช่อะไรที่ควรรู้ ไม่มีสิ่งที่ต้องรู้ ถึงกระนั้นก็กลับห้ามความรู้สึกใจหายแปลก ๆ ไม่ได้
ถึงแม้เขาจะเป็นคนถามออกไปเอง แต่ถ้าหมอนี่จะช่วยหยุดพูดเสียที…
“ทำอาหารอร่อยด้วย อยากให้นายได้เจอกับบัวจั—“
“แล้วทำไมฉันต้องไปเจอยัยบัวอะไรนั่นด้วย!” อะไรกันนะที่ดลใจให้เขาตวาดออกไปเสียงดังแบบนั้น เห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่ายที่ปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียวก่อนจะกลับมาเป็นปกติยิ่งทำให้ปิ่นหยกรู้สึกอึดอัด ครั้งนี้เขาผิดเต็มประตูที่อยู่ ๆ ก็ใส่อารมณ์อย่างไร้เหตุผล และการระลึกได้แบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของเขาดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“เรียกบัวอย่างนั้นได้ไม่ได้นะ”
เสียงเนิบ ๆ ของอาทิตย์ทำให้เขาเผลอขบกรามแน่น นั่นสินะ...รักกันมาสิบกว่าปี คนนอกอย่างเขาจะไปเรียกแบบไม่ให้เกียรติอย่างนั้นได้ยังไงกัน เขาพ่นลมหายใจระบายความอัดอั้นไม่ทราบที่มา ก่อนจะตัดสินใจจบบทสนทนาน่าหงุดหงิดด้วยการลุกพรวดพราดขึ้นตั้งใจจะล้างหน้าแปรงฟันก่อนออกไปเตรียมของที่ร้าน ถ้าเพียงแต่จะไม่ได้ยินประโยคต่อมาของอาทิตย์เข้าเสียก่อน
“เขาอายุเกือบจะหกสิบอยู่แล้ว”
“ห๊ะ!?”ปิ่นหยกหันกลับมาจ้องคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าสีหน้าปุเลี่ยน ๆ ของตัวเองตอนนี้ดูน่าขันแค่ไหน
“จะมีแฟนอายุมากยังไงก็ไม่ควรให้ถึงกับเข้าวัยใกล้เกษียณนะ”
“...แฟนที่ไหนกัน เป็นเหมือนคุณแม่อีกคนที่เลี้ยงฉันมาต่างหาก”
อาทิตย์อมยิ้มมุมปาก และหากสังเกตดี ๆ อาจจะเห็นว่าดวงตาดำขลับที่ปกติชอบทำเป็นเบลอ ๆ บื้อ ๆ นั้นฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาชัดเจน
“แต่ปิ่นหยกทำท่าเหมือนพี่อันตอนหึงแฟน”
อ้อ...ไอ้ความหงุดหงิดเมื่อกี้เรียกหึง...? เดี๋ยวสิ!!ปิ่นหยกเกือบจะทำคิ้วพุ่งหลุดทะลุหน้าผากไปแล้ว
“ไม่ได้เป็นอะไรกันจะหึงหาสวรรค์วิมานอะไร!?”
“งั้นก็มาเป็นสิจะได้หึงได้”
ไม่พูดเปล่า มีกวักมือเรียกหย็อย ๆ โชคยังเข้าข้างอยู่บ้างที่เขาตะครุบปากตัวเองไว้ทันก่อนจะโพล่งถามออกไปว่า
‘มาเป็นอะไร’ ให้เข้าตัว ไอ้คนตรงหน้านี่ดูจะขยันล้อเล่นเรื่องแบบนี้ให้เขาหน้าร้อนผ่าวได้เกือบตลอดเวลาเสียเหลือเกิน
“....จะ....จะไปช่วยงานที่ร้านแล้ว!!”
เขาตัดบทด้วยการโพล่งประโยคบอกเล่านั้นออกมาดังเกินจำเป็นแถมยังติด ๆ ขัด ๆ รู้สึกเสียฟอร์มเป็นที่สุดก่อนจะวิ่งถลาออกนอกห้องพักแล้วปิดประตูไล่หลังเสียงดังสนั่นชนิดที่ว่าหากจะมีใครสะดุ้งตื่นแล้วเดินงัวเงียมาด่าหน้าห้องจะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลย
อาทิตย์เผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ ลุกขึ้นไปเปิดไฟแล้วบิดขี้เกียจเตรียมจะออกไปช่วยงานด้วยอีกคน แต่ผ่านไปเพียงไม่ถึงอึดใจ ประตูห้องพักก็แง้มออกอีกครั้งพร้อมกับใบหน้าแดงระเรื่อของคนที่เพิ่งถลาออกไปได้ไม่นานที่ค่อย ๆ โผล่เข้ามา พอเห็นว่ากำลังถูกมองอยู่ก็สะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าแอบขโมยขนมก่อนจะเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินซอยเท้าเข้ามาในห้อง โฉบผ่านหน้าเขาไปทางห้องน้ำพร้อมกับคำอธิบายห้วน ๆ ที่ทำให้เขาต้องหัวเราะออกมาอีกรอบ
“ลืมแปรงฟัน!”
ร่างนั้นผลุบหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วประตูห้องน้ำก็ปิดปัง
...................................................
..........................
.
.
.
“จักรยานก็มีทำไมไม่ขี่ไปโรงเรียนกันล่ะ” เอมจิตถามหลังจากสังเกตมาได้ระยะหนึ่ง
“คุณชายขี่ไม่เป็นครับ” เขาค่อนขอด “และผมก็ไม่อยากเป็นคนขี่ให้หมอนี่ซ้อนท้ายด้วย ตัวหนักโคตร”
อาทิตย์พยักหน้ารับเป็นทำนองว่าเรื่องมันก็ประมาณนั้นแหละครับ
“แต่น่าเสียดายนะ ซื้อมาไม่ได้ใช้ จอดทิ้งไว้ก็เก่าหมด”
“ผมว่าจะยุให้มันเอาไปขายต่ออยู่” เด็กหนุ่มส่ายหน้า อุ่นใจก็ไม่ใช้จักรยานเพราะปกติน้องชายคนเล็กจะออกจากบ้านไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนชื่อเหม่งหรือเหน่งอะไรสักอย่างที่อยู่อีกซอย ไม่งั้นอาจจะให้อุ่นใจยืมไปใช้จะได้ไม่เสียของ ถ้าอุ่นใจจะยอมยืมของอาทิตย์ที่กำลังเขม่นกันอยู่ละก็นะ
“ไปก่อนนะครับพี่เอม”
หลังจากหันไปร่ำลาพี่ใหญ่เป็นที่เรียบร้อย มือก็คว้ากระเป๋าหนังสือขึ้นสะพายไหล่เดินนำออกจากร้าน ตามด้วยเจ้าของจักรยานตัวจริงที่หันไปลาเอมจิตอีกคนแล้วรีบสาวเท้าออกมาทันที่หน้าหอพัก
“ที่จริงนายจะเอาไปใช้ก็ได้นะ ฉันเดินไปก็ได้”
ปิ่นหยกหันมาหรี่ตาพร้อมกับเลิกคิ้วทำหน้ายียวนใส่
“ใจดีขนาดนั้นเชียว”
“คิดค่าเช่าต่อวันไม่แพง”
ความเค็มมันแพร่ถึงกันได้!“ใจง่ายซื้อมาเองไม่ต้องมาหาเรื่องเอาทุนคืนเลย”
อาทิตย์กระโดดหลบกระเป๋าหนังสือที่อีกฝ่ายฟาดมาเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ
“ล้อเล่น.. แต่ที่บอกให้เอาไปใช้ได้น่ะเรื่องจริงนะ”
ปิ่นหยกหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังคลี่รอยยิ้มอบอุ่นสมกับชื่อจริงว่าแสงอรุณ...ไม่มีร่องรอยของการประชดประชันเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าบนใบหน้าหรือน้ำเสียง แต่จะให้คนอื่นเอาจักรยานตัวเองไปใช้แล้วเดินไปคนเดียวเนี่ยนะ...พ่อพระเกินไปแล้ว
“ไปหัดขี่จักรยานมา”
“ทำไมล่ะ?”
ไอ้หมอนี่เป็นเจ้าหนูจำไมหรือไง ถามอะไรไร้สาระอยู่ได้ เขาเสมองไปข้างทางชมนกชมไม้ ชมท่อระบายน้ำ ชมปล่องควันโรงงานอุตสาหกรรม มองไปทุกอย่างยกเว้นใบหน้าของเพื่อนร่วมทางร่างสูงก่อนจะงุบงิบออกมาเบา ๆ
“เพราะฉันจะเป็นคนซ้อน”อาทิตย์ทำหน้ามึนไปวูบหนึ่ง... แค่พริบตาเดียวเท่านั้น แล้วก็ระบายยิ้มเจิดจ้าจนน่าจับไปเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณายาสีฟัน ทำเอาอีกฝ่ายใจเต้นผิดจังหวะไปหลายสเต็ปจนต้องกัดลิ้นตัวเองที่เผลอพูดอะไรไม่คิดอีกแล้ว
“...งั้นรอนิดนะ”
เด็กหนุ่มร่างสูงเอ่ยรับพร้อมกับเร่งฝีเท้าให้ตามทันคนที่เดินจ้ำอ้าวก้มหน้างุด ๆ เมื่อถึงตัวก็รีบเอื้อมมือไปโอบรอบไหล่ของอีกฝ่ายไว้ให้มั่นใจว่าจะไม่โดนทิ้งห่างด้วยการจ้ำพรวด ๆ แบบเมื่อครู่อีกก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างใบหูแดง ๆ นั่นอย่างนึกสนุก
“แว้นได้เมื่อไหร่แล้วจะขี่ไปรับมานั่งเป็นสก๊อยนะครับ”To be continued…===============================================
เบา ๆ เรื่อย ๆ นะคะตอนนี้ จะเรียกว่าเป็นช่วงสงบสุขก็ได้มั้ง (ฮา) เราชอบพระเอกแอบร้ายใต้หน้าซื่อ
สำหรับหมีกริชตอนที่แล้ว กะว่าคนที่จะปราบพี่เอมอยู่ต้องเถื่อนใช่ม้า หมีกริชคงไม่เถื่อนแบบจับปล้ำตบจูบ ๆ แต่ไม่ใช่หมีเชื่องแน่นอนค่ะ *หัวเราะ*
//อ่านคอมเม้นต์แล้วทำให้คิดได้ เรื่องนี้แทบไม่มีคนปกติจริง ๆ 5555
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่ทำให้มีแรงใจเขียนต่อนะคะ ฮึบ ๆ >w<