บทที่16 เพราะคิดถึง..จึงมาหา
ห้าวันแล้วที่พี่เบิ้มกลับอังกฤษ..ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ..เพิ่มเติมคือความคิดถึง
การโทรหากันวันละสามเวลาช่วยให้ความคิดถึงเบาบางลงได้บ้าง ตีห้าครึ่งคือเวลาตื่นของผมซึ่งที่อังกฤษคือเวลาห้าทุ่มครึ่งเป็นเวลาเข้านอนของพี่เบิ้ม การโทรหาผมก่อนนอนกลายเป็นการโทรปลุกผมไปโดยปริยายห้าวันแล้วที่นาฬิกาปลุกไม่จำเป็นสำหรับผมอีกต่อไปเพราะมีคนโทรปลุกส่งตรงมาจากUK..
ส่วนเวลาตื่นของคนที่อยู่อีกซีกโลกก็คือยามบ่ายอันแสนง่วงงันการโทรไปปลุกฝรั่งขี้เซาก็เป็นการช่วยให้หายง่วงได้เป็นอย่างดี เอ๊ะ!หรือให้หายคิดถึงกันแน่นะ.. และเมื่อถึงเวลาเข้านอนของผมก็ตรงกับเวลาเลิกงานของพี่เบิ้มเราคุยกันตั้งแต่พี่เบิ้มออกจากออฟฟิศจนถึงบ้านหรือบางวันก็คุยจนผมหลับคาโทรศัพท์ไปเลย
รักทางไกลมันก็ไม่ก็ไม่แย่อย่างที่คิดสักเท่าไหร่สำหรับคนที่มีความรักครั้งแรกอย่างผม..เป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี
กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงประตูร้านบ่งบอกถึงผู้มาใหม่..และการกวนประสาท
“กูกลัวมึงเหงาเลยพาเด็กมาฝาก”
“พี่ดอย ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลสักหน่อย” ฝรั่งน้อยซันนี่มองค้อน แต่มันช่างน่ามอง
“ยังไงเราก็เป็นเด็กน่ารักของพี่น่า” ผมได้แต่กลอกตากับความเลี่ยนของเพื่อนคำพูดช่างไม่เข้ากับสารร่างของมันสักนิด
“กลับไปหยอกกันที่บ้านไป๊ เหม็น”
“ฝนจะตกเหรอวะ มืดครึ้มเชียว”
“ตามึงบอด?” แดดสว่างจ้าขนาดนี้
“บนหัวมึงอ่ะ”
“โว๊ะ จะกินมั้ยกาแฟ กินก็สั่ง”
“ฉุนเฉียวๆ กูเอาออเรนจ์แบล็คคอฟฟี่”
“มาแปลกนะวันนี้”
“คนมีความรักก็งี้แหละ อยากกินอะไรที่มันหวานๆ”
“กาแฟดำผสมน้ำส้มมันไม่ได้หวานขนาดนั้น อยากแดกหวานก็แดกน้ำเชื่อม”
“ผัวไม่อยู่อารมณ์ไม่สุนทรีเลยนะมึง”
“แฟนสิ ผัวห่าไรของมึง”
“หึหึ” หัวเราะได้น่าถีบ แต่ก็กลัวมันเอาคืนเพราะตัวมันไม่ใช่น้อยๆเล็กกว่าพี่เบิ้มแค่คืบ
“ซันนี่กินไรดี”
“ผมขอมอคค่าเย็นครับ”
“หวานๆเหมือนเดิมเนาะ”
“ครับ” เด็กอะไรไม่รู้น่ารักน่าชัง ไอ้ดอยมันขุดหลุมยังไงวะถึงตกฝรั่งน้อยได้วะ..แต่ก็ยินดีกับเพื่อนกับน้องล่ะน้า
“มึงอย่ามามองที่รักของกูด้วยสายตาแบบนี้นะ กูหวง” มันดึงน้องเข้าไปกอดพร้อมกับดึงปีกหมวกสีขาวที่น้องสวมให้ปิดหน้าของน้องเอาไว้..บ้าบอความรัก
“ประสาท” ผมได้แต่ส่ายหน้ากับความขี้หวงของเพื่อน
“เออมึง เย็นนี้ไปแดกซูชิกันชวนอีซูซี่มันไปด้วย”
“วันนี้มันไม่ว่างพาผัวไปกินข้าวกับที่บ้าน”
“อ้าวเหรอ”
“มึงไปกินกับซันนี่สองคนเหอะกูไม่อยากเป็นก้าง วันนี้กูตั้งใจจะเข้ายิมด้วย” ต้องถ่ายรูปส่งการบ้านให้คนทางไกลว่าผมเข้ายิมจริงๆไม่ได้รับปากเฉยๆ
“โอเคมึง งั้นพวกเราค่อยนัดกันคราวหน้า”
“ตามนั้นมึง”
“เออจะว่าไปลุงสมชายพ่ออีซูซี่แม่งโคตรใจเลยเนอะ”
“ยังไงวะ”
“ก็รับได้ที่อีซูซี่เป็นเกย์ไงแถมพาผัวเข้าบ้านอีก ตอนแรกที่กูเจอพ่อมันกูคิดเลยว่าอีซูซี่ไม่กล้าบอกพ่อมันแน่ๆ ก็แม่งเป็นทหารโหดซะขนาดนั้น” ก็จริงเพราะพ่อของอีซูซี่เป็นทหารยศนายพลมีระเบียบและวินัยที่เคร่งครัดมาก ชื่ออจริงของมัน
ชาติชาย มีที่มาก็เพราะพ่อของมันอยากให้ลูกชายคนโตของบ้านเจริญรอยตามเป็นชายชาติทหารเหมือนกับตนเอง..แต่ก็นะหัวใจดันเป็นสีรุ้งฟรุ้งฟริ้งซะอย่างนั้น
พวกผมเคยถามอีซูซี่ว่าคิดจะบอกที่บ้านของมันหรือเปล่าเรื่องที่มันเป็นเกย์ มันเลยเล่าให้ฟังว่าแม่ของมันรู้อยู่แล้วเพราะมันกับแม่สนิทกันมากและด้วยความเป็นแม่ทำไมจะดูไม่ออกว่าลูกของตัวเองนั้นเพศสภาพไหน แม่ของมันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพ่อเพราะรอวันที่อีซูซี่พร้อมให้เป็นฝ่ายบอกด้วยตัวเอง
ตอนที่มันอยู่ม.5พ่อมันบังเอิญไปเจอหนังโป๊เกย์ที่มันโหลดเก็บไว้ในคอมเท่านั้นแหละโป๊ะแตก มันคิดว่าวันนั้นมันต้องตายแน่ๆแต่สุดท้ายพ่อของมันกลับเข้าใจและรับได้ เพียงแต่มีข้อแม้ว่ามันต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดมีวินัยในการใช้ชีวิตไม่ออกนอกลู่นอกทาง ส่วนจะรักใครชอบใครเพศไหนนั้นก็แล้วแต่เพียงแต่ว่าเวลาคบใครที่บ้านต้องรับรู้..และนั้นเป็นเหตุผลของการเรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ถึงแม้อีซูซี่จะเป็นเกย์ควีนหัวใจสีบานเย็นแต่การใช้ชีวิตของมันมีระเบียบวินัยตามแบบฉบับของลูกนายพลไม่ได้ไร้สาระวี๊ดว๊ายไปวันๆ และเมื่อมันคบใครก็อยู่ในสายตาของพ่อและแม่มันเสมอ..และดูเหมือนว่าลูกเขยต่างชาติคนนี้จะเป็นที่ถูกใจท่านายพลซะด้วยสิ
“จริงๆพ่อของมันใจดีนะแล้วก็ไม่ได้หัวโบราณ อีซูซี่มันโชคดีจริงๆนั้นแหละ ว่าแต่ที่บ้านมึงเหอะรู้รึเปล่าเรื่องซันนี่” จะว่าไปผู้ชายทั้งสามคนในก๊วนแก๊งมีแฟนเป็นผู้ชายกันหมดอีซูซี่น่ะไม่น่าแปลกใจหรอกแต่ผมกับไอ้ดอยนี่สิมีแฟนเป็นผู้ชายเฉยเลย
..แต่ก็นะในเมื่อมันคือความรักก็ไม่อยากปล่อยให้หลุดมือ
“รู้ดิ ดีใจกันยกใหญ่ที่กูคบกับน้อง นี่กูก็แปลกใจกับแม่กูเหมือนกัน”
“เออดีว่ะ” ทำไมมันง่ายดายดีจังวะ
“แต่แม่ของซันนี่ยังกังวลอยู่นิดหน่อยว่าลูกชายของตัวเองมาเปลี่ยนกูให้เป็นเกย์”
“หืมมม?”
“คือ..ผมเป็นเกย์ครับ”
“อ่า..” แบบนี้นี่เอง ก็พอจะมองออกอยู่หรอกว่าฝรั่งน้อยไม่ได้ชอบผู้หญิง
“ก็พี่ดอยเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงแม่ก็เลยกังวลว่าเป็นเพราะผมหรือเปล่าที่เป็นคนเปลี่ยนให้พี่ดอยชอบผู้ชาย แล้วก็พี่ดอยจะรักผู้ชายอย่างผมได้จริงๆไหม”
“อย่างหลังนี่แม่หรือว่าเราที่กังวล ฮึ ยอมรับครับว่าพี่ชอบผู้หญิงไม่ได้ชอบผู้ชายแต่ตอนนี้คนที่พี่รักคือซันนี่ พี่ไม่สนหรอกนะว่าใครจะมองพี่เป็นไบหรือเป็นเกย์ พี่สนแค่หัวใจของพี่และหัวใจของตะวัน เชื่อมั่นในตัวพี่ก็พอนะครับ”
“ครับ” ฝรั่งน้อยน้ำตาคลอก่อนที่ไอ้ดอยจะดึงน้องเข้าไปกอดโยกตัวเบาๆเป็นการปลอบ..ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคนเนื้อหอมในหมู่สาวๆอย่างไอ้ดอยจะลงเอยกับผู้ชายอย่างซันนี่ แต่ผมเชื่อมันนะว่ามันรักน้องจริงๆ
“แล้วมึงล่ะ ที่บ้านรู้ยัง”
“ยัง” ผมตอบเสียงเบา นี่แหละปัญหาของกู
“กูรู้ว่ามึงกังวล แต่เชื่อกูว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดี” มันตบบ่าผมเบาๆเพื่อให้กำลังใจ คำพูดของมันเหมือนของพี่เบิ้มเลยแฮะ
มันจะผ่านไปได้ด้วยดี ก็ขอให้เป็นแบบนั้น..
“เดี๋ยวกูจะไปหาลูกค้าไม่เกินสองชั่วโมงเดี๋ยวกลับมา อย่าทำอะไรตะวันของกูล่ะ” มันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเงยหน้ามองผมตาขวาง
“หึ ไม่รับปาก”
“ปากดี เคะกับเคะเหมือนกันจะทำกันยังไงวะ” อะไรของแม่ง เคะ? ภาษาต่างดาวเร๊อะ
“เคะอะไรของมึง”
“ให้ซันนี่อธิบายละกันกูไปล่ะ เดี๋ยวพี่มานะครับ” มันพูดกับผมก่อนจะหันไปบอกน้องเท่านั้นไม่พอดึงน้องเข้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่จนคนโดยหอมแก้มอายม้วนหน้าแดงเป็นตูดลิง..บ้าบอความรัก อะเกน
“เคะคืออะไร?” เมื่อไอ้ดอยก้าวขาออกจากร้านผมก็ถามฝรั่งน้อยด้วยความสงสัยทันที
“มันเป็นศัพท์มาจากอะนิเมะของญี่ปุ่นที่ใช้เรียกลักษณะตัวละครน่ะครับ เคะย่อมาจากอุเคะรุคู่กับเมะที่ย่อมากจากเซเมะรุ”
“?” หน้าผมงงมากบอกเลย ซันนี่ขำน้อยๆก่อนจะอธิบายง่ายๆเห็นภาพชัดเจนแจ่มแจ้ง
“เคะก็คือฝ่ายรับ ส่วนเมะก็คือฝ่ารุกครับ”
“อ่า..” ตกลงว่าผมคือเคะก็คือฝ่ายรับงั้นสิ ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ากูต้องรับน่ะ แม่งภาพงูหลามเผือกของอีพี่เบิ้มลอยมาเลย ผวาเลยกู!
“พี่ณตกลัวใช่ไหมครับ” สีหน้าของผมคงแสดงออกชัดเจน
“ก็นะ..พอนึกว่าต้องมีอะไรมาเสียบข้างหลังแล้วมัน...” มันเป็นทางออกนะโว้ยไม่ใช่ทางเข้า แค่คิดก็เสียวสันหลังวาบ
“มันเจ็บครับ”
“ใช่มั้ยล่ะ! มากไหมอ่ะ”
“เจ็บแต่ทนไหว จากนั้นพี่ณตก็จะมีความสุข”
“จริงอ่ะ?” มันเจ็บแล้วจะสุขได้ไงวะ
“เพราะเรากำลังเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนที่เรารัก..ถ้าถึงวันนั้นพี่ณตจะเข้าใจครับ” คนพูดก็เขินส่วนคนฟังก็เขิน
ิิ ...เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน..เชื่อมต่อด้วยร่างกาย อ่าาา
ห้าทุ่มครึ่งแล้วผมยังคงนั่งไถนอนไถหน้าจอมือถือจนนิ้วแทบล็อกจึงต้องวางมันไว้ข้างเตียงก่อน เปลี่ยนมาเปิดทีวีแต่ช่องรายการทีวีในเวลาเกือบเที่ยงคืนแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าดูสักเท่าไหร่..น่าเบื่อชะมัด เมื่อชั่วโมงที่แล้วพี่เบิ้มไล์น์มาบอกว่าวันนี้เลิกงานช้าเพราะมีประชุมด่วนให้นอนก่อนได้เลยไม่ต้องรอ แต่คำตอบของผมคือ
ผมจะรอ ใครจะไปหลับลงกันเล่า!
นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าเพราะความคิดถึงหรืออะไรกันแน่ กลิ่นกายจางๆของพี่เบิ้มที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนเตียงทำให้ผมเผลอสูดกลิ่นนั้นของพี่เบิ้มเข้าเต็มปอด นี่ผมถึงขั้นไม่ยอมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเลยนะเครื่องนอนทุกชิ้นที่พี่เบิ้มใช้ยังอยู่ครบบนเตียง
แต่ช้าแต่..ให้ตาย! ไอ้ลูกชายของผมมันดันโป่งพองขึ้นมาซะงั้น นี่กูมีอารมณ์เพราะกลิ่นของอีพี่เบิ้มเหรอเนี่ย..ไอ้ณตมึงอาการหนักแล้วล่ะ
อ่า แล้วคำพูดของซันนี่เมื่อตอนบ่ายก็ดังขึ้นมาในห้วงความคิดอีกครั้ง
เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนที่เรารัก บ้าเอ้ย ยิ่งคิดตรงหว่างขาของผมมันก็ยิ่งปวดหนึบ..ไม่ไหวแล้ว!!
..แฮ่ก แฮ่ก เกิดมายี่สิบหกปีกูไม่เคยต้องมาช่วยตัวเองเพราะกลิ่นแม่งโรคจิตไปอีก แล้วพี่มึงก็อย่าเสือกโทรมาตอนนี้ล่ะ รอแป๊บ รอกูแตกก่อน!!
กลิ่นที่ติดตรงหมอนชัดเจนที่สุดผมจึงคว่ำหน้าสูดกลิ่นที่ยังคงลงเหลืออยู่บนหมอนพร้อมกับขยับมือขึ้นลงถี่รัวเพื่อให้ถึงฝั่งฝันให้เร็วที่สุด
ครืด ครืด นั่นไงให้มันได้แบบนี้เซ่ มือที่กำลังรูดรั้งแกนกายจำเป็นต้องชะงักก่อนจะเร่งสปีดอีกครั้ง..รอก่อนใกล้จะแตกแล้ว
สายตัดไปแล้วแต่ไม่ถึงห้าวินาทีอีพี่เบิ้มก็กระหน่ำโทรมาไม่หยุด..เอาล่ะ กูยอมแพ้ ไม่แตกก็ไม่แตก แม่ม!
Ok! Calm Down..สงบสติอารมณ์พยายามผ่อนคลายปรับลมหายใจให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะข้างหัวเตียง..แม่ม วิดิโอคอลไปอิ๊ก รีบนอนจัดท่าทางให้เรียบร้อยห่มผ้าถึงคอก่อนจะกดรับสายที่กระหน่ำโทรมาไม่หยุดประหนึ่งว่ามีใครกำลังจะตาย..แต่กูนี่แหละที่กำลังจะตาย บ้าเอ้ย! หรรมกูยังโด่อยู่เลย
[นอนแล้วเหรอครับที่รัก ผมโทรมาปลุกคุณรึเปล่า] หึ นอนที่ไหนกันล่ะตั้งโด่อยู่เนี่ย
“สงสัยผมเผลอหลับไปน่ะครับ” แถได้โล่ก็กูนี่แหละ
[ขอโทษนะครับที่โทรมาช้า พอดีมีประชุมด่วน]
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณถึงบ้านแล้วเหรอครับถึงได้วิดิโอคอล” ปกติแล้วถ้าอยู่บนรถพี่เบิ้มจะแค่โทรแต่พอถึงบ้านแล้วจะเปลี่ยนเป็นวิดิโอคอล
[ใช่แล้วครับ พอดีตอนที่อยู่บนรถผมคุยเรื่องงานกับพอลอยู่น่ะครับเลยไม่ได้โทรหาคุณ]
“งานคุณคงยุ่งหน้าดู”
[ผมอยากกลับไปหาคุณไวๆเลยต้องรีบเคลียร์งานทั้งงานเก่างานใหม่ให้รีบสร็จ]
“อย่าหักโหมมากนะครับผมอยู่ที่เดิมไม่หนีไปไหนหรอก”
[ก็ผมคิดถึงคุณ คิดถึงๆๆๆ]
“ฮ่าๆ รู้แล้วครับ ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน” ให้ตาย! ยิ่งเห็นหน้ากลิ่นของอีพี่เบิ้มก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ถ้าผมคุยไปด้วยว่าวไปด้วยจะผิดไหมวะ..ใจเย็นๆไอ้ณต
[มะรืนนี้ผมต้องไปประชุมที่ฮ่องกง ถ้าเวลาเหลือผมจะไปหาคุณนะที่รัก]
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ คุณทำงานให้เต็มที่เถอะแล้วก็พักผ่อนเยอะๆด้วย” เชียงใหม่-ฮ่องกงนะไม่ใช่แค่นั่งรถสองแถวก็ถึงน่ะ ถึงจะบินไม่กี่ชั่วโมงก็เหอะ
[ไม่รู้ล่ะถ้าไปได้ผมก็จะไป] น้ำเสียงดื้อดึงไม่เคยเปลี่ยน
“ตามใจคุณครับ” ห้ามได้ซะที่ไหนล่ะ แต่ลึกๆก็ดีใจนะที่จะได้เจอกัน
เราคุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยจนลูกชายของผมมันสงบลงและผมก็เผลอหลับคาโทรศัพท์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้..รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตกใจตื่นเพราะฝัน
...ฝันว่าผมกับพี่เบิ้มกำลังเมคเลิฟกัน อ่า ฝันเปียก และแล้วก็แตกจนได้!!
วันนี้ผมตั้งใจจะไปหาพ่อกับแม่ที่รีสอร์ทเพื่อบอกเรื่องสำคัญผมไม่อยากให้มันค้างคาเพราะยังไงสักวันหนึ่งที่บ้านผมก็ต้องรู้อยู่ดีแล้วก็รู้จากปากผมนี่แหละดีที่สุด..
ดุจดาวรีสอร์ท ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ริม เป็นรีสอร์ทเล็กๆที่มีบ้านพักเพียงสามหลังที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา พื้นที่หลังรีสอร์ทจะมีสวนผักออร์แกนนิคและแปลงสตรอเบอรี่เล็กๆให้แขกที่เข้าพักได้เด็ดชิมเมื่อถึงช่วงฤดูหนาวส่วนชื่อทำไมต้องดุจดาว อ๋อนั่นชื่อแม่ผมเองครับแถมกลางคืนที่นี่ก็มองเห็นดาวได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง..
ที่นี่อากาศดีกว่าในตัวเมืองมากและบรรยากาศก็ดีสุดๆหน้าหนาวผมชอบมานอนที่นี่บ่อยๆ ถ้าพี่เบิ้มได้มาคงจะชอบน่าดู แต่จะได้มาในฐานะอะไรนั้นมาลุ้นกันอีกที ผมไม่ได้บอกใครว่าผมมาหาพ่อกับแม่โดยเฉพาะพี่เบิ้มผมไม่อยากให้พี่แกเป็นกังวลแค่งานเยอะก็น่าปวดหัวจะแย่แล้ว
จากดอกแก้วเกสท์เฮ้าส์ผมใช้เวลาเดินทางเกือบๆสองชั่วโมงก็มาถึงดุจดาวรีสอร์ท ผมเดินเข้ามายังตัวบ้านที่อยู่ด้านหน้ารีสอร์ทเป็นบ้านไม้สองชั้นสไตล์คันทรี่ชั้นล่างเป็นส่วนรับรองแขกเและแบ่งเป็นห้องอาหารสำหรับบริการแขกที่มาเข้าพัก ส่วนอาหารของที่รีสอร์ทจะเน้นอาหารท้องถิ่นและแน่นอนว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากสวนที่พ่อกับแม่ปลูกเอง ส่วนชั้นสองก็เป็นบ้านของครอบครัวเรา
“แม่ สวัสดีครับ”
“ณต! จะขึ้นมาทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะลูก” แม่ที่นั่งอยู่ด้านในเคาน์เตอร์สำหรับให้แขกมาติดต่อเอ่ยอย่างตกใจเมื่อเห็นผม
“เซอร์ไพรส์ครับ” เดี๋ยวจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์กว่านี้อีกนะแม่
“วันนี้ร้านกาแฟไม่เปิดเหรอลูก”
“ให้บีดูน่ะแม่ ช่วงนี้ลูกค้าน้อย”
“แล้วนี่จะค้างไหมแม่จะได้เตรียมห้องให้”
“ไม่ค้างครับแม่ ณตขึ้นมาเยี่ยมพ่อกับแม่เฉยๆคิดถึง” ผมหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ด้วยความคิดถึง คิดถึงจริงๆนะเพราะตั้งแต่อีพี่เบิ้มเข้ามาในชีวิตผมยังไม่ได้มาหาพ่อกับแม่เลย
“หืม อ้อนแม่แบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ”
“โอ๊ะ ไอ้ลูกชาย” พ่อที่เดินลงมาจากชั้นสองเอ่ยทักด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“สวัสดีครับพ่อ”
“หายหน้าหายตานะช่วงนี้ หรือว่าจะติดหญิง” ผู้ชายตัวเบ้อเร่อต่างหากล่ะครับพ่อ
“จริงเหรอลูก นี่แม่จะได้มีลูกสาวแล้วใช่ไหม” สีหน้าแม่ดูตื่นเต้นแต่เกรงว่าแม่จะได้ลูกชายเพิ่ม โอ้ยยย อยากจะร้องไห้
“เอ่อ..จริงๆแล้ววันนี้ณตตั้งใจจะมาบอกเรื่องนี้แหละครับ” ไหนๆก็พูดเรื่องแฟนแล้วก็เข้าประเด็นเลยละกัน
“ลูกมีแฟนแล้ว?!”
“ครับ”
“โอ้ว ขายออกสักทีลูกพ่อ”
“แล้วทำไม่ไม่พามาด้วยล่ะลูก”
“ตอนนี้เขาอยู่อังกฤษครับแม่”
“หืม?”
“เขาเป็นคนอังกฤษไม่ใช่คนไทยครับ”
“ลูกพ่อไม่ธรรมดา มันล่อสาวฝรั่งเลยเว้ย” ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆกับคำว่าสาวฝรั่งของพ่อ
“เขาชื่ออะไรลูก” หายใจเข้าลึกๆไอ้ณต
“เออ..เจเรมี่ครับ”
“ชื่อเหมือนผู้ชายน้อ”
“...”
“...” เมื่อผมเงียบ ทั้งพ่อและแม่ต่างก็มองหน้ากันก่อนที่แม่จะทำลายความเงียบ
“แฟนลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” แม่ถามด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยปราศจากรอยยิ้มเหมือนเมื่อครู่ ผมเตรียมใจมาแล้วนะแต่ไม่คิดว่าพอถึงเวลาจริงมันไม่ง่ายเลยที่จะพูด บอกตามตรงตอนนี้ผมโคตรกลัว กลัวพ่อแม่จะเสียใจ แต่เอาวะมาถึงขั้นนี้แล้ว..
“ผู้..ผู้ชายครับ” ผมก้มหน้าตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว
“ลูกเป็นเกย์?” แม่อุทานด้วยความตกใจ
“ไม่รู้ครับคือ..” น้ำเสียงผมเริ่มสั่นและฝ่ามือก็เริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ
“ค่อยๆอธิบายมาลูก” พ่อที่เห็นผมท่าทางผิดปกติค่อยๆลูบหลังให้ใจเย็นใจผมก็ใจชื่นขึ้นมาจึงค่อยๆอธิบาย
“ถึงณตจะไม่เคยมีแฟนมาก่อนแต่ณตก็ชอบผู้หญิงมาตลอด แต่ตอนนี้คนที่ณตรักเขาดันเป็นผู้ชาย..ณตก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแบบนี้เรียกว่าเกย์หรือเปล่า”
“...” เมื่อทั้งพ่อและแม่เงียบผมก็เริ่มใจเสีย มันต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดีๆๆ ผมได้แต่ท่องคำนี้อยู่ในใจก่อนจะถามคำถามที่ผมกลัวที่สุดออกไป
“พ่อกับแม่จะรังเกียจณตหรือเปล่าที่ณตมีแฟนเป็นผู้ชาย” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและดวงตาที่พร่ามัวเพราะน้ำตามันกำลังจะไหล..กลัว กลัวคำตอบเหลือเกิน
“พ่อแม่ที่ไหนเขารังเกียจลูกกันล่ะ” แม่จับมือผมที่กำไว้แน่นให้คลายออกพร้อมกับลูบหลังมือเบาๆพร้อมกับน้ำตาของผมที่ไหลรินด้วยความซาบซึ้ง
“หมายความว่า..”
“ลูกรักเขาไหม”
“ครับ”
“แล้วเขาล่ะรักลูกของแม่ไหม”
“เขารักลูกครับ” สิ่งที่พี่เบิ้มทำและแสดงออกคงไม่ใช่การโกหกแน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม พ่อล่ะว่าไง” แม่หันไปถามพ่อที่นั่งนิ่งไม่แสดงท่าทีใดๆจนผมชักหวั่นใจ
“ถ้าลูกมีความสุข พ่อก็ยินดีด้วย ถ้าครอบครัวไม่ยินดีแล้วลูกจะมีความสุขได้ยังไงล่ะ จริงไหม” สิ้นสุดคำพูดของพ่อเท่านั้นแหละน้ำตาของผมก็ไหลอย่างกับเขื่อนแตกพร้อมกับโผลกอดทั้งสองท่าน
“ขอบคุณครับ ณตรักพ่อกับแม่ที่สุด ฮือออ” ผมโชคดี โชคดีจริงๆที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อกับแม่
“โอ๋ๆไม่เอาลูกไม่ร้อง พ่อกับแม่ก็รักลูกที่สุดเหมือนกัน” แม่กอดผมพร้อมกับโยกตัวไปมาเหมือนกำลังปลอบเด็กชายปณตเมื่อสมัยยังเด็ก
“ณตกลัวว่าพ่อกับแม่จะรับไม่ได้”
“ก็ต้องรับได้สิลูกแม่มีแฟนทั้งที คิดว่าลูกชายแม่จะต้องขึ้นคานซะอีกแต่ผิดคาดนิดหน่อยนึกว่าจะได้ลูกสาวแต่ไม่เป็นไรได้ลูกชายเพิ่มอีกคนก็ดีเหมือนกัน”
“ฮือออ ณตรักแม่”
“พอแล้วๆไม่ร้อง ขี้แยจริงเด็กคนนี้ ว่าแต่ไปรู้จักกันได้ยังไงไหนเล่าให้แม่กับพ่อฟังสิ”
“เขาเป็นหัวหน้าของพอลแฟนไอ้ฟางน่ะครับ เมื่อหลายเดือนก่อนไอ้ฟางให้ผมเป็นไกด์ตอนที่เขามาเชียงใหม่”
“โอ้วว หัวหน้าเลยเหรอแล้วเขาคิดยังไงมาชอบลูกชายแม่เนี่ย” ถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่าเป็นเจ้าของบริษัทแต่บอกแบบนี้แหละดีแล้วจะได้ไม่ตกใจไปมากกว่านี้
“แม่อ่ะ”
“อ๊ะ สงสัยเขาจะติดใจในความงามของลูกแม่”
“งามอะไรล่ะแม่ ลูกออกจะหล่อ”
“หึ ถ้าลูกใส่วิกผมยาวนะเหมือนแม่ตอนเป็นสาวเด๊ะ เนอะพ่อ”
“ถ้าเดินด้วยกันเขาคงไม่คิดว่าเป็นแม่กับลูกคงคิดว่าเป็นฝาแฝด”
“พ่อก็พูดเกินไปแม่แก่แล้วจะเป็นแฝดกับลูกได้ยังไง”
“ใครบอกแม่แก่ แม่ยังสาวยังสวยเหมือนเดิมเหมือนสมัยที่ได้ตำแหน่งดาวมหา'ลัย” อะไรจะอวยเมียขนาดนี้ และใช่ครับแม่ผมเป็นอดีตดาวมหา'ลัย เอิ่ม..เมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่แล้ว
“พ่อก็~ ปากหวาน” ส่วนคนถูกอวยก็เขินซะจริงจัง
“ปากแม่ก็หวาน” เดี๋ยวๆชักจะติดเรทล่ะ จะจูบต่อหน้าลูกไม่ได้นะ..ลูกเขิน
“อะแฮ่ม ลูกยังนั่งอยู่ตรงนี้ครับ”
“โอ๊ะ ซอรี่ๆ” พ่อหันมายิ้มล้อๆก่อนจะโดนแม่ฟาดเข้าที่ต้นแขน
“พอเลยพ่อ ไปเก็บผักที่สวนเลยนะแม่จะได้เอามาทำกับข้าวตอนเที่ยง”
“ครับๆคุณดุจดาว ไปไอ้ลูกชายไปเก็บผักกับพ่อ”
ผมช่วยพ่อเก็บผักและอยู่กินข้าวต่อกับที่บ้านสักพักก็ขอตัวกลับและแน่นอนว่าบทสนทนาบนโต๊ะอาหารก็หนีไม่พ้นเรื่องของ Mr.Jeremy..
ผมรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกและดีใจจนบอกไม่ถูก เมื่อมาถึงเกสท์เฮาส์ก็ได้เวลาโทรไปปลุกพี่เบิ้มพอดิบพอดี ใจจริงแล้วอยากจะโทรไปตั้งแต่ตอนขับรถแต่ต้องอดทนรอไว้ก่อน ต่อสายไม่นานคนที่อยู่ไกลออกไปอีกทวีปหนึ่งก็กดรับสาย
[ที่รัก] น้ำเสียงนั้นช่างงัวเงีย
“คุณผมมีข่าวดีจะบอก” มันดีใจจนไม่อยากเวิ่นเว้อ
[อ่า ถูกหวยเหรอครับ] บ้าบอ
“ยิ่งกว่าถูกหวยซะอีกครับ”
[…]
“คือ..ผมไปหาพ่อกับแม่มาแล้วก็บอกเรื่องของเรา..”
[หมายความว่าท่านโอเคใช่ไหมครับ!] น้ำเสียงนั้นช่างตื่นเต้น ตื่นเต็มตาแล้วสินะมึง
“ครับ ท่านยินดีที่เราคบกัน”
[วิเศษ ว่าแต่คุณพูดจริงๆใช่ไหมครับ ไม่ได้อำผมนะ]
“ใครจะอำเรื่องแบบนี้กันล่ะครับ” ตอนบอกน่ะกลัวแทบตาย
[ดีใจจัง แต่คุณน่าจะบอกผมสักหน่อยว่าคุณไปหาพ่อกับแม่]
“ไม่เป็นไรครับผมไม่อยากให้คุณกังวลไปด้วยแค่งานของคุณก็เยอะพอแล้ว”
[โธ่ที่รัก คุณคงกังวลน่าดู ไม่แฟร์เลยที่คุณต้องกังวลอยู่ฝ่ายเดียว]
“ผมไม่เป็นไรจริงๆแล้วผลมันก็ออกมาอย่างที่คุณบอกไงครับว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดี พ่อกับแม่ยังบอกอีกนะว่าให้พาคุณไปหาเมื่อคุณกลับมาที่เชียงใหม่” พ่อกับแม่ย้ำเรื่องนี้ไม่หยุดขนาดผมขึ้นรถแล้วก็ยังเคาะกระจกเพื่อเตือนผมอีกครั้ง
[ครับแน่นอนเราจะไปด้วยกัน ที่รักผมรักคุณจัง]
“ผม..ก็รักคุณครับ”
[ให้ตาย! ทำยังไงดีผมอยากเจอคุณแทบบ้า]
“อีกสามอาทิตย์ แป๊บเดียวเอง”
[ตั้งสามอาทิตย์ต่างหากครับ]
“คุณก็คิดให้เป็นแค่สามอาทิตย์สิครับ”
[ไม่รู้ละ ผมคิดถึงคุณแค่วันเดียวก็เหมือนหนึ่งปีแล้ว] เว่อร์ตลอด
“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ”
[เจอกันแล้วคุณต้องให้ผมจูบจนกว่าผมจะพอใจ] แล้วทำไมต้องเรียกร้องเหมือนว่ากูผิดด้วยวะ มึงนั้นแหละที่ผิดทำไมไม่เกิดเป็นคนไทยเล่า
“ครับๆ” เถียงไปก็เปล่าประโยชน์ ไอ้การจูบยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่แล้วอีกอย่างผมก็ชอบมันไม่น้อย ฮ่า
...............
..........
.......
...
.
[ที่รัก]
“ถึงแล้วเหรอครับ”
[ครับตอนนี้อยู่โรงแรมแล้วเดี๋ยวต้องออกไปประชุมต่อ]
“เหนื่อยแย่เลย”
[นิดหน่อยครับ อ่อวันนี้ผมคงโทรหาคุณช้าหน่อยเพราะตอนเย็นต้องไปงานเลี้ยงลูกค้าต่อคุณนอนก่อนได้เลยนะที่รัก ถ้าผมกลับโรงแรมแล้วจะโทรหานะครับ]
“ได้ครับ”
[อ่า ผมต้องวางแล้ว คิดถึงนะที่รัก]
“ครับ ตั้งใจทำงานนะครับ”
[ครับ]
ตอนนี้พี่เบิ้มอยู่ฮ่องกงแล้วครับซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพี่เบิ้มมาฮ่องกงกี่วันรู้เพียงว่าเป็นการเดินทางที่ฉุกละหุกและดูเหมือนว่าเสร็จธุระที่ฮ่องกงก็ต้องเดินทางไปญี่ปุ่นต่อเป็นชีวิตนักธุระกิจที่โคตรจะวุ่นวายดีแท้แล้วเมื่อเดือนก่อนมาขลุกอยู่กับผมทั้งเดือนไม่รู้ว่าลูกน้องจะยุ่งวุ่นวายกันแค่ไหน..
วันนี้ทั้งวันผมได้คุยกับพี่เบิ้มแค่ตอนบ่ายก็ตอนที่พี่แกโทรมาบอกว่าถึงแล้วนั้นแหละจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่มผมก็ยังรอสายจากพี่เบิ้มอยู่ มันหลับไม่ลงจริงๆนะ แล้วไอ้งานเลี้ยงเนี่ยปกติเขาเลิกกันกี่โมงวะ
ก๊อก ก๊อก ใครมา? อีซูซี่เหรอ ทำไมมาดึกป่านนี้ แต่พอเปิดประตูก็ทำเอาผมยืนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“เซอร์ไพรส์!” พี่เบิ้มในชุดสูทสีน้ำตาลในร่างของบอสที่ผมไม่คุ้นตามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กสีดำและรอยยิ้มแป้นแล้นประจำตัว
“คุณมา..อื้ม” ไม่รอให้ผมได้ถามอีพี่เบิ้มก็คว้าผมไปกอดพร้อมกับแนบริมฝีปากลงมาทันที
จูบแห่งความคิดถึง นุ่มนวลและอ่อนโยน..
และจูบแห่งความโหยหา เร่าร้อนแทบหลอมละลาย..
“อื่อ คุณยะ หยุดก่อน” ผมดันพี่เบิ้มออกพร้อมกับเสียงหอบหายใจที่ถี่กระชั้นซึ่งที่เบิ้มก็ไม่ต่างกัน..
“ที่รักผมคิดถึงคุณแทบบ้า” พี่เบิ้มกำลังจะทาบริมฝีปากลงมาอีกผมจึงต้องดันอกหนาเอาไว้ก่อน..ขอหายใจแป๊บ
“ใจเย็นก่อน ผมหายใจไม่ทัน”
“ผมคิดถึงคุณ บอกแล้วไงครับว่าถ้าเจอกันผมจะจูบคุณจนกว่าจะพอใจ ซึ่งมันยังไม่พอ”
อ่า..ริมฝีปากที่บดคลึงช้าๆค่อยๆไล่ระดับจนกลายเป็นดุดัน เรียวลิ้นสอดแทรกเข้ามาดูดกลื่นทุกอย่างในโพรงปากทำเอาร่างของผมอ่อนระทวยโชคดีที่มีสองมือหนาประคองไว้และแผ่นหลังที่ชิดติดกับประตูไม่อย่างนั้นผมคงล้มไม่เป็นท่า
ผมจูบตอบและดูดดึงปลายลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน แค่พี่เบิ้มคนเดียวซะที่ไหนละที่โหยหา..
จูบ..จูบแห่งความคิดถึง รสชาติมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ขมในตอนแรกแต่สุดท้ายหวานแทบขาดใจ..
TBC.
..........................................................................
ขอสารภาพตามตรงว่าตั้งใจจะไม่เขียนนิยายเรื่องนี้ต่อด้วยปัญหาหลายๆอย่างของมาลีเองที่ทำให้มาต่อนิยายเรื่อง
นี้ไม่สม่ำเสมอ..แต่เพราะคิดถึงพี่เบิ้มกับป้านดและนักอ่านที่ยังรอจึงต้องกลับมา
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อดทนอ่านนิยายเรื่องนี้ที่นานๆโผล่มาที..สัญญาว่าจะมีตอนจบของพี่เบิ้มกับป้านดค่ะ^^