♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 15
‘กำลังใจ’ ใครว่าไม่สำคัญ แต่สำหรับผมมันสำคัญมาก ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม มันก็สามารถทำให้ผมล้มแล้วลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง แต่ถ้าหากกำลังใจนั้น มาจากผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ มันก็น่าแปลกมาก ที่พี่เขาทำให้ผมล้มแล้วลุกขึ้นวิ่งออกไปได้อีกไกล ราวกับเส้นชัยมันอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม
ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว เส้นชัยของผม มันก็ยังคงห่างไกล เพียงแต่ไม่ได้ ‘ไกล’มากเท่าแต่ก่อน“ช่วงนี้มึงเป็นอะไรของมึงวะ จิตใจดูไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย” ไอ้คินถาม ขณะที่สถาปนาตัวเองมาเป็นช่างเป่าผม เพราะไม่ว่ายังไง นิสัยเดิมของผมมันก็ยังแก้ไม่หาย ไอ้เพื่อนรักมันก็เลยต้องบีบบังคับให้มาเป่าผมก่อนที่จะล้มตัวลงนอน
แต่ถ้าหากผมอยู่กับพี่เนย์น่ะเหรอ เราต่างคนต่างก็นอนกันทั้งๆที่ผมยังคงชื้นอยู่นั่นแหละ
“…” ผมส่ายหัว เพราะขี้เกียจจะเล่า และไม่อยากให้พวกมันรู้สึกไม่ดีไปด้วย อีกอย่างไอ้หมอกมันเองก็เหมือนผม ถ้าหากผมเล่าออกไป ไอ้ตัวที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง มันจะเผลอคิดไปถึงเรื่องของตัวเองเข้าให้หรือเปล่า
“เออ ไอ้เชี่ย พรุ่งนี้เรียนคหกรรมนี่หว่า” ไอ้หมอกขยับตัวเอี๊ยดอ๊าดอยู่บนเตียง บ่งบอกได้ว่าไอ้เพื่อนซี้มันกำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากที่นอน ทันทีที่มันนึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้ จะมีเรียนวิชาที่มันไม่ชอบ แถมยังไม่ถนัดเอามากๆ
“แล้ว?” ไอ้คิน ย้อนถาม ขณะกำลังถอดปลั๊กออกจากเต้าเสียบ จากนั้นมันก็จัดการม้วนสายเก็บให้เรียบร้อย ส่วนผมก็ลุกเดินไปนั่งยังเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง โดยหันหน้าไปยังเตียงของไอ้หมอก
“ก็กูทำอาหารไม่เป็นไงล่ะ สาดดด” ไอ้เพื่อนตัวดีมันขยับตัวเล็กน้อย เพื่อสอดขาระหว่างซี่เหล็กกั้นของเตียงสองชั้น พลางแกว่งไกวไปมา ราวกับมันกำลังนั่งไกวชิงช้าที่สนามเด็กเล่น
“ไอ้รันแม่งก็ทำไม่เป็น ไม่เห็นมันจะบ่นมากเหมือนมึงเลย?” ไอ้คินมันว่า พลางเดินไปหยิบน้ำดื่มของส่วนกลาง ขึ้นมาเปิดฝาและกระดกดื่มอย่างหิวกระหาย
“โห่ เพื่อนคิน มึงพูดเหมือนกูกับมันเป็นคนๆเดียวกันเลยเนอะ” ไอ้หมอกบ่นอุบ พลางเอี้ยวตัวไปข้างหลัง จากนั้นมันก็ขว้างหมอนข้างใส่ไอ้คินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือข้างๆผม
“อ้าว เดี๋ยวนี้มึงไม่ติดหมอนข้างแล้วเหรอวะ ขอบคุณนะ” พอไอ้คินมันคว้าหมับเข้าให้ ร่างสูงโย่งของมันก็ลุกขึ้นยืน พลางโยนหมอนข้างของไอ้หมอกไปไว้บนเตียงที่อยู่ข้างบนโต๊ะหนังสือ
“ไอ้เชี่ยยยยย เอาคืนกูมา!” ไอ้หมอกมันเคลื่อนไหวตัวเองอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวมันก็ลงมายื้อแย่งหมอนข้างกับไอ้คินซะแล้ว ผมจึงได้แต่ส่ายหัวให้กับความวุ่นวายที่มีให้เห็นทุกครั้ง เมื่อผมมาค้างที่หอใน
ครืด ครืด
ผมละความสนใจจากไอ้เพื่อนซี้ทั้งสอง จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู กระทั่งเห็นว่าใครเป็นคนโทรมา ผมก็แอบอมยิ้ม พลางกดรับสายและเดินออกไปยืนคุยด้านนอกระเบียง โดยไม่ลืมที่จะปิดประตูกระจกให้มิดชิด แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังไม่ได้ยินสุ้มเสียงของอีกฝ่ายเล็ดลอดออกมา
เพราะขณะนี้ เสียงบรรเลงกีตาร์ มันกำลังโดดเด่นอยู่ในปลายสาย“เครียดว่ะมึง” สักพักเสียงตะกุกตะกักก็ดังมาตามสาย จากนั้นเสียงทุ้มนุ่มที่ผมมักจะคุ้นเคยก็ค่อยๆเข้ามาแทนที่
“ทำไมครับ..ฝึกงานมีปัญหา..เหรอ?” ผมย้อนถามอย่างเป็นกังวลตามไปด้วย
“ไม่เชิงว่ะ แต่กูแค่ไม่เข้าใจคนไข้ คงเพราะเป็นเด็กเล็กด้วยแหละ” พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“แต่พี่เนย์เก่ง..อยู่แล้ว..ต้องรับมือได้..แน่ๆ” ผมยืนพิงกำแพง พลางมองออกไปยังพื้นที่ด้านนอกระเบียง ที่มีเพียงแค่สนามหญ้าขนาดย่อม และรั้วกั้นอาณาเขต
“มึงพูดชื่อกูได้นานหรือยัง?” ผมสะดุดใจไปพักใหญ่ เพราะจู่ๆ คนกรุงเทพเขาก็ตั้งคำถามใหม่อย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายคงไม่อยากจะเปิดเผยข้อมูลของคนไข้มากนักก็เป็นได้
“นานแล้วครับ” ผมตัดสินใจตอบไปตามความจริง เพราะถึงยังไงความลับมันก็แตกไปแล้ว
“เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่ช่วง..ปิดเทอมใหญ่..ตอนจะขึ้นปีสอง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ใจกลับลุ้นระทึกในผลตอบรับของอีกฝ่ายอย่างมากมาย
“นานขนาดนั้นเลย? แต่ทำไมมึงถึงเพิ่งมาหลุดเอาตอนนี้ หรือว่ามึงวางแผนจะแกล้งอะไรกู?” พี่เนย์ทำเสียงเข้ม ราวกับจะข่มขู่ แต่กลับไม่ได้ทำให้ผมหวาดกลัวเลย
“ผมรู้ว่าพี่น้อยใจ..ที่ผมยังพูดชื่อ..ของพี่ไม่ได้แค่..คนเดียว..แต่ในความจริง..แล้ว..พี่คือคนที่สามลองจาก..พ่อกับแม่..ที่ผมสามารถพูดชื่อ..ออกมาได้” ผมอธิบาย ขณะที่ในใจมันก็เต้นระรัวด้วยความเก้อเขิน เพราะการที่ต้องมาพูดสาธยายถึงสิ่งที่ตัวเองทำ โดยที่อีกฝ่ายเขาก็ตั้งใจรับฟังเป็นอย่างดี มันจึงทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เขาให้ความสำคัญกับตัวผมมากแค่ไหน
“ผมอยากจะ..เก็บมันไว้เป็น..ของขวัญ..วันที่พี่รับปริญญา..เพราะมันเป็นวันที่พี่ประสบ..ความสำเร็จ..แถมครอบครัวของ..พี่ก็ยังภูมิใจในตัวพี่..ผมเลยคิดว่า..ถ้าหากผมพูดชื่อของพี่..ในวันนั้น..มันอาจจะทำให้พี่..มีความสุขมากกว่าเดิม”
“มึงนี่คิดอะไรซับซ้อนดีเนอะ” พี่เนย์ค่อนแคะเพียงเล็กน้อย ขณะที่ผมก็ได้แต่หัวเราะทั้งความคิดของตัวเอง และอีกฝ่ายที่กำลังเก้อเขิน แต่กลับทำเป็นไม่รับรู้อะไร
“ผมเคยแอบอวยพรให้พี่ฝันดี..พร้อมกับพูดชื่อของพี่..ต่อหน้าพี่..ตั้งแต่ช่วงเปิดเรียนใหม่ๆแล้ว..แต่เป็นเพราะพี่หลับ..พี่ก็เลยไม่ได้ยิน”
“…”
“ผมเคยเผลอ..ทำความลับแตก..ในวันนั้นที่เรากอดกัน..ท่ามกลางความมืด..ในห้องน้ำ” ผมเม้มปากแน่น ขณะที่กำลังเอื้อนเอ่ยไปถึงเรื่องราวในคืนนั้น ที่พี่เขาเคยบอกว่าจะเก็บมันไว้ในความทรงจำให้ลึกจนสุดใจ
“…”
“แต่สุดท้ายพี่ก็จับได้..ในคืนวันที่เรา..กอดกัน..หลังจากพากันดื่ม..จนกลิ่นแอลกอฮอลล์..มันคลุ้งไปหมด”
“มึงรู้มั้ย จนป่านนี้กูยังคิดถึงเรื่องในวันนั้นอยู่เลย เพราะกูรู้สึกว่า วันนั้นเป็นวันที่มึงดูมีเสน่ห์มากกว่าทุกวัน ไม่ว่าท่าทาง และน้ำเสียง ไม่สิ สำหรับกู ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมึงในตอนนั้น มันค่อยๆ ทำให้กูคิดถึงเรื่องของเรา ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งปัจจุบัน รัน.. มึงคิดดูสิ แค่กูคิดถึงมึง มันก็ทำให้กูมีความสุขแล้ว ทีนี้เป็นไงล่ะ ผลสุดท้ายความยุติธรรมก็ไม่ยอมอยู่ข้างๆกูเหมือนเดิม”
“…” ผมอมยิ้มจนเริ่มปวดแก้ม เพราะถ้อยคำธรรมดาๆ มันกลับทำให้รู้สึกใจเต้น เมื่อผู้พูดเขาพูดมันออกมาจากความคิดและหัวใจ
“กูคิดถึงมึงมาก จริงๆนะรัน จากที่เคยได้นอนกอดมึง ตอนนี้กลับต้องมานอนกอดหมอนข้าง ซึ่งมันแย่ว่ะ ไม่ได้อุ่นไม่ได้หอมเหมือนตอนที่กอดมึงเลย” ผมเขินมากกับคำบอกเล่าของอีกฝ่าย จึงได้แต่ขบเม้มริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น
“เวลาฝนตก แล้วมีฟ้าแล่บ หรือแม้แต่ตอนที่ฟ้าผ่า มันก็ยังทำให้กูคิดถึงมึง เพราะถ้าหากกูอยู่กับมึง คนอ่อนโยนแบบมึงก็จะตลบผ้าห่มขึ้นมาคุมโปงเราทั้งคู่ จากนั้นมึงก็จะเอามือทั้งสองข้างของตัวเองมาปิดหูกู”
“แต่พี่เคยบ่นว่า..มันไม่ช่วยอะไร” ผมเถียงแก้เก้อ ซึ่งมันไม่ได้ผิดไปจากความจริงนัก เพราะพี่เนย์เขาบ่นอุบทันทีที่ผมทำแบบนั้น ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด เพราะเสียงฟ้าผ่าก็ยังดังมากเท่าเดิม จะมีก็แต่ฟ้าแล่บเท่านั้นล่ะ ที่ผ้าห่มยังช่วยเอาไว้ได้
“แต่กูก็ไม่เคยปฏิเสธเลยไม่ใช่หรือไง” อีกฝ่ายเถียงกลับมาทันควัน
“…”
“รัน”
“ครับ?”
“คิดถึงพี่มั้ย?” พี่ฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงติดจะอ้อนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาผมใจเต้นเพราะหนุ่มกรุงเทพคนนี้อีกแล้ว
“คิดถึงสิครับ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล
“อื้ม แค่นี้ก็พอแล้ว” พี่เนย์ตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย
เพราะแค่เรายังคงคิดถึงกันเพียงแค่นั้น มันก็พอแล้วจริงๆระหว่างคุยกับพี่เนย์ ไอ้หมอกมันก็แกล้งมาเคาะประตูกระจกอยู่หลายครั้ง ผมก็ทำได้แค่ยกนิ้วกลางให้อย่างละมุนละม่อม เท่านั้นล่ะ ไอ้เพื่อนตัวกวนมันก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี จากนั้นมันก็เดินไปปิดไฟ เพื่อเตรียมตัวเข้านอนอย่างรวดเร็ว ผมจึงค่อยๆ เลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากหู เพื่อดูเวลา กระทั่งเห็นว่ามันดึกมากแล้ว ผมจึงเป็นฝ่ายบอกให้พี่เนย์วางสาย เพราะพรุ่งนี้พวกเราต่างก็ต้องตื่นกันแต่เช้า เพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเอง
คืนนี้จึงเป็นคืนแรก ที่ผมอวยพรให้พี่เนย์ฝันดี พร้อมกับเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายอย่างชัดถ้อยชัดคำคลิปโปรเจคของกลุ่มผมถูกปล่อยออกมาในเช้าวันใหม่ ผมจึงกดแชร์ไปที่เฟซบุ๊กของตัวเอง แม้ว่าภายในคลิปนั้นจะไม่มีภาพหรือแม้แต่ชื่อของผมปรากฏอยู่ในนั้นก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า โปรเจคของสาขาในครั้งนี้ น่าจะเจาะกลุ่มเป้าหมายไม่ตรง แต่ถ้าพูดถึงประโยชน์ของมัน ผมกล้ารับรองได้เลยว่า นิทานแต่ละเรื่อง สามารถสร้างความสุขให้กับกลุ่มคนที่มีข้อบกพร่องอย่างแน่นอน
ฉะนั้นโอเพ่นเฮ้าส์ในครั้งนี้ อาจจะไม่ได้รับความสนใจอย่างมากมายนักวันนี้แม้จะมีเรียนคาบคหกรรม แต่ผมก็ยังต้องตื่นแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวไปทานข้าวที่โรงอาหารกลาง เนื่องจากว่าคาบนี้อาจารย์ท่านจะสอนทำขนมไทยประยุกต์ ผมจึงต้องตุนอาหารไว้รองท้องให้อิ่ม เพราะเมนูดูถ้าจะไม่เหมาะกับการแอบกินในคาบเรียน
“ฝนตก” ผมยื่นมือออกไปรองรับละอองฝนที่ค่อยๆโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากตัวอาคารหอพัก เพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารกลาง ด้วยความที่วันนี้ไม่มีแสงแดดอ่อนๆ แต่กลับมีเม็ดฝนโปรยปราย ผมจึงต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าปกติ กระทั่งมาถึงโรงอาหาร ผมก็มุ่งตรงไปยังร้านข้าวแกงเจ้าประจำ จากนั้นก็จ่ายเงินและรับข้าวยำไข่ดาวกับหมูแหนมทอดมาถือไว้ ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านขายน้ำ เพื่อซื้อน้ำเปล่าสักขวด และเมื่อได้ทุกอย่างครบ ผมก็มุ่งหน้าเดินไปยังที่นั่งมุมประจำในยามเช้าของตัวเอง
Neran P. added 1 new photo
Rainy days makes me think about you a lot
ผมถ่ายภาพสายฝนพรำตรงหน้าโรงอาหาร พลางโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน เพราะยิ่งนั่งมองฝนอยู่เงียบๆแบบนี้ ผมก็ยิ่งคิดไปถึงวันที่ผมติดฝนอยู่ที่ร้านกาแฟตรงแถวหอพี่เนย์ วันนั้นพี่เขารีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหา จากนั้นเราก็นั่งมองฝนด้วยกันเงียบๆ กระทั่งฝนไม่มีทีท่าจะตก ผมจึงต้องอาศัยห้องของอีกฝ่ายเป็นที่พักพิงชั่วคราว
อีกทั้งในคืนนั้น ก็เป็นคืนที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรา ไม่ใช่แค่เพียงรุ่นพี่และรุ่นน้องอีกต่อไปหลังจากวันนั้น ไม่ว่าจะเห็นฝนตกในระดับไหน เรื่องราวในวันนั้นก็มักจะลอยวนเวียนอยู่ในความนึกคิดเสมอ และผมก็หวังว่าพี่เนย์จะยังคงคิดเห็นแบบเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง
“อ้าว รันมานั่งอยู่นี่เอง เราก็ว่า ทำไมตั้งแต่เปิดเทอมไม่เห็นรันมากินข้าวเช้าที่โรงอาหารกลางเลย” สาวๆคณะบัญชีเดินเข้ามาทักทายผม
“เปลี่ยนบรรยากาศน่ะ” ผมตอบสั้นๆ พลางยกยิ้มให้ทั้งสามสาว
“งั้นเดี๋ยวเรามานั่งด้วย ขอไปซื้อข้าวก่อน” นิ้งพูดพลางวางกระเป๋าและหนังสือเรียนไว้ทางฝั่งตรงข้าม ทันทีที่ผมพยักหน้าอนุญาต จากนั้นแอ้มกับอิ๋มก็ทยอยกันเอาของมาวางบ้าง และก่อนจะเดินไปซื้อข้าว หนึ่งในสามสาวก็ไม่ลืมฝากให้ผมดูแลสัมภาระให้พวกเธอด้วย
Akane Akarawin recently liked your photo
“รันนั่งยิ้มอะไร?” อิ๋มเดินมาถึงโต๊ะเป็นคนแรก จากนั้นเธอก็หรี่ตามองผมอย่างหยอกล้อ
“…” ผมไม่ตอบ แต่กลับยิ้มจนตาปิดให้อิ๋ม ฝ่ายนั้นก็หัวเราะเบาๆ คล้ายกับรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร
“พี่เนย์สบายดีมั้ย?” แอ้มที่ย้ายตัวเองมานั่งข้างๆ เอ่ยถามไปถึงว่าที่นักจิตบำบัดคนไกล
“อื้อ แต่ก็มีบ่น..ว่าเครียดๆเรื่อง..งานบ้างน่ะ” ผมตอบพลางตักข้าวเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน เพราะตอนนี้ยังไม่สายมากนัก ส่วนแอ้มก็พยักหน้ารับ จากนั้นเราต่างคนต่างก็ก้มหน้าทานข้าวเช้าของตัวเอง สลับกับพูดคุยเรื่องทั่วๆไปบ้าง ก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้าเรียน เมื่อท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่ง
“สำหรับส่วนผสมของทาร์ตสาคูมะพร้าวอ่อน จะประกอบด้วยแครกเกอร์ เนยเค็มละลาย สาคู น้ำเปล่า น้ำตาลทราย น้ำใบเตยคั้นเข้ม ข้าวโพดสุก เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นชิ้น ใบเตยมัดรวมกันประมาณ 2-3 ใบ” อาจารย์อธิบายส่วนผสมที่ต้องใช้ในวันนี้อยู่ตรงหน้าห้องเรียน ส่วนพวกผมที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อน ซ้ำยังใส่หมวกคลุมผมอย่างถูกสุขอนามัย ก็ได้แต่มองไปที่อาจารย์ผู้ให้ความรู้ ส่วนด้านข้างก็มีพี่ล่ามมาคอยถอดความจากภาษาพูดให้กลายเป็นภาษามือ เพื่อที่เพื่อนๆ ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน จะได้เข้าใจเนื้อหาการเรียนการสอนในวันนี้ด้วย
“ต่อมาเป็นส่วนผสมของหน้ากะทินะคะ จะประกอบไปด้วย กะทิ เกลือป่นหยาบ น้ำตาลทราย และแป้งข้าวเจ้า” ผมเหลือบมองไปยังพี่ล่าม ก็เห็นพี่เขาสื่อสารเป็นภาษามือของคำว่า ‘เกลือ’ เข้าพอดี โดยพี่ล่ามสุดหล่อของเรา เขายกมือขวาคล้ายกับกำลังหยิบจับอะไรสักอย่างขึ้นมาจรดที่ริมฝีปาก หรือถ้าหากคนทั่วไปมองก็คงจะคล้ายกับท่าทางของคนที่กำลังจะเป่านกหวีด ขณะที่สีหน้าของพี่เขาก็แสดงออกถึงความเค็มปี๋ ดวงตาทั้งสองข้างถึงได้หรี่ปรือจนเป็นเส้นตรง จากนั้นก็เลื่อนปลายนิ้วชี้ไปยังข้างลำตัวในระดับหัวไหล่ พร้อมกับลากปลายนิ้วเป็นเส้นตรงจากบนลงล่างกลางอากาศ
“มึงรู้ป่ะ พี่เขาเป็นไอดอลกูเลย” ไอ้หมอกมันทำเนียนพาดแขนขึ้นบนลาดไหล่ผม จากนั้นมันก็ค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับกระซิบบอกความลับของตัวเองให้ผมทราบ
“…” ผมพยักหน้ารับรู้
“แถมยังป๊อปในโรงเรียนของคนที่มีข้อบกพร่องด้วยนะมึง” พอไอ้หมอกมันพูด ผมเองก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะพี่ล่ามเขาหน้าตาดีมากจริงๆ แถมยังสุภาพมากๆ ด้วย สาวๆสาขาผมนี่ พากันหลงใหลได้ปลื้ม ‘พี่อั้ม’ กันเป็นแถว
และถ้าจำไม่ผิด พี่เขาน่าจะเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ตั้งแต่ต้นปีเองมั้ง
จากนั้นไม่นาน พวกเราต่างก็ต้องแยกย้ายไปรวมกลุ่มที่ได้จับจองกันไว้ตั้งแต่คาบที่แล้ว ซึ่งจำนวนนักศึกษาในแต่ละกลุ่ม จะขึ้นอยู่กับหัวข้อความยากง่ายในการเรียนการสอน ขณะที่อาจารย์ท่านก็ค่อยๆอธิบายวิธีการทำอย่างละเอียด
แต่ถ้าหากยังจำไม่ได้ก็พอจะมีชีทอันเป็นสมบัติล้ำค่าให้ได้เปิดดู
“มึงไปบดแครกเกอร์ไปไอ้หมอก ส่วนมึงไอ้พีทมาช่วยกูเหมือนเดิม” ผมผู้ที่ไม่มีหน้าที่ใดๆ ก็เลยถือโอกาสไปช่วยไอ้หมอกผสมแครกเกอร์กับเนยสดละลาย แล้วก็คนให้เข้ากัน จากนั้นก็ช่วยกันเอาแครกเกอร์ที่ผ่านการคลุกเคล้าเรียบร้อย มาอัดไว้ตรงก้นภาชนะสำหรับใส่สาคู กระทั่งพวกไอ้คินและไอ้พีทช่วยกันต้มสาคูจนสุก รวมไปถึงการปรุงรสพร้อมเสิร์ฟ พวกมันก็ช่วยกันยกหม้อสาคูมาวางพักไว้ให้คลายความร้อน ก่อนที่พวกมันจะไปช่วยกันเตรียมหน้ากะทิเป็นรายการต่อไป
“ไม่จืดไปเหรอวะมึง?” ไอ้หมอกย้ายตัวเองเข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ตรงหน้าหม้อบรรจุสาคู พลางเอ่ยถามความคิดเห็นหลังจากถือวิสาสะชิมฝีมือนักศึกษาหนุ่มทั้งสอง
“เดี๋ยวถ้าราดด้วยกะทิ มันจะพอดีเว้ยมึง” พอไอ้พีทมันการันตีอย่างนั้น คนทำอาหารไม่เป็นอย่างไอ้หมอกจึงทำได้แค่พยักหน้า ขณะที่ผมก็คอยเช็คความร้อนว่ามันคลายตัวลงหรือยัง จะได้รีบตักสาคูใส่ลงในแก้วพลาสติกขนาดเหมาะมือ เพราะเดี๋ยวเราต้องเอาไปแช่เย็น ก่อนจะต้องออกไปเร่ขาย เพื่อหาเงินมาเป็นกองกลางสำหรับซื้อวัตถุดิบในคาบต่อไป
ระหว่างรอให้สาคูเย็นตัวลง อาจารย์ก็เรียกพวกเรามายืนรวมกันตรงหน้าห้องเรียน จากนั้นก็แจ้งถึงเมนูที่เราจะต้องทำกันในคาบต่อไป และให้พวกเราจับกลุ่มกันประมาณหกถึงเจ็ดคน กระทั่งการเรียนการสอนในวันนี้จบสิ้นลง พวกเราทั้งหมดก็ต้องนำทาร์ตสาคูมะพร้าวอ่อนไปเร่ขายตามคณะต่างๆ โดยอาจารย์เป็นคนกำหนดให้เอง เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ไปซ้ำคณะกัน โชคดีที่กลุ่มผมได้ขายให้กับคณะของตัวเอง ก็เลยเบาใจหน่อย เพราะถ้าหากบังเอิญเจอรุ่นพี่กับรุ่นน้องประจำสาขา ขนมของพวกเราก็คงจะขายหมดเร็วกว่าใครเพื่อน
“พี่รัน ขายอะไรเอ่ย สาคูมะพร้าวอ่อนเหรอคะ?” น้องโบว์เดินมาพร้อมกับปาล์ม พลางยกยิ้มอย่างสดใสเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็น จากนั้นทั้งสองคนก็ยกมือไหว้พวกผมจนครบถ้วน
“ทาร์ต..สาคูมะพร้าวอ่อน” ผมยิ้มพลางตอบลูกค้ารายแรก
“หนูเอาสองค่ะ” ทันทีที่น้องโบว์สั่ง ไอ้หมอกที่ยืนอยู่ข้างๆก็เป็นคนหยิบแก้วพลาสติกบรรจุสาคู พร้อมกับช้อนพลาสติกใส่ลงในถุง และแลกเปลี่ยนสินค้ากับเงินอย่างชำนาญ ขณะที่พวกไอ้คินกับไอ้พีทเองก็ไปเดินเร่ขายให้กับพวกพี่ๆน้องๆ ที่นั่งกันตามโต๊ะม้าหินอ่อนนอกอาคารเรียน หรือไม่ก็กลุ่มคนที่พากันเดินไปมาอย่างขวักไขว่ในเวลาเที่ยงตรง
“หนูไปกินข้าวก่อนนะคะพี่รัน พี่หมอก” น้องโบว์โบกมือให้ผม พลางหันไปไหว้ไอ้หมอก ขณะที่ปาล์มก็ยังทำตัวนิ่งๆตามสไตล์ แต่ถึงอย่างนั้นน้องมันก็ยังไหว้ทักทายพวกเราทุกครั้ง
“เฮ้ย นั่นพี่รหัสกู เดี๋ยวมา” กระทั่งคนเริ่มซา เราก็ยังขายไม่ค่อยได้ เพราะมันเป็นขนมหวานด้วยแหละ แถมเวลานี้คนส่วนใหญ่ก็ต้องรีบไปกินข้าวกันทั้งนั้น ดีหน่อยที่เจอรุ่นน้องเข้ามาช่วยอุดหนุน ส่วนรุ่นพี่ผมยังมองไม่เห็นสักคน แต่โชคดีที่ไอ้หมอกมันตาไว มันจึงหอบขนมเข้าไปสะกัดเป้าหมายไว้ได้ทัน
“รัน” ผมตัวแข็งเกร็งทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกอันไม่พึงประสงค์
“ขายขนมเหรอ เท่าไหร่?” ไอ้เด็กนิเทศเดินเข้ามาทักทายผมพร้อมกับเพื่อนอีกสี่ห้าคน
“ห้าสิบ” ผมตอบเกินราคา เพื่อที่จะไล่มันไปให้พ้นทาง เพราะผมไม่อยากจะยุ่งกับมันแล้ว
“งั้นกูเอาสี่แก้ว” ไอ้มอสมันรีบตอบอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมองมันทันควัน ส่วนเพื่อนคนอื่นๆของมันก็ได้แต่ส่งยิ้มมาให้ผม เมื่อเราบังเอิญเผลอสบตากัน
“อืม” ผมตอบรับเพียงเบาๆ พร้อมกับพาตัวเองไปยังโต๊ะว่างใกล้ๆ เพื่อที่จะได้หยิบจับอะไรได้สะดวก
“ที่ผ่านมากูขอโทษจริงๆ กูจะไม่แก้ตัว เพราะกูผิดจริงๆ รัน” ทันทีที่ไอ้มอสมันแก้ตัว มือของผมที่กำลังเคลื่อนไหวก็หยุดชะงักแน่นิ่ง แต่หลังจากนั้น ผมก็จัดแจงเอาขนมใส่ลงในถุง พร้อมกับหยิบช้อนใส่ลงไปให้ครบตามจำนวน
“สองร้อยบาท” ผมยื่นถุงให้มัน พร้อมกับแบมือรอรับเงินอย่างเย็นชา
“มึงต้องขายให้หมดนั่นเลยใช่ไหม?” พอเสร็จธุระ และผมกำลังจะเดินเข้าไปเร่ขายให้กับพวกพี่ทีม ไอ้มอสมันก็เข้ามาขวางทางเสียก่อน จึงทำให้พวกพี่เขาไม่เห็นผม เลยทำให้พลาดโอกาสในการขาย
“มอส..กูว่ามึงไปกิน..ข้าวเถอะ” ผมหันกลับมาสนใจไอ้มอสอีกครั้ง พร้อมกับออกปากไล่ไปตรงๆ
“เฮ้ยพวกมึง มาช่วยกันขายทาร์ตสาคูหน่อยดิ ถือว่าช่วยเพื่อนกูหน่อย มันจะได้รีบไปกินข้าว” ไอ้มอสกลับไม่สนใจ ซ้ำยังคว้าข้อมือของผมไว้ ทำให้ผมหลีกหนีจากมันไม่พ้น ครั้นจะสะบัดให้หลุด ผมก็เกรงว่าขนมจะเละจนขายไม่ได้ ทีนี้คงทำให้กลุ่มเราต้องเดือดร้อนแน่ๆ
“เราต่างคนต่าง..อยู่กันไม่ได้..เหรอวะ..สิ่งที่มึงเคยทำ..กับสิ่งที่มึงพยายาม..จะทดแทน..มันไม่ช่วยให้กูกับมึง..เข้าหน้ากันติดหรอก” ผมพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ แม้ว่าไอ้เด็กนิเทศมันจะกำลังช่วยผมขายของอยู่ก็ตาม แต่เพราะอคติของผมมันยังไม่หมดไป ผมถึงได้ค้านจนหัวชนฝา เพื่อแสดงความจำนงว่าผมจะไม่ยอมรับข้อเสนอใดๆของมัน
ทั้งๆที่ผลประโยชน์มันจะตกอยู่ที่ตัวผมเองแท้ๆ“กูรู้ แต่ถึงอย่างนั้นกูก็ยังอยากจะทำ เพราะว่ามันก็ยังดีกว่ากูปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป โดยที่มึงไม่รู้ว่าตอนนี้กูรู้สึกผิดมากแค่ไหน จะว่ากูเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่กูอยากให้มึงรับรู้ไว้เฉยๆ ว่ากูรู้สึกผิดจริงๆ” ไอ้มอสมันพูด พลางหยิบทาร์ตสาคูไปเร่ขายให้กับสาวๆคณะผม จากนั้นไม่นานมันก็ได้เงินสดกลับมา รวมถึงเพื่อนๆของมันด้วย
“ทุกคนฝากบาดแผล..เอาไว้ในใจกู..มากเกินไป..จนกูเข้ากับคนอื่นไม่ได้..แม้แต่การจะขายของ..ให้คนกับคณะเดียวกัน..แต่แค่ต่างสาขา..กูยัง..ทำไม่ได้เลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พลางกำขอบถาดแน่ ด้วยความขุ่นหมองปนโมโห
ที่เรื่องราวในอดีตมันส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน-อ่านต่อด้านล่าง-