♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 20
เพราะการเดินทางอันฉุกละหุก ทำให้กว่าเราสองคนจะตื่น ก็ปาเข้าไปตั้งสิบเอ็ดโมงแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าเรามีเวลาอาบน้ำเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง แค่คนละครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากเราต้องรีบเช็คเอาท์ตามกฎระเบียบของโรงแรม ที่ถ้าหากอยู่นานกว่านั้น ก็อาจจะถูกชาร์ตค่าใช้จ่ายเพิ่มเอาได้ ดังนั้นภายในเวลาบ่ายโมงกว่าๆแบบนี้ พวกเราจึงยังคงวนเวียนอยู่ในชะอำ เพื่อตะเวนหามื้อเช้าที่มันค่อนไปทางบ่าย
“กินร้านนั้น..มั้ยครับ?” ผมชี้ไปยังร้านๆหนึ่งที่เราขับผ่าน ซึ่งดูท่าทางน่าจะทำอร่อยด้วย เพราะว่าคนเต็มร้านไปหมด
“โห คนโคตรเยอะเลยว่ะ จะมีที่นั่งหรือเปล่า” พี่เนย์บ่นอุบ แต่ก็ยอมมองหาที่จอดรถ ตามความต้องการของผม ซึ่งก็เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว เพราะร้านนี้มีทั้งโซนในร้านและนอกร้าน ผมจึงเลือกนั่งที่โซนนอกร้าน ที่มันให้อารมณ์เหมือนกับเรามานั่งเตียงผ้าใบแล้วกินอาหารทะเลแบบนั้นแหละ เพียงแต่เก้าอี้ของร้านนี้ไม่ใช่เตียงผ้าใบแค่นั้นเอง
“พี่ออกค่าโรงแรมไปแล้ว..ผมออกค่า..อาหารนะครับ” หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ผมก็รีบตกลงกับผู้ชายตรงหน้าที่กำลังนั่งท้าวคางมองไปยังท้องทะเลอันเวิ้งว้าง เนื่องจากเราบังเอิญได้โต๊ะนั่งตัวสุดท้ายที่อยู่ริมหาด ซึ่งสามารถมองวิวรอบๆทิศทางได้อย่างชัดเจน
“อืม” อีกฝ่ายตอบรับง่ายๆ คงเพราะรู้ว่าช่วงนี้ผมไม่ได้ลำบากเรื่องเงินเหมือนช่วงที่ต้องไปล้างแผล เพราะฉะนั้นหากกลับจากชะอำ ผมคงต้องงดบลูเลม่อนสักระยะ
“มองอะไร?” พี่เนย์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อหันมาเจอสายตาของผม ที่ยังคงมองตรงไปที่อีกฝ่ายแน่นิ่ง
“…” ผมส่ายหน้า พลางยกยิ้ม เพราะผมไม่มีเหตุผลของการกระทำให้ต้องมานั่งอธิบาย ฝ่ายคนถูกมองเขาก็ทำเฉย พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเป็นครั้งแรกในรอบวัน
“ข่าวมึง”
“ครับ?” ผมรับโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาถือไว้ พลางเงยหน้าขึ้นไปมองว่าที่นักจิตบำบัด ที่กำลังพยักพเยิดหน้าให้ผมลองดูเนื้อความด้วยตัวเอง
“เอ้าเชี่ย!” ผมสบถอย่างตกใจ เพราะทันทีที่กดดูคลิป เสียงจากลำโพงโทรศัพท์ของพี่เนย์ก็ดังก้องออกมา จนผมกดปิดแทบไม่ทัน จากนั้นผมก็รีบสไลด์หน้าจอขึ้นไปข้างบน ก่อนจะสไลด์กลับลงมายังคลิปเป้าหมายอีกครั้ง เพื่อให้มันเล่นแบบไม่มีเสียง ไม่นานภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวานก็ปรากฏ
“…” ผมนั่งมองคลิปๆนั้นแน่นิ่ง แม้ว่าคลิปดังกล่าวจะถูกเล่นแบบไม่มีเสียงก็ตาม แต่ผมผู้ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของหนังสือชั้นเลว กลับสามารถจนจำทุกคำพูดที่อีกฝ่ายพ่นออกมาได้อย่างชัดเจน เพียงเท่านั้นฝ่ามือของผมก็ต้องกอบกุมโทรศัพท์ของพี่เนย์เอาไว้แน่น
“มึงต้องปล่อยวางให้ได้นะรัน ไม่อย่างนั้นชีวิตของมึงจะไม่มีความสุขจริงๆสักที
คนเราห้ามปากใครไม่ได้ ห้ามความคิดใครก็ไม่ได้ สิ่งเดียวที่เราจะห้ามได้ก็คือตัวเอง” พี่เนย์เอื้อมมากุมมือของผมไว้ พลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่ออีกฝ่ายเขาเห็นว่าผมเอาแต่นิ่งมองคลิปเหตุการณ์นั้นแน่นิ่ง
“ครับ” ผมตอบรับเสียงเบา พลางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายและยกยิ้มให้
“ไอ้โอ๊ต..มันถูกสังคมลงโทษ..แบบที่พี่ว่าจริงๆ..ด้วย” หลังจากอ่านคอมเมนต์คร่าวๆ ของบุคคลต้นเรื่องที่เป็นคนแชร์คลิปเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนนี้ พบว่าหลายๆคนในโลกโซเชียล ต่างพากันด่าทอไอ้โอ๊ตอย่างหนักหน่วง บางรายถึงกับขุดหาเฟซบุ๊กของมันจนเจอ ก็มีการแท็กไปให้เห็นจนเต็มสองตา
“อืม ผลจากการกระทำของมัน ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตแน่ๆ อย่างน้อยก็ต้องมีเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง อาจารย์ หรือแม้กระทั่งญาติๆของตัวเอง ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำแย่ๆแบบนั้น ยิ่งช่วงนี้มีการรณรงค์เรื่องการบูลลี่ด้วยแล้ว สังคมยิ่งตื่นตัว พอมาเจอเรื่องของมึงเข้า หนังสือเล่มนั้นก็เลยเละอย่างที่เห็น” ผมส่งยิ้มบางๆให้กับพี่เนย์ จากนั้นก็คืนโทรศัพท์ให้กับเจ้าของ เพราะผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปอ่านข้อความที่คนอื่นด่าทอคนที่ทำร้ายผม ซึ่งผมจะถือซะว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันคือบทเรียนของตัวเอง ที่จะทำให้ผมก้าวหน้าไปอีกขั้น และก็เป็นบทเรียนให้กับคนที่แม้ว่าจะโตขึ้น แต่ความคิดกลับไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย ซึ่งคนแบบนี้พี่เนย์ได้บอกเอาไว้แล้วว่า มันมีอยู่เยอะ เพราะมันก็เหมือนกับหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมาได้ง่าย มันจึงไม่มีค่า ไม่มีราคามากพอให้ผมต้องเอามาใส่ใจ
ดังนั้นหากผมจะเปิดใจให้ใคร ผมก็ควรที่จะใช้วิธีการเดียวกันกับไอ้มอสหรือไอ้เชษฐ์ โดยผมจะต้องมองพวกเขาเป็นหนังสือที่ยังไม่ได้แกะซีล ซึ่งเราจะไม่ทราบเนื้อหาอันเป็นแก่นแท้ข้างใน แต่จะทราบแค่เพียงคำโปรยตรงด้านหลังปกเท่านั้น ที่จะเป็นตัววัดว่าหนังสือเล่มนี้มันใช่แนวที่เราชอบอ่านหรือไม่ เพราะถ้าหากชอบ เราก็ต้องลงทุนซื้อ ซึ่งการลงทุนมันก็มักจะมีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว ว่าเนื้อหาด้านใน จะใช่แนวที่เราชอบจนสามารถอ่านได้จนจบเล่มหรือเปล่า อีกทั้งหนังสือทุกเล่มก็ใช่ว่าจะมีคนรีวิวทั้งหมด หรือบางทีหนังสือเล่มเดียวกัน คนรีวิวก็ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเลย และมันก็เป็นไปได้ว่าเราอาจจะเห็นต่างกับรีวิวพวกนั้น เพราะการอ่านหนังสือ หรือการเรียนรู้ใครสักคน มันก็เหมือนกับการที่เราค่อยๆ เปิดอ่านไปทีละหน้าอย่างช้าๆ เพื่อทำความเข้าใจในบริบทนั้นๆ
กระทั่งเราอ่านจบและประทับมากๆ เราก็แค่เก็บหนังสือเล่มนั้นไว้ในลิสต์ของเรา “พี่เนย์..ผมขอไป..โทรหาไอ้มอส..ได้ไหมครับ..ตั้งแต่เกิดเรื่อง..ผมก็ยังไม่ได้คุยกับมันเลย” พอน้ำมาเสิร์ฟผมก็ออกปากขอตัวไปหามุมคุยกับไอ้มอสสักครู่ เพราะว่าผมเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าผมทิ้งมันเอาไว้ในงาน แล้วไหนจะไอ้เชษฐ์อีก มันเล่นซัดหน้าคนอื่นซะกลางงานแบบนั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
“อืม” พอพี่เนย์อนุญาต ผมก็เดินตรงไปยังริมทะเล เพราะเป็นมุมที่ปราศจากคน และเงียบสงบ เหมาะกับการพูดคุยกันด้วยเรื่องส่วนตัวมากทีเดียว
“กูนึกว่ามึงจะโกรธกูซะแล้วว่ะ ที่พาไปเจอเรื่องอะไรแบบนั้น” ไอ้มอสพูดขึ้นทันทีที่ผมโทรหาเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้เบอร์ของมันจากการโทรมาบอกสถานที่ในการนัดหมายก่อนจะเข้างานเลี้ยงศิษย์เก่าเมื่อค่ำวานนี้
“เปล่า..กูแค่รู้สึกแย่..ก็เลยรีบเดินออกมา”
“แล้วมึงเป็นยังไงบ้างวะ พวกกูเป็นห่วงนะเว้ย ตามหาจนทั่วงานก็ไม่เจอ จะโทรไปก็กลัวว่ามึงจะโกรธ ที่กูพามึงมาเจอเรื่องเหี้ยๆแบบนี้” ไอ้มอสบรรยายความรู้สึกของมันผ่านทางคำพูดด้วยความรู้สึกอัดอั้น คล้ายกับมันทนเก็บความรู้สึกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“กูโอเคขึ้นแล้ว..ยังไงกูก็ต้อง..ขอบคุณมึงนะ..ที่ทำให้กูสามารถ..ก้าวเดินไปได้อีกขั้น..และทำให้กูได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น”
“ยังไงวะ?” ปลายสายถามด้วยความงุนงง
“…” ผมได้แต่อมยิ้ม ไร้ซึ่งคำตอบ เพราะคำกล่าวนั้นคงจะมีแค่ตัวผมและพี่เนย์เท่านั้นที่เข้าใจ ว่าทำไมเหตุการณ์ร้ายๆในค่ำคืนนั้น มันถึงได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่ดีสำหรับผมในวันนี้
“มึงรู้ป่ะ ไอ้เชษฐ์แม่งจัดหนักชิบหายเลย ซัดไม่เลี้ยง โต๊ะเต๊อะพังกระจายชิบหาย แต่แม่งโคตรแมน มีการควักเงินเป็นค่าเสียหายวางแหมะเอาไว้บนโต๊ะด้วยนะเว้ย กูนี่ได้แต่ยืนอึ้งไปเลย ไอ้สัสนี่แม่งเลือดร้อนไม่เปลี่ยน” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พลางนึกไปถึงเพื่อนผู้แสนเลือดร้อนของไอ้มอส ที่ครั้งหนึ่งมันเคยตีแบดอัดใส่ผม เพราะรำคาญกับท่าทางเฉยชาจนน่าหงุดหงิด
“เหมือนมึงแหละ” ผมย้อนเข้าให้
“โห่มึง พวกกูสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
“อืม”
“เออนี่ มึงเห็นหรือยัง มีคนถ่ายคลิปไว้ แม่งโดนด่ากระจายเลยว่ะ เห็นมีเอาไปลงพันทิพย์ด้วย เรื่องแลจะไปกันใหญ่ แต่นึกๆดูแล้วก็สะท้อนใจว่ะ ถ้าหากตอนนี้กูไม่เปลี่ยนสันดาน กูก็คงจะถูกด่าไปพร้อมกับมันนี่แหละ แต่สิ่งที่มันพูดเมื่อคืน มันคือเรื่องจริงที่ทำให้มึงโดนแบบนั้นนะเว้ย เพราะฉะนั้นมึงอย่าอ่อนแอให้ใครเห็น เพราะเขาจะยิ่งสนุกจนลืมลิมิตของตัวเอง อีกอย่างมึงต้องแสดงความจริงใจให้คนอื่นเขาเห็นด้วยรู้หรือเปล่า เพราะการที่พวกกูชวนมึงคุย แล้วมึงทำเมินเฉย มันก็ไม่ต่างกับการถูกตบหน้าเลยนะเว้ย แล้วยิ่งมาได้ยินมึงอุทานแบบตกใจได้ พวกกูก็เลยเหมารวมว่ามึงโกหกทุกคนว่ามึงพูดไม่ได้ พวกกูถึงได้พยายามจะกระชากหน้ากากของมึงออกมา แถมเรื่องของเรื่องที่มันเป็นชนวนสาเหตุ แม่งก็เพราะพวกกูมีความรู้ไม่มากพอแค่นั้นเองเหรอวะ โคตรไม่ยุติธรรมกับมึงจริงๆน่ะแหละ เพราะพอกูได้มาฟังมึงอธิบายเรื่องของคนที่มีความบกพร่อง พวกกูถึงได้เข้าใจว่า ความรู้หากมีไม่มากพอ แม่งก็นำพามาสู่ความขัดแย้งได้จริงๆ คิดๆแล้วกูก็รู้สึกแย่จริงๆว่ะ ถ้าหากตอนนั้นพวกกูพยายามจะทำความเข้าใจกับมึง มันก็คงจะดีเนอะ”
“ตอนนั้นกูป่วยกว่าที่คิด..แล้วกูเองก็เพิ่งจะรู้..เมื่อไม่นานมานี้ด้วย..กูถึงได้ไม่ค่อยแสดง..การตอบสนองอะไรกับใคร..เพราะส่วนนึงกูยังรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นไม่ได้..แล้วกูก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่..อายุสี่ขวบแล้ว..แต่ที่กูกลับมาใช้ชีวิตปกติได้บ้าง..ก็เพราะกูทำเพื่อพ่อกับแม่..กูสงสารท่านที่ต้องมาร้องไห้กับพฤติกรรมของกู..พอมึงบอกว่าการกระทำของกู..มันเหมือนกับไม่มีความจริงใจให้..กูเองก็เพิ่งจะเข้าใจ..แต่ว่ากูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครรู้สึกแย่..หรือรู้สึกไม่ชอบใจในการกระทำของกูเลย..ส่วนเรื่องความรู้..มันก็จริงอย่างที่มึงว่าน่ะแหละ..แต่ช่างมันเถอะ..ตอนนี้กูไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว..กูจะเริ่มต้นใหม่..มึงเองก็เริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะ..ไอ้เชษฐ์ก็ด้วย”
“มึงพูดจริงดิวะ เฮ้ยยยย!” เสียงไอ้เชษฐ์ดังทะลุกลางปล้องออกมา จนทำเอาผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากข้างหู
“อืม กูขอไปกินข้าวก่อนนะ”
ครืด ครืด
“ว่า?” ผมรับสายที่โทรเข้ามาได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี
“กูเพิ่งรู้เรื่อง มึงโอเคมั้ยวะ?” ไอ้หมอกพูดขึ้นทันที โดยไม่ต้องรอให้ผมย้ำถามให้มากความ
“กูโอเคแล้ว”
“แน่นะมึง” ไอ้คินย้ำถามขึ้นมาอีกคน ผมจึงเข้าใจได้ทันทีว่าพวกมันใช้ฟังก์ชั่นการประชุมสายมาเพื่อสิ่งนี้
“อืม..ตอนนี้กูอยู่กับพี่เนย์แล้ว..กูสบายใจขึ้นเยอะ”
“เออๆ กูจะได้โทรบอกแอ้ม รายนั้นเขาก็เป็นห่วงมึง เห็นบอกไลน์ไปแต่มึงไม่ตอบ โหลดสติ๊กเกอร์ฟรีเยอะก็งี้ เลยไม่รู้ว่าใครส่งแชทมาหาบ้าง” ไอ้คินมันว่าแกมหยอก ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาจนได้
“เออ กูโหลดของฟรีไว้เยอะ..เดี๋ยวกูจะทยอยจัดแฟนทอล์ก..ให้นะ”
“กวนตีนไอ้สัส เพื่อนๆพี่ๆคนอื่นเขาก็เป็นห่วงมึงกันทั้งนั้น ถึงขั้นโทรมาถามกูจนสายแทบไหม้ มึงก็รีบตอบไลน์ให้มันครบๆล่ะ” ไอ้หมอกพูดขึ้นมาบ้าง
“เออรู้แล้วน่า..กูขอกินข้าวก่อนได้ป่ะ..ตอนนี้กูโคตรหิวเลย” พอพวกมันอนุญาต ผมก็รีบวางสายและเดินกลับไปที่โต๊ะ ก็พบว่าอาหารมาเสิร์ฟจนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมื้อนี้เราจัดหนักกันสุดๆ โดยเฉพาะปูนึ่ง ผมจะชอบมาก ก็เลยสั่งมากิโลนึงเต็มๆ ผมถึงได้ยอมอดบลูเลม่อนไปสักระยะนี่แหละ
“ไอ้หมอกกับไอ้คินเพื่อนสนิทมึง ร่ายยาวข้อมูลของผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมาเต็มเลยว่ะ ส่วนไอ้เอ้เพื่อนกูจัดหนักเกี่ยวกับความรู้เรื่อง PTSD มาเฉย มันรู้ได้ยังไงวะ มึงเคยเล่าให้มันฟังเหรอ?” พี่เนย์ย้อนถามด้วยความสงสัย
“พี่เอ้คงจะจับสังเกตได้จากตอนที่ผมเนียนๆถามเกี่ยวกับข้อมูลของเรื่องนี้ หลังจากที่ได้ยินพี่เอ่ยชื่อของแม่มั้งครับ” ผมหยุดแกะปู พลางตอบอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก
“มีสิทธิ์เป็นไปได้ เพราะหลังจากที่กูคุยกับแม่มึงเสร็จ กูก็เรียกมึงไปคุยด้วยตั้งนาน ไอ้เอ้มันคงจะจับสังเกตได้จริงๆน่ะแหละ อีกอย่างตั้งแต่ทำสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ กูเองก็เปลี่ยนไปด้วย แต่ก็ถือว่าดีแล้วแหละ คนเหี้ยๆที่เคยเข้าใจผิด ถ้ามันได้เข้าแท็กของมึง ก็จะได้มีความรู้ติดหัวเอาไว้บ้าง ไม่ใช่ว่ายึดติดแค่กับความคิดของตัวเอง จนไม่คิดจะทำความเข้าใจกับคนอื่นเลย” พี่เนย์พูดอย่างใส่อารมณ์นิดหน่อย คงเพราะเจ้าตัวได้ฟังคำพูดดูถูกของอีกฝ่ายที่มีต่อผมแล้ว คนใจเย็นแบบพี่เนย์ถึงได้โมโหแบบเก็บอาการ
“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกหรอกครับ..ผมเองก็เพิ่งจะรู้ตัว..ว่าการเมินเฉย..ไม่พูดไม่จาไม่แสดงออกอะไร..มันจะเป็นชนวนสาเหตุที่ทำให้..ถูกเข้าใจผิดจนลุกลามได้”
“กูไม่เห็นด้วยว่ะ อย่างกูกับมึงตอนเจอกันครั้งแรก มึงเองก็เมินเฉย นิ่งเงียบ ไม่แสดงออกอะไรเลย กูยังไม่เห็นจะคิดแบบนั้นเลยวะ เพราะกูเข้าใจไง ว่าคนเรามันก็ต้องมีเหตุผลที่เขาทำแบบนั้น กูว่ามันเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเลยว่ะ แต่ก็นะ คนเรามันต่างคนต่างความคิด ยังไงมันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ทั้งนั้น กูจะไม่ไปดิสคัสใครส่งๆ” พี่เนย์พูดพลางตักน้ำต้มยำไปซดอย่างเอร็ดอร่อย
“…” ผมอมยิ้มพลางแกะปูนิ่งในมือต่ออีกครั้ง เพราะผมสามารถมองเห็นภาพหนังสือแต่ละประเภทได้อย่างชัดเจน และสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
“ไม่กินปูเหรอครับ?” ผมถาม หลังจากสังเกตอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว
“ไม่ว่ะ กูแกะไม่เป็น” พี่เนย์ตอบสั้นๆ ขณะที่เจ้าตัวกำลังโซ้ยตำไทยอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งผมก็เข้าใจว่าที่นักจิตบำบัดตรงหน้าอยู่หรอก เนื่องจากคนกรุงเทพอย่างพี่เนย์ ก็น่าจะแกะปูไม่ค่อยเป็นเหมือนกับน้องแพรญาติทางฝั่งแม่ของผม ทีนี้พอมาเจอกันทีไร ผมก็ต้องคอยแกะให้สาวเจ้าทุกที เหตุเพราะครั้งแรกผมหวังดี อยากให้เธอลองกินของอร่อยๆที่ไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มรส
จากนั้นมาเจ้าตัวก็ติดอกติดใจใหญ่ เวลาไปกินร้านอาหารทะเลพร้อมกันทีไร เธอจะนั่งเกาะติดผมแจเลย
“ผมแกะให้ครับ” ผมรับอาสา พลางคาดเดาไว้แล้วว่า พี่เนย์จะต้องตกเป็นทาสปูนึ่งอร่อยๆ เหมือนกับน้องแพรแน่ๆ ทีนี้ต่อไปหน้าที่ของผมก็คือการแกะปูให้อีกฝ่ายกินนี่แหละ
วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มออกมาเยอะมาก อาจเพราะผมปล่อยวางทุกอย่างแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้การแกะปูให้อีกฝ่าย จนตัวเองแทบจะไม่ได้กิน ก็ทำให้ผมมีความสุข จนแทบไม่อยากจะปล่อยให้เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วเลยจริงๆ
“มึงแกะกินเองด้วยสิ ชอบไม่ใช่เหรอ?” ผมยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มแกะให้ตัวเอง ตามคำบอกกล่าวของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ได้ตกเป็นทาสปูนึ่งเหมือนผมเรียบร้อยแล้ว
“มึงอยากไปไหนต่อหรือเปล่า?” พี่เนย์ถามขณะที่เรากำลังเดินกลับมาที่รถ หลังจากชำระค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว
“กลับเลยดีกว่าครับ..พี่จะได้พักผ่อนด้วย” ผมส่ายหน้าพลางตอบอีกฝ่าย ขณะเปิดประตูและแทรกตัวเข้าไปในรถสีดำคันคุ้นเคย
“พรุ่งนี้กูก็หยุด ยังมีเวลาพักอีกถมเถ”
“แต่เมื่อคืนพี่ขับรถมาตั้งไกล..เชื่อผมสักครั้งนะ” ผมตอบพลางหันไปมองอีกฝ่ายที่เอามือมาท้าวตรงเบาะข้างคนขับ พร้อมกับหันไปมองทางด้านหลัง เพื่อให้สะดวกต่อการถอยรถออกจากซองจอด
“อืม” พี่เนย์ตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในลำคอ แต่กลับชัดเจนในความรู้สึกของผมอย่างมากมาย
“ขอบคุณนะครับ..ที่เชื่อคำพูดของผม”
“ถือว่ากูให้เป็นของรางวัล ที่มึงเดินจนเกือบจะไปถึงเส้นชัยก็แล้วกัน”“ถ้าอย่างนั้น..พี่ต้องรอผมที่ปลาย..ทางของเส้นชัย..ด้วยนะครับ..ถ้าหากผมเรียนจบ..แล้วได้เป็นล่ามภาษามือ..พี่ต้องส่งยิ้มให้ผมจากตรงนั้นนะ”
“อืม” สิ้นคำตอบรับอันแผ่วเบา หากแต่หนักแน่น ว่าที่นักจิตบำบัดเขาก็ส่งยิ้มมาให้ ขณะที่ผมก็ได้แต่ยิ้มตอบอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ไม่ต่างจากวันแรกๆ ที่เราส่งยิ้มให้กัน
ผมชอบบทสนทนาของเรา ที่พูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วไป
ผมชอบรอยยิ้มของเรา ที่ไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบไหน ก็ยังคงมีให้กันเสมอ
ผมชอบที่เราค่อยๆเติบโตไปด้วยกัน อย่างช้าๆ แต่กลับมั่นคง
ผมชอบที่เราสามารถเป็นกำลังใจให้กันและกันได้
ผมชอบที่เราไม่ต้องพยายามจะปรับเปลี่ยนตัวเอง แต่กลับพยายามจะทำความเข้าใจอีกฝ่าย เท่าที่เราจะทำได้
ผมชอบที่พี่เขามีข้อคิดดีๆให้กับผม ในยามที่ท้อแท้และอ่อนแอ
ผมชอบที่พี่เขาพยายามจะจูงมือผม เพื่อให้เราเดินไปจนถึงเส้นชัย แม้จะไม่พร้อมกัน แต่มันก็อบอุ่น
ผมชอบความรักของเรา ที่ไม่ได้หวือหวา แต่กลับอุ่นใจทุกครั้งที่นึกถึง
ผมชอบที่พี่เขานึกถึงครอบครัวของผม และไม่คิดจะปล่อยให้มันเกิดช่องว่างจนเกินจะควบคุม
ผมชอบที่การกระทำของพี่เขา มันแฝงไปด้วยความห่วงใย ที่ไม่อาจสังเกตเห็น ถ้าหากไม่ตั้งใจมอง
ผมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรา เพราะมันทำให้ผมมีความสุข และก้าวเดินต่อไปได้
เพราะทั้งหมดทั้งมวล มันคือความรู้สึกของคำว่า ‘รัก’ ที่ไม่ใช่แค่ ‘รัก’ ด้วยความรู้สึกอันฉาบฉวย ----------------------------------------------------------------------
เกือบจะเป็นบทสรุปแล้วค่ะ 555 แต่เรามีตอนจบในใจของเราอยู่ เพราะมันจะเกี่ยวกับภาพวาดที่น้องรันวาดตอนช่วงปิดเทอมด้วย และเกี่ยวข้องกับคอนเซ็ปของตอนพิเศษด้วยค่ะ สำหรับตอนนี้หลายคนอาจจะไม่พอใจในบทสรุปของโอ๊ตก็ได้ แต่เราอยากเขียนให้มันเหมือนกับความเป็นจริง ที่คนๆนึงหมดแรงที่จะสู้ไปแล้ว เขาถึงได้เลือกที่จะเดินออกมา และสุดท้ายสังคมก็เป็นฝ่ายลงโทษคนๆนั้นเอง เพราะการเหยียดคนอื่น ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ควรยกย่อง ถือว่าเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เลยเนอะ อีกอย่างสาเหตุของการกระทำอันบานปลาย มันก็เกิดจากความไม่เข้าใจกัน ไม่เปิดใจให้กันด้วยส่วนนึงค่ะ แต่ก็อย่างที่พี่เนย์บอกว่าพี่เขาไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ต่างคนต่างมุมมอง อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ และหลายๆครั้ง ความไม่รู้ก็มักจะนำพามาซึ่งความเข้าใจผิด และลุกลามเป็นเรื่องราวใหญ่โต ถึงว่าได้เรียนรู้กันทั้งสองฝ่าย
ปล.เราเห็นมีคนสอบถามถึงเรื่องการรวมเล่มเข้ามา คือตอนนี้เรากำลังรอการพิจารณาจาก สนพ อยู่ค่ะ ถ้าหากทราบเรื่องที่แน่นอนแล้ว เราจะมาแจ้งข่าวอีกทีนะคะ ตอนนี้ก็อ่านกันไปเรื่อยๆก่อนเนอะ เราเองก็ยังไม่รีบร้อนค่ะ ระหว่างนี้ก็อยากจะเขียนให้มันดีที่สุดก่อน