[END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4  (อ่าน 26926 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -25- 10|04|2561 P.3
«ตอบ #90 เมื่อ10-04-2018 22:07:08 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ M_M

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: จีบนะครับ...รักผมที -25- 10|04|2561 P.3
«ตอบ #91 เมื่อ11-04-2018 14:18:46 »

 :katai5:

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
«ตอบ #92 เมื่อ16-04-2018 21:11:15 »

จีบครั้งที่ยี่สิบหก


“มีอะไรอยากจะบอกผมไหมครับ”

ประโยคที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้คนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่สะดุ้งตัวเฮือก ข้าวเจ้าหันมาทำหน้าแหยๆ ใส่ผมก่อนบอกปัดว่าไม่มีอะไรจนต้องถามคำถามเดิมย้ำอีกครั้งนั่นแหละเจ้าตัวถึงจะยอมเอ่ยปากเล่าเรื่องที่อยากรู้ให้ผมฟัง และนั่นก็ทำให้ผมตีหน้าเครียดทันที

... มีผู้ชายคนไหนจะชมผู้ชายด้วยกันว่าน่ารักวะถ้ามันไม่ได้คิดอะไร!!

ยอมรับตรงๆ กันเลยครับว่าอคติกับเด็กนั่นตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวจริงเพราะไม่อยากให้ข้าวรับบทพี่เลี้ยงเด็กฝึกงานอีกแล้ว ก็พยายามเข้าใจว่ามันเป็นงานที่ข้าวเจ้าเขารับหน้าที่มาแล้วเลยขัดอะไรไม่ได้และพยายามจะไม่งี่เง่า แต่อย่างเรื่องวันนี้ก็ยิ่งทำให้ความประทับใจแรกติดลบรัวๆ

“...ผมจะไปบอกพี่ทศให้เปลี่ยนคนดูแลเด็กนั่น”

“ติณณณณ์” ข้าวเจ้าเรียกชื่อผมเสียงดังพร้อมกับรีบตะครุบมือผมที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดโทรออกหาหัวหน้าแผนกทันที “น้องมันคงแค่ชมเฉยๆ มั้ง แล้วพี่...แล้วข้าวไปได้ยินเองเพราะน้องมันพูดเสียงเบามาก แล้วก็ติณณ์ก็ยังเคยบอกเลยว่าข้าวน่ารักไม่ใช่หรอ”

“มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ” ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ มองคนหน้าเจื่อนที่เอาโทรศัพท์ของผมไปถือไว้ “ผมเป็นแฟนของข้าวเจ้าไง แต่นั่นไม่ใช่”

“ไอ้หลงก็เคยบอกว่าข้าวน่ารัก...”

“นั่นเพื่อนข้าว”

“แล้วพี่ทศก็---”

“คนที่ข้าวกำลังคิดถึงเป็นคนรู้จักไม่ใช่คนอื่น” ผมเอ่ยขัดคนตรงหน้า “ลองคิดกลับกันดูไหมครับว่าถ้าผมไปชมคนอื่นว่าน่ารัก หรือสวยบ้างข้าวจะชอบไหม”

คนตัวเล็กกว่าผมที่วันนี้ดูเล็กกว่าปกติไปถนัดตาเมื่อเจ้าตัวเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตา ผมนั่งมองริมฝีปากที่เม้มแน่นสลับกับคลายออกอย่างคนใช้ความคิดของคนที่นั่งอีกฝั่งของโซฟาตัวยาวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากตรงนั้น

หงุดหงิดงุ่นง่านเพราะอารมณ์ของตัวเอง กลัวถ้าพูดอะไรมากกว่านี้จะกลายเป็นว่าหาเรื่องทะเลาะกับอีกฝ่ายเลยว่าจะไปหาที่สงบสติ... แต่ก็ช้ากว่ามือของคนหน้าตื่นที่พุ่งมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือและออกแรงรั้งให้ผมนั่งลงคืนที่เดิม

“ครับ?”

“...ไม่ชอบ” ปากที่บวมตุ่ยน้อยๆ จากการเม้มแน่นเกินไปขยับเป็นคำพูดแผ่ว “เข้าใจแล้วว่าติณณ์ไม่โอเค แต่ข้าวขอนะ นี่งานนะติณณ์ ข้าวไม่อยากให้ใครมองว่าข้าวไม่มีความรับผิดชอบโยนเด็กที่ต้องดูแลให้คนอื่นเพราะปัญหาส่วนตัว”

“ใครจะกล้าว่าข้าวแบบนั้น อย่าลืมสิว่าลุงผม--”

“ติณณ์” อีกฝ่ายเอ่ยขัดผมด้วยเสียงเอื่อยพร้อมถอนหายใจออกมา ฝ่ามือของข้าวเคลื่อนขึ้นมาลูบใบหน้าไปมาเบาๆ คล้ายจะทำให้ผมเย็นลง และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเกลี้ยกล่อม “นั่นลุงของติณณ์ไม่ใช่ของข้าวนะ ข้าวไม่อยากให้คนอื่นหาว่าที่คบติณณ์เพราะหวังจะเกาะหรืออะไร แต่ที่ข้าวอยู่ตัวนี้เพราะความตั้งใจของข้าวเองไม่ว่าเรื่องติณณ์หรือเรื่องงาน แล้วไหนติณณ์จะให้ข้าวไปช่วยงานที่นู่นกับติณณ์ไงครับ ข้าวไม่อยากให้แม่ของติณณ์หรือคนอื่นมองว่าไม่ได้เรื่องหรือใช้เส้นสายหรอกนะ”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของข้าวเจ้าเมื่อเขาเห็นว่าผมนั่งเงียบ ในหัวเริ่มคิดตามที่อีกฝ่ายพูด... ไม่เคยรู้สักนิดว่าข้าวเจ้าจะคิดมากขนาดนี้... เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเหมือนเด็กเอาแต่ใจก็ตอนนี้แหละ

และพอข้าวเห็นว่าผมไม่ได้แย้งอะไร เขาก็เริ่มพูดต่อ

“วันนี้เด็กมาวันแรกมันคงชมไปทั่วแหละ ขนาดพี่นิ้งยังมาเล่าเลยว่าน้องมันบอกว่าพี่แกน่ารัก อีกอย่างนี่ก็แค่ชมไม่ได้รุกเข้าหาหรืออะไรเหมือนตอนติณณ์สักหน่อยนี่ครับ รับดูเด็กมาหลายคนก็เพิ่งเจอคนหน้ามึนไม่ยอมไปไหนก็คนนี้แหละ” ข้าวเจ้าว่าเสียงติดตลกและเอื้อมมือมาบีบจมูกผมเบาๆ แต่พอเห็นว่าผมทำหน้านิ่งไม่ได้ตลกร่วมไปกับเจ้าตัว เขาทำหน้าตาเลิ่กลั่กและกลายเป็นบูดบึ้งเมื่อผมหัวเราะออกมาเต็มเสียงกับท่าทางของอีกฝ่าย

“ผมไว้ใจข้าวนะแต่ไม่ไว้ใจคนอื่น” ว่าพร้อมกับดึงคนข้างๆ มาบนตัก กดจมูกลงกับแก้มนิ่มและเกลี่ยเล่นไปมา “แต่ผมจะพยายามไม่ทำตัวงี่เง่าให้ข้าวลำบากใจแล้วกันนะ”

ข้าวเจ้าเลิกคิ้วสูงเพราะคงไม่นึกว่าผมจะตอบอย่างนี้ สัมผัสนุ่มหยุ่นของริมฝีปากแตะลงที่สันกรามเบาๆ ก่อนผละออกให้เห็นรอยยิ้มกว้างที่ทำให้ผมใจอ่อนยวบ และยิ่งยวบกว่าเดิมเมื่อคนบนตักหอมแก้มผมฟอดใหญ่พร้อมคำกระซิบข้างหูแผ่วๆ

“เด็กดีของข้าว”

หลังจากที่เราคุยกันวันนั้นผมก็โทรไปปรึกษาเพื่อนสนิทที่ออกฝึกงานอยู่โรงพยาบาลสัตว์สักที่ในประเทศ มันก็เอาแต่หัวเราะแล้วบอกว่าผมคิดมากเกินไป ให้ปล่อยวางบ้างเดี๋ยวข้าวเจ้าจะอึดอัด

คนมันหวงนี่วะ!!!

ถ้ามีคนจ้องจะงาบคนของตัวเองใครมันจะเย็นได้วะแม่ง


และแล้วเวลาก็ผ่านไปได้อาทิตย์กว่าๆ ที่พวกนักศึกษาฝึกงานเข้ามาทำงาน ซึ่งมันควรจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจะเริ่มปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้แล้ว แต่เชื่อไหมว่าผมยังคงได้ยินชื่อของข้าวเจ้าที่ดังมาจากโต๊ะทางด้านได้ทุกเมื่อเชื่อวันจนข้าวได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ผม พร้อมกับคำพูดที่ทำให้ผมหัวเสียมากกว่าเดิมอย่าง สงสัยน้องมันคงยังไม่รู้เรื่องจริงๆ

...ไม่รู้เรื่องบ้านพี่สิครับ ถ้าดูไอ้เด็กนั่นที่ยิ้มหน้าระรื่นเมื่อเห็นข้าวไปหาและทำหน้าเหมือนโดนจับแดกยาขมเมื่อผมเข้าไปแทนไม่ออกก็บ้าแล้ว นี่ขนาดว่าผมเข้าไปคลอเคลียถึงเนื้อถึงตัวแสดงความเป็นเจ้าของอย่างโจ่งแจ้งแล้วนะ

ก็ยังดีที่นอกจากมันเอาแต่เรียกหาข้าวเจ้าก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ เหมือนกับมันแค่อยากจะกวนประสาทผมยังไงก็ไม่รู้...

หรืออาจจะแค่ทำให้กูตายใจวะ?

“นี่มันไม่รู้หรือไงวะว่าข้าวมีเจ้าของแล้ว” สบถออกมากับตัวเองพร้อมหันมองคนข้างๆ เต็มตา หน้าตาของข้าวมันไทป์แบบที่คนส่วนใหญ่ชอบโดยเฉพาะเวลายิ้มเนี่ยโคตรน่ารัก แถมช่วงหลังๆ มาถูกผมขุนจนกอดเต็มมือยิ่งมีแต่คนมอง

บางครั้งก็คิดอยากจับขังเอาไว้ในบ้านให้รู้แล้วรู้รอด...

“พูดอะไรหรือเปล่า” คนโต๊ะข้างๆ พูดขึ้นให้ผมที่กำลังเหม่อสะดุ้ง ข้าวเจ้าโคลงหัวเล็กน้อยและถามซ้ำ “พี่ได้ยินอะไรๆ ของๆ นะ”

“ผมบอกว่า...” ผมลากเสียงยาวและเคลื่อนเก้าอี้เข้าไปหาอีกฝ่าย ปรายตามองเด็กนั่งขีดเขียนอะไรสักอย่างพร้อมกับยกมือไล้ไรผมแถวๆ ท้ายทอยขาวของคนตรงหน้าเล่น “หรือผมไม่ได้ทำรอยไว้เด็กนั่นเลยไม่รู้ว่าข้าวมีเจ้าของแล้ว”

“ติณณ์ก็ไปบอกเด็กมันดิว่าพี่มีแฟนแล้ว” แทนที่จะโวยวายที่ผมพูดอย่างนั้น ข้าวเจ้ากลับหันมายิ้มน้อยๆ ให้ผมแทนซะงั้น

ได้แต่จิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ใส่คนที่เอาแต่ยิ้ม ไม่ใช่ไม่อยากบอกนะแต่ถ้าผมบอกเองมันจะได้อะไรล่ะ แม่งไม่เชื่อกูแน่ๆ ...อีกอย่างผมอยากให้ข้าวเป็นคนพูดเองมากกว่า

“ถ้าข้าวไม่บอกเองจะมีประโยชน์อะไรล่ะ” ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนไล้ปลายนิ้วไปกับแก้มนิ่มๆ ของคนตรงหน้า “ผมบอกไปมันคงไม่ฟัง ขนาดคลอเคลียข้าวขนาดนี้มันยังดูไม่ออกเลยเหอะ”

แมวน้อยชื่อข้าวเจ้าหลับตาพริ้มเมื่อผมลากนิ้วจากแก้มนิ่มลงที่คางของเจ้าตัวและเริ่มเกาเบาๆ จนได้ยินเสียงครางแผ่วเพราะความสบาย ภาพตรงหน้านั่นทำให้ผมยิ้มออกมาได้

“พี่ข้าวเจ้าครับบบ”

แต่เสียงมารก็แม่งมาขัดอีก...

ข้าวเจ้าหันไปขานรับเสียงนั่นและผุดลุกออกไปทันที ผมมองมือที่ค้างในอากาศในท่าเกาคางแมวก่อนจะลดมือลงมาวางบนตักตัวเอง หางตาเห็นไอ้เด็กเวรนั่นกระตุกยิ้มมุมปากใส่ผมแล้วหันไปพูดเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ข้าว เห็นอย่างนั้นผมก็ลุกออกไปนอกแผนกทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของข้าวเจ้าที่ดังตามมาและเสียงไอ้เด็กนั่นที่เรียกข้าวไว้

ท่องไว้ว่าอย่าทำตัวให้อีกฝ่ายลำบากใจ

ท่องไว้ว่าอย่าหึงเกินไป

ท่องไว้ว่ามันแค่งาน...

“อ้าว มาสูบหรอ ไหนเลิกแล้ว?” สองขาพาผมมายังโซนสูบบุหรี่ที่นอกตัวตึก พี่ทศที่นั่งพ่นควันขาวอยู่ก่อนแล้วเอ่ยถามแต่อีกฝ่ายก็ต้องเลิกคิ้วสูงเมื่อผมส่ายหัวกับคำถามนั้น “ไม่ได้มาสูบแล้วมาทำไมตรงนี้”

“มาทำให้หัวโล่ง”

“ทะเลาะกับไอ้เจ้า?”

“เปล่า เซ็งเด็กฝึกงาน”

อีกฝ่ายครางรับรู้

“นี่ พี่ทศเปลี่ยนคนดูแลไอ้เด็กนั่นเถอะ” ผมเอ่ยกับหัวหน้าแผนกที่กำลังสูดเอานิโคตินเข้าปอด เจ้าของชื่อเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนหันกลับไปอย่างไม่สนใจ

“ทำไม?”

“มันกวนตีน ผมทนมาได้เป็นอาทิตย์ๆ นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“แล้วจะให้กูทำยังไง?”

“...พี่นิ้งก็ยังว่างนี่ครับ”

“ครั้งก่อนนิ้งเพิ่งรับไป” พี่ทศพ่นควันขาวออกมาและปล่อยให้มันจางหายไปกับสายลม “ไม่มีเหตุผลพอเพียงกูก็เปลี่ยนให้มึงไม่ได้หรอ เอาน่าๆ อย่าเรื่องเยอะน่าติณณ์ ถ้าไอ้เจ้าไม่เล่นด้วยยังไงมันก็ไม่สนหรอก สามเดือนแปบเดียวเองน่า”

“มันไม่แปบสิพี่ทศ อย่าลืมสิว่าไอ้สามเดือนนี่แหละที่ผมจีบข้าวติด” ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พร้อมกับเอ่ยระบายสิ่งที่อยู่ในหัวมาเป็นอาทิตย์ๆ ให้รุ่นพี่ฟัง “เข้าใจเหตุผลที่ข้าวบอกผมนะ... เหตุผมข้าวมันดีจนผมรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าไปเลยว่ะพี่”

“ก็งี่เง่าจริงๆ” พี่ทศหัวเราะหึ “หึงอะไรไม่เข้าท่า”

“...คนไม่มีสิทธิไปหึงหวงใครนี่พูดได้หรอครับ?” อีกฝ่ายหันมาถลึงตาใส่ผมเพราะพูดจี้ใจดำเจ้าตัวได้ตรงจุด แอบรู้มาว่าช่วงนี้มีสาวมาแจกขนมจีบพี่หลงอยู่แต่คนตรงหน้าผมก็ทำไรไม่ได้เพราะยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่หลง “มันดูไม่ออกหรือไงวะว่าผมกับข้าวเป็นอะไรกัน”

เช้ามาพร้อมกัน เที่ยงไปกินข้าวด้วยกัน ตกเย็นก็กลับบ้านด้วยกัน... เพื่อนร่วมงานธรรมดาๆ ที่ไหนเขาทำกันแบบนี้ครับถามจริง

“แล้วทำไมไม่บอกเองล่ะ”

“ถ้าข้าวไม่พูดเองมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะพี่ทศ” เสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ ดังขึ้นคล้ายเอือมระอา “ลองพี่ได้คบกับพี่หลง ถ้ามีคนมาวอแวคนของตัวเองแล้วพี่ก็จะเป็นแบบผมเอง แต่คงไม่น่า...เพราะชาตินี้พี่จะได้คบพี่หลงไหมก็ยังไม่รู้เลย”

คราวนี้คุณทศกัณฑ์ทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่าๆ ผมให้ตายไปซะ เห็นอย่างนั้นเลยยักคิ้วกวนๆ ใส่อีกฝ่ายจนพี่ทศสบถคำหยาบยาวเหยียดออกมาอย่างหัวเสีย

“มึงนี่แม่ง... เออๆ ถ้ามันทำอะไรเกินตัวกูจะเปลี่ยนคนดูแลมันให้แล้วกัน เคนะ” กลอกตาไปมาก่อนรับคำอย่างเสียไม่ได้ หัวหน้าแผนกหัวเราะและพยักพเยิดหน้าไปทางประตูกระจกด้านข้าง “นู่น ไอ้เจ้ามารอมึงแล้วนั่น”

หันไปมองตามคำบอกก็เห็นคนพี่ยื่นทำหน้าบึ้งอยู่นอกกระจกกั้นระหว่างทางเดินกับที่สูบบุหรี่

“มีอะไร?” เดินไปหาพร้อมถามด้วยเสียงติดห้วนแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ พอข้าวเจ้าได้ยินเขาเม้มปากเข้าหากันน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบคำถามจนผมต้องถามซ้ำด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ข้าวมีอะไรหรือเปล่า”

ข้าวเจ้าส่ายหัวรัวจนผมต้องถอนหายใจออกมา และเมื่อพอเดินเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายก็ยื่นหน้ามาดมตามเสื้อก่อนเบ้หน้ามองผมตาขวางเพราะได้กลิ่นกลิ่นบุหรี่ติดเสื้อ

นี่คงคิดว่าผมสูบด้วยแน่ๆ…

คิดได้อย่างนั้นก็ปัดความคิดก่อนหน้าออกจากหัว ยกมือล็อกคางคนหน้าบึ้งและประกบจูบลงไปทันที ฉวยจังหวะข้าวจะโวยวายสอดลิ้นเข้าไปกวาดความหวานทั่วโพลงปากของอีกฝ่ายจนพอใจก่อนผละออกมาดูผลงานอย่างอ้อยอิ่ง

หน้าแดงตามคาดล่ะครับ

“ก็ไม่ได้สูบ เห็นไหมในปากไม่มีกลิ่น”

“แค่บอกก็ได้ป่ะ! แล้วพี่ทศยิ้มบ้าอะไรวะ!!” คนโวยวายหน้าแดงเริ่มพาลไปยังบุคคลที่สามที่นั่งยิ้มกริ่ม

“กลัวบอกไปแล้วข้าวเชื่อไม่ไง นี่บริสุทธ์ใจเลยนะเนี่ยเลยให้พิสูจน์” ยิ้มมุมปากอย่างยียวนกวนฝ่าเท้าให้คนหน้าขึ้นสี “แล้วตอบผมได้ยังว่ามีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า...” ข้าวเจ้าหลุบตาบลงต่ำ “เห็นออกมานานก็เลย... ก็นี่เที่ยงแล้ว”

“จะชวนไปกินข้าว?” กลุ่มผมสีน้ำตาลตรงหน้าขยับลงเล็กน้อย ผมหันไปบอกลาหัวหน้าแผนกที่ยิ้มกริ่มยกมือข้างที่คีบบุหรี่ขึ้นโบกไปมาคล้ายไล่ ก่อนจะฉวยจูงมือคนก้มหน้างุดลงไปโรงอาหาร

น่าเสียดายที่เมื่อกี้ไม่มีคนเห็น


ร้านข้าวไม่ถึงสิบร้านกับพนักงานเป็นร้อยๆ คนเป็นอัตราส่วนที่ไม่เท่ากันจนอยากเสนอลุงวัชให้เพิ่มคนขายของอีกสักร้านสองร้าน โชคดีที่โต๊ะมีเยอะพอให้เรานั่นโดยไม่ต้องไปแทรกคนอื่นที่เราไม่รู้จัก

ทันทีที่ก้าวเข้าโรงอาหารก็เห็นแล้วล่ะว่าไอ้เด็กนั่นมันนั่งอยู่กับเพื่อนที่ผมเห็นหน้าผ่านๆ เวลาไปแผนกอื่น ซึ่งมันแม่งเลือกโลเคชั่นเป็นโต๊ะเยื้องหน้าประตูโรงอาหารพอดีเป๊ะแบบที่เดินผ่านยังไงก็ต้องเห็น แต่เป็นโชคดีของผมที่ผมตัวใหญ่พอดีจะบังวิสัยทัศน์ของข้าวได้มิดเลยรีบจูงอีกฝ่ายเดินเร็วๆ ไปทางโต๊ะประจำที่ยังว่างอยู่

แต่ก็ไม่พ้นสายตามารอยู่ดีนั่นแหละ...

“อ้าวพี่ข้าว... เจ้า มาทานข้าวหรอครับ” ไอ้เด็กนั่นตะโกนเสียงดังเรียกชื่อเจ้าของมือที่ผมจูงอยู่เหมือนไม่เห็นหัวผม ข้าวเจ้าชะงักเล็กน้อยก่อนชะโงกหน้าข้ามตัวผมไปทักทายพวกเด็กฝึกงานอย่างยิ้มแย้ม แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่ข้าวกระตุกมือผมออกจากการเกาะกุม...

“ข้าว...” กดเสียงต่ำเรียกชื่ออีกฝ่ายที่หันทำหน้าแหยๆ ให้ แต่เสียงของไอ้ทักอะไรนั่นกลับดังแทรกผม

“พี่เจ้านั่งกับพวกเราไหมครับ เที่ยงอย่างนี้โต๊ะเต็มแล้ว”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวไปนั่นที่...” เสียงตอบของผมเบาลงเมื่อเห็นว่าที่ประจำถูกคนจับจองไปต่อหน้าต่อตา จะหันมาหาข้าวก็ดันไปสบตากับไอ้เด็กทักที่ยิ้มหวานเชื่อมใส่ข้าวและเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะใส่ผม

เดี๋ยวนะมึง...

“ว้า แย่จังนะครับที่ไม่มีแล้ว” ไอ้ทักทำหน้าสลดแต่น้ำเสียงกลับร่าเริง ขยับตัวเว้นที่แล้วตบมือลงที่ข้างๆ ตัวมัน “พี่เจ้านั่งกับพวกผมก็ได้ครับ ไอ้พวกนี้มันไม่กัดหรอ วิทย์มึงหลบๆ ให้พี่เขานั่งด้วยดิ๊”

เด็กชื่อวิทย์ที่กำลังสูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเงยหน้ามองเพื่อนมันสลับกับพวกผมก่อนจะขยับไปชิดริมให้จนเหลือที่ว่างให้นั่งได้อีกแค่คนเดียว ข้าวเจ้ามองผมด้วยทำสีหน้าที่แสดงถึงความลำบากใจขั้นสุดเพราะรู้ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะกับมันแน่ๆ แต่ข้าวก็ไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจไอ้เด็กนี่อีก

ยิ่งผมทำเป็นไม่สนใจแรงกระตุกน้อยๆ ตรงแขนเสื้อและหันมองไปรอบโรงอาหารที่เต็มไปด้วยคนทุกแผนก ข้าวเจ้าก็ยิ่งหน้าเจื่อนลงไปใหญ่ สุดท้ายคงเพราะไม่อยากปฏิเสธเด็กในการดูแลที่เซ้าซี้ให้เจ้าตัวนั่งร่วมโต๊ะข้าวจึงทิ้งตัวนั่งระหว่างไอ้เด็กนั่นกับเพื่อนของมันโดนมีผมยืนกอดอกซ้อนอยู่ข้างหลัง

“นี่เพื่อนผมนะข้างพี่นั่นไอ้วิทย์ นี่พะแพง แล้วก็พาย ฝึกงานอยู่บัญชีกับจัดซื้อ” ไอ้ทักยิ้มร่าแล้วแนะนำเพื่อนมันให้ข้าวรู้จัก “ส่วนนี่พี่ข้าวเจ้า พี่เลี้ยงเราเอง”

“แล้วพี่คนนั้นล่ะคะ?” เด็กที่ชื่อพะแพงยิ้มหวานมองผม “เห็นมาด้วยกันนี่ ทักไม่เห็นแนะนำเลย”

“นั่นพี่ติณณ์ รุ่นพี่ในแผนกน่ะ” ไอ้ทักตอบแบบขอไปทีก่อนจะหันไปคุยกับข้าวเจ้า “พี่ไม่กินอะไรหรอครับ อยากกินอะไรไหมเดี๋ยวผมไปซื้อให้”

“มะ...”

“พี่ติณณ์ไม่นั่งหรอคะ ทางนั้นเต็มแล้วถ้าพี่ไม่รังเกียจนั่งข้างพะแพงได้นะคะ พายเขยิบๆๆ ให้พี่เขานั่งด้วย” พะแพงพูดแทรกเพื่อนตัวเองที่เสนอตัวไปซื้อข้าวให้คนของผม พายที่ถูกดันให้เขยิบได้แต่ทำตาปริบๆ มองเพื่อนตัวเอง ทั้งคู่ขยับไปจนเหลือที่ว่างข้างพะแพงซะกว้าง ก่อนเธอจะเงยหน้ามองและผายมือเรียกผม “เชิญค่ะพี่ติณณ์”

ผมเดินไปนั่งข้างสาวเจ้าตามคำเชิญ ก่อนจะส่งยิ้มแทนคำขอบคุณให้เด็กสาวตรงหน้าซึ่งพะแพงก็ยิ้มร่ากลับมาด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อน้อยๆ คล้ายเขิน และผมต้องกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อสบสายตาขุ่นๆ ของข้าวเจ้า

“เดี๋ยวนะคะ แพงว่าแพงเคยเห็นพี่ติณณ์นะ” เธอขมวดคิ้วก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาจิ้ม และทำตาโตมองผมสลับกับหน้าจอตัวเอง “นี่พี่ติณณ์ใช่ไหมคะ”

กระตุกยิ้มพร้อมกดหน้าลงให้อีกฝ่ายแทนคำตอบเมื่อเห็นรูปที่เจ้าตัวยื่นมาให้ดู เป็นรูปตอนที่ไปงานตอนปีใหม่กับลุงวัชซึ่งในรูปนั้นมันมีข้าวเจ้าติดมาด้วย

“งั้นๆ พี่ติณณ์ที่เป็นหลานชายคุณชัยธวัชหรอคะ!?” พะแพงถามด้วยน้ำเสียงตกใจพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก เธอก้มมองรูปในมืออีกครั้งและยกนิ้วชี้คนตรงข้ามที่ทำหน้าไม่บอกบุญอย่างข้าวเจ้า “แล้วนี่ใช่พี่คนนี้ไหมคะ”

“ครับ”

“งั้นพวกพี่สองคนก็เป็นญาติกันสิคะ? ในนี้บอกว่าคุณชัยธวัชและหลานๆ”

ได้แต่ยกยิ้มขำให้คนถามที่ทำท่าทางสงสัยมองผมสลับกับข้าวเจ้าไปมาคล้ายจะหาความเหมือนบนใบหน้าเพราะเธอเข้าใจว่าเราเป็นญาติกันไปแล้ว แต่ข้าวก็ทำให้เธอเลิกสงสัยด้วยการตอบไปว่าเราไม่ใช่ญาติกัน มันเลยมีคำถามขึ้นมาใหม่อย่าง “แล้วพี่สองคนเป็นอะไรกันคะ?”

คำถามที่ผมไม่ยอมตอบและข้าวเจ้าก็เอาแต่ก้มหน้างุดไม่ยอมมองหน้าใคร ไอ้ทักที่เงียบไปนานก็มองผมกับข้าวเจ้าก่อนขมวดคิ้วคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่

ครั้งนี้ผมขอยกความดีความชอบให้พะแพงเลย... เพราะปกติผมจะเป็นฝ่ายแนะนำข้าวให้คนอื่นไม่ก็พวกนั้นรู้เองจากพฤติกรรมหวงคนของผม ซึ่งผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าข้าวเจ้าจะบอกคนอื่นว่ายังไงกับคำถามที่ว่าเราเป็นอะไรกัน

Tbc.

―――――――――――

มาแล้วค่ะ มาช้าไปนิดดดดดดส์ พอดีสงกรานต์แทบไม่ได้แตะคอมเลยค่ะหมดวันก็นอนตายทั้งที่ไม่ได้เล่นน้ำสักนิด ไฟล์ในโทรศัพท์ที่มีก็เป็นตอนไม่เต็มเลยไม่ได้ลงสักที... แถมมีนยังติดPUBG mobile อีกก็เลยยาวเลย งื้อ ;; w ;; ///นั่งคุกเข่าสารภาพผิด แต่ใครเล่นแอดเราได้นะ ดีเอ็มมาเล--- แค่ก
อีกอย่างกลางอาทิตย์นี้เราเริ่มงานแล้วล่ะค่ะ อาจจะได้ลงตอนถัดไปอาทิตย์หน้าเลยเพราะยังพิมพ์ไม่เสร็จดี มีนมีนจะพยายามมาอัพให้ได้อาทิตย์ละตอนนะคะ ; v ;

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
«ตอบ #93 เมื่อ16-04-2018 21:47:33 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

รอเฉลยปริศนาว่าเป็นอะไรกัน  นาจา  อิอิ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
«ตอบ #94 เมื่อ16-04-2018 23:13:04 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
«ตอบ #95 เมื่อ17-04-2018 00:19:45 »

 :hao3:



ออฟไลน์ jumingko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
«ตอบ #96 เมื่อ21-04-2018 10:02:33 »

รอ รอ รอ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
«ตอบ #97 เมื่อ26-04-2018 23:14:21 »

จะแนะนำว่าเป็นอะไรกันนะ

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -27- 28|04|2561 P.4
«ตอบ #98 เมื่อ28-04-2018 00:01:34 »

จีบครั้งที่ยี่สิบเจ็ด
 

“ติณณ์! จะไปไหน!!”

“ไอ้ติณณ์หยุด! พี่ถามว่าจะพาพี่ไปไหนน่ะ! เฮ้!!” ผมไม่สนใจเสียงร้องถามของข้าวเจ้า ริมฝีปากขบเข้าหากันแน่นขณะฉุดรั้งข้อมือของเจ้าของเสียงโวยวายให้เดินตามตั้งแต่ที่เราอยู่ในโรงอาหารกับไอ้เด็กนั่น แต่แรงฮึดกระชากกลับของอดีตแชมป์มวยเยาวชนนั้นทำให้ผมชะงักฝีเท้าตามแรงนั้น และหันกลับไปมองข้าวเจ้าที่ก้มตัวหอบหนักๆ ออกมาพร้อมกับยกมือมาจับมือผมที่กำข้อมือของเจ้าตัวไว้ “พี่ถามว่าจะพาพี่ไปไหน”

“...ห้องน้ำ”

“ห๊ะ?!” ข้าวเจ้าเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยใบหน้าเหวอๆ ทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจนผมเกือบจะหลุดอาการขำ อีกฝ่ายเอ่ยถามย้ำอย่างไม่เชื่อหูแต่ผมไม่ตอบซ้ำและออกแรงดึงข้อมือข้าวเจ้าที่ร้องเสียงหลงให้เดินตามอีกครั้งไปยังจุดหมายที่ต้องการโดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายหรือการที่ข้าวทุบแขนจิกมือของตัวเองสักนิด

เผลอพรูลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างระบายอารมณ์ที่อัดแน่นในอกพร้อมกับยกมือข้างที่ยังว่างขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองเมื่อคิดไปถึงประโยคที่ข้าวเจ้าพูดเมื่อสักครู่นี้ตอนที่เรายังอยู่ที่โรงอาหาร...

‘แล้วพี่สองคนเป็นอะไรกันคะ?’ หนึ่งคำถามที่ออกจากปากของพะแพงทำให้ผมหันไปจ้องข้าวเจ้าที่เอาแต่ก้มหน้างุด ซึ่งผมก็นั่งเงียบไม่ยอมตอบคำถามนั้นเพราะอยากจะรู้ว่าข้าวเจ้าจะตอบว่าอย่างไร

‘อยากรู้หรอ?’ ผมหันไปยิ้มให้พะแพงที่พยักหน้ารัวและหันกลับมองไอ้เด็กที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดข้างๆ ข้าว ‘ถามข้าวสิครับว่าพี่กับเขาเป็นอะไรกัน’

เมื่อโยนคำถามให้ข้าวเจ้าเรียบร้อย อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาทำตาถลนใส่ผมทันที แววตาของพะแพงมองผมสลับกับข้าวเจ้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับไอ้เด็กทักนั่น

แต่ผ่านไปนานคำตอบก็ยังไม่ออกมาจากปากที่เม้มแน่นสนิทของอีกคนสักที... ทำเอาใจแป้วเชียวละ

ยอมรับนะว่ากลัวข้าวเจ้าจะบอกว่าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันหรืออะไรทำนองนี้ แต่ทั้งความอยากรู้ว่าข้าวจะตอบว่าอะไร และอยากให้ข้าวพูดออกมาเองมันมีมากกว่า... โดยเฉพาะต่อหน้าไอ้เด็กที่อยู่นั่งข้างๆ ข้าวนั่น

แต่ถ้าข้าวตอบอย่างนั้นจริงผมคง... รู้สึกแย่นิดๆ ที่ทำให้ข้าวเจ้าไม่กล้าบอกความสัมพันธ์ของเรา หรือเขาอาจจะ

‘พี่กับติณณ์ เรา... คบกันอยู่น่ะ’

เฮ้อ นั่นไงว่าละแล้วเชียว

หือ... เดี๋ยวนะ...

ปึง!

‘เมื่อกี้ข้าวว่าไงนะ!’ ผมผุดลุกขึ้นยืนพร้อมตบมือลงกับโต๊ะเสียงดังลั่นจนคนในโต๊ะสะดุ้งและคนรอบข้างหันมามองผมเป็นตาเดียว แต่ผมไม่ได้สนใจสายตาของคนที่มองมานักเพราะสิ่งที่ผมสนใจกว่าก็คือคนตรงหน้าที่นั่งก้มซ่อนหน้าแดงๆ จนคางแทบจะชิดอกอยู่แล้ว

...เราคบกันอยู่น่ะ

...เราคบกันอยู่

...เราคบกัน

ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่คำๆ นี้ที่วนเวียนอยู่

นี่ผมไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม...?

‘พะ พี่ติณณ์กับ... พี่ข้าว’ เสียงติดอ่างของพะแพงดังเข้ามาในโซนประสาทของผมที่ยังจ้องหน้าคนตรงหน้าอยู่ ข้าวเจ้าเงยหน้าแดงๆ ขึ้นมองผมด้วยสายตาค้อนๆ แค่แวบเดียวก่อนจะเบนหนีผมไปมองพะแพง และกดหน้าลงน้อยๆ คล้ายเป็นการยืนยันคำพูดนั้นแถมยังสำทับความจริงด้วยการ...

‘อื้อ พี่กับติณณ์คบกันได้ปีกว่าแล้ว’

ได้ยินเสียงคนข้างๆ พึมพำว่าไม่จริงน่าออกมา ผมที่ลืมเลือนความอึมครึมของตัวเองได้แต่ทรุดลงกับที่นั่งและยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดรอยยิ้มกว้างพร้อมกับลูบใบหน้าที่มันคงแดงจัดเหมือนกับคนที่นั่งตรงข้ามไปมาอย่างระบายอาการหน้าร้อนที่เกิดขึ้นไปบ่อยนัก และเมื่อได้สบตากับข้าวเจ้าที่แอบมองมาผมก็ลุกอ้อมโต๊ะไปฉุดให้เดินตามทันทีโดยไม่สนเสียงนกเสียงกาที่ดังมาไล่หลัง

เชี่ยเอ๊ย! ใจผมแม่งจะทะลุออกมาอยู่แล้ว!!


และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมฉุดข้าวเจ้ามายังห้องน้ำของพนักงานที่ตอนนี้ปลอดคนราวกับรู้ใจผม

ปัง!

“ติณณ์! มะ... อื้อออ” หลังจากที่ผมพาข้าวเจ้าเข้ามาในห้องน้ำได้ผมก็รวบตัวข้าวมาใกล้แล้วยกตัวอีกฝ่ายขึ้นนั่งตรงเคาน์เตอร์ล้างมือทันที เสียงโวยวายของข้าวเจ้าถูกผมกลืนหายด้วยริมฝีปากของตัวเองและแทนที่เสียงโวยวายนั่นด้วยเสียงครางในลำคอแผ่วๆ มือของข้าวเจ้าที่ทุยประท้วงลงกับไหล่และหลังของผมค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขยุ้มเสื้ออย่างหาที่พึ่งเมื่อผมสอดปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากอุ่นสลับกับขบฟันลงกับริมฝีปากนิ่มๆ เล่น

จนคนตัวอ่อนยวบเริ่มประท้วงเพราะหายใจไม่ออกด้วยการข่วนหลังผมเหมือนแมวข่วนเสานั่นแหละผมถึงยอมปล่อยให้อีกคนเป็นอิสระ แต่ยังคงเกลี่ยปากกับริมฝีปากที่เผยอหายใจไปมาไม่ห่าง

“ใครสั่งใครสอนให้พูดจาน่ารักแบบนั้นครับ หืม” ว่าพร้อมกับขบปากนิ่มๆ ของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว ข้าวเจ้าทุบอกผมดังปึ่กก่อนเงยมองผมด้วยสายตาค้อนๆ ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อคนพี่ก็หลบตาโดยการซุกหน้าลงกับไหล่ของผมซะงั้น

“ก็บอกว่าให้พี่เป็นคนบอกเองไม่ใช่หรอ...” เสียงอู้อี้ที่ดังขึ้นแผ่วๆ หลังจากที่ปล่อยให้คนพี่ได้หายใจเต็มปอดนั้นทำให้ผมต้องงัดหน้าแดงๆ ของข้าวเจ้าที่ซุกอกผมขึ้นมาหอมซ้ายหอมขวารัวๆ

ถ้าอยู่ที่ห้องนี่ได้จับฟัดหนักๆ ไปแล้ว

“ผมล่ะโคตรกลัวว่าข้าวจะบอกว่าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน...” ผมเกยคางลงกับไหล่ของคนพี่และว่าเสียงเบาพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“...พี่ขอโทษ” แต่คำขอโทษแผ่วๆ ที่ตอบกลับมาและไหล่ที่เริ่มลู่ลงของเจ้าตัวทำให้ผมกระชับตัวอีกฝ่ายแน่นขึ้น “พี่คงทำให้ติณณ์ไม่เชื่อใจสินะ ที่พี่ไม่ได้บอกคนอื่นเรื่องของเราเพราะเห็นว่าติณณ์แสดงออกว่าเราคบกันอยู่แล้วเลยคิดว่าแค่นั้นคงพอแล้ว... แต่ข้าวคงคิดน้อยเกินไปสินะถึงทำให้ติณณ์คิดอย่างนั้น ขอโทษที่ทำให้ติณณ์คิดมากนะครับ”

“รู้ว่าผมคิดมากแล้วทำไมไม่ฟังผมบ้าง”

“ขอโทษครับ...” ข้าวเจ้าว่าเสียงอ่อย “แล้วอีกเรื่องก็เรื่องของทัก--”

“ไม่อยากฟัง”

ผมตอบออกไปทันควันเมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่สาม ข้าวดันตัวผมที่พูดขัดเจ้าตัวออกห่าง สองมือของคนพี่ยื่นมาประคองหน้าของผมที่แทรกตัวอยู่ระหว่างขาอีกฝ่ายให้สบตา “ฟังหน่อยสิ พี่ว่าทักไม่ได้ชอบพี่หรอก... อย่าเพิ่งขัดสิ ตอบหน่อยว่าตอนติณณ์ชอบพี่ ติณณ์รู้สึกยังไง”

จากที่จะอ้าปากเถียงกลายเป็นทำปากคว่ำใส่คนพี่ ผมกลอกตาเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป

“อยากอยู่ด้วย อยากเจอ อยากอยู่ในสายตาข้าว”

“ติณณ์พยายามเข้าหาพี่ตลอดเวลาใช่ไหม” ผมพยักหน้า “แต่ทักไม่เป็นแบบนั้น พี่สังเกตหลายครั้งแล้วว่านอกจากตอนพี่อยู่กับติณณ์ทักก็แทบจะไม่สนใจพี่สักนิด พอว่างก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ แต่ถ้าติณณ์วอแวพี่เมื่อไหร่ทักมันถึงจะเรียกพี่เหมือนกับอยากกวนติณณ์มากกว่า”

หัวคิ้วของผมเริ่มขมวดเข้าหากันพลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอาทิตย์นี้ที่พอจำได้บ้าง จริงอยู่ที่ไอ้เด็กนี่มันชอบเล่นโทรศัพท์เวลาพักแถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคุยกับใครอยู่ เวลาผมคุยกับข้าวปกติมันก็ไม่พูดแทรกแต่พอผมเริ่มถึงเนื้อถึงตัวข้าวเมื่อไหร่มันก็หาเรื่องเรียกพี่เลี้ยงของมันทันที ถ้ามันชอบข้าวจริงมันคงไม่น่าอยู่เฉยแบบนี้หรือมันอาจจะประกาศสงครามเย็นกับผมไปแล้ว

แต่นี่ไม่มีสักอย่าง...

ถ้าลองตัดอารมณ์หึงหวงของผมออกไปและโฟกัสแต่พฤติกรรมมัน... ก็เหมือนกวนประสาทผมจริงๆ นั่นแหละ

“ข้าวเลยคิดว่าเด็กนั่นไม่ได้ชอบข้าวแต่แค่อยากกวนผม?” อีกฝ่ายพยักหน้าให้ ทำท่าจะดึงมือตัวเองออกจากหน้าของผมแต่ผมก็คว้ามือนั่นมากุมไว้ “แล้วมันกวนผมไปให้เกิดประโยชน์อะไรวะถ้ามันไม่ได้ชอบข้าวอย่างที่ข้าวว่าจริงๆ ทำเพื่อความสะใจก็ไม่ใช่เพราะผมก็เพิ่งรู้จักมันนี่ละ... ถึงที่จริงผมก็แอบคิดอย่างนั้นก็เถอะ แต่จะยังไงๆ ผมก็ไม่ชอบให้มันมายุ่งกับข้าวว่ะ คนของผมทั้งคน”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พี่คิดว่าคงเป็นอย่างนั้น” ข้าวเจ้าโคลงหัวเล็กน้อย “ถามหน่อย ทำไมติณณ์ถึงไม่ชอบน้องล่ะครับ?”

ผมชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วตรงหน้าข้าวเจ้า “หนึ่ง ผมเคยบอกข้าวแล้วว่าไม่อยากให้ข้าวรับเป็นพี่เลี้ยงเด็กอีกแล้ว”

อีกฝ่ายยู่หน้าลงเหมือนไม่พอใจในคำตอบ “ก็เลยพาล ไม่ชอบไปซะงั้น?”

“ฟังให้จบสิคุณ…” ผมชูนิ้วเพิ่มอีกหนึ่ง “ผมไม่ชอบที่เด็กนั่นเรียกข้าวว่าข้าวเฉยๆ แล้วไม่เห็นหรือไงว่าเด็กนั่นมันชอบยิ้มเหมือนจะเยาะเย้ยผมเวลาที่ข้าวให้ความสนใจมันมากกว่าสนใจผม อย่างวันนี้เหมือนกัน ตอนเช้าที่ข้าวลุกไปหามัน ข้าวไม่เห็นหรอว่ามันยิ้มแบบไหนให้ผม”

“...ไม่ได้สังเกตอ่ะ คิดไปเองหรือเปล่าว่าน้องมันยิ้มแบบนั่น ยิ่งติณณ์อคตืกับน้องมันอยู่แล้วแบบนี้”

แทบจะตบหน้าผากตัวเองกับคำตอบของข้าว อคติบ้าอะไรล่ะ! ไอ้อาการกระตุกยิ้มมุมปากชวนให้เอาพื้นรองเท้าไปแนบนั่นจะให้เรียกว่าอะไร!!

“งั้นต่อนะ ผมไม่ชอบ…”

“รักติณณ์นะครับ” ประโยคที่หาความเกี่ยวเนื่องกับประโยคก่อนหน้าไม่ได้นั้นทำให้ผมชะงักคำพูด ใบหน้าแดงๆ ของข้าวเจ้ามีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับเคลื่อนมาใกล้ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสที่กดลงมาที่ริมฝีปากตัวเองย้ำๆ “รักแค่คนนี้แหละครับ ใครมาจีบก็ไม่สนหรอก… เชื่อข้าวนะครับ”

ได้แต่เบิกตากว้างมองคนอายุมากกว่ายกยิ้มเขินบอกคำรักที่นานครั้งจะได้ยินด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ

“เอ่อ…” ฉิบหายละ… จะพูดอะไรต่อวะกู ผมกลอกตาไปมาอย่างนึกคำพูดก่อนจะเอ่ย “คือผมไม่ชอบที่ข้าวไม่ฟังผมเลยสักนิด แถมยังตามใจไอ้เด็กนั่นอีก”

“แต่พี่ก็เคืองนะที่เราไปนั่งข้างๆ สาวแบบนั้น”

ยิ้มขำใส่คนแกล้งทำหน้าบึ้ง รู้หรอกว่าข้าวไม่ได้เคืองจริงจังแต่แค่พูดให้ผมหายหงุดหงิด แต่การอมลมไว้ที่แก้มจนพองน้อยๆ ของคนตรงหน้าก็ทำให้ผมอดที่จะงับไม่ได้ ก่อนเราจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เรื่องของทักพี่คงต้องดูแลจนกว่าจะครบนั่นแหละ ติณณ์ก็ช่วยพี่ดูแล้วกัน”

ผมถอนหายใจออกมาและพยักหน้าส่งๆ ให้อีกฝ่าย ขณะที่ในหัวเริ่มวางแผนการว่าจะให้พี่ทศส่งไอ้เด็กนี่ไปให้คนอื่นดูแลแล้วเรียบร้อยโดยไม่คิดจะบอกคนในอ้อมแขน

“เข้าใจตรงกันแล้วนะ?”

ยักคิ้วกวนๆ ใส่ข้าวก่อนกอดอีกฝ่ายแน่นๆ “เข้าใจก็ได้ครับ ว่าแต่ว่าขอ...กอดได้ไหม”

“ก็กอดอยู่นี่ไง”

“อยากกินข้าว”

ประโยคที่เหมือนประโยคธรรมดาแต่แฝงความนัยทำให้คราวนี้ข้าวเจ้านิ่งกึก ผมเคลื่อนมือคงไปคล้องสะโพกอีกฝ่ายไว้หลวมๆ จนคนนั่งบนเคาน์เตอร์ล้างมือรีบเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ก็...ก็ไปโรงอาหารสิ อื้ออ ติณณ์อย่ากัดนะ!!”

ปากบอกห้ามแต่เอียงคอให้คืออะไร! มันเขี้ยวว่ะ!!

“ติณณ์ พี่...ข้าวขอนะ เอาไว้ก่อน!” ฝ่ามือของข้าวเจ้าดันหน้าผมที่ซุกไซ้คอเจ้าตัวให้ออกห่าง “นี่มันไม่ใช่ที่บ้านเรา!”

โคตรชอบเลยล่ะไอ้คำว่าบ้านเราเนี่ย แต่... “เอาท์ดอร์ไงคุณ”

“ไม่เอา!”

ยกยิ้มขำมองคนที่โวยวายปฏิเสธเป็นพัลวัน ไม่ได้ชวนจริงจังหรอกครับแค่อยากแกล้งคนเล่นเท่านั้นเอง แต่ก่อนที่ผมจะได้แกล้งข้าวเจ้าต่อ เสียงของคนคุยกันที่ดังมาจากภายนอกทำให้พวกเราเงียบและหันไปมองประตูที่ค่อยๆ เปิดออกพร้อม
“เฮ้ย เย็นนี้ไปร้านเหล้ากัน”

“ไม่อ่ะ เงินไม่มียังจะชวนอีกห่านี่”

“ขอเมียมึงมาดิ ฮ่าๆ”

ไม่รู้ว่าแรงฮึดอะไรที่ทำให้ผมอุ้มข้าวเจ้าเข้าเอวแล้วพามาหลบในห้องน้ำซึ่งพอดีกับที่บานประตูถูกเปิดจนสุด ได้ยินเสียงพูดคุยสับเพเหระและเสียงทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่ถึงสิบนาทีมีอะไรเกิดตรงที่ล้างมือนั้นทำให้ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนกับชักโครก

และนั่นกลายเป็นว่าตอนนี้ข้าวเจ้านั่งอยู่บนตักผมด้วยท่าทางที่ค่อนข้าง...ล่อแหลม

ผมสบตากับข้าวเจ้าก่อนกวาดตามองคนบนตักดีๆ มือข้างหนึ่งของข้าวยกปิดปากกลั้นเสียงหายใจ ส่วนอีกข้างคล้องคอผม ขณะที่ขาก็ยกขึ้นหนีบสะโพกผมเพื่อไม่ให้ขาของเจ้าตัวโผล่จนทำให้คนอื่นรับรู้ว่าในห้องนี้ไม่ได้อยู่แค่คนเดียว

อืม... ท่ามันได้จริงๆ นั่นแหละ

แล้วไอ้การที่ไม่ได้กินข้าวมาเกือบอาทิตย์ก็ดันทำให้อะไรๆ มันตื่นง่ายตื่นดายซะงั้น

“ข้าวครับ...” กระซิบแผ่วบ่งบอกความต้องการให้อีกฝ่ายสะบัดหัวจนเส้นผมปลิว ผมลดมือที่จับเอวอีกฝ่ายลงไปที่บั้นท้าย ออกแรงขย้ำอย่างแรงจนข้าวเจ้าสะดุ้งเกือบหลุดเสียงร้องแต่ดีที่ยังมีมืออีกฝ่ายปิดปากอยู่ “พี่ข้าวครับ”

“ไม่...ได้” ข้าวว่าด้วยเสียงเบาแต่หนักแน่นพร้อมกับส่ายหน้าพรืดและพยายามรั้งตัวเองไม่ให้ผมล็อกตัวให้บั้นท้ายอีกฝ่ายแนบกับความต้องการที่ตื่นตัว ดวงตาของข้าวเจ้ากลอกไปมาตามเสียงหัวเราะที่ได้ยินก่อนกระซิบข้างหูผม “ไม่ใช่ที่สาธารณะ”

จบคำพูดของข้าวเจ้า คนข้างนอกก็พูดชักชวนให้ออกจากห้องน้ำเพิ่งไปทำงานต่อเหมือนรู้ใจผม เรานั่งเงียบกันจนกระทั่งเสียงประตูถูกปิดลงก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายยิ้มออกมาให้คนนั่งอ้าปากเหวอและเอ่ยออกไป “...ปลอดคนแล้วนะครับ หึ”

“ไอ้ติณณ์ไม่เอาที่นี่!! อ๊ะ ไม่เอา... อื้อออ”

.

.

.

ย้อนกลับไปหลังจากข้าวเจ้าถูกติณณ์ฉุดไปกันสักหน่อย พะแพงยังคงนั่งอึ้งกับเรื่องที่เพิ่งรับรู้ขณะที่พิทักษ์ทำเพียงนั่งเท้าคางกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างไม่มีความแปลกใจกับเรื่องที่ได้รับรู้พร้อมกันกับชาวบ้านจนเพื่อนที่นั่งสังเกตการตั้งแต่แรกอย่างวิทย์เอ่ยถาม

“ไอ้ทัก มึงเล่นอะไรอยู่?”

“กูเปล่า” พิทักษ์ยักไหล่ตอบปฏิเสธ “ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ... เดี๋ยวกูมา”

พูดจบเขาก็ผลุดลุกขึ้นและเดินตามทางของพี่เลี้ยงไปโดยไม่ฟังคำเรียกของเพื่อนสนิทที่ตะโกนไหล่หลัง พิทักษ์เดินผิวปากไปยังสถานที่ๆ คิดว่าสองคนนั่นน่าจะอยู่และก็เดาไม่ผิดเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังจากห้องน้ำของพนักงาน เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาหยิบโทรศัพท์ออกมาและจิ้มมันไม่กี่ทีก่อนจะเก็บลงเหมือนเดิม

เขายืนพิงกำแพงด้านนอกห้องน้ำที่ไร้ความน่าพิสมัยจนกระทั่งเห็นกลุ่มคนเดินเข้าไปและเดินออกมาก่อนจะเอาป้ายทำความสะอาดมาแขวนไว้หน้าห้องน้ำ ยืนรอจนกระทั่งเห็นร่างของคนคุ้นตาที่กำลังเดินมาทางนี้

“ไงมึง”

“หวัดดีน้า” พิทักษ์ยกมือไว้คนตรงหน้าที่แยกเขี้ยวใส่เขาเพราะคำเรียก “พี่เจ้ากับพี่ติณณ์อยู่ในนั้นได้... เกือบยี่สิบนาทีแล้ว”

ผู้เป็นน้ากระตุกยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่หลานตัวเองพูด “เออ ดี”

“ถามจริงนะน้า ให้ผมทำทำไมวะ? พี่ติณณ์เขาคงเกลียดขี้หน้าผมแล้วมั้งที่ไปทำเหมือนจะไปแย่งแฟนเขาแบบนี้เนี่ย รู้สึกไม่ดีเลย”

“กูหมั่นไส้ไอ้ติณณ์มัน แม่งชอบว่ากูไม่มีปัญญาจีบคน” คนตรงหน้าเขาตอบ “นี่ขนาดมึงรู้สึกไม่ดีมึงยังไปยิ้มกวนตีนไอ้ติณณ์ได้อีกนะ”

“หน้าผมเป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่ ดูนะ” ว่าจบเขาก็กระตุกยิ้มมุมปากให้น้าชายดู ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มหวาน “ผมยิ้มมุมปากแล้วเหมือนแสยะยิ้มจนหวิดโดนเท้าชาวบ้านมาแล้วเนี่ย แล้วดูนะพอยิ้มกว้างๆ ดันหลายเป็นยิ้มไปทั้งปากทั้งตาซะงั้น”

“แถมนิสัยกวนตีนของมึงอีก กูถึงให้มึงช่วยไง”

“น้าทศ...” พิทักษ์เอ่ยชื่อญาติตัวเองเสียงแผ่ว “ถ้ารู้ว่าที่น้าให้ผมมาฝึกนี่เพราะมีภารกิจอื่นเสริมด้วยผมคงไม่มาฝึกหรอกครับเล่นเอาอนาคตหนึ่งในกรรมการบริษัทจ้องงาบหัวผมแบบนี้ไม่คุ้มซะเลย แถมน้ายังไปบังคับฟ้าแบบนั้นอีกนะ”

ใช่... เรื่องนี้พิทักษ์ไม่ได้เป็นคนเริ่มแต่เป็นแผนของน้าชายตั้งแต่แรกที่เสนอให้เขามาฝึกงานที่นี่ แถมยังกำชับว่าอย่าให้ใครรู้ว่าทั้งคู่เป็นญาติกันอีกด้วย และพอก่อนถึงวันเริ่มงานทศกัณฑ์ก็นัดเจอเขา ตอนแรกก็คิดว่าจะคุยเรื่องฝึกงานแต่ที่ไหนได้... กลายเป็นว่าถูกน้าตัวเองล่อลวงให้ปั่นป่วนคู่ของติณณ์กับข้าวเจ้าซะงั้น ซึ่งแต่แรกเขาปฏิเสธไปนะเพราะใครละอยากจะบ้าไปทำคู่รักแตกแยกกัน แต่น้าดันรู้ทางที่เขาแพ้คือการเข้าหาสกาย...หรือคนที่เขากำลังคบอยู่ด้วยนั่นแหละ น้าชายไหว้วานสกายให้เกลี่ยกล่อมให้เขาช่วยโดยแลกกับอะไรก็ได้ที่ทศกัณฑ์พอหาได้

และสกายก็ตกลง... แต่คนซวยคือเขาไหม ตอบ!!

ยังจำคำที่ท้องฟ้าของเขาพูดกับเขาได้อยู่เลย...

‘มึงไปทำแทนกูไหมฮะ!’

‘เราไม่ได้หน้าม่อเหมือนทักนะ? ’

‘...’


แค่ประโยคเดียวเล่นเอาซะสะอึก หาข้อโต้แย้งไม่ทันเลยทีเดียว

แต่สุดท้ายพอได้เจอหน้าของพี่เลี้ยงฝึกงานนิสัยเก่าๆ ที่ไม่ค่อยดีก็ดันกำเริบ... แต่แค่นิดเดียวนะ! เชื่อพิทักษ์สิ!!

“ใครบังคับ แฟนมึงยอมช่วยกูเอง” ทศกัณฑ์หัวเราะหึ ล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงและหยิบของบางอย่างออกมา “อันนี้บัตรฟรีบุฟเฟ่ของสกาย บอกว่ากูฝากขอบคุณที่โน้มน้าวให้มึงมาช่วยกูได้... ส่วนนี่ของมึง”

สิ่งที่อยู่ในมือของน้าชายทำให้คนเป็นหลานตาวาว “จัดทริปฮันนีมูนสามวันสองคืนกับสกายได้เลย”

พิทักษ์ยื่นมือหมายจะไปหยิบสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย แต่ทศกัณฑ์กลับดึงหลบ “งานเสร็จแล้วนี่”

“กูกับมึงไม่รู้จักกัน เคนะ?”

“เออครับ”

“ดีมาก” ทศกัณฑ์เอ่ยพอใจ “ส่วนเรื่องพี่เลี้ยงมึง กูไม่ให้ไอ้เจ้าดูแลมึงแล้ว”

“อ้าว...”คนเห็นหลานร้องออกมาอย่างเสียดาย “ไหนน้าบอกพี่ติณณ์ว่าจะไม่เปลี่ยน”

“กูเปลี่ยนจากไอ้เจ้า... เป็นให้ไอ้ติณณ์ดูแลมึง” พิทักษ์อ้าปากหวอเมื่อได้ยินคำจากน้าชาย “สู้นะมึง สามเดือนจิ๊บๆ หึ”

“ผมจะฟ้องแม่!!”

“อย่าไปบอกพี่กูไอ้ทัก!!”

TBC.

―――――――――――

คือ... ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้อยู่แล้วค่ะให้ทักทับทศเป็นญาติกัน อิพี่ทศผู้ก่อกวนกับเราผู้ไม่ใช่สายดราม่า---
บอกก่อนเนอะว่าทุกสิ่งในสองสามตอนนี้มันคือมุมมองของติณณ์ที่อคติกับทักอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งถ้าคนเราไม่ชอบใครสักคนไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ต่อให้สิ่งที่เขาทำมันดีแค่ไหนถ้าใจเราตีว่าไม่ดีมันก็พาลว่าไม่ดีไปแล้ว อย่างที่ติณณ์มองว่าทักจะจีบข้าวกับทักผู้ที่ยิ้มมุมปากแล้วออกมากวนตีน... ดังนั้นผลลัพธ์คือติณณ์คิดว่าเด็กมันเยาะเย้ย //ไม่ได้เข้าข้างทักนะ ไม่ได้เข้าข้างเล้ยยยยย ส่วนใจความหลักตอนนี้คือเราอยากให้ไอ้ติณณ์หึงกับข้าวบอกชาวบ้านว่าคบกับติณณ์ก็เท่านั้นแล...
เอาจริงๆ เราวางโครงเรื่องไว้จนเกือบจบแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้แต่งดีๆ สักที ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าเห็นตอนสองตอนนี้มีรีไรท์ในอนาคต... ยิ่งช่วงนี้ทำงานเหนื่อยมากกกกกค่ะ กลับมาหัวตันและหลับยาว อันที่จริงตอนแรกตั้งใจจะมีเอ็นซีนะเพราะไปอ่านตูนวายเรื่องนึงแล้วมึนมีฉากในห้องน้ำพนักงานก็เลยอยากได้บ้าง--- แต่สุดท้ายแบบแต่งได้ครึ่งนึงแล้วไม่รอดจริงจังเลยตัดไปแม่ม...
นี่ก็เกลาแล้วเกลาอีกอาจจะสื่อไม่ครบในความตั้งใจ... ถ้ามันไม่โอเคยังไงคอมเม้นได้เลยค่ะจะเอามาปรับปรุงในภายภาคหน้าถ้ามีนยังไหว...
มึนมากช่วงนี้ แงงง
รักทุกคนนน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -27- 28|04|2561 P.4
«ตอบ #99 เมื่อ28-04-2018 00:55:41 »

 :pig4: :pig4: :pig4:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จีบนะครับ...รักผมที -27- 28|04|2561 P.4
« ตอบ #99 เมื่อ: 28-04-2018 00:55:41 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -27- 28|04|2561 P.4
«ตอบ #100 เมื่อ02-05-2018 00:05:03 »

ร้ายกาจจริงๆ. 555

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -28- 06|05|2561 P.4
«ตอบ #101 เมื่อ06-05-2018 01:10:54 »

จีบครั้งที่ยี่สิบแปด
ข้าวเจ้า


ผมนั่งเท้าคางมองพิทักษ์ที่เอาแต่ยิ้มแห้งทำหน้าเจื่อนส่งให้ติณณ์ พอเบนสายตาไปเล็กน้อยก็เห็นคุณหัวหน้าแผนกการตลาดกำลังนั่งทำตัวห่อเหี่ยวโดยมีเพื่อนสนิทของผมอย่างหลงยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ผมหันกลับมามองติณณ์อีกครั้ง... ผู้ชายตัวใหญ่ก็ยังคงเอาแต่ทำหน้าบึ้งขมึงตึงเหมือนอยากจะจับคนตรงหน้าขึ้นมาบีบคอนั้นทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่รู้ควรทำตัวยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ดี

สาเหตุทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เกิดจากความบังเอิญเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ระหว่างที่กำลังจะกลับบ้านผมก็นึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่แผนกเลยให้ติณณ์วนรถพากลับเอา บอกให้ติณณ์จอดรอแค่หน้าตึกและวิ่งไปที่แผนกทันทีแต่ดันบังเอิญไปได้ยินเสียงของพี่ทศยืนคุยกับพิทักษ์อยู่ในห้องของเจ้าตัวที่ปิดประตูไม่สนิท

ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากว่าสรรพนามที่สองคนนั้นใช้กันคือน้ากับหลาน...

ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองฟังผิดหรือเข้าใจผิด แต่ไม่ทันได้คิดอะไรติณณ์มันก็ตามขึ้นมาซะก่อน สมองรีบสั่งการให้ผมดันผู้ชายร่างหมีให้ออกไปจากตรงนั้นทันทีเพราะรู้ดีว่าคดีเก่าของพิทักษ์เมื่อราวสองเดือนก่อนยังไม่หายไปจากหัวติณณ์... แม้ว่ามันจะแกล้งน้องเต็มที่ก็ตามที

แต่เหมือนการที่ผมพยามไปมันไม่เกิดผลเมื่อพิทักษ์ดันหันกลับมาเห็นผมกับติณณ์อยู่ตรงนั้น หน้าน้องมันเหวอเหมือนเจอผีเช่นเดียวกับพี่ทศที่ทำตาถลนออกจากเบ้า ก่อนพิทักษ์จะรีบปรี่มาหาพวกผมพร้อมขอโทษขอโพยที่ปิดบังเรื่องเป็นญาติกับพี่ทศ แถมยังบอกว่าเรื่องที่มาแกล้งวนเวียนรอบตัวผมนั้น ตัวเองถูกน้าสั่งมาเลยขัดไม่ได้

สรุปว่าก็เลยได้รู้ความจริงทั้งที่ไม่ได้ถามสักคำ...

พอพิทักษ์พูดจบคนที่ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นน้าชายของเด็กฝึกงานตรงหน้านั้นก็ถลึงตาใส่หลานชายตัวเองทักที แต่ก่อนที่จะได้ดุได้ว่าอะไรเสียงกดต่ำของติณณ์ก็ดังขึ้นให้คนทั้งสองได้สะดุ้งตัวโหยงและกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

“มีใครจะอธิบายเรื่องเมื่อสักครู่นี้ให้ผมฟังใหม่ได้ครับ”

คำพูดที่คล้ายจะบอกว่าพวกผมเพิ่งจะรับรู้เรื่องราวจากปากของพิทักษ์ทำให้ทั้งสองหันมองหน้ากันแทบทันที พิทักษ์ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้เต็มแก่รีบสารภาพผิดอย่างลนๆ ย้ำความบริสุทธิ์ใจว่าตัวเองโดนน้าชายแกล้งจริงๆ ด้วยการโทรไปหาแฟนของมันที่ผมเพิ่งจะรู้ว่ามีด้วยให้มาร่วมวงสารภาพด้วยนั้นทำให้ติณณ์ปัดเรื่องของพิทักษ์ตกไปแต่ก็ยังคงคาดโทษเด็กฝึกงานไว้จนน้องได้แต่ยิ้มแหยให้ ส่วนอีกคนก็เอาแต่ปิดปากเงียบไม่ยอมเล่าแต่ก็ต้องยอมเปิดมาเมื่อเห็นไอ้หลงที่ขึ้นมาตามแฟน... ไม่สิ ขึ้นมาตามพี่ชายคนสนิทอย่างคุณทศกัณฑ์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับคำว่าได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว

เท่านั้นแหละครับ คำบอกเล่าก็ออกมาจากปากของพี่ทศจนถ้าไม่ติดว่าผมต้องห้ามไอ้ติณณ์ผมก็อยากจะเตะก้านคอพี่มันสักที...

มีอย่างที่ไหนล่ะ จีบคนอื่นไม่ติดแล้วมาพาลคนที่ชอบแซวตัวเองโดยการใช้หลานชายมาแทรกกลางวะครับ?

และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ของก่อนหน้านี้ครับ ตัดกลับมาที่ปัจจุบันที่หลังจากเรารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้วก็ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะกลับบ้านก็เพราะมีคนตัวโตอย่างติณณ์ยืนจังก้าขวางประตู โดยมีแบล็คกราวด์เป็นเสียงโทรศัพท์ของพิทักษ์ที่เหมือนน้องจะว่าแฟนของน้องมันโทรมาตามให้กลับบ้านแต่เจ้าตัวก็ไม่กล้ารับ ขณะที่ไอ้หลงก็ยืนทำท่าฮึดฮัดเพราะเพิ่งรู้ถึงแผนการของแฟน... แค่ก พี่ชายคนสนิทของตัวเองจนพี่ทศหน้าจืดยิ่งกว่าแกงจืด ไหนจะเรื่องที่พิทักษ์เป็นหลายชายเจ้าตัวอีก แลดูพี่ทศต้องเคลียร์ยาวเลยล่ะ

อย่าถามว่าทำไมผมไม่เดือดกับเรื่องตรงหน้า ถ้าผมเดือดแล้วใครจะห้ามไอ้ติณณ์ล่ะครับ? เผื่อมันอยากออกกำลังกายขึ้นมาดื้อๆ อย่างน้อยผมยังห้ามมันได้นี่... ขืนห้ามไม่ได้ลุงวัชที่ฝากฝังหลานตัวเองไว้กับผมคงได้ฆ่าผมตายเอา เพราะความคิดนั้นผมเลยย้ายตัวเองมาเป็นผู้ชมที่ดีซะเลย... ไม่รู้ว่าระหว่างน้าชายที่พาลไปทั่วกับหลานชายที่โดนน้าตัวเองหลอกใช้นั้นผมควรจะสงสารใครดี

นั่งชังใจอยู่นานเอาเป็นว่าผมไม่สงสารใครก็แล้วกันเพราะคนที่น่าสงสารคงเป็นผมกับติณณ์ที่ถูกสองหน้าหลานนี้หลอกมาได้เกือบๆ สามเดือน

“โธ่ คุณติณณ์คนหล่อ ผมล้อเล่นนิดดดดเดียวเอง” พี่ทศว่าเสียงอ่อนเสียงหวานพลางทำนิ้วให้ดูว่านิดเดียวจริงๆ ไอ้ติณณ์นิ่วหน้าลงเมื่อได้ยินอย่างนั้น “พี่ขอโทษษษ ปล่อยพี่ไปเถ๊อะ”

“พี่ทศสนุกมากหรอกครับที่ได้ปั่นหัวผม?” แต่เหมือนติณณ์ไม่เล่นด้วยพี่ทศเลยได้แต่หน้าเจื่อนและตอบปฏิเสธทันที “พี่เกือบทำให้ผมกับข้าวทะเลาะกันเลยนะครับ แก่แล้วทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้ยังว่า...ทำไมพี่หลงไม่เอา”

ติณณ์หัวเราะหึ บุคคลที่ถูกพาดพิงชื่อหันมามองคนพูดเล็กน้อยแต่ไอ้หมียักษ์ไม่สนใจและหันมาหาเด็กฝึกงานแทน

“ส่วนพิทักษ์ ผมเข้าใจว่าคุณทำไปเพราะขัดน้าตัวเองไม่ได้แถมมีคนยืนยันอีก... ถ้าอย่างนั้นผมจะถือว่าหายกันกับที่ผมไปแกล้งคุณระหว่างที่ดูแลคุณแล้วกันนะ คุณกลับไปได้แล้ว”

ประโยคของติณณ์ทำให้พิทักษ์แทบจะถลามากอดแข้งกอดขาติณณ์ถ้าไม่ติดว่ามันตวัดสายตาดุๆ ใส่ทักจนน้องเบรคตัวแทบไม่ทัน พอได้ยินคำเอ่ยไล่พิทักษ์ก็รีบกวาดของลงกระเป๋าตัวเอง ยกมือไว้บรรดาคนแก่กว่าที่อยู่ในแผนกและวิ่งออกไปทันทีคล้ายว่าถ้าช้ากว่านี้ไอ้ติณณ์จะเปลี่ยนใจ

ตอนนี้ก็เหลือหนึ่งคนที่ไม่มีใครอยู่ฝ่ายเดียวกัน

“หลง...”

“พี่หลงครับ” เสียงของติณณ์ดังกลบเสียงครางแผ่วเรียกชื่อหลงของพี่ทศ “ผมฝากจัดการแล้วกันนะครับ เอาให้ไม่กล้าซ่าได้อีกเลยนะพี่”

“เออ” อืม... รู้เลยว่าไอ้หลงคิดจะทำอะไรได้จากรอยยิ้มของมันหลังจากที่ติณณ์โยนหน้าที่ให้เรียบร้อย เพื่อนสนิทของผมแบมือไปตรงหน้าของพี่ทศและเอ่ยปากขอกุญแจห้องคืน

“เรื่องจบแล้ว งั้นเรากลับบ้านกันเถอะข้าว” ว่าจบติณณ์ก็ดึงผมออกมาทันทีโดยไม่ให้ได้อยู่ฟังว่าไอ้หลงคิดจะทำอะไรนอกจากขอกุญแจห้องคืน...

ถามจริงๆ นะ... แม่งจบง่ายไปป่ะวะไอ้ติณณ์!!
   

“ติณณ์”

“ครับ?”

“เอาใบผ่านฝึกงานกับใบประเมินให้น้องหรือยัง?” ผมหันถามคนตัวสูงกว่าที่นั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่ข้างตัว ติณณ์ทำหน้างงๆ ก่อนจะร้องอ๋อออกมา

ตอนนี้พี่เลี้ยงกับเด็กฝึกงานคู่นี้เขาดูสนิทกันกว่าเดิมครับเพราะหลังจากที่ได้รู้ความจริงกันไปเรียบร้อยเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน วันต่อมาไอ้ทักถึงกับเอาแฟนมันมาทักทายถึงหน้าบริษัทกันเลยทีเดียวเชียว แถมพอได้คุยกันดีๆ ไอ้สองคนนี้ดันเข้ากันได้ยิ่งกว่าเป็นปี่เป็นขลุ่ย... เล่นเอาผมปวดหัวยิ่งกว่าตอนที่พิทักษ์มาแรกๆ อีก

“อ่า ผมหาแปบนะ” แทบจะตบหน้าผากกับคำตอบนั้น นี่มันลืมเรื่องสำคัญได้ไงวะ ความเป็นความตายของเด็กฝึกงานเชียว... ผมมองตามติณณ์ที่ลุกขึ้นพรวด เดินหายเข้าไปในห้องและกลับออกมาพร้อมแฟ้มสีใสสำหรับประเมินการทำงานของนักศึกษาที่พิทักษ์ให้ไว้มาชูให้ผมดูพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ “นี่ครับ ผมบอกน้องว่าจะเอาไปให้วันจันทร์ ขอผมทำก่อนแล้วกันนะ”

แล้วไอ้ติณณ์ก็หายกลับไปในห้องอีกครั้ง...

ผมพรูลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนหลุดเสียงหัวเราะเมื่อนึกถึงใบหน้าเหรอหราของติณณ์เมื่อครู่นี้ ก็รู้ว่าช่วงนี้งานมันยุ่งเพราะระยะหลังๆ เนี่ยนอกจากงานที่แผนกแล้วมันจะหายตัวขึ้นไปหมกอยู่ในห้องผู้บริหารในฐานะตัวแทนของลุงวัช(ที่ลุงแกเป็นคนโยนงานมาให้นั่นแหละ) ไหนจะตรวจเอกสาร ไหนจะประชุมนู่นนี่อีก ต่อหน้าคนอื่นติณณ์มันทำขรึมแค่ไหน พอกลับมาถึงห้องทีไรมีอันต้องมาออดมาอ้อนผมให้ได้ซะทุกที

...หมดมาดอนาคตหนึ่งในกรรมการบริหารเชียวล่ะครับ

ฟุ่บ!

“ข้าวเจ้า...” นานเกือบสิบนาทีให้หลังท่อนแขนหนักๆ ก็พาดลงจากทางด้านหลังของผม ตามด้วยเสียงยานๆ ของติณณ์ที่ดังขึ้นข้างใบหู “เหนื่อย”

“อะไรๆ แค่นี้เหนื่อยหรอไอ้หมี” เอ่ยล้อคนที่ก้าวยาวๆ ข้ามพนักโซฟามาทิ้งตัวลงกับตักก่อนจะพลิกตัวเข้าหาหน้าท้องผม “แค่ประเมินเด็กฝึกงานแค่นี้ทำเป็นเหนื่อย แล้วหลังจากนี้จะไม่เหนื่อยกว่าหรอครับ หืมม”

“โธ่คุณ มันไม่เหมือนกันนะ” อีกฝ่ายโอดครวญออกมายาวๆ “ผมนั่งเค้นความจำหาเรื่องมาประเมินมันแทบตาย ไอ้ที่จำได้ดันมีแต่ฉากที่เอาแต่แกล้งมัน ฮ่ะๆ”

ผมยกมือหนีบจมูกคนบนตักและบิดแรงๆ อย่างมันเขี้ยวจนติณณ์ร้องโอ๊ยออกมาดังๆ ให้ตายเถอะ... เคยจำเรื่องดีๆ อะไรบ้างไหมเนี่ย

“แล้วเขียนไปว่าอะไรบ้าง”

“พิทักษ์เป็นเด็กดี ตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงว่ามันจะหนัก หรือใช่สายงานตัวเองหรือเปล่า” ติณณ์ที่จีบปากจีบคอพูดทำให้ผมอยากจะเบะปากเป็นสระอิ

“พูดซะดีเชียวไอ้หมี” ผมขัดคออีกฝ่าย ใช้ฝ่ามือบี้ลงกับแก้มมันแรงๆ “ไหนจะให้น้องไปยกน้ำมาเติมทั้งๆ ที่ปกติจะมีคนมาเปลี่ยนให้ สั่งให้เดินขึ้นลงไปหาฝ่ายนู้นฝ่ายนี้ทั้งที่ไม่มีอะไรเนี่ย ไม่ใช่มันเพราะตัวเองไปแกล้งน้องเขาหรอออ หืมมม”

“ก็ตอนนั้นมัน... แต่ตอนนี้ผมดีกับพิทักษ์มันแล้วนะครับคุณข้าวเจ้า” ติณณ์รีบเปลี่ยนคำพูดเมื่อผมตวัดตาดุๆ ใส่ สองแขนของมันเอื้อมผ่านเอวผม รั้งให้ตัวผมไปชิดกับหน้าของอีกฝ่ายมากขึ้นและพูดด้วยเสียงอู้อี้ติดอ้อน “จะว่าไป... เรื่องที่ผมจะให้ข้าวจะมาเป็นเลขาให้ผมที่นู่นล่ะครับ ยังไม่ตอบผมเลยนะครับ”

เผลอหลบตาทั้งๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้าของคนที่ซุกหน้าท้องผมอยู่ เรื่องนี้ติณณ์ถามมาตลอดตั้งแต่ปีใหม่แต่ผมก็เอาเลี่ยงไม่ยอมให้คำตอบมันสักที

แต่คงไม่ใช่กับครั้งนี้เมื่อติณณ์เอ่ยถามซ้ำ

ไม่ใช่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้นะ แต่แค่ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับที่บ้าน... เอาตามตรงคือผมไม่เคยห่างจากครอบครัวไปไหนไกลๆ เลยครับ ถึงจะออกมาอยู่คอนโดคนเดียวก็เถอะแต่ถ้าวันไหนว่างหรือเลิกเร็วก็จะกลับไปบ้านบ้าง อย่างน้องก็อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง แต่นี่ไม่ใช่อยู่ใกล้ๆ แบบที่สามารถไปกลับได้ในครึ่งชั่วโมงไง แต่นั่นน่ะโคราชนะ! จังหวัดนครราชสีมาที่ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ เกือบๆ สี่ชั่วโมงเชียวนะ!

ยอมรับว่านั่นเป็นข้ออ้างที่ทำให้ตัวเองเข้าใจว่าอย่างนั้น แต่ลึกๆ คือผมยังห่วงคนที่บ้านอยู่ ไหนจะไอ้ทุ่งนาที่ยังเรียนไม่จบอีกล่ะ กว่าจะถึงมหาลัย กว่าจะจบก็คงหมดเยอะ... บ้านไม่ได้รวยเหมือนคนแถมนี้นี่ครับ

“ว่าไงครับ” เสียงและใบหน้าของติณณ์ทำให้ผมสะดุ้งตัวจากความคิด ไม่รู้ว่าคนที่หนุนตักผมอยู่ลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่... รอยยิ้มจางๆ ของอีกฝ่ายทำให้ผมเบนสายตาหนีแต่ถูกติณณ์จับหน้าบังคับให้ผมหันไปสบตา “ไหนบอกผมหน่อยครับว่าข้าวเจ้าของผมคิดอะไรอยู่”

“พี่... ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับที่บ้านเลย” ตอบเสียงแผ่วพร้อมหลบตาลงต่ำ “ว่าก็ว่าเถอะพี่ยังไม่เคยห่างบ้านไกลขนาดนั้นเลยนะ”

“....” ติณณ์เงียบก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที ท่าทางนั้นทำให้ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพราะรู้ตัวว่าความชักช้าของผมคงไปทำติณณ์โกรธอีกแล้ว แต่พอลุกเพื่อจะเดินตามไปอธิบายให้คนตัวสูงฟังผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นติณณ์เดินออกมาจากห้องนอนและก้าวมาความเอวผมให้ชิดตัวอีกฝ่าย

ในมือมันโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง...

คิ้วของผมขมวดเมื่อเห็นว่าโทรศัพท์ที่อยู่ในมืออีกฝ่ายคือเครื่องของผมเอง รอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปากของติณณ์พร้อมกับการยกมันแนบหูอย่างที่ผมจะเดาได้ว่ามันจะโทรหาใคร

คงไม่พ้นที่บ้านผม...

“ครับน้าชาย”

‘ติณณ์?’ ปลายสายส่งเสียงสงสัย ‘ไหงเอามือถือไอ้ข้าวโทรมาล่ะ’

“ก็เรื่องของหลานชายจอมดื้อของน้าแหละครับ” เผลอส่งสายตามองค้อนให้คนเด็กกว่าที่ลามปามว่าผมเป็นจอมดื้อ แต่มันกลับกรอกเสียงไปว่าผมมีเรื่องอยากคุยด้วยแล้วยกโทรศัพท์มาแนบหูผม “คุยสิครับ”

“....”

‘ว่าไงข้าว มีอะไรจะคุยกับน้า’

“คือ...” ผมเงยมองคนตรงหน้าที่กดหน้าลงเล็กน้อยคล้ายจะบอกว่าให้ผมพูดมันออกไป ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนตัดสินใจกรอกเสียงลงไป “ติณณ์อยากให้ผมไปช่วงงานที่... สาขาโคราช”

‘อ้อ เรื่องนี้ติณณ์มาบอกทางนี้แล้วล่ะ นี่มันยังไม่บอกข้าวอีกหรอ?’ ประโยคนั้นของน้าชายทำให้ผมได้แต่อ้าปากค้าง มองหน้าคนที่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์... ไม่นึกว่าติณณ์จะไปแล้วด้วยซ้ำ ‘พ่อแม่ข้าวก็ไม่ได้ว่าอะไร เห็นด้วยด้วยซ้ำที่จะให้ติณณ์พาข้าวไปเปิดหูเปิดตาบ้าง’

“แต่...”

‘โตได้แล้วน่าไอ้หลานชาย อยากไปกับเขาก็ไปไม่ต้องห่วงทางนี้’ น้าชายพูดอย่างรู้ความคิดผม ‘นี่บ้านของข้าวเจ้าไง อยากกลับตอนไหนก็กลับมานะ แต่ถ้าจะกลับมาอยู่ถาวรน้าขออัดมันให้สลบสักวันสองวันแล้วกัน’

คนโดนพาดพิงทำหน้าตื่นเหมือนเห็นน้าชายอยู่ในห้องด้วย เผลอหลุดหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนติณณ์จะพูดด้วยเสียงจริงจัง “ไม่มีวันนั้นหรอกครับน้าชาย ถ้าข้าวจะมาอยู่นี่ผมก็ต้องมาด้วย”

‘มาเป็นกระสอบทรายให้ชกเล่น?’

“ฐานะคนรักของข้าวสิน้า...” รู้ตัวเลยว่าหน้าขึ้นสีเมื่อได้ยินคำว่าคนรักจากปากอีกฝ่าย ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นรอยยิ้ม “ตกลงว่าให้ข้าวไปกับผมใช่ไหมครับ น้าบอกซ้ำอีกทีเถอะคนชอบคิดมากจะได้เลิกคิดมากสักที”

‘เพิ่งรู้ว่าไอ้ข้าวคิดมากเป็น ฮ่าๆๆ’ ผมยู่หน้าใส่ปลายสายที่หัวเราะออกมาดังลั่น ‘น้ารู้ว่าข้าวห่วงที่บ้านนะ ไอ้นามันมีคนดูแลพ่อแม่แกก็ไม่ได้ลำบากอะไรถ้าจะส่งไอ้นาอีกคน... ทำตามใจตัวเองเถอะลูก’

ประโยคหลังไม่ใช่เสียงของน้าชายแต่เป็นเสียงคุ้นหูของแม่...

“แม่ครับ” ผมครางเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่ว ไม่รู้สักนิดว่าเปลี่ยนจากถูกติณณ์ยกโทรศัพท์แนบหูมาเป็นผมถือเองตั้งแต่เมื่อไหร่ “ข้าว...”

‘ติณณ์มาบอกไว้แล้วแหละว่าอยากจะพาข้าวไปช่วยทางนั้น แต่คนที่ต้องตัดสินใจคือข้าวไม่ใช่พวกแม่ใช่ไหมล่ะ’ เสียงนุ่มของปลายสายว่า ‘คิดมากแบบนี้ไม่สมเป็นลูกแม่เลย ทีไปเที่ยวกับหลงเกือบอาทิตย์จนลืมบ้านลืมช่องนี่ละไปได้เชียวนะ’

ผมสะดุ้งเมื่อแม่เอ่ยแซวเรื่องสมัยกำลังคะนอง ติณณ์งี้รีบหันมองผมขวับ

‘จะตกลงหรือไม่ตกลงก็แล้วแต่ข้าวนะ แม่วางสายก่อนล่ะเด็กๆ มาเรียนแล้ว รักลูกนะ’

“เดี๋ยวดิแม่...แม่!” ผมอ้าปากค้างเมื่อแม่ตัดสายไปทันที เงยหน้าไปก็เยอะไอ้ติณณ์ยิ้มกวนๆ อย่างอารมณ์ดีให้ “...นี่เตรียมพร้อมไว้นานแค่ไหนแล้ว”

“ก็หลายอาทิตย์แล้วครับ” คนตรงหน้ายักไหล่น้อยๆ ดึงโทรศัพท์ในมือผมออกและโยนลงโซฟา “ตกลงว่าไง”

“...ร้าย”

“ร้ายเพราะรักไงครับ ฮิ้ว”

“...”

“โอเคไม่เล่นก็ได้” ติณณ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “บ้านพี่โอเคแล้วนะ แล้วพี่ล่ะ”

“พ่อแม่ติณณ์ล่ะ?” ผมถามกลับด้วยคำถาม “พี่ไม่แน่ใจว่า... แม่ของติณณ์โอเคเรื่องของเราหรือยัง”

“ผมก็ไม่รู้ครับ แต่ผมว่าถ้าแม่ไม่ยอมรับหลายเดือนมานี้คงมีสาวๆ มาเคาะห้องให้พี่ปวดหัวเล่นแน่” อีกฝ่ายยิ้มสองแขนกระชับตัวผมแน่นขึ้น “ขอคำตอบด้วยครับ”

“อืมมมม”

“....”

“พี่ไม่เคยทำงานเลขา...” ผมว่า “ถ้าไม่โอพี่ขอย้ายแผนกนะ”

คำตอบของผมทำให้ติณณ์ที่ชะงักไปเพราะประโยคแรกเริ่มยิ้มกว้าง ตามด้วยจมูกที่กดลงมาบนผิวแก้มผมแรงๆอย่างดีใจ

“ได้ครับถ้าพี่ไม่โอเค” ติณณ์กระซิบ “แต่ไม่เป็นไรครับ ผมยังมีเวลาเทรนด์ให้พี่อีกเยอะ อย่าลืมสิครับว่าผมทำหน้าที่เลขาให้ลุงวัชมาแล้วนะ”

“....”

เกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนหน้ามันจังครับทุกคน

Tbc.

―――――――――――

มาแล้ววววว เพิ่งจะว่างค่ะช่วงนี้ร้านที่เราทำเพิ่งเปิดเลยจะวุ่นๆ หน่อย กลับมาบางทีก็สลบเหมือดไม่ได้... นี่ปั่นสดมากกกกกกกกกกกเสร็จปุ๊บลงปั๊ป
เจอคำผิดคำไหนรบกวนเม้นบอกด้วยนะคะ /ทำตาปริบๆ
ฝันดีค่ะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -28- 06|05|2561 P.4
«ตอบ #102 เมื่อ06-05-2018 17:17:12 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -28- 06|05|2561 P.4
«ตอบ #103 เมื่อ06-05-2018 22:45:20 »

 :angry2:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -28- 06|05|2561 P.4
«ตอบ #104 เมื่อ06-05-2018 23:07:50 »

จะไปอยู่โคราชแล้ว. จะเป็นไงบ้างนะ,,,

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -29- 20|05|2561 P.4
«ตอบ #105 เมื่อ20-05-2018 23:24:45 »

จีบครั้งที่ยี่สิบเก้า

หลังจากวันที่ผมขอให้เจ้าตัวมาทำงานกับผมอย่างเป็นทางการ (?) แล้วข้าวเจ้าตอบตกลงก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรอีก แถมกับไอ้พิทักษ์นั่นพวกเราก็จากกันไปด้วยดี แต่ทว่า... ไม่กี่วันหลังจากนั้นลุงวัชก็บุกมาชิงตัวคนของผมกลับไปที่บ้านใหญ่ตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำ เกือบจะได้โวยวายให้บริษัทแตกตอนที่กลับมาแล้วไม่เห็นข้าวเจ้าแล้วล่ะถ้าลุงแกไม่โทรมาบอกว่าข้าวเขาอยู่กับเจ้าตัวซะก่อน

คงไม่ต้องบอกนะครับว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นมันเป็นยังไง เมื่อผมไปที่บ้านใหญ่สิ่งแรกที่ได้ยินจากปากของข้าวเจ้าไม่ใช่การทักทายแต่เป็นการที่เจ้าตัวบอกผมว่าจะไปฝึกการเป็นเลขากับลุงวัช นั่นไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะผมคิดจะขอลุงวัชว่าให้ข้าวเข้าไปเป็นผู้ช่วยคุณน้ำฟ้าอยู่แล้ว แต่ไอ้ประโยคที่ทำผมอยากจะจะบ้าตายคือลุงวัชตั้งใจจะให้ผมเข้าไปทำในสาขาใหญ่ในฐานะตัวแทนของพ่อที่เป็นหนึ่งในกรรมการผู้บริหารด้วย!

“น่าๆ เราจะได้เรียนรู้ไวๆ ไง จะได้กลับไปช่วยทางนู้นเขา”

หนึ่งคำบอกจากลุงวัชที่ทำให้ผมกลอกตาขึ้นฟ้า ปากบอกว่าจะได้เรียนรู้ไปในตัวแต่ผมยังยี่สิบสามนะเฮ้ยลุง! ประสบกง ประสบการณ์อะไรก็ติดลบ ถ้าไม่นับตอนที่เข้าไปช่วยงานที่บริษัททุกเทอม หรือตอนที่มาเป็นเลขาลุงวัชอยู่พักใหญ่จนคนรู้จักไปทั่วอ่ะนะ

เอาจริงๆ มันควรเริ่มตั้งแต่พื้นฐานป่ะ ไม่ใช่ก้าวกระโดดแบบนี้!! ผมพลูลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างหงุดหงิดแต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของประธานตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกตัว...

เล่นโยนงานมาให้แบบนี้ฆ่าผมเถอะครับลุง!

ครั้นพอโวยวายไปข้าวก็เอาเรื่องเลขามาต่อรองนู่นนี่นั่นจนสุดท้ายเป็นผมนั่นแหละที่ต้องยอมเขา แต่ยังดีที่ลุงวัชไม่ได้ใจร้ายขนาดให้ผมอยู่คนเดียว ลุงยังอุตส่าห์ส่งเลขาประจำตัวอย่างคุณฟ้ามาช่วยดูแลและสอนงานผม ส่วนลุงจะเป็นคนดูข้าวเจ้าให้เอง

นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมดีใจสักเท่าไหร่ คอยดูนะ ถ้าได้โอกาสเมื่อไหร่จะพาข้าวหนีสักสามสี่ปี... แต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะความจริงทุกวันนี้แค่มีเวลาได้นอนเต็มอิ่มผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ


ข่าวเรื่องข้าวเจ้าที่จะไปเป็นเลขาชั่วคราวให้ลุงวัชกระจายอย่างในสาขาย่อยแห่งนี้อย่างรวดเร็วเพียงเพราะคนปากสว่างอย่างพี่หลงกับพี่ทศเป็นคนรู้เรื่องก่อนชาวบ้าน เท่านั้นแหละครับเรื่องก็เหมือนไฟลามทุ่ง...
ก็พอรู้อยู่แล้วล่ะว่าตั้งแต่ที่ผม ไม่สิ ตั้งแต่ลุงวัชประกาศกลายๆ ว่ามีข้าวเจ้าเป็นหลานสะใภ้เมื่อตอนปีใหม่นั้นก็มีคนทั้งที่เฉยๆ กับเรื่องนี้และบางคนก็ไม่พอใจที่ลูกหลานคนใหญ่คนโตของบริษัทเป็นรักร่วมเพศ

แต่แล้วไง ใครแคร์?

ทั้งที่ใจอยากจะคิดอย่างนั้นแต่เพราะคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากที่สุดกลับเป็นข้าวเจ้าไม่ใช่ผมไงเลยต้องแคร์กับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษสักหน่อย

“ตั้งใจจับคุณติณณ์ตั้งแต่แรกหรือเปล่าวะ ใช้เป็นฐานปีนหาตำแหน่งสูงๆ”

“ตกถังข้าวสารชัดๆ”

“ไปอ่อยอะไรคุณติณณ์ล่ะนั่นถึงได้ไปเป็นเลขาคุณชัยธวัชได้”

“ผู้ชายกับผู้ชายหรอ... คุณติณณ์ไม่น่าตาต่ำเลย”

คำพูดนินทา คำหยามเหยียดและคำอื่นๆ ที่พูดถึงข้าวในทางลบเหมือนตอนที่พวกเขารู้ว่าผมคบกับข้าวเจ้ากลับมาอีกครั้งอย่างกับวังวนเดิมๆ เรื่องพูดคุยลับหลังที่เอามาใส่สีตีไข่เล่าปากต่อปากจนไม่เหลือเค้าเดิมให้เห็นนั่นทำเอาผมเกือบจะหมดความอดทนถ้าไม่ติดว่าข้าวเอ่ยปากกับผมว่าจะเป็นคนขอจัดการเรื่องนี้เอง

... กลายเป็นว่าเหมือนผมคิดผิดที่ให้ข้าวเป็นคนจัดการปัญหาที่พวกเราทั้งคู่ไม่ได้ก่อนนี้เอง

ผัวะ!

โครม!!

“เหอะ เก่งแต่ปาก”

ข้าวเจ้าสบถ... หลังจากจัดการซัดผู้ชายปากหมาต่างแผนกที่เข้ามาหาเรื่องเจ้าตัว และตอกกลับถึงไอ้พวกนินทาด่าทอเจ้าตัวลับหลังด้วยถ้อยคำสุภาพแต่แฝงไปด้วยความจิกกัดจนคนฟังสะอึก รอยยิ้มแสยะคล้ายสะใจที่ปรากฏบนใบหน้าข้าวเจ้าทำให้ผมได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ

“ลูกผู้ชายเขาคุยกันด้วยหมัดไงติณณ์ถึงจะเข้าใจง่ายๆ”

ราชสีห์ที่ทำตัวเป็นแมวเชื่องๆ... ผมขอจำกัดความข้าวเจ้าหลังจากพูดประโยคนั้นด้วยคำนี้แล้วกัน นี่เกือบลืมไปแล้วนะว่าข้าวเจ้าของผมไม่ได้เป็นแมวน้อยขี้อ้อนมาตั้งแต่แรก

ข้าวเจ้าไม่ใช่คนอ่อนแอที่ป้องกันตัวเองไม่ได้ทั้งด้านร่างกายและความรู้สึก แต่พอมีผมเป็นตัวแปรก็ทำให้เจ้าตัวต้องคิดหนักเหมือนกับที่ผมคิดหนักเรื่องเจ้าตัวนั่นแหละ และเมื่อข้าวถีบตัวออกจากกรอบที่ผมตีไว้ว่าผมควรเป็นฝ่ายดูแลข้าว นิสัยจริงๆ ของข้าวเจ้าก็โผล่ออกมาให้เห็น ก่อนจบลงอย่างภาพคนเลือดกำเดาไหลตรงหน้า

หลังจากนั้นไม่นานลุงวัชก็มาเคลียร์เพราะเป็นเรื่องวิวาทในบริษัท และจบเรื่องด้วยการสั่งพักงานทั้งคู่เพื่อไม่ให้เป็นข้อกังขาว่าประธานเข้าข้างคนของตัวเองมากไป

ไม่รู้หรือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เพราะหลังจากสิ้นสุดคำสั่งพักงานลุงวัชก็เอาพวกเราเข้าสาขาใหญ่ทันที...

และตอนนี้ก็ปาไปสี่เดือนแล้วที่เราเข้ามาฝึกงานที่นี่กันแล้วครับ

“ติณณ์... คุณติณณ์คะ เอกสารที่ใช้ในการประชุมครั้งหน้----”

“ได้โปรดช่วยวางมันลงก่อนทีเถอะครับคุณน้ำฟ้า...” ผมรีบเอ่ยขัดคุณฟ้า เลขาของลุงวัชที่เห็นหน้าค่าตามาได้พักใหญ่เพราะเธอถูกส่งมาช่วยเทรนด์งานผมโดยเฉพาะ ก่อนจะก้มฟุบหน้าจนได้ยินเสียงหัวโขกลงกับโต๊ะทำงานเบาๆ ได้ยินอีกฝ่ายร้องอุทานด้วยความตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแผ่วเมื่อเห็นอาการยกมือยอมแพ้ของผม

“...ข้าวของผมล่ะ”

“คุณเจ้ากลับไปได้พักใหญ่แล้วค่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับคำถามสองแง่นั่น เธอวางกองแฟ้มไว้ข้างๆ หัวผมที่ฟุบอยู่ก่อนผละออกและตอบคำถามอีกครั้ง “แต่ถ้าถามถึงมื้อเย็นของคุณติณณ์... คุณข้าวฝากเกี๊ยวน้ำมาให้ค่ะ บอกว่าเผื่อคุณติณณ์กลับบ้านแล้วจะหิวเอา”

ผมกลอกตากับคำตอบรู้ทันนั่นเล็กน้อย เดือนนี้ข้าวเจ้าหนีผมไปนอนบ้านของเจ้าตัวครับ เขาทิ้งให้ผมอยู่ห้องของเราคนเดียว... ซึ่งนั่นทำให้เราเจอกันแค่เวลางานอันน้อยนิดแถมยังโดนลุงวัชจับห่างอีก อย่างวันนี้ก็ได้เจอแค่ตอนพักเที่ยงที่ผมหนีคุณฟ้าไปหาข้าวเจ้าถึงบนห้องลุงวัชเพราะทนคิดถึงไม่ไหวนั่นแหละ

แต่คุณน้ำฟ้าเขาก็ลากผมกลับมาได้คืนอยู่ดี...

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางขยับตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ เมื่อจัดท่าทางของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วผมก็เล่นจ้องตากับเลขาสาวของคุณลุงตรงหน้า

...จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีเสียงท้องร้องผมเป็นซาวด์ประกอบน่ะนะ

โคร่ก

“อุ๊บ ขอโทษค่ะ ตายล่ะหกโมงกว่าแล้วหรอ... งั้นพี่ให้ติณณ์กลับบ้านได้ค่ะ” เธอก้มมองนาฬิกาที่สวมบนข้อมือ และเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เมื่อเห็นว่าอยู่นอกเหนือเวลางานแล้ว ปลายนิ้วเคลือบยาทาเล็บสีสวยชี้มาที่กองแฟ้มสีสดข้างตัวผม “ส่วนแฟ้มนั่นเป็นข้อมูลการประชุมครั้งหน้านะคะ คุณวัชบอกให้อ่านถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามพี่ได้... อ้อใช่ คุณวัชกับน้องเจ้าบอกว่าอนุญาตให้พี่ดุติณณ์ได้ถ้าติณณ์ดื้อนะคะ”

ผมเบะปากพึมพำใส่คุณแม่ลูกหนึ่งที่ยืนทำหน้าเหมือนกำลังปรามลูกชายตัวกลมของตัวเองทันที คุณฟ้าที่เห็นอย่างนั้นก็ตวัดสายตาดุใส่ผมก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสๆ แต่แฝงไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดเพราะตอนนี้มันเลยเวลางานของเจ้าหล่อนมาโขแล้ว

“...คุณติณณ์อย่าลืมนะคะว่าวันนี้คุณติณณ์ทำอะไรไว้”

“แฮะๆ ผมกลับละครับ” เท่านั้นแหละครับ คนที่ไม่อยากให้คุณแม่ลูกหนึ่งระเบิดลงอย่างผมก็รีบกวาดของมาไว้ในอ้อมแขนก่อนเดินผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว


บรรยากาศเหงาๆ ในช่วงเวลาที่ฝนโปรยปรายตอนรถติดนั้นมันเหมือนอารมณ์ในตอนนี้ ผมเคาะปลายนิ้วพวงมาลัยไปตามจังหวะเพลงที่กำลังฟังผ่านวิทยุ ดวงตาจับจ้องตัวเลขสีแดงนับถอยหลังกับรถที่ขยับไปได้ไม่กี่คันทำให้เวลากลับบ้านช้าไปเป็นชั่วโมง

พอกลับมาถึงห้องก็จัดการวางถุงเกี๊ยวน้ำที่ข้าวเจ้าซื้อมาให้ลงบนโต๊ะพร้อมกับแฟ้มงานสีสดที่หอบหิ้วมาด้วยเรียบร้อยผมก็เดินไปทิ้งตัวลงกับโซฟาตัวเดิมเพิ่มเติมคือไม่มีข้าวเจ้าอยู่ด้วย

“... กี่วันแล้ววะที่ไม่ได้เจอข้าวเจ้า” พึมพำกับตัวเองก่อนหัวเราะออกมาแผ่ว เหลือบตามองโทรศัพท์ในมือที่ไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้าของคนที่รอคอยก็ต้องพ่นลงหายใจออกมาเบาๆ

ถ้าถามว่าทำไมไม่เป็นฝ่ายโทรหาโทรไปหาเอง เพราะถ้าโทรไปตอนนี้ก็เจอทุ่งนาไม่ก็น้าชายรับสายล่ะครับ กลับบ้านทีไรคุณเขาเอาแต่คลุกอยู่แต่ในค่ายทุกทีเลย ไม่รู้จะฟิตไปไหน... เลยเลือกรอให้ข้าวโทรมาเองดีกว่า

แต่นี่ก็จะสามทุ่มแล้วนะ...

คิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานโทรศัพท์ตรงหน้าก็สั่นครืด แต่พอยกขึ้นมาก็ต้องผิดหวังเล็กๆ เมื่อเห็นชื่อของลุงวัชปรากฏบนหน้าจอ

“ครับลุง” เอ่ยทักไปแต่ปลายสายไม่ตอบรับ เสียงดนตรีแผ่วๆ ที่ดังออกมาทำให้ผมขมวดคิ้วก่อนจะเรียกชื่อคนโทรมาอีกครั้ง “...ลุงวัช?”

‘เอ้อ ติณณ์หรอ? มาหาลุงที' ปลายสายว่าเสียงดังกว่าปกติ และค่อยแผ่วลงในประโยคต่อมา ‘ข้าวเจ้า...เมา'

“ห๊ะ!” ผมกระเด้งตัวขึ้นจากโซฟาทันทีที่ได้ยินคำนั้น “เมา? เมาได้ยังไง!! ลุงพาข้าวไปไหน!”

‘คือ... ' ลุงวัชเอ่ยด้วยเสียงอ้ำอึ้ง มีเสียงข้าวเจ้าเรียกชื่อผมแว่วมาเบาๆ และตามด้วยคำที่คล้ายกับคำปราบเด็กที่ลุงวัชใช้กับลูกๆ เวลาซน ‘มาหาลุงก่อนเถอะ เดี๋ยวลุงอธิบายให้ฟัง'

เท่านั้นแหละครับ พอลุกขึ้นคว้ากุญแจรถได้ผมก็บึ่งออกไปยังจุดหมายที่ลุงวัชบอกทันที โชคดีที่เลยเวลารถติดแล้วผมจึงใช้เวลาไม่นานในการขับรถ ถึงจะแปลกใจเล็กน้อยที่สถานที่นั้นคือร้านของพี่หลงแต่ก็เก็บเอาอาการสงสัยนั้นลงเมื่อถึงร้าน และภาพตรงหน้าที่เห็นคือญาติผู้ใหญ่คนสนิทกำลังหิ้วปีกคนรักของผมอยู่พร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของคนสูงวัย

ไร้คำทักทายตามมารยาทที่ดี... ผมเดินดิ่งไปคว้าตัวข้าวเจ้าจากลุงวัชมาไว้ในอ้อมแขน กลิ่นเหล้าที่โชยหึ่งมาจากตัวของคนเมาในอ้อมแขนทำให้ผมย่นจมูก รู้ซึ้งเลยว่าตอนที่ข้าวได้กลิ่นสูบบุหรี่จากตัวผมคงมีการแบบนี้เหมือนกัน ผมโอบเอวพยุงข้าวเจ้าก่อนเงยขึ้นมองลุงวัชและเค้นเสียงต่ำ

“ลุงครับ...”

“เฮ้ๆ ลุงแค่มาด้วยเฉยๆ นา” ลุงวัชรีบแก้ตัวพร้อมกับยกไม้ยกมือขึ้นโบกไปมา อีกฝ่ายกระแอ้มไอเล็กๆ เมื่อเห็นผมยังตีหน้านิ่ง “โอเค เอาความจริงก็ได้... พอดีตอนเย็นเพื่อนของหนูเจ้ามาชวนเจ้าไปกินข้าวเย็น เขาเลยชวนลุงมาด้วยแล้วลุงก็ตอบตกลงเพราะเห็นว่าน่าจะแปบเดี๋ยว”

“ตั้งแต่เลิกงานยันเกือบสามทุ่มเนี่ยนะลุง” ผมยกมือข้างที่ว่างเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด พยายามไม่ใส่อารมณ์มากไปเพราะคนตรงหน้าคือลุงของตัวเอง “อย่างน้อยก็ให้ข้าวโทรบอกผมสักนิดก็ได้”

“ไอ้ติณณ์!!” เสียงเรียกชื่อทำให้ผมตวัดตามองคู่กรณีอีกคนวิ่งออกมายืนข้างลุงวัชพร้อมกับอดีตหัวหน้าแผนกของผม ใบหน้าของพี่หลงที่แดงจากฤทธิ์น้ำเมาหอบหายใจหนักๆ “โอ๊ย เอาไอ้เจ้ากลับไปทีเถอะ เมาแล้วไม่เอาใครเลย”

“แล้วทำไมข้าวถึงเมาขนาดนี้ครับ... หมดไปกี่ขวด” ผมกดเสียงต่ำคาดคั้นเพื่อนสนิทของข้าว รวบตัวคนเมาที่เริ่มเลื้อยเพราะเห็นว่าคนที่กอดเจ้าตัวอยู่เป็นผมไว้นิ่งๆ “ปกติถ้าข้าวจะเริ่มเมา... อย่างต่ำสี่”

“ขวดเดียว” พี่หลงพูดขัด ผมเลิกคิ้วสงสัยกับคำบอกนั่น “แค่ขวดเดียว... แต่เป็นเหล้านอกที่ลุงวัชเปิดให้” และพอได้ยินเจ้าของร้านว่าอย่างนั้น... ผมนี่หันไปถลึงตาใส่ลุงของตัวเองแทบไม่ทันเลยครับ มันน่าเอาไปฟ้องป้าปรางจริงๆ

ดึกดื่นไม่กลับบ้านกลับช่อง แต่มามอมเหล้าแฟนหลานเนี่ย

“ให้ผมทายนะ ป้าปรางคงยังไม่รู้ว่าลุงมานี่”

ประธานใหญ่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ “คือลุง---”

“อื้อ ติณณณณ์” เสียงอู้อี้ที่เรียกชื่อทำให้ผมละความสนใจจากคนตรงหน้าที่พยายามหาข้อแก้ตัวและก้มมองคนที่ซุกหน้าหาอก ข้าวเจ้าครางเสียงแผ่วก่อนยันตัวเองออกเพื่อมองหน้าผมด้วยตาเชื่อมๆ “ตินตินคร้าบบบ”

พี่หลงหลุดเสียงหัวเราะเพราะชื่อที่ได้ยิน

“ผมยังมีเรื่องต้องคุยกับลุง---”

“ติณณ์มาแล้ววว กลับบ้านกันนนน นะๆๆ”

ข้าวเจ้าเริ่มอ้อนตามฉบับคนเริ่มไร้สติติดตัวแต่ประโยคที่พูดออกนั้นเหมือนกับจะดักคอผมยังไงอย่างนั้น แต่มือทั้งสองข้างกอดรอบเอวผมไว้พร้อมกับสายตาที่ช้อนตาขึ้นมอง ไหนจะน้ำเสียงที่เอ่ยซ้ำอย่างอ้อนๆ ทำให้ผมปัดความสนใจจุดนั้นตกไปจากใจ ผมพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบตกลงให้อีกฝ่ายยิ้มหวานใส่โดยมีเสียงร้องเยสเบาๆ จากพี่หลงและลุงวัชให้ผมได้ตวัดตาหันไปมองจนทั้งคู่สะดุ้งแล้วเดินกลับเข้าร้านไป

“...ทำไมข้าวถึงไม่บอกว่าจะมา” เอ่ยถามอีกฝ่ายเมื่อเหลือกันอยู่สองคน ข้าวเจ้านิ่งไปเล็กน้อยคล้ายกำลังประมวลผลในคำพูดนั้นก่อนจะตอบกลับไม่ตรงคำถามมาว่าอยากกลับแล้ว ผมเหลือบมองคนพูดเสียงอ้อแอ้ที่กำลังพยุงอยู่ก็ได้ส่ายหัวอย่างปลงๆ กับสภาพของข้าวเจ้า จัดการพาอีกฝ่ายขึ้นรถและบึ่งพากลับบ้านทันทีพร้อมกับคาดโทษคนเมาไว้ในใจเสร็จสรรพ

ทั้งเรื่องที่เมาไม่รู้เรื่อง รวมถึงเรื่องที่ให้ผมอยู่คนเดียวเกือบเดือนนั้นแหละ

วันนี้คนเมามาแปลก ปกติข้าวเมาแล้วจะเรื้อน จะอ้อนมากแต่ครั้งนี้เจ้าตัวกลับยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาให้ผมจับท่านู้นท่านี้อย่างง่ายดายโดยไม่มีเข้ามาอ้อนสักนิด ได้แต่เลิกคิ้วสงสัยและพยุงข้าวเข้าลิฟต์ และเมื่อกลับมาถึงห้อง... ผมก็ต้องเบิกตากว้างกับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น

ไอ้สภาพห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นกุหลาบและดอกไม้หลากหลายชนิดนี่มันอะไรกันครับ!

ระหว่างที่กำลังมึนกับภาพตรงหน้า คนในอ้อมแขนก็ขยับตัวออกห่างผมอย่างไร้อาการมึนเมา ข้าวเจ้ายิ้มเผล่ก่อนเอ่ยหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เซอร์ไพรส์”

Tbc.

―――――――――――

มาแล้วค่ะ มาแล้ววววว ; ;
หายไปเกือบๆ 2อาทิตย์เลย รู้สึกผิดมากๆ ค่ะที่ทำให้คนอ่านที่น่ารักรอ Y-Y คือที่ทำงานห้ามใช้มือถือค่ะ เลยพิมพ์ได้แค่ช่วงพักเที่ยงไม่กี่ประโยค พอกลับมาบ้านจะเปิดคอมพิมพ์แต่ก็เหนื่อยขนาดหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเลยค่ะ กลายเป็นว่าพิมพ์ไม่เสร็จสักทีแถมคอมยังงอแงติดบ้างไม่ติดบ้างอีก ร้องไห้....
อีกไม่กี่ตอนก็จบเรื่องหลักแล้วค่ะ แล้วไทม์ก็จะสคริปไปเป็นภาคพิเศษสั้นๆ (แต่น่าจะยาว) ที่เอี่ยวกับกลิ่นกาวน์ด้วยค่ะ ใครอยากเจอพี่หมออาร์ตรอหน่อยนะคะ เราจะพยายามไม่ดองเกินอาทิตย์แล้ววว งื้อออ
ใครอยากเม้ามอย ทวง ติชมนิยาย คุบกับเราได้ในทวิตนะคะ <3
เจอกันตอนหน้า... ที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่นะคะ ; w ; /ส่งจูบให้ทุกคน

ปล. ตอนนี้มาร์เวลทำหมดตัวมากเลย... ทำไมพิท้อกับน้องกิต้องมาคู่ววววว

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -29- 20|05|2561 P.4
«ตอบ #106 เมื่อ20-05-2018 23:35:07 »

มันคือแผนที่ว่งไว้หรอเนี๊ยะ??

ร้่ยกาจ,,,

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -29- 20|05|2561 P.4
«ตอบ #107 เมื่อ20-05-2018 23:47:14 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เซอร์ไพรส์   เรื่องไรหว่า?

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
«ตอบ #108 เมื่อ31-05-2018 09:53:19 »

จีบครั้งที่สามสิบ
 
ผมมองคนที่ตัวเองคิดว่าเมา...ซึ่งตอนนี้กำลังยืนหน้าแดงยิ้มกว้างสลับกับบรรยากาศหอมหวาน ที่ถูกจัดสรรขึ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยใบหน้างุนงง

“เซอร์ไพรส์?” ผมทวนคำพูดของข้าวเจ้า อีกฝ่ายพยักหน้าลงหงึกหงักด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจริงจังคนผมรู้สึกผิด... ผิดที่นึกไม่ออกสักทีว่าวันนี้คือวันอะไรอีกฝ่ายถึงเซอร์ไพรส์กันอย่างนี้

ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จำพวกวันสำคัญของพวกเราไม่ได้นะ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดข้าว วันครบรอบ วันนู่นนี่นั่นผมจำได้หมดแถมพอถึงวันนั้นผมยังพาข้าวไปนู่นนี่ตามใจเจ้าตัวเขาอีกด้วยซ้ำ ถึงวันครบรอบปีแรกของเราเราจะทำงานหนักจนลืมมันไปก็เถอะ... แต่ครั้งนี้ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่ามันคือวันอะไร

ถ้าไม่ใช่วันสำคัญ หรืออาจเป็นลุงวัชบอกข้าวว่าผมได้เลื่อนตำแหน่ง? ไม่น่ามั้ง.... นี่ก็ยังอยู่ในฐานะตัวแทนของพ่ออยู่เลยเถอะ

ยืนคิดจนหัวแทบแตกก็นึกไม่ออกสักที แถมพอสบกับตาใสๆ ของอีกฝ่าย ข้าวเจ้าก็เอาแต่ยิ้มกว้างชวนให้รู้สึกกดดันมาให้อีก ลอบกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างหาตัวช่วยแต่บรรดากุหลาบดอกสวยที่จัดไว้นั้นก็ไม่มีอะไรที่จะบ่งบอกถึงความสำคัญของวันนี้เลยสักนิด และดูเหมือนคนตรงหน้าก็จะไม่คิดจะเฉลยเสียด้วย

เอาวะ ยอมโดนข้าวโกรธก็ได้…

“ขะ--” ผมชะงักปากของตัวเองที่กำลังจะเอ่ยถามกับอีกฝ่ายว่าวันนี้คือวันอะไรกันแน่ แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นการ์ดน้อยๆ ที่แปะอยู่บนดอกไม้ช่อที่ใกล้มือสุดซะก่อน

Anniversary? วันครบรอบ? ก็ไม่ใช่เดือนนี้นี่...

ข้าวเจ้าบอกว่าจะนับตอนที่เรามาอยู่ด้วยกันแล้วไม่ใช่ตอนที่ผมขอเขาตอนฝึกจบแล้วหายตัวไปสองสามเดือน นั่นก็คือเดือนหน้า หรือต่อให้นับวันที่ผมขอเขาครั้งแรกก็ไม่มีทางใช่เดือนนี้แน่ๆ

เดี๋ยวนะเดี๋ยว อย่าบอกนะว่า…

“เอ่อ... ข้าวครับ วันนี้วันอะไรหรอ” แกล้งถามออกไปอย่างนั้นทั้งที่ในใจยิ้มขำให้กับสิ่งที่กำลังคิดในตัว ผมมองใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มค่อยๆ หุบลงจนกลายเป็นเม้มปากแน่นแถมยังก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอีก ทำเอาซะอยากดึงตัวมากอดแล้วบอกความจริงแต่ก็ทำได้แต่เก๊กหน้าใสซื่อให้กับคนแก่หลงลืมวันเพราะความอยากหยอก

วันนี้วันที่หกเดือนพฤษภา แต่วันที่เรานับเป็นวันครบรอบคือวันที่ห้าเดือนมิถุนา… แก่แล้วหลงวันหลงเดือนจริงๆ สงสัยต้องหาของมาบำรุงกันหน่อยแล้ว

แต่ก่อนบำรุง ขอแกล้งสักทีเถอะ

“จำไม่ได้จริงๆ หรอ” ข้าวเจ้าที่ก้มหน้าลงต่ำเอ่ยถามผมเสียงเบา “วันนี้น่ะ”

“ขอโทษครับ ผมจำไม่ได้เลยจริงๆ”

ตีหน้าเศร้าสำนึกผิดออกไป และพอตอบไปอย่างนั้น ข้าวก็เงยหน้ามามองผมด้วยสายตาตัดพ้อแล้วหยิบช่อดอกไม้ที่ใกล้มือที่สุดก่อนปามันใส่หน้าผมเต็มๆ จนกลีบดอกไม้สีขาวกระจายเต็มห้อง ระหว่างที่ผมหลับตาแน่นเพราะสิ่งที่ถูกปามานั้นก็ได้ยินเสียงของข้าวเจ้าตวาดผม ตามด้วยเสียงปิดประตูห้องดังลั่น

“ไอ้บ้าติณณ์!”

ปัง!!

ฉิบหายแล้วไงไอ้ติณณ์…

หนึ่งคำที่ผมมอบให้กับตัวเอง และพอผมตั้งสติได้ผมก็รีบวิ่งตามข้าวเจ้าออกไปทันที แต่ก็ไม่ทันคนตัวเล็กกว่าที่วิ่งเข้าลิฟต์ไปแล้ว... ตัวเลขที่ค่อยๆ ลดลงจนถึงเลขสองและกลายเป็นตัวอักษรGทำให้ผมได้แต่ร้อนใจ และเร่งมือกดปุ่มลิฟต์รัวราวกับว่ามันช่วยเร่งความเร็วลิฟต์ได้ยังไงยังงั้น

ระยะเวลารอเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมมาถึงแล้วรอให้มันลงไปยั้งชั้นล่างถึงจะแค่ไม่กี่นาทีแต่เหมือนเป็นชั่วโมงในความคิดผม หลังจากที่ลงมาถึงชั้นล่างผมก็ไม่เห็นวี่แววของข้าวเจ้าแล้ว ลองถามพนักงานหน้าฟร้อนต์ก็ได้ใจความว่าข้าวโบกแท็กซี่ออกไปไหนไม่รู้ก็ยิ่งทำให้ผมเครียด ความรู้สึกผิดที่ไปแกล้งอีกฝ่ายผุดขึ้นมาในหัวจนอยากจะย้อนเวลาไปก่อนหน้านี้ แล้วยิ่งตอนนี้เกือบๆ สี่ทุ่ม...ข้าวเจ้าที่รู้ว่าพอดื่มมาบ้างหายตัวไปโดยที่ผมไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปไหนก็ได้แต่นึกห่วง ไอ้ครั้นจะโทรหาโทรศัพท์ของข้าวก็ดันอยู่กับผม

หรือจะไปหาพี่หลง? ความคิดนั้นทำให้ผมวิ่งออกไปยังที่จอดรถ สิบนาทีต่อมาก็มาจอดอยู่หน้าที่พักของพี่หลงแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นว่าพี่ทศเป็นฝ่ายออกมารับหน้าแทนเจ้าของห้อง

“มารชีวิตกูจริงๆ” อีกคนสบถออกมาอย่างหงุดหงิด “มีไรว่ามา”

“...ข้าวมาที่นี่ไหม” ถามออกไปทั้งที่ถ้าดูจากสภาพในห้องที่คล้ายผ่านสมรภูมิรบมา ข้าวเจ้าคงไม่น่าอยู่ที่นี่หรอก

พี่ทศเลิกคิ้วสูงก่อนกับคำถามผมและถามกลับว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอผมเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ไปก็ถูกอีกฝ่ายด่ากลับมาว่าเล่นอะไรไม่เข้าท่า แถมยังไล่ไปหาที่อื่นอีก...

ก็เล่นไม่เข้าท่าจริงๆ ถึงได้สำนึกผิดอยู่นี่ไง

ผมเดินกลับมาที่รถ ยกมือลูบหน้าตัวเองเมื่อคิดถึงสถานที่อีกหนึ่งที่ข้าวเจ้าน่าจะกลับไปแน่นอน...บ้านของเจ้าตัวนั่นแหละ เสียงหมัดที่กระทบปลายคางและอาการน็อกในหมัดเดียวที่เคยเกิดขึ้นสมัยตามตื้อข้าวใหม่ๆ วนกลับมาในหัวอย่างชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นจนเผลอยกมือลูบคางตัวเองอย่างหวาดๆ

Rrrrrr

เฮือก!

ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ตอนที่กำลังเหม่อ ลนลานหาเครื่องมือสื่อสารของตัวเองก่อนกดรับโดยที่ไม่ทันได้รายชื่อที่โทรเข้า

“ครับ”

‘พี่ติณณ์... นี่นานะ’ เสียงใสกระซิบแผ่ว ผมเด้งตัวขึ้นเตรียมสตาร์ทรถทันทีที่รู้ว่าใครโทรมา ‘เมื่อกี้นานั่งดูทีวีอยู่แล้วพี่ข้าวกลับมาบ้านแบบสภาพไม่โอเคเลย พอถามพี่เขาก็เอาแต่ยิ้มแห้งๆ ให้นาแล้วก็ขึ้นห้องเงียบไปเลย... พวกพี่ทะเลาะกันหรอคะ’

“อ่า... ครับ” ตอบรับไปตรงๆ มีเสียงถอนหายใจตามด้วยเสียงคล้ายเปิดประตูจากปลายสายดังให้ได้ยิน “ไม่เชิงทะเลาะ แค่เข้าใจกันผิด ไม่สิ... พี่ผิดเองล่ะ”

‘ตอนนี้มีแค่นาอยู่บ้านกับพี่นก... คนอื่นพาเด็กน้อยในค่ายไปแข่งชกที่ต่างจังหวัดคงกลับพรุ่งนี้’ ทุ่งนาพูดแทรกผมด้วยเสียงเรียบ ‘นาเปิดรั้วไว้ให้แล้วพี่เข้ามาได้เลย’

ผมยกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น ขานรับความใจดีของน้องสาวแฟนก่อนกดตัดสาย และรีบขับออกไปยังบ้านของข้าวเจ้าทันที

ถึงแม้ว่าคำพูดสุดท้ายของทุ่งนาก่อนสายจะตัดนั้นทำให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ก็เถอะ

‘พวกพี่คุยกันดีๆ นะ’ ทุ่งนาเงียบไปครู่ก่อนเอ่ยด้วยเสียงกดต่ำแปลกหู ‘แต่ถ้านาได้ยินเสียงพี่ข้าวร้องไห้สักนิด... พี่ติณณ์ไม่ต้องถึงมือพ่อหรือน้าชายหรอกค่ะ’


ผมเอื้อมมือไปเปิดรั้วที่ทุ่งนาเปิดไว้ให้ พยายามไม่ให้เกิดเสียงดังจนคนที่หนีมากลับบ้านรู้ตัวและเดินไปหาทุ่งนาที่ยืนกอดอกรออยู่หน้าประตูบ้าน

“นาจะไม่ถามนะว่าเกิดอะไรขึ้น” ทุ่งนาไม่ถาม... แต่หนึ่งหมัดที่ไม่แรงเท่าข้าวเจ้าซัดมาที่แก้มผมเต็มๆ จนหน้าหันเพราะไม่ทันตั้งตัว “อันนี้ที่ทำให้พี่ข้าวร้องไห้หนีกลับมาบ้าน นายั้งมือแล้วพี่ไม่เจ็บหรอกเนอะ”

ก็ได้แต่ยิ้มแหยให้น้องสาวแฟนที่เอียงคอน้อยๆ อย่างใสซื่อ และพยักหน้าให้ผมเข้าไปในบ้านได้ เผลอยกมือลูบแก้มตัวเองเบาๆ ... บ้านนี้เขาโหดกันทุกคนว่ะครับ

หลังจากที่ทุ่งนาเปิดทางสะดวกโดยการยัดกุญแจบ้านใส่มือผมและเจ้าตัวก็หนีไปนอนกับพี่นกที่บ้านข้างๆ แล้วผมก็เดินย่องขึ้นบันไดไปยังห้องของข้าวเจ้าที่เคยมาค้างอยู่ครั้งสองครั้ง...ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโจรย่องเบายังไงอย่างงั้นแหละ พอลองบิดลูกบิดดูก็พบว่าห้องถูกล็อก ผมหยิบกุญแจดอกที่นาบอกว่าเป็นของห้องข้าวขึ้นมาไข เสียงคลิ๊กเบาๆ ดังขึ้นเมื่อมันลงล็อก สิ่งแรกที่รู้สึกได้เมื่อก้าวเข้าห้องคือความเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศที่ปะทะตัว

ข้าวเจ้าที่นอนขดคลุมโปงอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู เผลอกั้นหายใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะตื่น ยืนรอครู่ใหญ่จนแน่ใจว่าข้าวไม่น่าตื่นขึ้นมาผมจึงอ้อมไปนั่งยองๆ ตรงพื้นข้างเตียงเพื่อนั่งมองคนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้ว... ที่ตอนนี้นัยน์ตาดุกำลังสบกับผมอยู่

.... จ้องผมเขม็งเลยครับคุณเอ๊ย

“ขอโทษนะครับ”

“ปีก่อนก็ลืมกันเพราะงานสุมหัว...” ข้าวเจ้าว่าเสียงแผ่ว แล้วดึงผ้าห่มขึ้นจนปิดตา“แต่ก็ไม่ได้คิดว่าติณณ์จะลืมจริงๆ คิดว่าถ้าติณณ์เห็นแล้วจะนึกได้ซะอีก”

“ผมไม่ได้ลืมหรอกครับ” ผมพูดหลังจากข้าวเจ้าเงียบไปนาน อีกฝ่ายร่นผ้าห่มลงมองผมที่เตรียมสารภาพผิด “ก็ไม่ได้ลืมหรอกครับ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้คือวันอะไรแต่อันที่จริงวันครบรอบเรามันเป็นเดือนหน้าไม่ใช่เดือนนี้ ผมเห็นข้าวจำผิดก็เลยอยากแกล้งนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าข้าวจะโกรธขนาดหนีกลับบ้านมาอย่างนี้ ยิ่งข้าวดื่มมาด้วยแบบนี้รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงนะ ขอโทษครับ”

ผมพูดโดยไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ผมคิดได้อย่างเดียวว่าข้าวคงโกรธผมจริงๆ

“...อะไรนะ” น้ำเสียงไม่แน่ใจนั้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง คนในผ้าห่มผุดตัวขึ้นมานั่งจ้องหน้าผม “เมื่อกี้ติณณ์ว่ายังไงนะ”

“ผมขอโทษที่แกล้งข้าวเจ้าครับ ข้าวคงโกรธผมน่าดู...” ผมว่าเสียงเบา ยันตัวเองลุกขึ้นยืนเตรียมออกจาห้อง “งั้นผมกลับแล้วนะครับ”

แต่เสียงของข้าวเจ้าก็รั้งผมเอาไว้ “ไม่ๆๆ ก่อนหน้านี้ติณณ์พูดอะไรนะ”

“ผมบอกว่าผมแกล้งข้าว เลยทำให้---”

“ไม่ ก่อนหน้านี้อีก ตั้งแต่แรกเลย”

ผมเลิกคิ้วสูง “ผมบอกว่าวันครบรอบของเราไม่ใช่วันนี้แต่เป็นเดือนหน้า”

พอพูดจบก้อนผ้าห่มตรงหน้าก็อ้าปากเหวอ ข้าวเจ้าพุ่งพรวดไปเปิดไฟห้องและหยิบสมุดที่เจ้าตัวชอบใช้จดอะไรต่อมิอะไรขึ้นมาเปิดอ่าน และนั่นทำให้ผมเห็นใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อที่มองผมอย่างเหวอๆ จนผมหลุดหัวเราะกับท่าทางนั่นเบาๆ

คงรู้ตัวแล้วมั้งว่าตัวเองจำวันพลาดจริงๆ ไม่งั้นคงไม่อายหน้าแดงแบบนี้ ลงทุนเซอร์ไพร์สแต่ผิดวันแบบนี้เป็นผมคงมีอาการแบบเจ้าตัวเขาละครับ

“อะ...ออกไป” ข้าวเจ้าว่าเสียงสั่น ซุกซ่อนใบหน้าแดงจัดไว้หลังมือตัวเอง “ไอ้ติณณ์ พี่บอกว่าให้ออกไปไง!”

“น่าๆ คนเรามันมีผิดพลาดได้น่าข้าวเจ้า ดีซะอีกที่ข้าวเตือนให้ผมไม่ลืมวันไง”

พูดปลอบพร้อมก้าวไปหาคนที่ก้าวถอยหลัง คนตัวเล็กกว่าเอาแต่ส่ายหัวและเอ่ยปากไล่แต่ให้ผมออกไปจากห้องสักทีเพราะตัวเองอายที่ปล่อยไก่ตัวโตออกมาให้ผมเห็น...และคิดว่าน่าจะรวมไปถึงลุงวัชและพี่ทศพี่หลงที่มีส่วนรู้เห็นในแผนการนี้ด้วยแน่ๆ

แต่นานๆ ทีจะเห็นข้าวอายจัดแบบนี้ มีหรือที่ผมจะปล่อยให้โอกาสนี้ปลิวไป... เห็นแล้วก็อยากแกล้งอีกสักที แก้มแดงๆ แบบนี้น่าฟัดชะมัด

...นี่ก็ไม่เข็ด

“ข้าวบอกให้ติณณ์ออกไปไง!!” คนโวยวายเสียงดังเมื่อผมไล่ต้อนจนประชิดตัวอีกฝ่ายได้สำเร็จ “นะๆ ให้ข้าวอยู่คนเดียวก่อนนะติณณณณ์”

หลุดขำเมื่อข้าวลากเสียงยาวใส่ ฉวยหอมแก้มแดงๆ ไปฟอดใหญ่พร้อมกับกัดเบาๆ บนซาลาเปาสีแดงอย่างมันเขี้ยว อีกฝ่ายอ้าปากเหวอก่อนโวยวานลั่นจนเกรงว่าทุ่งนาที่อยู่บ้านข้างๆ จะตะโกนด่าผมเอา

สองมือรวบเอวข้าวรั้งเข้าหาตัว ปล่อยให้คนอายโวยวายทุบตีจนกว่าเจ้าตัวจะพอใจแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อข้าวเผลอเหวี่ยงมือผิดองศา ทำให้กำปั้นที่ควรทุบอกหรือไหล่ผมกระทบกับใบหน้าเต็มๆ ซึ่งมัน... ซ้ำจุดเดิมกับที่ทุ่งนาฝากรอยหมัดไว้ก่อนหน้านี้พอดีเป๊ะ

“โอ๊ย!”

ข้าวเจ้าหยุดมือทันทีที่ผมร้องออกไป เจ้าของดวงตาเบิกกว้างมีความตกใจผสมอยู่จับหน้าผม ประคองเบาๆ ให้หันไปหาเพื่อสำรวจ คิ้วของข้าวขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นใบหน้าผมชัดๆ และกดมือลงจนผมสูดปากเพราะเจ็บ

“รอยช้ำนี่? ไปโดนใครต่อยมา ก่อนหน้านี้ยังไม่มีเลยนี่”

ได้แต่ยิ้มแห้งให้คนตรงหน้าก่อนตอบเสียงเบา “น้องนาครับ”

“ห๊ะ”

“คืองี้...” ผมยกมือเกาต้นคออย่างประหม่า “ข้าวอย่าโทษน้องเลยนะครับ นาคงเป็นห่วงที่จู่ๆ ข้าวกลับมาโดยไม่บอกกล่าวโดยมีผมเป็นต้นเหตุ พอเห็นผมมาเลยซัดไปหมัดข้อหาทำข้าวเสียใจ”

ข้าวอ้าปากเหวอเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของชั่วโมงนี้ มือนิ่มที่ประคองหน้าผมสะบัดออกพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้ายที่ปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่าย

“หึ ก็สมควรโดนแล้วไง”

อ้าว... ไหงงั้นครับ ไม่มีคะแนนความสงสารผมหรอข้าวววว


“สรุปคือพี่ข้าวจำวันผิดเตรียมเซอร์ไพร์สพี่ติณณ์เต็มที่ พี่ติณณ์เลยถือโอกาสนี้แกล้งพี่ข้าวว่าจำไม่ได้ก็เลยทะเลาะกัน นาเข้าใจถูกใช่ไหมคะ?”

ทุ่งนายืนเท้าเอวสรุปเรื่องเมื่อคืนที่ผมกับข้าวเล่าให้ฟังเพราะเจ้าตัวมาเค้นคอพี่ชายตัวเองรวมถึงพี่เขยอย่างผมถึงห้องตั้งแต่เช้า เอาซะผมกับข้าวเจ้าวิ่งหาเสื้อผ้าใส่กันแทบไม่ทันเลยทีเดียว

เด็กสาวผมเปียในชุดนักเรียนม.ปลายกลอกตาขึ้นฟ้าพร้อมกับเบ้ปากออกมาอย่างไม่สนใจมารยาทที่ดีต่อหน้าผู้ใหญ่ “พวกพี่รู้ไหมว่าทำตัวเหมือนเด็กที่งอนแฟนแล้วหนีกลับบ้านเนี่ย”

“ครับๆ พวกพี่รู้ตัวว่างี่เง่ากัน” ข้าวเจ้าว่า “แต่นาควรขอโทษพี่ติณณ์เขารู้ไหม เป็นสาวเป็นนางไปต่อยเขาได้ยังไง”

“ก็ใครใช้ให้พี่ติณณ์มาทำพี่ชายคนเดียวของนาเสียใจล่ะคะ พี่ข้าวรู้ตัวไหมว่าทำนาเป็นห่วงแค่ไหนตอนเห็นพี่กลับมาบ้านแถมยังทำหน้าเหมือนพร้อมจะร้องไห้ตลอดเวลาอีก” ทุ่งนาเดินไปกอดเอวข้าวเจ้า พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ “หมัดเดียวพี่ติณณ์เขาไม่เจ็บหรอกค่ะ แรงนานิดเดียวเอง”

“กฤติยาครับ ยังไงพี่ติณณ์เขาก็โตกว่าเรานะ”

“ค่ะ” ทุ่งนาผละตัวออกมาจากอ้อมกอดข้าวเจ้าเมื่อพี่ชายเรียกชื่อจริงด้วยเสียงแข็งๆ แล้วเดินมาหาผมด้วยสีหน้าเหมือนแมวหงอยพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ “นาขอโทษนะคะพี่ติณณ์”

“ไม่เป็นไรๆ พี่เข้าใจว่านาเป็นห่วงพี่ชายตัวเอง เป็นพี่ๆ ก็คงทำแบบนาเหมือนกัน” ผมพูดปลอบใจน้องที่ทำหน้าหงอยเมื่อโดนพี่ชายดุ “...แต่คราวหลังไม่ต้องออกแรงก็ได้นะ”

“ครั้งนี้พี่ยกโทษให้.... แต่ถ้าวันไหนเกิดเรื่องแบบนี้อีก ไม่ต้องยั้งแรงก็ได้นะนา” ประโยคนั้นทำให้ผมหันขวับกลับไปมองหน้าข้าวเจ้าที่ยิ้มมุมปากย่างเจ้าเล่ห์แทบไม่ทัน

อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า!!

“โอเคพี่ชาย”

“ข้าวเจ้า...” ผมเรียกอีกฝ่ายที่แท็กมือกับน้องสาวเสียงอ่อย เผลอยู่ปากเมื่อเห็นพี่ชายหอมแก้มน้องสาวแรงๆ ก่อนหยิบกระเป๋าเงินผมขึ้นมา ล้วงแบงค์สีแดงๆ ออกจากกระเป๋ายื่นให้น้องสาวเป็นค่าขนมไปโรงเรียน

ก็ได้แต่มองตาละห้อย... งี้แหละครับ กระเป๋าเงินสามีก็เหมือนของภรรยาเนอะ


“ไปส่งนาแล้วกลับห้องกันจะได้ไปทำงาน” ผมว่าหลังจบมื้อเช้าฝีมือเด็กเตรียมเข้ามหาลัยอย่างทุ่งนา ข้าวเจ้าส่ายหัวรัวจนผมแปลกใจ “ไม่กลับ? แล้วจะอาบน้ำไหนล่ะ ที่นี่ผมไม่มีเสื้อผ้านะ”

ใบหน้าขึ้นสีจางของข้าวเจ้าหันมามอง

“...โทรบอกใครก็ได้ให้ไปเอาดอกไม้พวกนั้นออกจากห้องก่อน”

“ทำไมล่ะ อย่างนี้ดีเหมือนกัน” ผมยกยิ้ม ขยิบตาให้อีกฝ่าย “แถมยังทำให้รู้อีกว่าข้าวรักผมมากกกกก มากจนวางแผนเซอร์ไพรส์กันล่วงหน้าเป็นเดือนแบบนี้”

“ไอ้ติณณ์!”

“ครับที่รัก❤”

“โทรบอกไอ้หลงให้เอาของออกจากห้องเดี๋ยวนี้!”

“ไม่กลัวพี่หลงล้อหรอครับ นั่นผู้ร่วมแผนการเลยนะ”

“ช่างแม่งมันเถอะ เอาออกไม่ให้เห็นก็พอ!!!”

สุดท้ายกุหลาบหอมๆ ก็ถูกโยนออกจากห้องอย่างไม่ใยดีล่ะครับ... เสียดายจัง ยังไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย

  Tbc.

―――――――――――

พี่ติณณ์และครอบครัวนักมวย ถถถถถ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
«ตอบ #109 เมื่อ31-05-2018 11:48:01 »

 :L2: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
« ตอบ #109 เมื่อ: 31-05-2018 11:48:01 »





ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
«ตอบ #110 เมื่อ31-05-2018 12:04:53 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

555

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
«ตอบ #111 เมื่อ01-06-2018 00:18:00 »

555 ลืมวันลืมคืนเลย,,,

ออฟไลน์ van16

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
«ตอบ #112 เมื่อ10-06-2018 17:35:02 »

สนุกมากเลยค่ะ เอ็นดูพี่ข้าวกับน้องติณ  :pig4:

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -31- 14|06|2561 P.4
«ตอบ #113 เมื่อ14-06-2018 00:12:08 »

จีบครั้งที่สามสิบเอ็ด
    
การฝึกงานหรือออกสหกิจของเด็กมหาลัยนั้นจะอยู่ที่สามเดือน หรือราวสี่ห้าเดือนได้แล้วแต่สถานศึกษา ถ้าเรียนพวกครูก็จะยาวกว่านั้นหน่อย และหากจะเทียบอย่างนั้น... มันดูเหมือนว่าการฝึกงานครั้งที่สองหลังจบจากรั้วมหาลัยของผมนี้จะยาวนานเป็นพิเศษถึงหนึ่งปีกับอีกสี่เดือนเศษๆ

เดี๋ยวผมจะสรุปแบบรวบรัดให้นะว่าไอ้ปีกว่าๆ เนี่ยมันมาได้ยังไง... ก็นอกจากงานของกรรมการบริหารที่ไปทำในชื่อของพ่อแล้ว คุณชัยธวัชก็เกิดปิ๊งไอเดียที่จะทำให้ผมเข้ากับแผนกอื่นๆ ได้ง่าย ลุงแกเลยส่งให้ผมไปทำอยู่เกือบทุกแผนกที่มีในบริษัทไม่เว้นแต่พนักงานรักษาความปลอดภัย...

ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับเพราะลุงวัชส่งผมเป็นเพื่อนกับยามอยู่หน้าบริษัทจริงๆ จำได้เลยว่าข้าวเจ้าหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังตอนที่ผมกลับบ้านด้วยชุดยูนิฟอร์มของยามที่บริษัทแถมยังบอกว่ามันเข้ากับผมอีก...

แต่โรลเพลย์เป็นคนในเครื่องแบบก็ดีนะ หึ

ส่วนข้าวเจ้าหรอ รายนั้นถูกลุงวัชกักตัวไว้แค่ไม่กี่เดือนก่อนส่งกลับไปทำที่สาขาเก่าระหว่างรอให้ผมเรียนงาน (หรือไปเป็นเบ้ก็ไม่รู้...)เสร็จ ลุงวัชนี่ชมเปราะเลยว่าข้าวหัวไวอย่างนั้น เรียนรู้เร็วอย่างนี้ไม่เหมือนกับผมที่ต้องสอนย้ำซ้ำซากให้เหนื่อยใจ แถมวันดีคืนดีลุงแกพาข้าวออกงานสังคมเหมือนลูกเหมือนหลานแท้ๆ ด้วยซ้ำ

ไม่สิ... เพราะลูกแท้ๆ ก็ไม่สนใจงานพรรค์นี้ แถมหลานอย่างผมก็ไม่อยู่ให้ลุงลากออกงานผลเลยไปตกที่ข้าวเจ้ามากกว่า แต่เจ้าตัวก็เหมือนยินดีที่จะไปกับลุงนะ กลับมาทีไรบอกว่าเจอแต่ของอร่อยๆ ทุกที

และทั้งหมดที่คุณอ่านอยู่นั่นเป็นเรื่องของสองเดือนที่แล้วครับ ส่วนตอนนี้นั้น...

“เอาล่ะกล่องสุดท้ายแล้ว ไม่ลืมอะไรนะ” ข้าวเจ้าเอ่ยถาม ผมกวาดมองรอบตัวที่โล่งตากว่าปกติพลางส่ายหัวแทนคำตอบ ขยับตัวเอื้อมหยิบเทปขึ้นมาปิดลังกระดาษที่บรรจุพวกหนังสือของอีกคนเอาไว้ให้เรียบร้อยและยกเอาไปกองรวมกับลังที่เหลือ อีกไม่กี่วันเราจะย้ายถิ่นฐานกันแล้ว พวกเราถูกลุงวัชสั่งย้ายงานกันครับ---

อ้าว ไม่ใช่หรอ

เหมือนจะลืมบอกไปว่าหลังจากที่ลุงวัชสั่งปล่อยตัวผมเรียบร้อย ผมก็จัดการทำเอกสารโยกย้ายสาขาให้ข้าวเจ้าทันทีโดยมีพ่อกับลุงวัชเป็นผู้คุมเบื้องหลังทั้งหมด ถึงข้าวจะรู้อยู่แล้วว่าผมจะพาข้าวไปอยู่ด้วยก็เถอะแต่ตอนที่เขามารู้เรื่องที่ผมทำนี้เจ้าตัวก็โวยวายตามประสาเพราะผมไม่ยอมบอกให้เตรียมใจก่อน

ก็แหม ขืนชักช้าก็กลัวข้าวเปลี่ยนใจนี่ครับ

“ข้าวก็เหลือของไว้นี่บ้างก็ได้ ยังไงเดี๋ยวก็ได้กลับมาอีก” คนพี่หันมายู่ปากใส่ผมก่อนหันไปมองรอบห้องอย่างอาลัยอาวรณ์จนต้องเอ่ยปลอบ “ก็ไม่ได้จะไปตลอดนี่ครับคุณ เดี๋ยวเราก็ได้กลับมาอีกน่า หรือคุณจะปล่อยเช่าล่ะ”

“ไม่อ่ะ ปล่อยไว้อย่างนี้แหละเดี๋ยวนาก็มาอยู่แทน พี่คุยด้วยแล้ว”

ผมร้องอ๋อยาวๆ เมื่อนึกถึงน้องสาวข้าวเจ้าที่วันเมื่อวานมากรี๊ดกร๊าดใส่พวกผมเพราะสอบเข้าคณะที่อยากเข้าได้ตอนที่ผมพาข้าวไปลาครอบครัว อันที่จริงพ่อของข้าวอยากให้นอนบ้านแหละแต่ข้าวบอกว่ายังจัดของไม่เสร็จเลยกลับมานี่

แต่เมื่อคืนข้าวก็ซึมไปเยอะเลยล่ะครับ... เป็นผม ผมก็คงรู้สึกแบบเดียวกับข้าวเจ้าที่ต้องจากครอบครัวไปไกล

“จะว่าไป... อยู่นู่นจะไปอยู่ไหนวะ บ้านติณณ์?” เสียงพูดพึมพำเหมือนบ่นกับตัวเองดังให้ได้ยิน ผมละมือจากการเช็คของหันไปมองข้าวที่ทำหน้าเครียดกับเรื่องที่อยู่อาศัย “ถ้าไปบ้านติณณ์จะอยู่ยังไงล่ะเนี่ย”

“ไม่ได้อยู่บ้านผมครับ” คำตอบของผมทำให้อีกฝ่ายที่หันมามองมีเครื่องหมายคำถามแปะบนหน้าผาก ข้าวเจ้าโคลงหัวเล็กน้อย “อ่า..ข้าวจำตอนที่ผมพาข้าวกลับบ้านครั้งที่แล้วได้ไหม ไอ้วันที่ผมหายไปทั้งวันน่ะ”

“จำได้”

“คือว่าวันนั้นที่ผมหายไป...” ผมยกมือเกาแก้ม เสหลบตาข้าวเจ้าที่มองมาอย่างตั้งใจฟังคำตอบและเอ่ยเสียงอ่อย “เอ่อ ผมไปจองคอนโดมาน่ะครับ อยู่ไม่ไกลบ้านผมกับที่บริษัทเท่าไหร่ด้วย”

“ห๊ะ!” ข้าวเจ้าตะโกนเสียงหลง “คอนโด!!”

“อ่า ครับ จริงๆ ก็แค่แปดชั้นเองไม่แพงมากหรอกครับ” ผมยิ้มแหย ซ่อนสองนิ้วที่ไขว้กันไว้ข้างหลังทันที ใครจะไปกล้าบอกละครับว่าคอนโดมันมีแค่แปดชั้น แล้วไอ้ที่ผมจองไว้นั้น... ก็ชั้นแปดนั่นแหละ เป็นชั้นที่มีห้องอยู่แค่สี่แถมยังซื้อขาดด้วยซ้ำ ขืนข้าวรู้เดี๋ยวได้หาว่าผมไม่ยอมถามความเห็นอีก “ผมกลัวว่าข้าวจะอึดอัดเวลาอยู่บ้านผมนานๆ นี่ ก็เลยคิดว่าถ้ามีคอนโดเป็นของตัวเองคงจะดีรู้ตัวอีกทีก็วางมัดจำไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกครับไว้วันหยุดเราค่อยกลับไปนอนบ้านเราก็ได้เนอะ”

“ไม่แพงมาก?” คนตรงหน้าทวนคำด้วยเสียงต่ำ หัวคิ้วของข้าวเจ้าที่เริ่มขมวดเข้าหากันจนเกือบเป็นเส้นตรงนั่นทำผมเริ่มเหงื่อตก “เท่าไหร่ แพงกว่าที่นี่ไหม”

“ไม่... ไม่หรอกครับ” ผมเสตาหลบคนตรงหน้าที่ขยับมาจ้องผมด้วยสายตาคาดคั้น “ไม่แพงเท่าไหร่หรอก”

“ติณณ์ พูดความจริงกับพี่”

“...”

“ติณณ์ครับ พูด”

ผมเม้มปากแน่นชังใจว่าจะพูดดีไหมแต่สุดท้ายหนึ่งนิ้วก็ถูกยกขึ้นแทนคำตอบ... ตามด้วยนิ้วที่สองและสาม นั่นทำให้ใบหน้าโล่งใจของข้าวเจ้าที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีตอนเห็นผมยกนิ้วแรกขึ้นก็กลายเป็นเบิกตากว้างแล้วมองผมด้วยสายตาดุๆ แทน

สายตาทิ่มแทงขนาดที่ถ้าเป็นมีดผมคงพรุน...

“ไอ้ติณณ์!!” ได้แต่ยิ้มแห้งกับคำตวาดเรียกชื่อของอีกฝ่าย “ไหนว่าไม่แพงไง!”

“ก็ไม่แพงสำหรับอยู่สองคนนะครับ ห้องเพดานสูงมีชั้นลอยเป็นห้องนอน พื้นที่ใช้สอยก็เยอะแถมราคานี้ยังรวมค่าตกแต่งแล้วด้วย... แฮะๆ”

คำอธิบายของผมทำให้ข้าวยกมือกุมขมับ ก่อนจะเงยหน้ามาแยกเขี้ยวใส่ผมเหมือนอยากจะซัดผมสักหมัดให้ได้ “ช่วยบอกพี่ว่าติณณ์ไม่ได้ซื้อขาด”

รอยยิ้มโง่ๆ ของผมคงเป็นคำตอบได้ดีเพราะข้าวเจ้ายกมือทึ้งหัวตัวเองอย่างแรงจนผมกลัวว่าผมจะหลุดติดมือข้าว แต่ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะได้เอ่ยปากจิกกัดความใช้เงินของผมนั้น ผมก็ชิงอธิบายซะก่อน

“ผมก็อยากมีเวลาส่วนตัวกับข้าวบ้างนี่ครับ ขืนอยู่บ้านถึงจะมีห้องเหลือก็เถอะแต่เวลาอย่างนั้นผมกลัวว่าจะไปรบกวนพ่อแม่เขานี่ครับ ”

ผมยกยิ้มมุมปาก เอ่ยคำพูดสองแง่สองง่ามหวังจะเรียกใบหน้าแดงๆ ของข้าวเผื่อจะได้เบนความสนใจเรื่องนี้ได้... แต่ดันไม่เป็นผลซะงั้นเมื่อแฟนผมขยับตัวไปนั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงใส่แทน

“บ้านติณณ์ก็มีพี่ก็อยู่ได้ ไม่ได้อึดอัดอะไรสักหน่อย ไม่เห็นต้องเปลืองเงินซื้ออะไรไม่จำเป็นมาเพิ่มเล---”

“ไม่จำเป็นที่ไหนครับ นั้นบ้านของเรานะ”

พูดพึมพำขัดคนที่เริ่มมีน้ำโห ข้าวเจ้าเสียงเงียบทันทีที่ได้ยินคำแย้งเบาๆ จากผม ใบหน้าที่แดงเพราะความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นเขินอายอย่างไม่รู้สาเหตุ

เอ๊ะ ไม่สิสาเหตุมันก็มีนี่

คิดได้อย่างนั้นผมก็ดึงตัวข้าวเจ้าที่กำลังนั่งเหวออยู่ตรงหน้ามากอดทันที ใช้ไรหนวดที่ขึ้นเป็นตอๆ ถูไปตามไหล่ตามแก้มอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยวก่อนอ้าปากงับคอข้าวเบาๆ จนคนในอ้อมแขนโวยวายลั่นห้อง แถมด้วยหมัดที่ประเคนลงหลังผมอย่างไม่มียั้ง

แรงผู้ชายก็ว่าเจ็บแล้วนะ... มาเจอแรงผู้ชายที่มีตำแหน่งในค่ายมวยยิ่งหนักไปใหญ่ครับคุณ แต่เอาเถอะ ผมชินแล้วล่ะครับ

“ไอ้ติณณ์!”

“รักข้าวนะครับ”

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง!!” คนโดนกอดโวยวายต่อ “ยังคุยไม่จบเรื่องห้องนะ!”

“ก็บ้านของเราไง”

“แต่นั่นเงินติณณ์ไม่ใช่เงินข้าว!”

“ขนาดที่นี่ยังเป็นของข้าวเลย นอกจากค่าน้ำค่าไฟที่เราหารครึ่งแล้วผมก็ไม่ได้มีส่วนจ่ายค่าห้องนี้สักนิดแต่เรายังเรียกว่าบ้านเราได้ไม่ใช่หรอ แล้วทำไมที่นั่นถึงจะเป็นบ้านเราเหมือนกันไม่ได้ล่ะ? หรืออยากให้ผมเรียกว่าเรือนหอแทนล่ะครับ?”

ข้าวเจ้าเม้มปากแน่น ดวงตากรอกไปมาคล้ายชังใจในสิ่งที่ผมพูด เขาหยุดดิ้นแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมมองหน้าผมตรงๆ

“งั้น...” ข้าวพึมพำ “งั้นค่าไฟที่นั่นข้าวต้องเป็นคนจ่าย!”

“ตามนั้นครับที่รัก” ผมยักไหล่ตอบข้าวอย่างสบายๆ ไม่ทักท้วงอะไรออกไป ก็นึกไว้แล้วแหละว่าถ้าข้าวรู้คงต้องตอบแบบนี้แน่ๆ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ “แต่ตอนนี้เช็คของรอบสุดท้ายก่อนเถอะครับว่าขาดเหลืออะไรอีกไหมแล้วจะได้ไปนอนกัน บริษัทขนย้ายจะมาตอนเช้านะ”

“อื้อ”

“แล้วพรุ่งนี้เราจะได้ไปบ้านใหม่ของเรากันเนอะ” ผมจูบหน้าผากของข้าวเจ้าเบาๆ เรียกให้อีกฝ่ายหน้าขึ้นสีได้ง่ายๆ

“งั้นก็ปล่อยพี่สักที จะไปเช็คของกัน”

“ไม่ข้าวแล้วหรอ?”

“ไอ้ติณณ์!”


เสียงตึงตังในยามเช้าทำให้ผมกับข้าวที่เพิ่งหลับไม่นานพร้อมใจกันตื่นอย่างหัวเสีย ข้าวตีหน้ายักษ์ใส่ผมพร้อมกับชี้นิ้วไปทางประตูห้องนอนคล้ายจะบอกให้ผมทำอะไรสักอย่างกับเสียงรบกวนจากภายนอกนั่นสักที ส่วนเจ้าตัวนั้นก็รวบเสื้อผ้าวิ่งเข้าไปในห้องน้ำปล่อยให้ผมเผชิญกับคนที่รู้ว่าใครอยู่คนเดียว

ผมกวาดตามองสภาพตัวเองที่ค่อนข้างจะโอเคกว่าข้าวเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นไปหาต้นตอของเสียงรบกวนนั่น

“มาอะไรแต่เช้าวะพี่หลง... พี่ทศด้วย” ผมกระชากประตูเปิดออกอย่างแรงและเอ่ยทักทายสองคนตรงหน้า

“ว้าว รอยกัดรอยข่วนเต็มเลยมึง” พี่ทศเลิกคิ้วสูงและกวาดตามองสภาพผม “ไม่คิดจะปิดไอ้รอยพวกนี้หน่อยหรือไง”

“ก็มาหาก่อนที่เพื่อนพี่จะถูกติณณ์ลักพาตัวไงล่ะ” พี่หลงตอบขัดแฟนตัวเอง อีกฝ่ายไร้การตกใจหรือหยอกล้อกับสภาพของผมอย่างพี่ทศ “ว่าแต่ไอ้เจ้าละ ยังไม่ตื่นหรอ?”

“ข้าวอาบน้ำน่ะพี่ นี่ผมโดนไล่มารับพวกพี่แทนเขา”

“มึงเลยมาสภาพนี้? โห นึกว่าอวด”

“หยุดกวนน้องมันสักทีพี่มึง”

“จ้ะๆ”

ผมถอนหายใจกับคู่รักบ้าบอตรงหน้า เอ่ยปากให้สองคนนั่นเข้ามาในห้องก่อนที่จะสร้างโลกส่วนตัวกันสองคนอยู่ตรงโถงทางเดินให้คนเห็น ระหว่างที่ปล่อยให้แขกไม่ได้รับเชิญสำรวจห้องที่โล่งตาข้าวก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้รู้เรื่องแล้วล่ะครับเพราะถูกข้าวไล่ไปอาบน้ำ ออกมาอีกทีก็เห็นคนของตัวเองตาแดงน้ำตาคลอคล้ายกลั้นร้องไห้กอดกับพี่หลงกลมดิ๊ก บอกลากันคล้ายจะไปฝั่งต่างประเทศทั้งที่กรุงเทพฯ กับโคราชห่างกันไม่กี่ชั่วโมงเอง

แต่เห็นแล้วก็คิดถึงไอ้อาร์ตที่ตอนนี้ไปอยู่ส่วนไหนของประเทศไทยก็ไม่รู้ ล่าสุดที่คุยกันมันส่งคลิปทำคลอดวัวมาให้ผมดู... โคตรรักผมเลย

“พี่ทศดูแลเพื่อนผมดีๆ นะ ทำมันร้องไห้ผมกลับมาฆ่าพี่แน่!”

“ร้องไห้บนเตียงนี่นับด้วยไหมเจ้า?”

“ไอ้พี่ทศ!”

สองเสียงของเพื่อนรักตะโกนขึ้นพร้อมกันด้วยใบหน้าแดงก่ำ ขณะที่เจ้าของชื่อนั้นทำเพียงเอานิ้วก้อยแคะหูตัวเองอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำตวาดนั่น

“ติณณ์เองก็เหมือนกัน” พี่หลงหัวขวับมาหาผม กระชับแขนที่กอดข้าวแน่นขึ้น “ถ้าพี่รู้ว่าทำเพื่อนพี่ร้องไห้เมื่อไหร่ละก็พี่ไม่เอาเราไว้แน่”

“ไม่มีวันนั้นหรอกครับ” ผมว่าเสียงหนักแน่น “แต่ถ้าร้องเพราะอย่างอื่นคงไม่นับสินะ”

คราวนี้เป็นชื่อผมที่ถูกสองเพื่อนซี้เรียกเสียงแข็ง พี่ทศหัวเราะร่าแล้วเดินมาแท็กมือกับผมจนสองคนที่กอดกันอยู่ตีหน้ามุ่ยใส่จนผมถลาไปง้อแทบไม่ทัน

พี่หลงกับพี่ทศอยู่กับพวกเราจนกระทั่งบริษัทขนย้ายมารับของ ตอนเก็บของมันเหมือนจะน้อยนะพอมาจัดแล้วก็หนึ่งรถบรรทุกเล็กเต็มๆ จนผมกับข้าวได้แต่หัวเราะขื่นๆ เพราะไม่คิดว่าของจะเยอะขนาดนี้

และแล้วก็ใกล้จะถึงเวลาเดินทางไปโคราช คนเข้มแข็งอย่างข้าวถึงกับน้ำตานองหน้าเพราะต้องจากเพื่อนรักที่อยู่ด้วยกันตั้งเล็กๆ ไปไกล ซึ่งก็ไม่ต่างจากพี่หลงสักเท่าไหร่ที่ตาแดงก่ำหวิดจะร้องไห้อยู่รอมร่อจนพี่ทศต้องดึงไปโอบไหล่ไว้แต่สุดท้ายสองเพื่อนสนิทก็น้ำตาแตกทั้งคู่จนต้องปล่อยให้ทั้งสองลากันจนพอใจนั่นแหละครับ ยิ่งเมื่อวานก่อนข้าวเพิ่งซึมๆ กับการไปบอกลาที่บ้านอยู่

“ไว้เจอกันนะ”

“อืม ไว้เจอกัน”

คำลาที่ไม่ใช่คำลาเอ่ยออกจากปากสองเพื่อนรัก พร้อมกับรถที่เคลื่อนออกไป


“เรียบร้อยแล้วครับ มีอะไรเรียกใช้ผมได้เลยนะครับ”

กล่องใบสุดท้ายถูกวางลงกับพื้นห้อง พนักงานของคอนโดที่มาช่วยยกของจากชั้นหนึ่งขึ้นชั้นแปดเอ่ยขอตัวกลับประจำที่ ผมยืนมองข้าวเจ้าที่ส่งแบงค์สีม่วงเป็นสินน้ำใจให้อีกฝ่ายที่ยิ้มหวานมองข้าวตาไม่วางแถมยังทำท่าจะชวนคุยต่อ จนผมต้องเอ่ยเรียกคนของตัวเองเสียงแข็ง ก่อนจะเบ้ปากยักไหล่ให้ข้าวที่หันมามองแบบดุๆ

ก็เรื่องดิ... มาถึงก็ทำตัวเฟรนลี่ไปทั่วแจกยิ้มเรี่ยราดซะอย่างนั้น ขังไม่ให้เห็นดาวเดือนดีไหม?

“ชอบห้องนี้ไหม?”

ข้าวเจ้าหมุนตัวจากประตูห้องที่ปิดไปแล้ว เชิดหน้าเมินคำถามผมเดินจ้ำอ้าวมากระแทกไหล่เข้าไปยังห้องครัวและห้องรับแขกเพดานสูง ผมมองตามข้าวที่เดินออกไปนอกระเบียงก่อนจะเดินไปทางห้องทำงานและห้องน้ำที่อยู่ใต้ชั้นลอย ตามด้วยวนกลับมาขึ้นบันไดไปชั้นลอยที่เป็นห้องกระจกและกลับลงมาข้างล่างอีกครั้งแต่ก็ยังไม่ยอมตอบคำถามผมสักคำ

ดูๆ ไปก็เหมือนลูกแมวน้อยที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับการสำรวจบ้านหลังใหม่... ถึงข้าวไม่พูดแต่มองจากสายตาก็รู้ว่าเจ้าของห้องอีกคนถูกใจห้องนี้มากพอสมควรเลยล่ะ

ผมยิ้มขำ เดินไปหาข้าวที่นั่งยองๆ และลงมือแยกข้าวของออกจากกล่องที่วางอยู่หน้าทีวี สอดมือรวบเอวข้าวเข้าหาตัวจนกลายเป็นว่าข้าวหงายหลังมาพิงอกผมพอดีเป๊ะ

ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้นะ แต่เจตนาเต็มๆ เลยล่ะ

“ว่าไงครับ ตอบผมได้ไหมว่าชอบบ้านใหม่ของเราไหม” เอ่ยกระซิบข้างใบหูที่ขึ้นสีของข้าว อ้าปากงับและดึงติ่งหูนิ่มเบาๆ จนรู้สึกถึงอาการสั่นน้อยๆ ของคนในอ้อมกอด “ชอบที่นี่ไหม”

ผมผละจากการใช้หนวดถูไถแก้มของข้าว จ้องมองเส้นผมสีน้ำตาคาราเมลที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ตอบสักทีก่อนกดจมูกลงกับกลุ่มผมตรงหน้านั้นจนข้าวดิ้นไปมาในอ้อมแขน

“...อื้อ”

“หืม?”

“ที่นี่...กว้างกว่าห้องพี่อีก” ข้าวเจ้าพึมพำ ก่อนหันหน้าเปื้อนยิ้มมาหาผม “ข้าวชอบนะ บ้านใหม่ของเรา”

ผมเบิกตากว้างเมื่อถูกริมผีปากอุ่นประทับอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่ก็แค่ชั่วพริบตาก่อนความนุ่มนั้นจะผละออก ซึ่งกว่าผมจะได้สติกับการรุกเล็กๆ ของข้าวเจ้าที่ครั้งจะเกิดสักทีนั้น เจ้าตัวดีก็ลุกออกจากตัวผมไปไกลแล้ว แถมยังแลบลิ้นใส่ผมอีก

มันน่านัก... เล่นลิ้นมากเดี๋ยวพ่อเล่นกลับเลยนี่

“ติณณ์ หยุดคิดอะไรแผลงๆ อย่างจะจับพี่โยนขึ้นเตียงฉลองบ้านใหม่แล้วมาช่วยจัดไอ้พวกนี้สักที” ข้าวตะโกนขึ้นอย่างรู้ทันความคิด เสียงเทปกาวที่ถูกดึงอย่างแรงคล้ายจะเร่งให้ผมลุกจากตรงนี้สักที แต่ขณะที่ผมเดินไปหาคนพูดนั้นผมก็ได้ยินเสียงข้าวพึมพำกับตัวเองอย่างหัวเสีย “เมื่อคืนก็อำลาห้องเก่า ขืนวันนี้มีฉลองบ้านใหม่อีกนี่... มีหวังพรุ่งนี้มีลุกไม่ขึ้นแน่ๆ”

ผมยิ้มขำกับอาการของข้าวที่ยกมือนวดหลังนวดสะโพกตัวเอง และเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวว่าถูกจ้องก็หันมาแยกเขี้ยวใส่ผมพร้อมกับชี้นิ้วสั่งให้ผมจัดของทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว

นี่เจ้าของบ้านหรือทาสในเรือนเบี้ยครับถามจริง...

Tbc.

―――――――――――


เจอกันครั้งหน้ากับจีบครั้งสุดท้ายค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -31- 14|06|2561 P.4
«ตอบ #114 เมื่อ14-06-2018 01:41:28 »

 :katai2-1:


ยินดีต้อนรับเข้าสู่สมาคมคนกลัวเมีย

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -31- 14|06|2561 P.4
«ตอบ #115 เมื่อ14-06-2018 08:39:47 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

อยู่กินกันอย่างเป็นทางการ

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
จีบครั้งสุดท้าย
ข้าวเจ้า
 
ผมคิดว่าติณณ์อาจจะอยากมีลูก...

มันเป็นหนึ่งความคิดที่แวบเข้ามาในหัวหลังจากที่ผมไปเห็นติณณ์กำลังเล่นกับพวกลูกๆ ของพนักงานในบริษัท ภาพของครอบครัวแสนสุขที่มีคุณแม่คนสวย คุณพ่อตัวใหญ่แสนใจดีที่กำลังหลอกล้อกับลูกชาย... หรืออาจจะเป็นลูกสาวลอยเข้ามาในความคิดออย่างห้ามไม่ได้ ถึงแม้มันจะเป็นแค่จินตนาการของผมเองแต่มันก็ทำให้ได้แต่เม้มปากแน่นและเจ็บในอกทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้

...แน่นอนว่าผมมีให้เขาไม่ได้ ไอ้ภาพครอบครัวอบอุ่นอย่างนั้นน่ะ

ผมพยายามไม่สนใจเวลาที่บังเอิญไปได้ยินพ่อแม่ของเด็กพวกนั้นพูดว่าว่าติณณ์คงเป็นพ่อที่ดีได้แน่ๆ ถึงแม้จะเก็บความเฟลเล็กๆ นี้ไว้ในใจคนเดียวแต่สุดท้ายความงี่เง่าของผมก็ทำให้ผมกับติณณ์ทะเลาะกันซะอย่างนั้น

ยอมรับว่าคิดไปเองคนเดียว ถึงไอ้ติณณ์มันเคยบอกว่าไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ก็เถอะ...แต่อนาคตก็ไม่มีอะไรแน่นอนนี่ครับ เพื่อวันดีคือดีพ่อแม่ติณณ์อยากอุ้มหลานขึ้นมาล่ะ ผมจะทำยังไง?

ถึงสุดท้ายก็เคลียร์กันเข้าใจ... และจบลงด้วยบนเตียงก็เถอะ

มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ที่ติณณ์มันไม่ชอบใช้เครื่องป้องกันเวลามีอะไรกับผม แต่ครั้งนี้หลังจากที่ไอ้หมีนั่น...เอ่อ ปล่อยข้างในตัวผม แทนที่จะดึงออกเหมือนทุกครั้งแต่มันกลับสอดความแข็งที่เริ่มอ่อนตัวลงนั่นค้างไว้ แขนที่เริ่มมีกล้ามเนื้อกว่าแต่ก่อนก็กอดรัดตัวผมไว้ไม่ยอมปล่อยห่าง จากนั้นปลายนิ้วของมันก็ลากมายังช่วงท้องน้อยของผม กดลงเบาๆ ก่อนทาบลงเต็มฝ่ามือ

“ข้าวครับ”

“หืม”

”ถ้าผมเสร็จข้างในบ่อยๆ ข้าวจะมีโอกาสท้องไหมนะ” สัมผัสร้อนของริมฝีปากแตะลงมาที่หลังคอก่อนเอ่ยคำพูด และน้ำเสียงที่ดูจริงจังนั้นทำให้ผมหันหน้ากลับไปหาติณณ์ทันทีก่อนจะหลุดร้องครางเมื่อส่วนที่ยังคงเชื่อมต่อกันมันเสียดสีอยู่ภายใน “อืม... ไม่ขยับสิครับคนดี”

“ตกวิทย์หรือไงไอ้หมี” ผมว่าด้วยเสียงแกมหัวเราะ “ข้าวเป็นผู้ชายนะ สเปิร์มไม่ได้ปฏิสนธิกับลำไส้ใหญ่”

เสียงหัวเราะหึ เบาๆ ให้กับมุขแย่ๆ ดังขึ้นมาจากคนที่กอดผมอยู่ ไอ้ติณณ์ถอนตัวตนของมันออกจากภายในก่อนขยับขึ้นมาคร่อมทับตัวผมไว้ ปากของมันแตะลงทั่วใบหน้าและลำคอจนผมรู้สึกจั้กกะจี้

“หนักนะ”

“นี่ ที่ข้าวถามผมไว้น่ะ” ถาม? ผมเผลอทำหน้าสงสัยออกไป ก่อนจะนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ผมไปถาม...ไม่สิมันควรใช้คำว่าผมตะโกนใส่ติณณ์มากกว่าออกไป “ถ้าคนเป็นแม่ไม่ใช่ข้าว ผมก็ไม่อยากมีหรอกครับ”

“แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดนะ?”

“ครับผม มีข้าวคนเดียวผมก็ไม่มองใครแล้ว”

...ให้ตายเถอะ ใครมันสอนให้พูดจาน่ารักเวลานี้

“แต่ถ้าข้าวอยากมี... เราค่อยไปรับเด็กมาเลี้ยงก็ได้เนอะ แม่ผมรู้จักที่อยู่”

ไอ้หมียักษ์ขยิบตาให้ ผมไม่ได้ตอบอะไรกับคำถามนั้น แต่สิ่งที่ผมทำมีเพียงยกริมฝีปากคลี่เป็นรอยยิ้มจาง ยกสองแขนขึ้นคล้องคอคนตรงหน้าไว้และดันตัวเองไปสัมผัสริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาก่อนผละเอาหน้าแดงๆ ของตัวเองไปซุกไว้กับไหล่ของอีกฝ่าย และกัดลงเบาๆ แก้ความเคอะเขินในการกระทำของตัวเอง เสียงหัวเราะทุ้มจากไอ้ติณณ์ที่ได้ยินข้างหูชวนให้รู้สึกอยากกัดให้จมเขี้ยวชะมัด

แต่ผมก็ทำมันลงไปจริงๆ เมื่อได้ยินประโยคต่อไปจากปากของไอ้ติณณ์

“แต่ถ้าได้ทำทุกวัน... สักวันมันก็อาจเป็นไปได้ก็ได้นะ... โอ๊ย ข้าวกัดผมทำไมมมม”

ไอ้หื่นเอ๊ย!


หลังจากวันนั้นที่คุยกันรู้เรื่องแล้วไอ้ติณณ์ก็ไม่ได้ไปเล่นกับเด็กๆ พวกนั้นคนเดียวครับ มันกลับลากเอาผมไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นด้วยเพราะอยากให้คนอื่นได้เห็นโมเม้นพ่อแม่ลูกของพวกเราบ้าง... พ่องเถอะ แต่พอมันเห็นเด็กสาววัยหกขวบที่เอาแต่เขินผมแล้วบอกกับผมว่า ‘โตขึ้นหนูจะเป็นเจ้าสาวให้พี่ข้าวนะคะ’ เท่านั้นแหละครับ ผมเกือบจะไม่ได้เล่นกับเด็กๆ อีก... คนบ้าอะไรวะหึงได้กระทั่งเด็กรุ่นลูก

และวันนี้มันก็เอาผมมาเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นอีกแล้ว

“ข้าวววว ข้าวของติณณ์อยู่ไหนครับ หนูนิดของพี่อยู่ไหนกันนะ” ผมถอนหายใจอย่างระอาเมื่อได้ยินคำเรียกที่ติณณ์ตะโกนถาม เด็กสาวตัวจ้อยตรงหน้ายกมือขึ้นปิดปากและหัวเราะเบาๆ ออกมาจนผมต้องยกนิ้วชี้ขึ้นจรดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียง

“เบาครับ เดี๋ยวไอ้หมีจะได้ยินเสียงเอา” คำกระซิบนั้นทำให้เด็กตรงหน้าพยักหน้าหงึกหงัก ผมคลี่ยิ้มให้ก่อนดึงอีกฝ่ายมานั่งตัก เอาคางวางบนหัวเด็กน้อยแล้วโยกไปมา

ถามว่าผมทำอะไรน่ะหรอ? เล่นซ่อนหาไงครับ

เนื่องจากว่าตอนนี้ไอ้ติณณ์ยังไม่ได้เข้าทำงานเป็นกรรมการบริหารเต็มตัวเพราะยังไม่ผ่านโปรฯ จากคุณวิเชียร พ่อของมันนั่นแหละ...แม้ว่าจะผ่านมาเกือบปีแล้วก็ตาม เพราะงั้นไอ้หมียักษ์เลยมีเวลามาอ้อล้อกับผมที่อยู่แผนกการตลาดได้ตอนช่วงเย็นๆ แถมยังหอบหิ้วลูกสาวจำเป็นมาเล่นด้วยอีก

“นี่ๆ พี่ติณณ์จะหาเราเจอไหมคะ” เด็กน้อยบนตักที่มีศักดิ์เป็นหลานของไอ้ติณณ์ขยับมาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา ผมส่ายหัวเชิงไม่รู้ก่อนลอบมองออกจากใต้โต๊ะทำงาน เสียงฝีเท้าและเงาของไอ้ติณณ์อยู่อีกฝั่ง

“ก็... ไม่แน่ค่ะ เราอาจชนะก็ได้” ผมยกยิ้มให้อีกฝ่าย เกมส์นี้จำกัดการหาแค่สิบนาทีและตอนนี้ผ่านไปแล้วเก้า “เตรียมไถตังค์ค่าขนมกับพี่ติณณ์ได้เลยนะคะคนเก่---”

“ฮ่ะ เจอข้าวแล้ว!”

โป๊ก!

“โอ๊ย!!”

เสียงตะโกนลั่นของไอ้ติณณ์ดังขึ้น ตามด้วยร่างหมียักษ์ที่ชะโงกหัวมาใต้โต๊ะที่ผมอยู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นทำให้ผมที่กำลังโม้กับเด็กอยู่สะดุ้งตัวด้วยความตกใจ ผลคือผมสะดุ้งจนหัวไปโขกลิ้นชักโต๊ะที่เป็นไม้อย่างแรงจนน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บ

“เฮ้ยๆ ออกมาก่อนๆ เจ็บไหมนั่น หนูนิดลงจากตักพี่ข้าวก่อนค่ะ ให้อาเขาออกมาก่อน หนูนิดมาหาพี่ติณณ์ก่อนนี่มา” ไอ้ติณณ์ว่าด้วยเสียงติดรน เด็กน้อยหันมองผมเล็กด้วยสายตาเป็นห่วงมาให้ก่อนจะโผหาติณณ์ที่อ้าแขนรอ ผมส่ายหัวเล็กน้อยด้วยความมึน ก่อนจะจับมือที่ยืนมาของไอ้ติณณ์เพื่อช่วยพยุงผมออกจากใต้โต๊ะ... แต่ไอ้หมียักษ์ก็ไม่วายบ่น“ก็รู้ว่าตัวเองสูงกว่าเด็กก็ยังไปซ่อนในที่แคบๆ อีกนะคนเรา”

“ใครใช้ให้ติณณ์มาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงล่ะ!” ผมโวยวายใส่ ยกมือลูบลูกมะนาวบนหัวตัวเองปอยๆ “แม่งบวม...”

“โอเคๆ ผมขอโทษก็ได้” ไอ้ติณณ์หัวเราะพลางส่งมือมาลูบหัวผมเบาๆ “ก็ผมได้ยินเสียงคุยกันงุ้งงิ้งๆ นี่ นั่งฟังอยู่นานแล้วล่ะเลยแสดงตัวแต่ก็ไม่นึกว่าจะทำข้าวตกใจจนหัวกระแทกดังขนาดนี้ ดูสิหนูนิดขวัญเสียหมดแล้ว”

ผมมองหนูนิดที่น้ำตาคลอเบ้า ยกสองนิ้วชูขึ้นอีกฝ่ายให้ก่อนรับตัวเด็กน้อยที่โผเข้าหามาไว้ในอ้อมกอด “พี่ไม่เจ็บหรอกค่ะ หนูนิดไม่ต้องร้องนะคะ”

“ใช่ๆ ไม่ร้องนะ เดี๋ยวพี่ติณณ์เป่าเพี้ยงให้พี่ข้าวก่อนเนอะ”

 “อุ๊ย นิดไม่เห็น ไม่เห็นอะไรเลยยยย คิกคิก”

“...” ผมได้แต่เงียบและซุกหน้าลงกับไหล่เล็กของคนบนตักที่ทำน่าเขินอายทันที สาเหตุน่ะหรอ? ไอ้เนียนแม่งจุ๊บหน้าผากผมอ่ะ...

“หึ แดงทั้งหน้าแล้วนะคุณข้าวเจ้า” ไอ้ติณณ์เอ่ยล้อพร้อมกับเสียงเรียกของแม่หนูนิดดังขึ้น เด็กน้อยขานรับ หันมาเอ่ยลาพวกเราก่อนวิ่งออกไป ทิ้งให้ผู้หญิงสองคนนั่งจ้องหน้ากัน “เดี๋ยวผมไปเอาน้ำแข็งให้”

“ฮื่อ” คานรับในลำคอแทบคำตอบ ไอ้ติณณ์ขยิบตาให้ก่อนเดินออกไปนอกห้องและกลับมาพร้อมห่อผ้าที่ใส่ก้อนน้ำแข็งในมือ ประคบลงกลางหัวผมเบาๆ

ทำไมรู้สึกเหมือนแดจาวูวะครับ...

“นี่” ไอ้ติณณ์ที่ง่วงกับการประคบน้ำแข็งส่งเสียงทัก “คิดถึงตอนที่เจอข้าวครั้งแรกเนอะ”

“ที่ร้านไอ้หลงอ่ะนะ?”

“ไม่ดิๆ ตอนไปฝึกงานดิครับข้าว ที่ข้าวฟาดแฟ้มใส่หน้าผมเต็มๆ น่ะ” ติณณ์ทำหน้าแหยๆ ผมร้องอ๋อออกไปหลังจากพยายามนึกย้อนว่าเป็นตอนไหน “เออใช่ๆ พูดถึงเรื่องฝึกงาน พี่ต้นบอกยังว่าพรุ่งนี้แผนกข้าวมีเด็กฝึกงานมาคนหนึ่งนะ แต่พรุ่งนี้พี่ต้นลาเลยจะให้ข้าวดูให้ก่อน”

“ฝึกงาน? ปลายเทอมหนึ่งเนี่ยนะ?” ถามออกไปด้วยความสงสัย ถ้าเทียบตารางมหาลัยนี่น่าจะอยู่ช่วงสอบมิดเทอมแล้ว ไม่น่าใช่ช่วงจะมาฝึกงานนี่? ไอ้หมียักษ์ชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามของผมก่อนมันจะกลับมายิ้มกวนแบบปกติ แต่พิรุธเล็กๆ นั่นก็ไม่รอดสายตาผมที่จ้องมันอยู่นานแล้วไปได้

“ติณณ์ครับ พี่ขอความจริง”

“ก็ไม่มี๊ ไม่มีอะไร” ร้องเสียงหลงเชียวนะมึง... ผมหรี่ตามมองอีกฝ่ายที่พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผมด้วยการวอแวเรื่องลูกมะนาวบนหัวผมแทน ก่อนผมนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายถอยหายใจออกมาเพราะความปากแข็งของแฟนตัวเอง

“ครับๆ ถ้าคุณว่าที่กรรมการบริหารบอกว่าไม่มีผมก็จะเชื่อก็ได้ครับ”

บางครั้งผมก็นึกนะครับ เมื่อไหร่ผมจะพ้นจากการเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานสักที... เบื่อแล้วนะ


และเช้าวันใหม่ก็มาถึง ไอ้คุณติณณ์เอาผมที่ออกจากห้องเร็วกว่าปกติเล็กน้อยมาหย่อนไว้หน้าบริษัทก่อนจะขับไปรับพ่อมันที่บ้าน แต่พอไปถึงแผนกก็ต้องแปลกใจที่ไม่เจอใครอยู่ในนั้น จากประสบการณ์การเป็นพี่เลี้ยงมาหลายปีทำให้รู้ว่าปกติแล้วพวกเด็กฝึกงานมักจะชอบมาก่อนเวลาเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงได้

แต่ก็อาจจะไม่ทุกคนก็ได้... ผมยักไหล่ให้กับความคิดนั้นของตัวเองและเดินเอาของไปที่โต๊ะตัวเองมุมห้อง เกือบสิบนาทีก็ไม่เห็นวี่แววของเด็กฝึกงานคนที่ว่าสักนิด รูปก็ยังไม่เคยเห็นประวัติก็ยังไม่ได้อ่านเรียกได้ว่าไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กนั่นสักนิดแม้แต่ชื่อ ครั้นไปหาพวกเรซูเม่ในห้องหัวหน้าก็ไม่เจอ สงสัยพี่แกจะเอาติดมือไปด้วยล่ะมั้ง

รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มา... ไอ้ที่มาก็มีแต่เพื่อนร่วมแผนก

“อ้าวเจ้า มาเช้าจัง ปกติไม่ได้เวลาไม่มาไม่ใช่หรอ”

“มันมีเด็กฝึกจะมาไงไอ้บาส ก็เลยออกมาเช้าหน่อย แต่รอตั้งนานละยังไม่เห็นมาสักที” ผมตอบคำถามแกมหยอกล้อนั่น บาส เพื่อนร่วมแผนกที่ผมให้ฉายาในใจว่าไอ้หลงสองเลิกคิ้วสู งก่อนจะยิ้มมุมปากและมองผมด้วยแววตาที่... ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกแฮะ “มีอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่าๆๆ ไม่มีๆ เอ้อใช่ คุณต้นบอกว่าเด็กมันน่าจะมาช้าหน่อยนะ” คู่สนทนารีบบอกปัดทันทีก่อนเอ่ยขอตัวอย่างไว ได้แต่มองแผ่นหลังของเพื่อนร่วมงานที่วิ่งกลับโต๊ะตัวเองไปด้วยสายตาไม่เข้าใจ

ผ่านเวลาเข้างานไปได้ไม่นานนัก ไอ้บาสที่นั่งอยู่หน้าห้องก็ตะโกนเรียกชื่อผมพร้อมบอกว่าเด็กฝึกงานที่ผมต้องแนะนำนู่นนี่นั่นให้มาถึงแล้ว...

“เดี๋ยวนะ?” ผมกระพริบตาถี่ๆ ยกมือขยี้ตาตัวเองแรงๆ ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อเห็นหน้าของเด็กฝึกงานที่ว่า ผมกวาดมองบุคคลตรงหน้าที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะ ผมที่ตัดสั้นถูกเซ็ตขึ้นเปิดรับแสงอาทิตย์อย่างดี แล้วไหนจะ... ป้ายห้อยคอที่บอกชื่อและตำแหน่งอย่าง Internship ไว้เรียบร้อย “เล่นอะไรฮะ ไอ้ติณณ์”

เจ้าของชื่อเอาแต่ยิ้มกว้างไม่ยอมตอบคำถามจนผมหงุดหงิด จริงๆ ผมนึกไว้แล้วแหละว่าเรื่องนี้แม่งมีอะไรไม่ชอบมาพากล และมันต้องมีเงื่อนงำมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมาไม้นี้

“ติณณ์...”

“ไอ้เจ้าเว้ย อย่าทำเสียงแข็งใส่น้องมันดิ เดี๋ยวน้องมันกลัวหัวหดหมดหรอก” ไอ้บาสหัวเราะร่าอย่างสะใจที่เห็นผมทำตัวประหลาดออกไป มันเดินมาตบไหล่ผมแรงๆ ก่อนจะปลีกตัวหายไปจากสายตา

และนั่นทำให้ผมหันมาสนใจคนตรงหน้าอีกครั้ง

“คิดบ้าอะไรวะเนี่ย” ผมสบถออกไปอย่างหัวเสีย ผิดกับไอ้ติณณ์ที่ยิ้มกว้างไปถึงใบหู “แล้วนั่นยิ้มบ้าอะไรนักหนา”

ไอ้หมียักษ์ไม่ตอบ แต่มันกลับส่งมือมาข้างหน้าแทน

“อะไร”

“ผม...ติณณ์ครับ ต่อจากนี้อีกสามเดือนกว่า ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” ผมขมวดคิ้วกลับประโยคุ้นหูนั่น ก่อนจะยกยิ้มกว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ และส่งมือไปจับกับมือหน้าตรงหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งครับพี่ข้าว”

“อย่ามาเรียกผมว่าข้าว!” ผมแกล้งทำเสียงดัง เอ่ยต่อบทสนทนาที่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำของเรา

“แล้ว... หน้าที่ของเด็กฝึกงานต้องทำอะไรบ้างหรอครับพี่ข้าว” ไอ้ติณณ์ปล่อยมือผมลง มันแสร้งทำเป็นหันมองไปรอบๆ ห้องอย่างสนอกสนใจในออฟฟิศที่มันเห็นมาเป็นปีๆ ก่อนจะยกมือผมขึ้นไปกุมอีกครั้ง “มีงานดูแลหัวใจคนแถวนี้ไหมครับ”

“นี่จีบ? คิดจะข้ามรุ่นหรือไงไอ้หนู”

“ครับ ผมถูกใจพี่ตั้งแต่แรกเห็น ขอผมจีบพี่ข้าวได้ไหมครับ” คำสารภาพที่เคยฟังมาแล้วเรียกให้ผมที่เก็กหล่อเต็มที่หน้าขึ้นสี ไหนจะเสียงตะโกนแซวของคนในแผนกที่คล้ายกับเชียร์ให้เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวในงานแต่งนั่นอีก มันทำให้ผมอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆ ถ้าไม่ติดว่ามือถูกไอ้ติณณ์จับไว้แน่น

“...”

“ไม่ตอบ อ้ะ งั้นผมจีบบบบ” ผมขำพรืดเมื่อติณณ์มันยกมือขึ้น วาดนิ้วโป้งจดกับนิ้วชี้เป็นวง กรีดสามนิ้วที่เหลือไปด้านหลังและยื่นมาตรงหน้าผม “นี่จีบติดแล้วนะครับ รักผมได้ยัง?”

“โว๊ยยย ใครสั่งใครสอนให้เล่นมุขนี้ห๊ะ!” กองเชียร์ประสานเสียงด่าคนตรงหน้าผมอย่างพร้อมเพียง

“ตอบผมก่อนดิ” ติณณ์ยู่หน้า เจ้าของใบหูที่แดงก่ำเอ่ยเร่ง “จีบแล้วครับ รักผมที”

“...ไม่”

“...”

ผมมองติณณ์ที่ทำหน้าเสียกับประโยคปฏิเสธนั่นโดยมีซาวด์ประกอบเป็นเสียงโห่ แต่ไม่นานนักรอยยิ้มจางก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของติณณ์เมื่อผมดึงมันเข้ามาใกล้ และกระซิบเสียงแผ่วให้คนฟังได้ยินแค่คนเดียว

“ไม่ต้องจีบ ก็รักแล้วนะครับ”

- END -


――――――――――――――――――――――――――――――――

งื้อออ พี่ข้าวกับนังติณณ์เดินทางมาถึงจีบสุดท้ายแล้ว ใจหายอ่ะ.... ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตั้งแต่ช่วงธันวาจนถึงตอนนี้นะคะ รู้สึกว่าเป็นการเดินทางที่ยาวมากกก เหมือนจะยาวกว่ากลิ่นกาวน์อีก ขอบคุณทุกคอมเม้นทุกกำลังใจนะคะ จุ๊บบบบ
บอกตามตรงนี่รู้สึกผิดที่ลงช้ามากกกกกกก ไม่ได้ตั้งใจจะหายไปหรือเทอะไรนะคะ พอดีมีปัญหานิดหน่อยกับที่ทำงานเลยได้แต่วางพล็อตจบไว้แล้วว่าอยากให้เป็นอย่างนี้ๆ พอมีเวลาว่างก็แต่งได้ทีละนิดละหน่อยแต่ความเครียดจากที่ทำงานทำให้แต่งไม่ค่อยออกก นี่พอออกจากงานแล้วหัวถึงกับไบร์ท เลยลุยเอาไอ้นิดๆ หน่อยๆ นั่นมารวมเป็นตอนเดียวเลย ฮาาา
ถ้าเราไหว... เจอกันเรื่องหน้านะคะ /ขยิบตา
ปล. จีบสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด เหลือตอนพิเศษอีกนะ อิอิ
ปลล. ขอพื้นที่โฆษณาแปบ กลิ่นสีและกาว(น์)หมอเปิดพรีเซลแล้วนะคะ วางจำหน่ายงานวายบุ๊คนี้เน้อออ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:



หวานนนนนนนน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

จอบอจบ  จบแย้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด