ตอนที่
4
แล้วมาดามก็ซักไซร้ผมตอนอาหารค่ำจนได้ “ท่านบอกว่าจะคิดดูก่อนฮะ แล้วจะมาคุยกับมาดามทีหลัง ถ้าท่านตัดสินใจแล้ว” ผมโกหกไปแบบนี้ ทีแรกมาดามก็เหล่ตา มองผมราวไม่เชื่อ แต่ผมมองกลับด้วยตาซื่อ มาดามเลยปัดมือเบื่อๆ ก่อนจะสั่งให้แมร์รี่เอากระดูกไก่ไปทิ้ง ผมเดินตามแมร์รี่มาหลังร้าน นั่งลงข้างๆเธอ
“เธอไปหาพี่โจมาร์ มาตอนเช้าหรอ?”
ผมพยักหน้า ช่วยเธอล้างหม้อดินเผา
“เขาแจกอะไรอีกรึเปล่า ตุ๊กตาวัวของฉันขาหักแล้ว”
“เขาไม่ได้แจกอะไรหรอก เขายุ่งอยู่น่ะ” ผมถอนหายใจ “นี่แมร์รี่ เธอว่ามาดามเป็นคนดีมั๊ย?”
แมร์รี่ดูชะงักนิดนึง เธอสะบัดเปีย “ถามอะไรแปลกๆ?”
“ผมว่าพี่โจมาร์เป็นคนดี…แต่มาดามเป็นคนดีรึเปล่า?” ผมพูด
แมร์รี่เบ้ปาก “เธอดุ…ชอบเฆี่ยน…แต่เธอก็ให้ของเรากินนะ” เธอมองผมแปลกๆ “นากัลคิดอะไรอยู่น่ะ?”
“เปล่า..” ผมตอบอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นและเดินเข้าห้อง
…ผมบอกแมร์รี่ไม่ได้ เธอคงไม่เข้าใจ
คืนนั้นทั้งคืนผมไม่ได้รับลูกค้าเลย แต่ได้ยินเสียงเฟร็ดร้องครวญครางอยู่ชั้นล่าง คำสบถป่าเถื่อนของลูกค้า และ เสียงเนื้อกระทบกัน…ผมนอนมองออกไปนอกหน้าต่าง พรุ่งนี้ผมจะรีบรับแขกให้ได้เยอะๆแล้ว อ้อนมาดามออกไปเล่น ผมจะไปหาชาทรัช ผมต้องชวนเขาเข้าคัดตัวด้วย ความคิดในหัวผมวิ่งเต้นกันกระจาย นึกแล้วก็ใจสั่นพิกล ผมจะหนีมาดามไปจริงๆใช่มั๊ยนี่?? ความจริงแล้ว ผมช่างโง่เขลา เพราะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวัง ผมจะต้องเจอคนประเภทไหน …จะต้องทำอะไร จะโชคดีหรือร้ายกันแน่ ผมครุ่นคิดจนกระทั่งผล็อยหลับ
-------------------------
พอขนมปังก้อนแรกของยามเช้าหมด ผมก็กระโดดใส่ลูกค้าสองคน สองคนนี้มีธุระเร่งด่วนที่ต้องรีบทำมากๆ เขาเลยจับผมทำแบบเร่งด่วนมากๆด้วย สองคนนี้ทำเจ็บชะมัด เฮ้อ..
รายต่อมา คือชายหัวล้าน เขามาซื้อแมร์รี่ แต่ผมไปยืนยิ้มหน้าเขา เขาเลยต้องจ่ายมาดามเพิ่ม
ซักสิบนาทีก็มีลูกค้าประจำผม เป็นพ่อค้า แต่งงานมีลูกแล้ว ผมใช้เวลากับเขานานนิดนึง เพราะต้องรอเขาพล่ามเรื่องลูกสาววัยหัดเดิน และเรื่องที่เขารักเธอมากเพียงใด เขาจูบปากผมจนเปื่อยก่อนออกจากห้อง โยนถุงเงินสองถุงให้มาดาม
มาดามดูยิ้มแย้ม ตอนผมเดินออกมา เธอยัดมะเขือเทศใส่มือ “วันนี้ แกไปเล่นได้แล้ว”
…….
ผมวิ่งตึงตังไปเอาเงินที่ซ่อนไว้ข้างบน แทบจะบินลงมาที่ถนน กัดมะเขือเทศง่ำๆระหว่างวิ่งไปด้วย
ไม่ทันเหนื่อยผมก็ถึงเขตก่อสร้างแล้ว
นั่นไง..เจ้านั่น ยืนแบ่งน้ำกับเด็กอีกคนอยู่
“เฮ้!ชาทรัช”
“นากัล! ฮ่า! เจ้ามาด้วย เป็นไงบ้าง” ชาทรัชยิ้มกว้าง ยื่นน้ำให้ผม “วันนี้มาดามให้เจ้าออกมาเร็วจัง”
“ช่าย...”ผมดื่มไปหนึ่งอึก ”ข้ารีบมาน่ะ นี่..ชาทรัช มีเวลาว่างคุยรึเปล่า ข้ามีความลับแหละ”
ชาทรัชเลิกคิ้ว ผมพยักหน้ายืนยัน
เจ้าชาทรัชเลยหันไปมองเพื่อน “งั้นเดี๋ยวข้ามานะ”
ผมกับชาทรัชวิ่งแข่งกัน บนสะพานที่ตัดขึ้นไปตามเนินทราย ตรงนี้ก็จะมีโบถส์เล็กๆสร้างอีก ชาทรัชบอก ขาแข้งของเจ้านั่นเปื้อนฝุ่นขาวๆเต็มไปหมด แล้วชาทรัชก็กล้ามขึ้นนิดๆด้วย ครั้งแรกที่ผมเจอมัน เจ้านั่นยังเป็นเด็กเก้งก้างอยู่เลย ไหงตอนนี้ผมถึง บางซีด กว่ามันได้ เราวิ่งจนเจอร่มต้นไม้
ผมหอบอยู่หลังมัน งอจับเข่า “..ชาทรัช!...ข้าเหนื่อย”
เจ้านั่นวิ่งไปตั้งไกลกว่าจะหยุด หัวเราะเสียงลั่น แล้วเดินกลับมา
“นากัล …เจ้าเหมือนพวกผู้หญิงเลย” ชาทรัชขำคิกคัก “แถวนี้ก็ไม่มีคนแล้ว ความลับอะไรว่ามา”
ผมยังที่ยังงอตัวหอบอยู่ เงยหน้าขึ้น “ข้าจะหนีมาดามไป ข้าจะไปเข้าคัดเลือกทาศ สำหรับในวัง”
ชาทรัชอ้าปากค้าง ผมเริ่มเล่าตั้งแต่เกิดอะไรขึ้นที่บ้านของท่านอ้วนแก่ เรื่องผมอาจจะออกมาไม่ได้อีกเลยถ้าเข้าไปในวัง ชาทรัชตั้งใจฟังมาก พอผมบรรยายถึงเรื่องในวังที่ท่านอ้วนเล่า เรื่องรูปปั้นสิงโตทองยักษ์ บ่อน้ำที่สะท้อนกับดวงดาว ห้องสัตว์เลี้ยง ที่มีเหยี่ยวขาว แล้วก็คำพูดของพี่โจมาร์
ชาทรัชตีใหล่ผมเมื่อได้ยิน “นากัล!!ข้าเกือบลืมแหน่ะ พี่โจมาร์ฝากให้ข้าบอกเจ้า ว่า ก่อนวันหยุดกีฬา ตอนกลางดึก…เขาบอกว่าให้แอบออกมาเจอเขาที่ถนน หลังส่งแขกคนสุดท้าย เขาอยากจะให้อะไรนายน่ะ”
ผมแปลกใจ “งั้นหรอ? พี่โจมาร์จะให้ข้าไปหาตอนกลางดึกหรอ แปลกจังเลย”
“ว่าแต่เจ้าเอาจริงหรอ? ”
ผมพยักหน้าอย่างมั่นใจ “เรื่องของเรื่องคือ ข้าจะชวนเจ้าไปด้วย”
ชาทรัชตาโต ปฎิเสธตะกุกตะกัก “ไม่ได้หรอก หัวหน้าไม่เคยให้ข้าออกไปตอนกลางดึกเลย แล้วกเราก็ต้องทำงานตลอด…ทำงานในวังแบบนั้น อี๋..ไม่เอาอะ”
“เจ้าไม่อยากไปจริงๆหรือขี้ขลาดกันแน่?”
“ข้าไม่ได้ขี้ขลาด!! แต่เจ้าดูความแตกต่างสิ ข้ากับเจ้าน่ะ” ชาทรัชดึงผมของผม “เจ้าผมทอง ผิวขาว แล้วก็หน้าตาเหมือนพวกผู้หญิง แต่ข้าทำงานกับพื้นดินตลอด….ที่สำคัญ ข้าเริ่มชอบกีฬาแล้วรู้มั๊ย ถ้าให้ข้าเข้าไปในวัง ข้าต้องเบื่อตายแน่ๆ…สู้อยู่อย่างงี้ดีกว่า” ชาทรัช ยกแขนขึ้นมาเบ่งอวดกล้ามเล็กๆ ที่มันดูภูมิใจนักหนา
ผมแลบลิ้นแบร่ “…นี่ ชาทรัช หัวหน้ายังให้เจ้าทำเรื่องพวกนั่นอยู่รึเปล่า”
ชาทรัชพยัคหน้าเอือมๆ “ข้าอยากฆ่าหัวหน้า…” มันหัวเราะ “รู้มั๊ยนากัล พวกสถาปนิคที่มาดูงาน เล่าให้ข้าฟังว่า น้ำยาที่เราใช้ผสมทาสีน่ะ เป็น ยาพิษ”
“ห้ะ!!” ยาพิษ ใครๆก็กลัวคำนี้กันทั้งนั้น “อี๋”
“ไม่แน่นะ นากัล ซักวันข้าอาจจะเอามันหยดลงไปในเหล้าของหัวหน้า”
“เจ้าบ้าไปแล้ว” เจ้าชาทรัชเนี่ยน๊า ชอบพูดอะไรประหลาดซะจริงๆ แต่ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นยาพิษ
ชาทรัชต่อยหลังผมดังอั่ก “ข้าต้องไปทำงานต่อแล้ว…”
“เจ้าจะไม่ไปกับข้าจริงๆหรอ”
“ข้าขอโทษนะ นากัล…แต่ถ้าเจ้าเข้าไปได้จริงๆ มันคงเหมาะกับเจ้ามากๆเลย ดีมากๆเลยล่ะ เอ๋…ว่าแต่เราจะได้เจอกันอีกมั๊ย”
“ข้าไม่รู้” พอผมพูดแบบนี้ไป ชาทรัชก็หน้าเจื่อนลง “งั้นหรอ?” หมอนั่นเอ่ยเบาๆ
ผมหยิบถุงสีเขียวออกมาจากเอว หยิบเงินครึ่งนึงให้ชาทรัช
“นี่ เอาไป!”
“เฮ้ย!!!” มันตะโกน
“เร็วๆสิ เจ้าจะรีบไปทำงานไม่ใช่หรอ เอาไป”ผมน้ำตาคลอเบ้า ถ้าผมไม่ได้เจอเจ้าชาทรัชอีกเลยล่ะ ผมยัดเงินเข้าไปในกางเกงมัน
ทั้งๆที่มันกำลังตกใจ “เรามาวิ่งแข่งกลับไปกันเถอะ” ผมบอก
ชาทรัชอ้ำอึ้ง มองหน้าผม ดูเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เปล่า แล้วมันก็เข้ามากอดผมแน่น …พอปล่อยผมเสร็จ มันก็ยิ้ม “ข้าต่อให้สองก้าว”
ผมยิ้ม น้ำตาใหลออกมา ก่อนจะถีบขาส่งตัวเองไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด
-----------
สองวันนั่นผ่านไปเร็วมาก คืนนี้แล้วสินะ ที่ผมต้องแอบออกไปหาพี่โจมาร์กลางดึก ผมตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นจนร้องลั่น เสียจนแขกคนสุดท้าย เอ่ยปากชมผม กับมาดามใหญ่ เขาไม่ได้รู้เลยว่าผมนึกถึงพี่โจมาร์ต่างหาก ไม่ใช่คนหนวดยาวๆดำๆ แบบเขา ที่สำคัญนะ ไอ้นั่นของเขามันงอๆด้วยแหละ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ!! ” แมร์รี่หัวเราะร่า พอผมกระซิบเรื่องนี้ให้ฟัง
เรากำลังขึ้นมาเปลี่ยนชุดข้างบน ร้านปิดแล้ว ผมได้ยินเสียงมาดามนับเงินดังกรุ๊งกริ๊งอยู่ตรงชั้นล่าง เธอหาววอด “จัดผ้าเสร็จแล้ว อย่าลืมดับตะเกียงนอนซะนะ พวกแก“ มีเสียงประตูปิดดังปึง
ผมโล่งใจ วางผ้าที่พับเสร็จข้างของแมร์รี่
เราช่วยกันเดินไปเอาฝูกจากอีกห้องมาปูนอน ผมรอให้ทุกคนหลับสนิท จึงย่องลงบันใดเบาๆ
ตรงหน้าประตูร้าน จะมีหน้าต่างบานเล็กๆฉาบอยู่สูงสุด ผมต้องเอาเก้าอี้ในครัวมาต่อ ถึงจะปีนออกไปได้
ผมไถลลงมาที่พื้น กระแทกซี่โครงเล็กน้อย แต่ผมไม่เป็นไร ผมไม่ลืมพกถุงเงินมาด้วย
ผมเดินออกมาที่ถนน ช่างเงียบและหนาวกว่าตอนกลางวันมาก ลมกลางคืนจากแม่น้ำแทบจะกัดกินผิวกาย ผมมองหาพี่โจมาร์ ระหว่างก้าวขาเดินไปตามทาง
มีขอทานนอนอยู่กับเครื่องดนตรี ที่มุมถนน แมวตัวนึงตัดหน้าผมไป
“นากัล!”
เสียงของพี่โจมาร์ทำให้ผมหันขวับ พี่อยู่ในชุดธรรมดา คืนนี้พี่ใส่เสื้อตัวหนา และ ถือผ้าผืนใหญ่มาด้วย
“ห่มซะ แล้วขึ้นหลังพี่มา” พี่โอบผ้าผืนใหญ่รอบตัวผม แล้วก็นั่งยองๆหันหลังให้ ผมหัวเราะ
“พี่โจมาร์จะให้ผมขึ้นหลังหรอฮะ”
“ใช่ ขึ้นมาสิ” เขาตีขาผมเบาๆ ดึงผมไปแปะที่กลางหลัง แล้วก็ช้อนขาผมไปรัดเอวไว้ เขายืนขึ้น
“ชาทรัชบอกว่าพี่มีอะไรจะให้ผม”
“ใช่!” พี่โจมาร์พูดปนหัวเราะ “ของที่พี่จะให้อยู่ที่ท่าเรือน่ะ”
จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว เวลาที่ผมอยู่บนหลังพี่โจมาร์ กับระยะทางระหว่างร้านกับท่าเรือ ผมซบอยู่ที่ไหล่เขา เอาเรือนผมตัวเองถูกับเรือนผมสีดำสนิทของเขา พี่โจมาร์มีกลิ่นทะเล กลิ่นของการผจญภัย ผมชอบพี่โจมาร์จังเลยฮะ
บนถนนหน้าท่าเรือ มีเสาไฟให้แสงสว่างเล็กๆอยู่ตามมุมกำแพง ระหว่างที่เราเดินไป พี่โจมาร์ไม่ได้พูดอะไรเลย เขาปล่อยผมลงหน้าท่าเรือ แล้วหันมายิ้ม
“ไหนหรอฮะ”
เขาชี้มือไปที่เงาดำๆกลางแม่น้ำ มีดวงดาวสะท้อนพริบๆเป็นฉากหลัง
ผมตาค้าง
“พี่รู้ว่าเราอยากขึ้นเรือที่สุด เราอ้อนพี่เรื่องนี้มาตลอด…ยังไง ถ้าเราจะต้องเข้าไปรับใช้ในวังจริงๆ เนี้ยแหละของขวัญของพี่”
พี่โจมาร์จะพาผมขึ้นเรือ!! พี่โจมาร์จะพาผมขึ้นเรือ ผมดีใจแทบจะตะโกนออกมาแบบนั้น ผมยิ้มกว้างสุดๆ วิ่งหน้าตั้ง
พี่โจมาร์วิ่งตามมาช่วยอุ้มผมเข้าเรือ มีเสียงเอี้ยดเล็กๆตอนผมสัมผัสพื้นมัน ลำนี้คือลำหาปลาของพี่ ใบเรือสีน้ำตาลแก่ถูกชักขึ้น เรืองโคลงเล็กน้อย พี่โจมาร์ปีนไปที่หัวเรือ ค่อยๆปลดเชือกออกจากฝั่ง
หน้าผมเย็นจัดจากลมแม่น้ำ แต่ผมหุบยิ้มไม่ลงเสียที พอเรือเริ่มแล่นไปช้าๆตามแม่น้ำอย่างมั่นคงแล้ว พี่โจมาร์ถึงเดินกลับมานั่งกับผม
“เป็นไง?”
“สุดยอดเลยฮะ!! ผมได้นั่งเรือแล้ว!”
พี่ยิ้ม ชี้ไปข้างบน ผมเงยหน้ามองตาม พระจันทร์เด่นชัดมาก เป็นสีนวลตัดกับท้องฟ้า ผมเงี่ยหูฟังเสียงเรือกระทบกับน้ำ เป็นเสียง ฉิวๆ มหัศจรรย์พิกล พี่โจมาร์มองหน้าผมแปลกๆ ก่อนจะดึงผมไปสวมกอด
“พี่ฮะ..”
พี่โจมาร์กอดผมนิ่ง ไม่พูดอะไรเลย พี่เอาหน้าซุกไว้ที่ไหล่ผม ลูบหลังอย่างอ่อนโยน
“พี่ฮะ” พี่ยังคงเงียบ หรือว่าพี่…
“พี่โจมาร์ฮะ พี่อยากทำแบบนั้นกับผมรึเปล่า” ผมถาม
“แบบไหน?”
“แบบที่พวกผู้ชายโตๆชอบทำกับผมน่ะฮะ แบบที่เอาไอ้นั่นมาสอ - -”
“นากัล!!” พี่โจมาร์หน้าแดงมาก ปล่อยผมทันที ผมว่าแล้ว ลูกค้าบางคนก็จะหน้าแดงก่อนทำแบบนั้นกับผมเหมือนกัน หน้าแดงๆตาแดงๆ แล้วก็ทำปากดูดๆไปรอบๆคอผม ถ้าพี่โจมาร์ทำบ้างจะเป็นยังไงนะ
พี่โจมาร์ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูก เขาเงยมองแม่น้ำสุดลูกหูลูกตา ผมสงสัยจัง…
“นากัล!!” เขาร้องขึ้นมาอีก เมื่อผมเอามือไปจับตรงเป้าเขา
ผมหัวเราะเบาๆ “ตรงนี้ของพี่แข็งแล้ว พี่อยากให้ผมอมให้มั๊ยฮะ จริงๆผมไม่ชอบอมเท่าไหร่ แต่ถ้าเพื่อพี่โจมาร์ ผมอยากทำมากๆเลยล่ะฮะ”
พี่โจมาร์จุกพูดไม่ออก มือของพี่ที่ตอนแรกทำท่าจะดันผม ค้างนิ่งไป พอผมเอามือปลดปมผ้าของพี่ออก เขาหายใจสะดุดเลย กางเกงชาวเรือหลุดกองที่พื้นเรือ
ไอ้จ้อนของพี่โจมาร์ดีดตัวออกมา ใหญ่พอสมควรเลยนะเนี่ย
พี่โจมาร์นิ่งเหมือนรูปปั้นเทพเจ้าจริงๆด้วย ผมบอกแล้วว่าเขาเหมือนรูปปั้นเลย เพียงแต่สีน้ำตาลแก่ ฮ่าๆ ผมอมยิ้ม ก่อนจะส่งของพี่โจมาร์เข้าปาก
ขาของพี่โจมาร์อยู่ไม่สุขตลอดเลย เขาบิดไปมา ผมดูดตรงหัวได้แปปเดียว เขาก็คำรามออกมา ใช้มือกดหัวผมลงไปลึก น้ำเหนียวๆไหลออกมาจากของพี่ ผมกลืนกินมันสุดถึงโคนแล้วก็เริ่มกระดกหัวเร็วๆแบบที่ลูกค้าชอบสั่งให้ทำ
พี่โจมาร์หายใจเสียงดังจัง ผมได้ยินแค่เสียงจิ้งหรีดกับเสียงของพี่เท่านั้น
“น..นากัล” เขาเอามือดุนๆหัวผมออก ผมอ้าปากปล่อย มองหน้าเขาเชิงถาม
พี่ไม่พูดอะไรแล้วฮะ แต่พี่ดึงขาผมอย่างแรงเลย แล้วพี่ก็โถมตัวลงมา เกิดเสียงเอียดยาวๆบนเรือ
ผมมองเขาที่คร่อมอยู่เหนือผม ตาพี่โจมาร์เยิ้มแล้ว
ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไรตอนนี้ ผมเลยกางขาออกกว้างๆ พี่โจมาร์หน้าแดงอีกแล้ว ตลกดี พี่สอดลิ้นเข้ามาในปากผม ตวัดไปมา ดูดเม้มริมฝีปากล่างผม มือก็ดึงเสื้อผ้าผมออกไป โชคดีที่มีผ้าหนาๆรองหลังผมเอาไว้ ไม่งั้นคงปวดตัวแน่เลย เขาบ้วนน้ำลายออกมาทาที่ปากทาง
ผมกลั้นหายใจตอนที่พี่สอดมันเข้ามา จนกระทั่งพี่เข้ามาอยู่ในตัวผม พี่ยกขาผมพาดบ่าข้างหนึ่ง จึงเริ่มเบียดเสียด
ถ้ามาดามรู้ มาดามจะต้องฆ่าผมแน่ๆ เรื่องที่เธอไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรเรื่องที่ผมนอนกับพี่เลย แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะพรุ่งนี้ผมก็จะไม่ต้องอยู่กับเธอแล้ว จะว่าไปก็น่าใจหายเหมือนกัน
“อ๊ะ อ๊ะ อา” ช่องท้องเสียววาบขึ้นมา โอ๊ย พี่ทำแรงจัง ผมครางสุดเสียง พี่โจมาร์เร่งสะโพกบดเบียดได้ลึกสุดๆ ผมรู้สึกว่าข้างในผมถูกพี่เติมจนเต็ม ผมถูกไถไปกับผ้า
“พี่ฮะ…อื้ออ!! พ…พี่”
“นากัล…น่ารักนะ น่ารักที่สุดเลย” เขาหันมาจูบปากผม หอบหายใจหนัก
ผมเหม่อมองขาเล็กๆของผม ที่วางอยู่บนบ่าแกร่งของพี่ เห็นเสาเรือโคลงเคลงนิดหน่อย แต่ใบเรือสบัดลู่กับสายลม ทุกอย่างสวยจังเลย
พี่ขยับอย่างดุเดือด อุ้มผมขึ้นไปนั่งด้านบน สะโพกแนบชิดกันแน่นจนผมครางเสียงหลง “อ๊าา!!อ๊าา พี่ฮะ!” น้ำขาวๆของผมทะลักออกมา พร้อมๆกับคำสบถของพี่ ตามด้วยการปลดปล่อย
ผมกับพี่หอบอยู่บนตัวอีกคนนึง
“ผมดีใจที่พี่พามาขึ้นเรือนะฮะ”
พี่โจมาร์ขมกหัว ใบหน้าชุ่มเหงื่อ “นากัล…พี่มั่นใจว่าเราเข้ารอบแน่ๆ”
ผมหัวเราะปนเหนื่อย
พี่เอาผ้ามาห่อเราสองคนไว้ ผมนั่งอยู่บนตัวพี่ซักพัก พี่เริ่มสอนเรื่องการนับคาบเวลา บอกว่ามันจำเป็นต้องรู้ไว้ ก่อนเข้าวัง พี่ชี้ตำแหน่งพระจันทร์บนท้องฟ้า บอกว่านี้คือ คาบสอง (หนึ่งคาบจะมี 120 นาที) แล้วพี่ก็บอกให้ผมนับต่อ ด้วยเลขพื้นฐาน พี่ถามคำถามวนไปมา ให้ผมทายจนสามารถมั่นใจได้แล้วว่าผมจำเวลาถูก แล้วพี่ก็จูบผม ก่อนจะเดินไปปรับใบเรือ
ในที่สุดผมก็ต้องลงจากเรือ ผมงอแงอยู่พักใหญ่ จนพี่โจมาร์ต้องอุ้มผมขึ้นหลังด้วยตัวเอง และพาเดินกลับร้าน
“พรุ่งนี้พี่จะแอบมาส่งนะ…สู้เข้านะ นากัล สู้เข้า”
พี่พูดตอนที่วางผมหน้าประตูร้าน
“ฮะ พี่โจมาร์” ผมตอบเสียงชัดแจ๋ว คืนผ้าให้พี่ พี่โจมาร์ช่วยยกผมส่งทางหน้าต่างบานเล็ก ผมไถลลงมาในร้านดังตุบ ที่นี้ยังเงียบ และเหมือนเดิมไม่มีผิด เหมือนเรื่องที่ผมไปขึ้นเรือกับพี่โจมาร์ ไม่ได้เกิดขึ้น
ผมย่องขึ้นบันใด เด็กๆทุกคนหลับสนิท ผมล้มตัวลงข้างๆแมร์รี่ หลับตา รอคอยวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง
วันที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของผมไปตลอดกาล
==========================
เกร็ดประวัติศาสตร์:
พวกคาลเดียนในบาบิโลเนียได้เริ่มต้นงานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางดาราศาสตร์ มีการแบ่งสัปดาห์ออกเป็น 7 วัน แบ่งวันออกเป็น 12 คาบ คาบละ 120 นาที และยังสามารถพยากรณ์สุริยุปราคาตลอดจนคำนวณเวลาการโคจรของดวงอาทิตย์ในรอบปีได้อย่างถูกต้อง ชาวคาลเดียนเป็นชาติแรกที่ริเริ่มนำความรู้ทางดาราศาสตร์มาทำนายโชคชะตาของมนุษย์
ที่มา:wikipedia
แม่น้ำ ในบาบิโลน
แผนที่ตั้งของ บาบิโลนเนีย
################
ขอบคุณผู้อ่านอีกครั้งนะคะ คอมเม้นทำให้ไรท์เตอร์มีกำลังใจรีบแต่งสุดๆเลยล่ะค่ะ
...เจ้าหนูนากัลยังต้องเดินทาง ผจญภัย และพบปะหนุ่มๆอีกเยอะเลยค่ะ อิอิ
ขอบคุณจริงๆค่า
-cloud9