ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑
เดือนกับดิน
ทั้งชีวิตนี้มีอยู่สามสิ่งที่คนอย่าง ‘เดือน’ หรือ ‘นายรวีกานต์’ เกลียดมากที่สุด หนึ่งคืออากาศร้อนชนิดที่สามารถฆ่าคนตายและย่างควายสุขได้ในห้านาที สองคือสถานที่ที่ห่างไกลความเจริญขนาดที่ร้านสะดวกซื้อเข้าไม่ถึง และสามคือการเดินหลงทางอย่างโง่ๆกลางไอ้สถานที่สองอย่างข้างต้น!
บ๊ะ คิดๆไปแล้วก็ขึ้น อากาศยิ่งร้อนๆอยู่!
แล้วสรุปกูจะต้องไปขึ้นรถต่อที่ไหนวะ
เดือนยืนเกาหัวแกรกกราก หันซ้ายทีขวาทีอย่างจนปัญญา ทั้งตัวเขามีเพียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่อภิมหาหนักเท่านั้น ชายหนุ่มเดาะลิ้นอย่างไม่ชอบใจ อารมณ์ความหงุดหงิดทวีขึ้นทุกทีเพราะอากาศร้อนหลังจากหอบหิ้วสารร่างโทรมๆของตัวเองมาจากกรุงเทพได้สำเร็จ เขาก็ติดต่อที่บ้านไว้แล้วนะว่าให้ส่งคนมารับ แล้วไหนล่ะวะไอ้คนที่ว่า!
ชายหนุ่มร่างสูงกวาดตาไปรอบๆ จนไปเจอร่มไม้ที่น่าจะพอช่วยกำบังแดดได้บ้าง เขาก็จัดแจงลากกระเป๋าไปยืนอยู่ใต้ร่มไม้ได้สำเร็จ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งยองๆอย่างหมดแรง ระยะทางจากกรุงเทพถึงสุพรรณบุรีไม่ใช่ใกล้ๆ แล้วกับคนที่ไม่เคยได้นั่งรถทัวร์ไปต่างจังหวัดแบบเขาด้วยแล้ว บอกเลยคำเดียวว่าโคตรเมื่อย
อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยอยากจะกลับมานักหรอก
ไม่ใช่ว่าเดือนดูถูกต่างจังหวัดหรือมีปัญหากับที่บ้าน แต่สำหรับเด็กที่ถูกญาติรับไปเลี้ยงที่กรุงเทพตั้งแต่ยังเล็กแถมส่งไปเรียนต่อปริญญาถึงต่างประเทศ การจะกลับมาอยู่กับครอบครัวในสถานที่ที่ไม่มีห้างใหญ่หรือร้านอาหารหรูแล้วมันก็ค่อนข้างทำใจลำบาก
เดือนไม่สนิทกับพ่อแม่ ครั้งสุดท้ายที่คุยกันคือคุยผ่านโทรศัพท์เมื่อประมาณสามอาทิตย์ก่อนตอนที่เขาบอกว่าจะกลับมาขออยู่ด้วย
เอาเถอะ...อย่างน้อยๆกลับมาพักหัวสมองพักใจที่บ้านคงทำอะไรๆดีขึ้นหลังจากที่ผ่านอะไรร้ายๆมา
“พี่คะๆเอาน้ำเย็นๆสักขวดไหมคะ” น้ำเสียงเหน่อๆที่เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นเรียกให้เดือนเงยหน้าจากไอโฟนในมือ เขามองเด็กหญิงตัวน้อยที่น่าจะอายุสักสิบสองสิบสาม แบกกล่องโฟมที่มีหยดน้ำเกาะพราวไว้ เด็กน้อยเปิดฝากล่องเผยให้เห็นขวดน้ำเปล่าอยู่ในน้ำที่ใส่น้ำแข็งไว้ ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ในที่สุดสวรรค์ก็ส่งเด็กน้อยถือน้ำมาโปรดเขาแล้ว!
“อ่า งั้นเอาขวดนึงครับน้อง” ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าตังค์เตรียมจะยื่นแบงค์ยี่สิบให้อีกฝ่ายแต่ทันใดนั้นเด็กหญิงตัวน้อยที่เขามองว่าเป็นนางฟ้ามาโปรดกลับทิ้งกล่องโฟมลงพื้นจนน้ำนองเต็มพื้น ขวดน้ำเปล่าหล่นกระจัดกระจาย...ก่อนที่ยัยเด็กนั่นจะกระชากกระเป๋าเงินเขาไปต่อหน้าต่อตา!
เวร! กูโดนเด็กสิบสองขวบฉกกระเป๋าเงิน!
“เฮ้ย ยัยเด็กบ้า หยุดนะเว้ย!” จะยืนโง่ทำซากอะไรล่ะครับ ไอ้เดือนก็จะวิ่งตามสิ สุดชีวิตเลยด้วย แต่แค่ก้าวเท้าขวาออกไปเขาก็เหยียบไปบนก้อนน้ำแข็งลื่นๆบนพื้น เซถลาไปเหยียบขวดน้ำเปล่าอีกขวดจนล้มหงายหัวฟาดพื้น
ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวไปมาไล่อาการมึนก่อนจะรีบวิ่งตามต่อ เขาเห็นหลังเด็กแสบนั่นไวๆแล้ว หืม อะไรนะ นั่นเด็ก
สมควรทำใจเมตตาแล้วปล่อยไป? ขอโทษครับนั่นมันเงินเก็บที่เหลือทั้งชีวิตของกูเหอะ! ตลก ปล่อยไปก็แย่แล้ว!
ชายหนุ่มอาศัยความได้เปรียบจากขายาวๆของตัวเองวิ่งจนใกล้จะทันเจ้าเด็กน้อยแต่จู่ๆก็มีบุคคลปริศนาอีกคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามากระแทกเขา
พลั่ก
กระแทกไม่แรงมากหรอกแค่ทำเอาไอ้เดือนเซถลาเท่านั้นเอง
คนที่ชนเขาเป็นเพียงชายร่างเตี้ย อีกฝ่ายพอชนเสร็จก็ขยับหมวกแก๊บสีแดงให้เขาที่แล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนที่ล้มหงายได้แต่กัดฟันกรอดๆ “น้ำใจงาม...น้ำใจงามจริงๆไอ้เวร! ชนมาเนี่ยขอโทษสักคำก็ไม่มี โว้ย!” โวยวายเสร็จก็นึกได้ว่าต้องไล่ตามกระเป๋าตังค์ต่อ แต่พอหันไป...
เหอะๆ สุดท้ายก็ว่างเปล่า
เด็กนั่นหนีรอดไปแล้ว
เอาล่ะคุณรวีกานต์ ตอนนี้มึงต้องคิดแล้วครับด้วยดีกรีปริญญาตรีจากอเมริกา จงใช้สมองอันปราดเปรื่องของมึงหาทางรอดซะ คิดสิคิด ทำยังไง เวลาแบบนี้...ใช่ ต้องพึ่งพาครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย เนื่องจากไอ้เดือนไม่มีเพื่อนที่นี่ อดีตเพื่อนร่วมงานก็อยู่ไกลถึงกรุงเทพฯ คงเหาะมาช่วยไม่ได้ ทางเดียวที่เหลืออยู่คือขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน ฮือออ พ่อ แม่ ช่วยเดือนด้วย
ไวเท่าความคิดก็ล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเองทันที
แต่เอ๊ะ ทำไมคลำไปกระเป๋ามันแฟบชอบกล
ตบๆไป ทำไมสุดท้ายก็ว่างเปล่าอีกแล้ววะ...
ร่างสูงใหญ่เป็นหมียืนงงอยู่พักหนึ่งก่อนจะตระหนักความจริงอันน่าตระหนกได้ว่า โทร-ศัพท์-กู-หาย!
ชิบละ...ของจริงเลย
เดือนรีบหันหลังเดินย้อนกลับไปทางเดิม สอดส่ายสายตาหาเผื่อว่าจะเจอว่าตัวเองทำหล่นไว้ตรงไหน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
เวรล่ะสิ วิ่งมาก็ไม่ได้สนใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำหายไปตอนไหน
เดือนยืนเค้นสมองพยายามกรอกลับไป จนในที่สุดเขาก็นึกออก ถ้าเป็นในการ์ตูนคงมีเสียงปิ๊งพร้อมหลอดไฟสว่างวาบ
ตอนที่ไอ้มนุษย์หมวกแก๊บมันเดินชนเขา! แน่ๆล่ะ มิน่าแม่งรีบเดินไม่ขอโทษสักคำ ที่ไหนได้ มันฉกไอโฟนเขาไปแล้วต่างหาก โว้ยยย แล้วทีนี้จะไปตามทางไหนล่ะ มือถือไปทาง กระเป๋าตังค์ไปทาง
โอยย ทำไมเกิดเป็นไอ้เดือนมันถึงได้ลำบากขนาดนี้วะ มีงานทำกำลังรุ่งก็ดันร่วง จะซื้อน้ำก็โดนขโมยกระเป๋าเงิน แถมยังโดนขโมยมือถืออีก
“มึงควรจะไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ได้แล้วมั้งง ฮะๆ” พึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินลากขากลับไปที่กระเป๋าเดินทางที่เผลอทิ้งไว้ นี่ถ้าชีวิตบัดซบขั้นหนักมันคงจะมีใครสักคนมาขโมยกระเป๋าเดินทางเขาไปอีก ทีนี้ล่ะมึงผู้ชายตัวเปล่าของจริงเลยไอ้เดือน
ทันทีที่เดินกลับมาใต้ต้นไม้ชายหนุ่มก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนก้มๆเงยๆที่กระเป๋าเดินทางของเขา
ไอ้เชี่ยยย ชีวิตกูในหนึ่งวันจะบัดซบไปแล้วโว้ยยย
หยุดเลยมึง เอามือมึงออกไปจากกระเป๋ากู ณ. บัดนาว ต่อให้มึงเอา M79 มากราดยิงใส่กู กูก็ไม่มีวันให้มึงเอากระเป๋ากูไปได้หรอก!
“ย๊ากกก ไอ้เดือนเดอะคิก!” เสียงมาพร้อมตัว ไม่ว่าเปล่า กูสกายคิกถีบขาคู่เลยครับ กระเป๋าข้าใครอย่าแตะ ณ.จุดนี้กูหวงกระเป๋ามากกว่าแฟนเก่าอีก
โครม!
ไอ้หนุ่มคนนั้นโดนเขาถีบจนร่างนั้นหน้าคะมำไปจูบพื้น เดือนรีบตามขึ้นไปนั่งทับ ดึงแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายมาไพล่หลัง ถ้ามีกุญแจมือนี่ครบสูตร
ชายหนุ่มกระแอมก่อนจะทำเสียงขรึม “คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูดเพราะทุกคำที่คุณพูดจะ...” ยังไม่ทันจะพูดจบเดือนก็ต้องกลืนคำที่พูดที่เหลือลงคอเพราะเสียงเย็นๆจากคนใต้ร่างเขาดังขัดขึ้นมาก่อน
“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” น้ำเสียงนิ่งเย็นทำเอาเดือนขนลุกซู่ แถมจู่ๆแดดดันร่มขึ้นมาแถมมีลมพัดแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ เฮ้ยๆ อะไรวะเนี่ย
“วันนี้คุณทำกรรมโดยการกระโดดถีบขาคู่ผม...คุณเองก็จะได้รับการสนองกรรมนั้นในไม่ช้า เพราะกรรมเกิดจากการกระทำของตัวคุณเอง”
“พ...พล่ามอะไรของมึงฮะ!”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงสั่นรีบลุกขึ้นแล้วกระโดดถอยห่าง นี่เขาไม่ได้ไปกระโดดถีบคนบ้าหรือพวกพ่อมดคนทรงเจ้าเข้าใช่ไหมวะ โดนทำของขึ้นมานี่ดับดิ้นเลยนะ
ชายหนุ่มคนนั้นค่อยๆลุกขึ้นยืน ปัดเศษดินเศษฝุ่นออกจากตัวด้วยท่าทางนิ่มนวลเหมือนกุลสตรีชาววังไม่มีผิด เดือนสังเกตว่าอีกฝ่ายนั้นตัวเล็กกว่าเขาอยู่มากทีเดียว คนตรงหน้าเขามีผิวขาว เส้นผมสีดำยาวระต้นคอ สวมแว่นตากรอบดำ เบื้องหลังเลนส์ใสคือดวงตาคู่คมสวยสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง มีไฝรองน้ำตาที่ใต้ตาซ้ายดูเพิ่มเสน่ห์ให้คนตรงหน้าดูดีเพิ่มอีก ติดที่ใบหน้านั้นออกจะหวานเหมือนผู้หญิงไปสักหน่อย
หรือที่จริงแล้วคนตรงหน้าเขาเป็นผู้หญิงนะ เดือนเองก็ชักจะแยกไม่ออก
แต่ยังไม่ทันจะดึงสติกลับมาครบถ้วนคนตรงหน้าเขาก็ชิงพูดขึ้นมาด้วยสำเนียงภาคกลางชัดแจ๋วเสียก่อน “สวัสดีครับคุณเดือน ขออภัยที่มาช้า ผมคือคนที่จะมารับคุณครับ” เดือนพยักหน้าแบบงงๆ ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองดันทำเรื่องหน้าแตกไปกระโดดถีบขาคู่เขาแบบนั้น
“เอ่อ...ฉันขอโทษนะที่ถีบนาย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจว่าคุณเดือนคนร้อนใจห่วงกระเป๋ามาก เพราะดันประมาททิ้งกระเป๋าไว้เดี่ยวๆแบบนี้ เป็นผมก็คงจะห่วง เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าคนประมาทย่อมโศกเศร้าสิ้นกาลนาน อ่า...แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่กลับมาทัน” ชายตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยในขณะที่เดือนคิ้วกระตุกหงึกๆ
เหมือนมันหลอกด่ากูชอบกล
แต่สีหน้านั้นก็ยังไม่เปลี่ยนจนเขาจับสังเกตอะไรไม่ได้เลย
“เอ่อ คุณ...คุณชื่ออะไรนะ?” ชายหนุ่มร่างสูงเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้แนะนำตัว คนผมดำนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหัวขอโทษ “ขออภัย ผมเสียมารยาทซะแล้ว”
“เฮ้ย ไม่ๆฉันแค่ถามเท่านั้นเอง”
“ไม่ได้หรอกครับ คุณแม่คุณสอนว่าถ้าจะถามชื่อหรือทำความรู้จักใครเราควรบอกชื่อตัวเองก่อน ผมลืมความจริงข้อนี้ไปซะได้”
ร่างนั้นหัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยแต่เพียงแค่นิดเดียว “ผมชื่อปฐพี เรียกผมว่าดินก็ได้”
“อ่า ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกันครับ”
เดือนกระพริบตาปริบๆ นึกสงสัยว่าตัวเองกำลังคุยกับคุณชายจากนอกโลกหรือเปล่า ดินเป็นคนที่ดูนิ่งมากจนน่ากลัว เขาไม่แสดงออกไม่ว่าจะทางสีหน้าหรือแววตา คำพูดก็...ก็นะ ทั้งงงๆทั้งฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้เดือนสัมผัสได้ว่าแม่งคมกริบ นี่ถ้าคำพูดมันเป็นมีดคงบาดกูเลือดซิบไปละ
คนแปลกๆ ดูเข้าถึงยากแต่กลับมีเสน่ห์
“จริงด้วยสิคุณดิน...”
“ผมอายุน้อยกว่าคุณ เรียกแค่ดินเฉยๆก็ได้ครับ”
“เอ่อ โอเคๆ คือผมโดนขโมยกระเป๋าตังค์แล้วก็มือถือด้วยอ่ะ คือ...พอจะแจ้งความหรืออะไรยังไงได้บ้าง”
“ขโมย? คุณพอลักษณะคนขโมยของได้ไหมล่ะครับ อาจจะพอช่วยๆกันตามหาไม่ก็ไปแจ้งตำรวจได้บ้าง”
“คนขโมยมือถือเป็นผู้ชายตัวเตี้ยๆใส่หมวกแก๊ปสีแดง ส่วนคนขโมยกระเป๋าตังค์เป็นเด็กผู้หญิงอายุน่าจะประมาณสิบสองสิบสาม...ทำไมมองผมแบบนั้น?”
เดือนชะงักเมื่อดินมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะ...ว่างเปล่ากว่าเดิมเล็กน้อย เจ้าหนุ่มน่าสวยทวนคำเบาๆ “เด็กผู้หญิงอายุ 12 เหรอ เฮ้อ นี่เป็นการพิสูจน์แล้วสินะว่าการศึกษาสูงไม่ได้พัฒนาทักษะชีวิต” ว่าพลางทอดถอนใจเบาๆก่อนจะส่ายหน้า
“เฮ้ยๆ พูดแบบนี้หมายความว่าไงฮะ?”
“อ่า ขอโทษครับ ดูเหมือนผมจะหลุดความในใจไปอีกแล้ว”
ไม่อ่ะ มึงไม่ได้หลุด มึงจงใจพูดแซะกูครับไอ้คุณปฐพี!
“เอาเป็นว่า...เรื่องมือถือเดี๋ยวผมจะหาเครื่องใหม่ให้คุณใช้แก้ขัดไปก่อน ส่วนกระเป๋าเงิน...ในนั้นมีอะไรสำคัญไหมครับนอกจากเงินน่ะ” เดือนส่ายหน้า เขาแยกพวกบัตรประชาชนเอาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนพวกบัตรเครดิตกับบัตร ATM เขาก็ยกเลิกไปหมดแล้วทุกใบ เงินสดในนั้นก็มีมากสุดแค่ห้าพันกว่าบาท
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ดูอีกทีเถอะครับ ตอนนี้รีบกลับกันก่อนดีกว่า”
กล่าวจบร่างโปร่งก็หันกายเดินนำไปทำให้เดือนต้องรีบลากกระเป๋าเดินตุปัดตุเป๋ตาม พวกเขาเดินมาถึงเจ้าปิคอัพสีขาวที่ติดสติกเกอร์ไว้ว่า ‘คันนี้สีชมพู รู้แล้วก็ห้ามแซง’ ว่าแต่เรื่องรู้สีกับเรื่องห้ามแซงมันเกี่ยวอะไรกันวะ
เดือนยกกระเป๋าไปที่ท้ายกระบะ เอาเชือกรัดไว้กันมันกระแทกก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านหลังตามดินที่นั่งประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว คนสวมแว่นเหลือบตามองเขาจากกระจกมองหลังก่อนจะเคาะนิ้วกับพวงมาลัย “ขึ้นมานั่งหน้าครับ”
“ฮะ?”
“ผมไม่ใช่คนขับรถของคุณ มานั่งหน้าครับ”
“คนขับรถอะไรคุณ? เอ่อ ขอโทษทีผมนั่งหน้าแล้วอึดอัดน่ะ” เดือนเป็นคนตัวใหญ่ พ่อของเขาเป็นคนอังกฤษที่มาตกหลุมรักสาวใสไทยแท้อย่างแม่ และลงหลักปักฐานที่เมืองไทย ดังนั้นเดือนเลยกลายเป็นลูกครึ่งอังกฤษที่ตัวโต มีโครงหน้าฝรั่ง ผมสีน้ำตาลอ่อน และดวงตาสีอ่อน เวลานั่งรถส่วนใหญ่เขาจะนั่งหลังตลอดเพราะรู้สึกว่าเบาะหน้ามันคับแคบ
นั่นแหละ เขาไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่าถ้านั่งหลังจะทำให้ไอ้คนที่ขับรถกลายเป็นคนคนขับรถน่ะ
ดินถอนใจเบาๆอีกครั้ง หันมาบอกเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย “มันเป็นมารยาทพื้นฐานครับ คุณไม่เคยเรียนมารยาทมาหรือไง”
“เอ่อ...ผมเรียนโรงเรียนคริสต์” ดังนั้นมารยาทชาวพุทธคือน่าจะเท่ากับศูนย์ ทุกวันนี้สวดบทแผ่เมตตาถูกก็ปลื้มปริ่มจะแย่
“มันเป็นมารยาทพื้นฐานทั่วไปน่ะคุณ ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น” สายตาหลังเลนส์ใสนั้นเหมือนจะสื่อว่า
ทุกคนยกเว้นมึงอ่ะครับคุณรวีกานต์ด้วยคำพูดนั้นเดือนจึงต้องรีบลงแล้วขึ้นไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถที่เบาะนั่งข้างๆไอ้เด็กปากจัด เมื่อรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง ภายในรถเงียบสนิทจนเดือนรู้สึกเหมือนจะหลับ แต่มันคงไม่ดีถ้าเขาจะชงหลับแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถคนเดียว
ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวมันก็มาหลอกด่าเขาด้วยคำพูดเจ็บๆเข้าใจยากๆอีก
สุดท้ายเดือนก็ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“คุณอายุเท่าไหร่น่ะดิน คุณบอกว่าอายุน้อยกว่าผมสินะ”
“ใช่ครับ ผม 23 แล้ว” อายุน้อยกว่าเขาห้าปีสินะ “แล้วทำไมคุณรู้จักพ่อแม่ผม” ชายหนุ่มหน้าสวยไม่ตอบ ภายในรถจึงกลับมาเงียบเป็นป่าช้าอีกครั้ง เดือนคอยคำตอบเงียบๆจนคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบแล้วนั่นแหละดินถึงจะพูดขึ้นมา “พวกท่านเป็นคนอุปการะผม ที่บ้านผมไม่มีเงินมากพอจะเลี้ยงผม พ่อกับแม่คุณสงสารเลยรับผมมาเลี้ยง ส่งเสียจนเรียนจบ พวกท่านเป็นครอบครัวของผม”
“แล้วนายอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่เหรอ”
“ใช่ครับ”
“งั้นเหรอ ดีจังนะ”
เดือนพูดเสียงเรียบก่อนจะเบือนหน้าไปมองทิวทัศน์ที่ผ่านตาไปอย่างรวดเร็วด้านนอกแทน อะไรสักอย่างในใจเขาถูกกวนขึ้นมา เป็นแค่ตะกอนเล็กๆที่เขาคิดว่าเขาเลิกสนใจมันไปนานแล้ว ชายหนุ่มหลับตาเอนหัวพิงกับกระจกรถแล้วกลบฝังความรู้สึกนั้นไว้ จนในที่สุดเขาก็เผลอหลับไปจริงๆ
เครื่องยนต์ที่ดับสนิททำให้เดือนรู้สึกตัวตื่น เขาพบว่ารถจอดสนิทที่หน้าบ้านเรือนไทยประยุกต์สองชั้น ที่ตัวบ้านชั้นล่างทาสีขาวส่วนด้านบนเป็นไม้ มีประตูกระจกเปิดสู่ระเบียงรอบๆ โคมไฟที่ออกแบบมาให้รูปร่างคล้ายตะเกียงติดไว้รอบตัวบ้าน
เดือนสูดลมหายใจลึก เขาไม่แน่ใจว่าจะทำหน้ายังไงดีตอนลงไป ต้องร้องไห้ไหม ต้องกอดกันให้แน่นๆหรือแค่ยกมือไหว้
มันก็ตลกดีที่เหมือนพ่อกับแม่แท้ๆเป็นคนแปลกหน้าของเขาไปแล้ว
รอบๆบ้านของเขาร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และไม้ดอกต่างๆที่ถูกปลูกและดูแลจนเป็นระเบียบ ชายหนุ่มเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินตามดินไป แต่ยังไม่ทันจะเหยียบบนหินแผ่นแรกที่ปูไปสู่ตัวบ้านก็มีสิ่งมีชีวิตสี่ขาพากันวิ่งแจ้นมาล้อมรอบเขาเสียก่อน
โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง
โอ้โห มายแองเจิ้ล กูกลัวหมาครับ!
แล้วนี่ไม่ใช่หมาธรรมดาแต่เป็นโคตรรอภิมหาหมาสี่ตัว แม่กับพ่อจะเลี้ยงไว้กะไม่ให้ขโมยขึ้นบ้านเลยใช่ไหมครับ!
เดือนถอยกรูดทันที แต่เจ้าสี่ขามหาภัยก็เดินจ่อเขามาติดๆ แม่งคงมองเขาเป็นศัตรูไปแล้วแหละ นั่นๆไอ้ตัวดำนั่นแม่งเห่าใหญ่ อย่ากินกูเลยยย ไม่อร่อยยย
โฮกกก 27 ปีที่ดูโลกมาจะมาสิ้นสุดลงเพราะหมาหน้าบ้านตัวเองเหรอวะไอ้เดือน สู้สิวะ สู้!
“ฮ...เฮ้ย ม...หมาๆที่น่ารัก ฮะๆ นี่เดือนเอง จำเดือนได้ไหม ฮ่าๆ” ครับ ประสาทแล้ว มึงอัพสกิลการพูดกับสัตว์ได้แล้วไอ้รวีกานต์ เหอๆ
เมื่อน้องหมายังไม่หยุดเห่าเดือนก็สอดส่ายสายตาหาตัวช่วย บ๊ะ ไอ้คุณปฐพีคนงาม คือคุณท่านไปยืนกอดอกอะไรอยู่หน้าบ้านครับนั่น กูจะโดนไอ้ลาสบอสพวกนี้กัดตายแล้วนะ
“ทำอะไรอยู่น่ะคุณ เข้ามาบ้านสิ เร็วๆ คุณพ่อคุณแม่รออยู่นะ” สาบานเหอะว่ามันดูไม่ออกว่าเขากลัวหมา! อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าเนื้อใจเสืออย่างเธอ เอ้ย ผิดประเด็น เขาเห็นหน้าว่าไอ้เด็กแสบมันยกมุมปากขึ้นมา มึงสมน้ำหน้ากูในใจล่ะสิ!
“อะไรกันคุณ อย่าบอกนะว่ากลัวหมา โตป่านนี้แล้วนะ มาเถอะ มันไม่กัดหรอก” ว่าจบก็ทำเป็นหันหลังจะเดินเข้าบ้าน ไอ้รวีกานต์คนเก่งต้องกลั้นใจไม่ให้สาดคำหยาบใส่เป็นอย่างมาก
คือมันไม่กัดมึงแต่มันจะกัดกูครับ!
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน! เอ่อ นายช่วยเรียกพวกมันกลับไปได้ไหม คือ ฉันไม่ถูกกับหมา” เดือนกัดฟันกรอด ยอมก้มหัวขอร้องไอ้เด็กหน้าตายนั่นสักครั้ง อีกฝ่ายก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา เขาสัมผัสได้ว่ามันเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“โถ่ๆ น่าสงสารจริงๆ เฮ้อ เอางั้นก็ได้ครับ น้องข้าวสวย น้องไข่ตุ๋น น้องโรตี น้องสายไหม มานี่มะๆ” อื้อหือ ใครก็ได้สาบานสามนิ้วด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองกับไอ้เดือนทีว่านั่นชื่อหมา! น่ารัก น่าหยิก น่าจับย่างมาก!
อย่าเผลอนะ กูจับย่างเรียงตัวแม่ง
เมื่อปลอดรอดพ้นภัย นายเดือนก็ได้แต่ลากกระเป๋าต๊อกๆตามคุณชายดินเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านตกแต่งด้วยสีโทนน้ำตาลดูอบอุ่น ภายในถูกตกแต่งอย่างมีศิลปะและยังคงกลิ่นอายของความเป็นไทยโบราณไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เดือนเดินตามอีกฝ่ายไปจนถึงห้องรับแขก ทันทีที่เขาเข้าไปร่างสองร่างก็พุ่งมากอดเขาจนชายหนุ่มหายใจไม่ออก
“เดือนลูกแม่ เป็นยังไงบ้างลูก เดินทางมาเหนื่อยไหม จะถึงแล้วทำไมไม่โทรบอกแม่ล่ะลูก” เดือนมองหญิงสาวร่างเล็ก ผิวสีน้ำผึ้งสลับกับชายฝรั่งร่างสูงที่สวมเสื้อยืดสีขาวสลับผูกผ้าขาวม้าไว้ที่เอว ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเกร็งๆ
“เอ่อ ขอโทษครับ โทรศัพท์ผมหาย”
“ตายแล้ว ไม่เป็นนะลูก เดี๋ยวค่อยไปซื้อใหม่”
“อันที่จริงมันหายทั้งมือถือทั้งกระเป๋าเงินเลยครับ”
“ตายจริง” แม่ของเขายกมือปิดปากก่อนจะลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู “ไม่เป็นไรนะลูก เดี๋ยวแม่กับพ่อจัดการให้ “ เดือนยิ้มรับ เขาขยับตัว เริ่มรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก พอเหลือบมองดินก็เห็นว่าพ่อกับแม่ก็เริ่มหันไปคุยกับดินแล้วเหมือนกัน อีกฝ่ายยิ้มรับแล้วพูดกับทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง
“ขอโทษนะครับ ผม...อยากอาบน้ำ” จู่ๆชายหนุ่มก็โพล่งขึ้นมากลางวง คุณแม่ของเขายิ้มรับแล้วหันไปมองดินเป็นเชิงว่าให้นำเขาไปอาบน้ำ “ดินพาพี่เขาไปอาบน้ำสิลูก เดี๋ยวแม่จะเข้าไปเตรียมอาหารแล้ว เดินทางมาเหนื่อยๆ เดือนน่าจะหิวใช่ไหม”
“ก็นิดหน่อยครับ”
แม่ยิ้มร่าแล้วเดินหายออกไปขณะที่พ่อเดินมาตบไหล่เขาเบาๆ “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะไอ้ลูกชาย” เดือนยิ้มบางๆให้กับผู้เป็นบิดา จนสุดท้ายแล้วก็เหลือแต่เขากับไอ้เด็กดินสองคน ชายหนุ่มร่างโปร่งหันมายิ้มให้เขาด้วยท่าทางที่เดือนเสียวสันหลังวูบ ไอ้เดือนว่านะ มันต้องมีอะไรสักอย่าง...
“มาทางนี้สิครับ ‘พี่เดือน’”
นั่นไง กูว่าแล้ว! แต่สรรพนามแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายอยากจะเคารพเขาเลยสักนิด มันทำให้เขารู้สึกว่าไอ้เด็กแสบนี่มันหาเรื่องเขาซะมากกว่า
แต่นี่ใครครับ นี่รวีกานต์นะครับ ประสบการณ์โชกโชน ไม่หวั่นแม้จะโดนฉกกระเป๋าเงินและมือถือ คิดได้ดังนั้นคนตัวโตก็คลี่ยิ้มจนตาหยีกลับไปให้
“รบกวนด้วยนะครับ ‘น้องดิน’
เป๊ง! การปะทะกันระหว่างพี่เดือนไอ้เถื่อนอับโชค VS น้องดินถิ่นสุพรรณ ยกที่หนึ่ง เริ่ม!
เส้นทางสู่ห้องอาบน้ำช่างนาวไกลในความคิดเดือน ดินบอกให้เขาเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะได้นอนห้องติดกับเด็กแสบ มีประตูเชื่อมถึงกันเลยเถอะแต่แน่นอนว่าเดือนลงกลอนอย่างแน่นหนา เด็กดินจะไม่มีทางย่างกรายเข้ามาในห้องเขาได้เด็ดขาด
พอลงมาพร้อมชุดที่จะเอาไปเปลี่ยน อีกฝ่ายก็โยนผ้าขาวม้าให้เขาผืนหนึ่งพร้อมกับนำทางออกจากบ้านไปยังสวนด้านหลัง
มันจะพาเขามาฆ่าหมกสวนป่ะวะ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดือนคิดว่าดินไม่ชอบเขา และสาเหตุก็ไม่น่าจะมาจากไอ้เรื่องเล็กๆอย่างการกระโดดถีบอีกฝ่ายแน่ๆ
“นี่ ทำไมห้องน้ำมันถึงไกลนักล่ะ”
“ก็ห้องน้ำนอกบ้านไง อารมณ์บ้านต่างจังหวัดน่ะคุณ” แหม่ พอพ้นรัศมีพ่อแม่ปุ๊บ โยนคำว่าพี่ทิ้งเฉยเลยนะ
“อ้าว ไม่เรียกผมว่าพี่เดือนแล้วเหรอ” คนผมสีน้ำตาลแกล้งหยอก เรียกให้ดวงตาเรียบๆหลังกรอบแว่นหันมามองแวบหนึ่ง “ผมเคารพคนที่มีวุฒิภาวะทางสมองเพียงพอครับ ไม่ได้เคารพแค่คนเกิดก่อนอย่างเดียว”
อุ๊ก เล่นซะจุก พูดขนาดนี้มึงเอาอีแตะขอบฟ้าที่มึงใส่อยู่มาตบหน้ากูเลยครับน้องดิน
“เอ้า ถึงแล้วครับ “ และนี่คงเป็นอีกครั้งที่นายรวีกานต์รู้สึกตกตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น เขาถูกพาอ้อมมาหลังบ้านตรงที่ เป็นห้องน้ำนั้นถูกกั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมด้วยฝาผนังที่ทำจากไม้ไผ่มาขัดกัน ล้อมทั้งหมดสี่ด้าน พื้นเป็นหินเย็นๆพอเดินเข้าไปดูก็พบแค่โอ่งใบใหญ่กับขัน มีชั้นวางของพลาสติกสำหรับวางพวกแปรงกับสบู่ ด้านในมีม่านพลาสติกกั้นระหว่างห้องส้วมกับห้องอาบน้ำ หลังคาเป็นสังกะสี เหนือหลังคาเป็นต้นไผ่ พอลมพัดเสียงใบไผ่ร่วงหล่นกระทบหลังคาอย่างกับห่าฝน
“รีบๆอาบนะครับ...แถวนี้พอมืดแล้วงูมันเยอะ” เจ้าของเรือนผมสีดำเอ่ย ก่อนจะหันหลังเตรียมจากไป เห็นดังนั้นเดือนจึงรีบร้องเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อน
“เดี๋ยว จะไปแล้วเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ผมจะไปช่วยคุณแม่ทำอาหาร หรือคุณอยากให้ผมอาบน้ำให้กันล่ะครับ”
เด็กเวร!
“ไม่ต้องหรอก ผมแค่จะขอบคุณที่พามาห้องอาบน้ำ”
“เล็กน้อยครับ อาบน้ำให้สนุกนะครับ”
พั่บ
เสียงประตูที่ทำจากไม้ไผ่ปิดลง เหลือแค่เขาโดดเดี่ยวเดียวดายในห้องน้ำ เดือนรีบจัดการล้างหน้าล้างตา จัดการธุระส่วนตัว แล้วเปิดฝาโอ่งจะตักน้ำขึ้นราดตัวแต่ในโอ่งไม่มีขันเสียอย่างนั้น พอหันมองรอบๆก็พบขันพลาสติกสีเขียวแขวนอยู่บนผนังห่างออกไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงเดินไปหยิบขันออกจากที่แขวนของพลาสติกที่ติดอยู่ที่ผนัง
ตั๊บแก
หืม...เดี๋ยวนะ
ตะ ตะ ตะ ตั๊บแก
เดือนว่าเสียงนี้มันคุ้นๆนะ
ชายหนุ่มค่อยๆเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เลื่อนสายตาขึ้นไปที่ผนังเหนือที่แขวนขัน เพื่อสบกับ...ดวงตากลมโตของเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวจุด
ตั๊บแก
นั่นนน ร้องทักทายกูด้วย ฮือออ
นัยน์ตาสีอ่อนเบิกกว้าง ตกใจจนร้องไห้ไม่ออก จะโวยวายก็หาเสียงตัวเองไม่เจอ เขาเกลียดพวกสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว จะจิ้งจก ตุ๊กแก ต่อให้เป็นของปลอมก็ร้องไห้งอแงได้ แล้วนี่มาเจอตัวจริงแบบโคตรชัด
กรี๊ดให้คอหอยแตกจะทันไหม
กลับบ้านเกิดวันเดียวทำไมศักดิ์ศรีความเป็นชายไอ้เดือนมันถึงได้โดยเหยียบย่ำจนไม่เหลือขนาดนี้ อยากจะร้องไห้ดังๆจริงๆ
ร่างสูงใหญ่เหมือนหมีถอยหลังกรูด จนไปชนผนังไม้ไผ่อีกด้าน แต่เสียงร้องสั่นประสาทนั่นกลับดังขึ้นใกล้ๆหู พอหันไปก็พบกับตุ๊กแกตัวจุดอีกตัว แต่ตัวนี้ดูตัวเล็กกว่า สงสัยจะเป็นลูก...แล้วมันใช่เวลามาวิเคราะห์ไหมไอ้รวีกานต์!
“อ๊ากกก ไอ้เหี้ยยย เดี๋ยวๆ ไม่ใช่เหี้ยนี่หว่า นี่ตุ๊กแกกกก อ๊ากกกก” ร่างสูงโวยวาย พยายามจะขยับถอยห่างแต่ขาเจ้ากรรมดันพันกันจนหงายหลังล้มโครม แล้วทันใดนั้นสมองของเขาก็สั่งชัดดาวน์ตัวเองโดยอัตโนมัติ
สิ่งสุดท้ายก่อนที่สติจะโบยบินไป ไอ้เดือนก็คิดขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง
ดูเหมือนว่าสิ่งที่สี่ที่เขาเกลียดในชีวิตนี้คงจะเป็นไอ้เด็กแสบปฐพีนั่นแหละ!
..............
จากที่เขียนมาไม่สงสารเดือนเลยจริงๆค่ะ สะใจ 5555 อย่างที่บอกค่ะ แค่มีเดือนเรื่องก็ไม่เครียดแล้ว(เหรอ?)
ส่วนน้องดินก็...กัดหน้านิ่งค่ะ นิ่งจริงๆ ต้องนั่งให้ใจตัวเองนิ่งถึงจะเขียนน้องดินออกมาได้ อารมณ์ซับซ้อนพอสมควร
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ พบกันตอนหน้าค่ะ จุ๊บ