All I want
“ดีไหม”
ผมมองหิมะขาวโพลนที่หน้าบ้านของไดจิ บ้านเขาอยู่ทางเหนือขึ้นมาหน่อยจากเมืองหลวง ตระกูลของไดจิทำนากับปลูกแอปเปิ้ลเป็นอาชีพหลัก แต่ฤดูนี้เป็นหน้าหนาว ผมเลยอดเห็นสวนแอปเปิ้ลขนาดใหญ่ที่ไดจิชอบอวดอยู่บ่อยๆ
“ดีมากเลยไดจิ” ผมตอบเขา มันดีมากจริงๆนะ ผมอยากมีบ้านบนเขาแบบนี้ ทำงานที่เลี้ยงตัวเองได้แบบนี้ สูดอากาศบริสุทธิ์แบบนี้
“อยากมาอยู่ไหม”
“ก็อยาก”
“ปากก็อยากแต่ใจก็คิดถึงคนที่ไทย” เจ้าของบ้านว่าพร้อมกับยกเบียร์ขึ้นดื่ม
“หืมมม” อาจารย์กานต์ลากเสียงยาวก่อนจะมองหน้าผมแบบอมยิ้ม
เรานั่งกันอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านไดจิที่แยกออกมาจากบ้านพ่อแม่อีกฝั่ง เป็นบ้านทรงโมเดิร์นเล็กๆ แต่ข้างในเต็มไปด้วยเครื่องใช้อำนวยความสะดวกและเป็นสัดเป็นส่วนดีมาก
“ผมเข้าใจ ผมกับไดจิเวลาอยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกันแทบตาย แต่พอห่างกันจริงๆก็คิดถึง” แฟนไดจิพูดขึ้น
ผมยิ้มรับก่อนจะหันไปหาเจ้าของบ้านที่ดูแปลกใจเหมือนกัน
“จริงเหรอ” ไดจิถามแฟนตัวเองเหมือนไม่เชื่อหู
“จริงสิ” พอได้รับคำตอบมาก็ยิ้มหน้าบานน่าหมั่นไส้ ก่อนจะโอบแฟนตัวเองไว้
Thanakorn : ไปเที่ยวไหนบ้าง
ผมก้มมองมือถือที่กำลังสั่น พอเห็นว่าเป็นใครก็รีบกดเข้าไปดู เขาแนบรูปแมวมาสองรูป เป็นรูปที่ดื้อกับซนปีนมุ้งลวดแล้วลงมาไม่ได้
“ยิ้มกว้างเชียว” ไดจิว่า ผมเลยยื่นมือถือให้ดู
“แมวผมครับ”
“แมวตัวใหญ่” ไดจิว่าพร้อมกับขำเสียงดัง ผมที่ไม่เข้าใจเขานักดึงมือถือตัวเองกลับมาแล้วพบว่า เขาถ่ายรูปตัวเองกับแมวมาอีกรูป กันย์กำลังมองกล้อง ส่วนแมวสองตัวนั้นซนจนโฟกัสไม่ได้
“เฮ้ย!” ผมรีบเก็บมันลงก่อนจะหันความสนใจไปที่ของกินบนโต๊ะไม้เตี้ยๆแทน
“โอเคใช่ไหม กับเขา” อาจารย์กานต์ถาม
“ก็...ไม่รู้สิครับ ผมกลัว เขาก็คงกลัวเหมือนกัน”
“แล้วระหว่างไม่ได้อยู่ด้วยกัน กับใช้เวลาด้วยกัน อันไหนดีกว่า” พอโดนถามแบบนั้น ผมก็คิดได้ว่าทำไมถึงไม่ใช้เวลาของเราให้ดีนะ
“ก็อยากอยู่ด้วยกัน” ผมบอก ไดจิถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะบอกบ้าง
“เธอเป็นพวกไม่พูด เดาใจยาก”
“ผมเคยพยายามพูดแล้ว แต่เขาไม่ฟัง”
“ถ้าไม่ฟังก็พูดหลายๆรอบ ถ้าไม่ฟังอีกก็ตะโกนใส่หู” อาจารย์กานต์บอก ไดจิที่นั่งฟังอยู่พยักหน้าตาม
“เขาทำๆ” เจ้าของบ้านว่าพร้อมกับหัวเราะ
“ไดจิก็ไม่ค่อยฟังเหรอครับ”
“มั่นใจในตัวเองมากไง พอพูดไปก็ไม่ฟัง เลยดุ”
“มากกว่าดุอีกที่รัก”
“ทุบ” ผมขำท่าทางของคนทั้งคู่
“ผมเข้าใจว่ามองในมุมตัวเองมันอาจจะเจ็บปวด แต่พอลองมองหลายๆมุม เขาก็คงคิดมากเหมือนกัน” ผมว่า อาจจะเป็นเพราะเบียร์เลยทำให้พูดมากกว่าเดิม หรือไม่ผมก็แค่อึดอัดตัวเอง
“อือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ผมพยักหน้ารับ
“เก่งมาก มาๆ” ไดจิว่าก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้น
“แก้วนี้แด่นาย กันต์ พิสุทธิ์วงศ์ครับ” อาจารย์ว่าบ้าง
“อาจารย์ยังจำชื่อผมได้อีกเหรอครับ”
“ถึงขั้นนี้แล้ว เรียกพี่ก็พอ” ผมรู้นะว่าพวกเขาเห็นผมเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง เลยอดดีใจกับตัวเองไม่ได้ ที่อย่างน้อยในตอนนี้ผมก็มีเพื่อนดีๆที่ต้องรักษาไว้ แล้วผมก็คิดว่า หากมีรักที่ดีแล้วก็ต้องรักษาไว้ให้ดีเหมือนกัน
Kant : คราวหน้า มาเที่ยวด้วยกันนะ
ผมพิมพ์แล้วกดส่งลงไปในโปรแกรมแชท มันขึ้นว่าเขาอ่านแล้วและไม่นานนัก ผมก็ได้ข้อความตอบกลับคืนมา
Tanakorn : ครับ เดี๋ยวจะพาไปที่สวยกว่านั้นอีก
หลายวันที่ผ่านมาผมคิดอยู่หลายเรื่อง รวมถึงเรื่องของฝากด้วย อย่างพวกพี่ๆในแผนกเดิมก็เป็นของกินที่กำลังฮิต ส่วนพี่ปูกับพี่จุ๋มจะมีเครื่องสำอางค์ที่พิเศษขึ้นมาหน่อย ส่วนคนที่คิดไม่ออกจริงๆคือคนที่น่าจะรออยู่ที่บ้าน กันย์น่าจะมีหมดแล้ว เขาคงไม่มีสิ่งที่อยากได้ ผมถึงเลือกพวงกุญแจเล็กๆรูปการ์ตูนที่ผมชอบแทน กะว่าถ้าเขาไม่เอา ผมจะได้เอามาใช้แทน
แปลกนะตอนที่เครื่องบินแตะพื้นที่ประเทศไทยผมกลับตื่นเต้นมากกว่าตอนที่ไปเที่ยวเสียอีก ผมอยากจะกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด ผมคิดถึงแมว และคิดถึงบ้านที่มีเขาอยู่ แต่เพราะรถติดมากไดจิถึงมาส่งผมได้ในตอนเกือบสองทุ่ม
ผมก้าวเท้าออกจากลิฟต์บนชั้น 22 ก่อนจะยืนนิ่งที่หน้าประตู ผมยืนอยู่นานจนกระทั่งประตูบานนั้นเปิดออกเอง
“ทำไมไม่เคาะ ไม่งั้นก็โทรเรียก”
ผมไม่ตอบอะไรเพราะเอาแต่คิดวนอยู่ในหัว ผมไม่กล้าสบตาเขาด้วยซ้ำ มันรู้สึกแปลกไปหมด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้แค่เพียงอาทิตย์เดียวเรายังทะเลาะกันอยู่เลย
“สนุกไหมไปเที่ยว” กันย์ถามพร้อมกับลากกระเป๋าใบโตเข้าไปในห้อง
“อือ สนุก” ผมเดินตามเขาเข้ามาในห้อง
“หิวยัง ซื้อข้าวไว้ให้แต่ไม่...”
ผมเดินไปกอดเขาจากข้างหลังไว้แน่น กันย์ดูตกใจแต่ก็หันมายิ้มให้
“อะไร”
“คิดถึง”
“คิดถึงมากเหมือนกัน” เขาหันกลับมากอดผมแน่น มันอุ่นจนทำให้ผมยิ้มกว้าง
“ที่ผ่านมาขอโทษนะ”
ผมอยากจะรีบบอกทุกอย่างที่คิดมาในเวลาหนึ่งอาทิตย์ ผมซ้อมพูดกับตัวเองมาหลายรอบ ผมแค่อยากพูดให้มันเร็วขึ้นอีกนิด เผื่อเราจะได้อยู่ด้วยกันแบบมีความสุขเพิ่มขึ้นสักวินาทีก็ยังดี
“ขอโทษอะไร” เขาถามก่อนจะคลายอ้อมกอดออก กันย์วางมือไว้ที่เอวผม ปลายจมูกโด่งของเขากดจูบที่แก้มผมซ้ำๆเพื่อบอกว่าเขาคิดถึงจริงๆ
“เรื่องภัทร...ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด”
ผมเงยหน้าขึ้นจูบที่ปลายคางของเขา กันย์ดูงงในตอนแรกแต่ก็ดึงผมลงไปนั่งบนพื้นพรมนุ่ม เรานั่งหันหน้าเข้าหากัน
“กับภัทร ไม่ได้คิดอะไรแล้ว เพราะเรามีความสุขแล้วเลยอยากให้ภัทรมีความสุขบ้าง” ผมบอกเขา
ผมคิดแค่นั้นจริงๆ อย่างที่ผมบอกว่าผมกับภัทรจบกันด้วยดี เราถึงไม่ได้เกลียดกัน และเหตุผลที่ผมกับเขาไม่มีทางเดินต่อไปได้ไม่ใช่แค่เพราะเขามีพันธะ แต่เป็นเพราะผมไม่ได้รักเขาแบบนั้นแล้ว
“ความสุขที่ไม่ต้องยึดติดกับใคร”
เพราะผมเคยคาดหวังและผิดหวัง ผมถึงอยากให้ภัทรมีความสุขได้ด้วยตัวของเขาเอง กันย์ที่ดูใจเย็นลงกว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วลูบแก้มผม
“กันย์ ไม่ไว้ใจกูใช่ไหม” ผมถามในสิ่งที่อยากรู้มานาน กันย์ดูตกใจ ผมคิดไว้ว่าถ้าเขายอมรับผมคงเสียใจแต่เขากลับส่ายหน้า
“ไม่ใช่ กูกลัวต่างหาก เพราะมึงดูไม่มีความสุขเลยที่อยู่กับกู” เขาว่า ผมมองนัยย์ตาเรียวที่แดงก่ำ ก่อนจะรีบบอก
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่” กันย์ดึงผมเข้าไปกอดก่อนจะบอกซ้ำๆ
“อย่าร้อง พอแล้ว”
“กูกลัว กลัวว่ามีความสุขมากๆ ถ้าวันนึงหนึ่งมันหายไป,,,”
กันย์ลูบหัวผมอยู่แบบนั้น เขาจูบที่หน้าผากผมเบาๆ
“กูเองทำให้มึงมั่นใจไม่ได้เลยเหรอ” สุดท้ายเราเองก็เอาแต่โทษตัวเอง
ผมร้องไห้ แต่ครั้งนี้เป็นการร้องไห้ที่มีความสุข ผมซบหน้าลงบนไหล่เขาและจับมือเขาไว้แน่น ผมลูบแหวนบนนิ้วของเขาที่เหมือนกันกับของผม
“ขอโทษเหมือนกัน ที่เอาแต่ใจแล้วไม่ฟังอะไรเลย”
ผมเอียงหน้าซบกับมือใหญ่ก่อนจะยิ้มให้เขา
“ไม่เป็นไร”
“พอหึง เลยทำตัวไม่ค่อยดี” กันย์ว่าก่อนจะยิ้มน้อยๆ ผมเองก็ลืมไปเหมือนกันว่าเขาค่อนข้างขี้หวง เพราะมัวแต่น้อยใจเรื่องอื่น
“ตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น คิดได้ว่าอยากอยู่ด้วยกัน” ผมบอกเขา
“ก็อยู่ด้วยกันแล้วนี่”
“ถ้าอยากย้าย ก็ได้นะ” ผมบอกคนที่อยากย้ายไปอยู่ในที่ๆกว้างกว่านี้ นั่นก็คือห้องของเขาเองที่นานๆได้กลับไปที กันย์จ้องหน้าผม เขาคลี่ยิ้มก่อนจะบอกบ้าง
“กูก็คิดได้เหมือนกัน ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้แค่มีมึงก็พอ” เขาว่า ผมมองใบหูที่แดงจัดของคนแบบเขาแล้วก็ได้แต่ยิ้ม
“ต่อไปนี้ ถ้าพูดอะไรแล้วไม่ฟัง ตีได้เลยนะ” เขาบอกผม ผมนึกถึงคุณชายที่เอาแต่ใจแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เขายอมลดหลายอย่างเพื่อผม ผมก็อยากทำให้เขาบ้าง
“แล้วถ้ากูนิสัยไม่ดี ก็บอกได้นะ” กันย์หัวเราะก่อนที่จะเริ่มพูดบ้าง
“ดื้อให้น้อยลงก็พอแล้ว”
“ดื้อตรงไหน”
“ตรงที่ไม่รู้ตัวว่าดื้อไง”
“เมี๊ยว” เจ้าซนแมวสีขาวที่ผมเห็นนอนหลับอยู่ที่โซฟาในตอนแรกเดินมาเบียดพร้อมกับเลียขนของตัวเอง ผมหัวเราะพร้อมๆกับที่กันย์พูดขึ้น
“คิดว่าเรียกชื่อเหรอดื้อ”
“เมี๊ยว”
“คุณชอบอะไรแบบนี้ด้วยเหรอคะ”
พี่จุ๋มที่เดินมาคุยงานกับคุณธนากรเอ่ยทักที่ห้อยกระเป๋าอันเล็กของเขา ที่เป็นรูปโงกุนสีส้มสดใส กันย์ที่มักจะแต่งตัวด้วยสีขาว เทาและดำแทบจะตลอดเวลามองตรงมาที่ผมก่อนจะหันไปตอบพี่จุ๋ม
“มีคนให้มาครับ”
“พี่ไม่เคยรู้มาก่อนนะเนี้ยว่าคุณเกรงใจจนต้องยอมห้อย ใครให้มาเหรอคะ”
ผมคิดว่าพี่จุ๋มรู้อยู่แล้ว เพียงแค่อยากแหย่คุณธนากรเท่านั้นเอง พอเขาไม่พูดอะไรแต่หันมาหาผมอีกครั้งพี่จุ๋มก็หัวเราะท่าทางเหมือนกำลังสนุก
“วัยรุ่นนี่ดีจังเลยนะคะ” เธอว่าก่อนจะเดินมาที่ผมแล้วนั่งลงตรงข้ามกัน
“น่าจะซื้อคิตตี้มานะน้องกันต์ คงจะน่ารักกว่านี้” ผู้บริหารฝั่งการตลาดพูดพร้อมกับขำ ผมที่ไม่รู้ต้องทำหน้ายังไงยิ้มกว้างให้พี่เขา พอคิดว่าคุณธนากรต้องยอมห้อยคิตตี้แล้วก็ตลกจริงๆ
“คราวหน้านะครับพี่จุ๋ม”
“ได้เลยค่ะ” พี่จุ๋มบอกพร้อมกับหัวเราะ
TBC.
____________________________________________
เรานี่ขยันเนอะ //ผิด 555555555
อีกสามตอนก็จบแล้วค่ะ :] จริงๆที่มาเร็วเพราะไม่อยากค้างไว้ในตอนที่มันหน่วง เพราะหลังจากนี้เราจะหายไปเคลียร์งานสิ้นปีสักพัก แล้ววาร์ปกลับมาตอนหลังปีใหม่ เลยอยากเอาตอนที่มันเคลียร์แล้วมาแปะก่อนค่ะ
สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้านะคะ เที่ยวปีใหม่กันให้สนุกนะฮะ มีสติ อย่าดื่มเยอะ //เหมือนบอกตัวเอง 55555
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ เมรี่เมรี่ คริสมาตด้วย กอดดดด