- ไปค่ายตอนที่สิบ : บุหรี่เป็นเหตุ -
ร้อนโว้ยยยยยยย
ผมพ่นลมหายใจ ปลายนิ้วชี้ก็เกี่ยวไปที่คอเสื้อยืดเพื่อขยับไปมาให้คลายร้อน ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ อีกไม่ถึงชั่วโมงดวงอาทิตย์ที่ทำหน้าที่ของมันมาอย่างขันแข็งตลอดทั้งวันคงถึงเวลาเลือนลับ พาให้บรรยากาศร้อนแบบนี้กลับเย็นสลายขึ้น จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นหรอก แต่เพราะผมถูกใช้แรงงานทั้งวันดังนั้นเหงื่อไคลที่ไหลเต็มใบหน้าและลำคอจึงพาให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่
วันนี้ทั้งวันนอกจากปีสองที่มีเวรทำอาหารแล้ว ชาวค่ายทุกคนก็มาร่วมแรงร่วมใจกันทำงานกลางแจ้งอย่างการขนหิน ดิน ทราย และทำการผสมปูนเพื่อลาดซีเมนท์ไปตามกรอบสนามที่เริ่มทำไปตั้งแต่เมื่อวาน เรียกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ใช้แรงงานจริงๆ
คิดดูสิตอนนี้พวกเราแทบไม่มีเค้าของนิสิตในรั้วมหาลัยชื่อดัง นั่นเพราะแต่ละคนต่างสวมเสื้อแขนยาว ใส่กางเกงขายาวปิดมิดชิด ซ้ำบางคนยังเอาหมวกไอ้โม่งมาสวมหัวกันแดด บ้างก็เอาเสื้อยืดมาใส่คลุมหัวปิดปากปิดจมูก เหลือก็แต่ลูกกะตาชวนตลกขบขัน ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นประกายสดใสในแววตาทุกๆ คู่ ตอนที่ได้มีส่วนร่วมลงแรงช่วยกันทำสนามกีฬาพร้อมกับชาวบ้านบางส่วนที่ว่างจากงานวันนี้
ผมเห็นกลุ่มสาวๆ อย่างพวกแก๊งดอกไม้และรุ่นพี่ปีสามผู้หญิงชวนกันประคองถังที่ตักปูนซึ่งผสมเสร็จแล้วส่งต่อกันไปแถว และให้หัวแถวซึ่งคือบรรดาแก๊งสี่โจรและรุ่นพี่ผู้ชายปีสามช่วยกันเทปูนลงบนพื้นที่ที่เตรียมไว้แล้วเกลี่ยให้เรียบ เราเริ่มทำแบบนี้กันมาตั้งแต่เช้าแล้วจนป่านนี้ยังสำเร็จไปได้ไม่ถึงครึ่งสนามที่กำหนดไว้เลย อย่างว่าล่ะพวกเราเป็นแค่นิสิตนักศึกษาธรรมดาความรู้เรื่องช่างอาจจะไม่ถนัดชัดเจนนักต้องคอยให้ชาวบ้านซึ่งเชี่ยวชาญเป็นคนคอยคุมงานร่วมกับกลุ่มนักศึกษา แต่ถึงอย่างนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดูดีไม่น้อย
มันเป็นงานที่ไม่ถนัดเอาซะเลย ไม่เหมือนการจับปากกาขีดเขียนอยู่ในห้องแอร์
ถึงแม้จะเหนื่อยล้า แต่เพราะมีเพื่อนช่วยกันทำ มันเลยกลายเป็นงานที่ทำแล้วโคตรมีความสุข
ยิ่งช่วงกลางวันกลุ่มชาวบ้านผู้หญิงต่างหิ้วปิ่นโตอาหารที่ทำมาจากบ้านมาแจกจ่ายให้ชาวค่ายเกือบทุกวี่วัน น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่นี่ทำเอาพวกเรายิ้มแก้มปริ ต่อให้ต้องเหนื่อยมากกว่านี้ผมก็เชื่อว่าพวกเราที่มาที่นี่ก็สู้ไม่ถอย และยิ่งเห็นแววตาตื่นเต้นของบรรดาลูกหลานชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อยที่มาวิ่งเล่นให้กำลังใจ บางทีก็คอยป่วนงานพวกเรา แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
ภาพเหล่านั้นทำให้ผมนึกถึงคำพูดๆ ของใครคนหนึ่ง
‘เราจะได้อะไรจากการมาค่าย?’ ผมเผลออมยิ้มแล้วตอบคำถามนั้นในใจ
‘อย่างน้อยก็ได้รอยยิ้มของเด็กๆ ถึงมันจะดูเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่มันกลับทำให้หัวใจผมพองโตอย่างเหลือเชื่อ’ “วันนี้พอแค่นี้นะทุกคน”
เสียงพี่ปิงปองในชุดพรางตัวจนเห็นแต่ลูกกะตาตะโกนขึ้น ทำเอาพวกเราที่เหลือตะโกนเฮเสียงดังลั่นก่อนจะช่วยกันเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย และหลังจากนั้นก็ต่างทยอยกันไปพักผ่อนอิริยาบถตามร่มไม้รอบๆ ข้าง บ้างก็เดินแยกออกไปล้างเนื้อล้างตัว
ผมเองก็นั่งแปะกับพื้นดินตอนที่แผ่นหลังพิงต้นหางนกยูงต้นใหญ่ ข้างๆ กันมีไอ้เบิร์ดที่เพิ่งถอดหมวกออกแล้วเอามาพัดใบหน้าให้คลายร้อน
“ร้อนโคตรๆ”
“อืม วันนี้เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย”
“เออ” ไอ้เบิร์ดพยักหน้าเห็นด้วย “กูเข้าใจความรู้สึกของคนใช้แรงงานเลยว่ะ เขาทนได้ยังไงวะที่ต้องทำงานหนักท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้”
“นั่นสิ”
ผมคิดตาม
“เพราะคำว่าไม่มีไง”
พี่ปิงปองที่นั่งอยู่ไม่ใกล้กันพูดขึ้น ทำเอาผมกับไอ้เบิร์ดชะงักนิ่งคิดตาม
“ไม่มีใครไม่อยากทำงานสบายหรอก ถ้าเลือกได้ทุกคนย่อมเลือกทำงานสบายกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากลำบากทำงานที่เรียกว่ากรรมกรหรืองานของชนชั้นรากหญ้าของสังคมหรอก”
“.........”
นั่นสินะ นอกจากจะต้องเหนื่อยยากลำบากกายบางทีก็โดนดูถูกและรังเกียจเดียดฉันท์จากคนในสังคม คิดดูสิว่าคนเหล่านั้นต้องพยายามอดทนกันแค่ไหน
น่าเห็นใจไม่น้อย!
“บางครั้งพวกเขาต้องถูกมองอย่างดูถูก ถูกกดขี่ ทั้งๆ ที่งานเหล่านั้นแหละเป็นแรงงานสำคัญของประเทศ เป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ทำให้คนที่เรียกตัวเองว่าชนชั้นสูงได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ตึกสูงใหญ่จะสร้างเสร็จได้ยังไงถ้าไม่มีคนงาน แต่ก็นั่นแหละเพราะขาดโอกาสเพราะต้นทุนของชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน”
“พี่พูดแบบนี้ทำเอาผมนึกด่าตัวเองเลยที่มีโอกาสได้เรียน ได้เที่ยว ได้มีโอกาสใช้ชีวิตของตัวเอง และมีภาระหน้าที่รับผิดชอบแค่เรียนเท่านั้นไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรถึงจะมีกินเพราะพ่อแม่หามาให้ แต่บางทียังแอบเกเรเหลวไหล”
ไอ้เบิร์ดพึมพำ
“พี่ไม่ได้จะว่าน้องเบิร์ดนะจ๊ะ” พี่ปิงปองทำเนียนขยับมานั่งชิดไอ้เบิร์ดซึ่งมันก็ไม่ทันเอะใจ “แต่แค่อยากจะชี้ให้พวกเราดู”
“ครับ”
“พวกเรารู้มั้ยว่าจุดประสงค์หลักของทำค่ายอาสาคืออะไร?”
ผมส่ายหน้า
“เพราะอยากมาเติมในสิ่งที่เขาขาดไง” พี่ปิงปองเท้าคางมองไอ้เบิร์ดแล้วทำตาเล็กตาน้อยใส่
“ถ้าการมาค่ายคือการมาเสียสละ ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำให้พวกเขาได้ก็คือเติมเต็มในส่วนที่ขาด ไม่ว่าจะเป็นการเสียสละเวลา แรงงานหรือเงินทอง ซึ่งมันเป็นการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้เขาเท่าที่พวกเราจะให้ได้ตามสมควร มันก็เหมือนเป็นการตอบแทนสังคมวิธีหนึ่งซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ได้ยากลำบากอะไร
เหมือนกับแนวคิดที่ว่าถ้าเรามีเหลือเราควรเผื่อแผ่ให้คนอื่น”
“.........”
“คนที่นี่ไม่ได้เรียกร้องอยากได้อะไรจากพวกเราหรอก เขาแค่ดีใจที่เรามาหา ในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญพวกเขาแค่ปรารถนาอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขตามแบบสังคมทั่วไป แค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเราก็เปรียบเสมือนของขวัญอันล้ำค่าของคนที่นี่แล้ว พวกเราลองมองไปรอบๆ สิ ถ้าเราคิดว่าพวกเขาคือญาติคือพี่น้อง เราจะไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือกันเลย เพราะเราอยู่ร่วมสังคมเหมือนกัน อย่างน้อยเราก็เป็นพี่น้องร่วมแผ่นดินเดียวกัน”
ผมอมยิ้มมองไปรอบๆ เห็นชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่มาช่วยชาวค่ายทำสนามกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอยู่กับพวกแก๊งสี่โจรและรุ่นพี่ปีสามตรงโน้นแล้วเผลอยิ้มออกมา ต่างที่มา ต่างความเชื่อ ต่างฐานะ แต่ในวันนี้เวลานี้เราคือพวกเดียวกัน
.
.
หลังจากนั่งพักกันสักระยะหนึ่ง พอดีรุ่นพี่ปีสองผู้หญิงพากันเอาน้ำมาเสิร์ฟชาวค่ายที่เหลือกันอย่างขะมักเขม้นผมเลยผุดลุกขึ้นแล้วอาสาไปชวนพวกพี่ๆ เขาถือถาด
“ขอบใจจ๊ะ”
พี่บีที่ผมจำได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทพี่กลมยิ้มกว้างให้ผม ส่วนรุ่นพี่ผมเพิ่งเอ่ยถึงเมื่อกี้น่ะเหรอ โน่นเลยไปบริการเสิร์ฟน้ำพี่ไกด์ถึงที่อยู่โน่น นี่ดีว่าไม่จับป้อนใส่ปากให้ด้วย ผมยิ้มขำเมื่อสังเกตสีหน้าพี่ไกด์ที่แสดงออกว่ากำลังเซ็งโลกขนาดไหน
คู่นี้นี่มันมวยถูกคู่จริงๆ
ผมยิ้มขำยกนิ้วโป้งให้พี่กลมที่หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ผม ประหนึ่งว่ากำลังอวดอ้างตัวเองทั้งที่ถูกไกด์โบกหัวแทบหมุนตอนที่พี่แกเอื้อมมือซับผ้าขนหนูไปตามใบหน้าพี่ไกด์ นั่นแหละเลยทำให้มือพี่กลมข้างที่ถือแก้วน้ำกะเท่เร่รดใส่หัวพี่ไกด์เต็มๆ
“ไอ้ห่ากลม”
“ฉิบหาย”
“อยากช่วยกูนักใช่มั้ย” พี่ไกด์สบถท่าทางหัวเสียไม่น้อย “มึงมานี่เลย”
หลังจากนั้นพี่ไกด์ก็วิ่งไล่เตะพี่กลมไปรอบๆ เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาคนแถวนั้น ตอนนั้นเองผมถึงได้มีโอกาสสังเกตว่าบริเวณนั้นขาดหัวหน้าแก๊งสี่โจร ผมขมวดคิ้วนึกเอะใจเพราะเมื่อกี้ยังเห็นไอ้พี่ปืนมันอยู่แถวๆ นั้นนี่หว่า
ผมส่ายหน้าให้กับความสอดรู้ของตัวเอง เหอะ พี่มันจะหายหัวไปไหนก็เรื่องของมันสิวะ จะไปทำตัวเหมือนสโตรกเกอร์ทำไมกัน มึงนี่ก็แปลกเนอะไอ้ห่าแรก เฮ้ย เอาจริงๆ ตั้งแต่วันที่ผมเจอไอ้พี่ปืนหยอกแรงเมื่อวานแม่ง ผลข้างเคียงหลังจากนั้นทำให้รู้สึกว่าตัวเองโคตรจะประหลาดขึ้นหลายเท่า
ผมรู้หรอกว่าพี่ปืนมันมีนิสัยขี้แกล้ง ขี้หยอก แถมยังปากหมาขนาดไหนคิดดูสิว่าตั้งแต่มาอยู่ค่ายนี้ผมถูกมันแกล้งตั้งกี่ครั้ง
‘เหอะ ทีมเมียพี่ปืนงั้นเหรอ’
ผมเบ้ปากพอดีสายตาเหลือบไปเห็นพี่ปืนเดินเคียงคู่พี่เปรี้ยวมาแต่ไกล ผมนิ่งมองภาพนั้นแล้วรู้สึกแปลกๆ ว่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไง ผมเลยสะบัดศีรษะตัวเองแรงๆ แล้วสูดลมหายใจแรงสติตัวเอง อาการผมมันคงประหลาดน่าดู เขมที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนักถึงได้เอ่ยถามผม
“เป็นอะไรรึเปล่าวะแรก”
ผมเหลือบตามองศีรษะมันที่มีพลาสเตอร์ปิดแผลที่ขมับและรอยแผลตกสะเก็ด เห็นสีหน้ามันผ่องใสดีขึ้นมากก็ให้สบายใจ ผมยอมรับว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อมันยังมีตกค้างอยู่ในใจ แต่มันไม่เจ็บปวดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมมองเห็นเขมได้เต็มตาขึ้นด้วยหัวใจที่ค่อยๆ สงบลง
“แรก”
“หือ?”
มันโบกมือไปตามต่อหน้าผม
“มึงโอเครึเปล่า ดูเหม่อๆ นะ”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“กูโอเค แล้วมึงล่ะยังเจ็บแผลอยู่มั้ย”
“ก็นิดหน่อย แต่ดีขึ้นมากแล้ว”
“ดีแล้ว”
ผมยืนมองมันยิ้มๆ
“มองหน้ากูแล้วยิ้มนี่หมายความว่าไง?” มันทำท่ากวนๆ
“ถ้ามองหน้าไม่ได้ กูมองหัวเข่ามึงก็ได้ โว๊ะ!”
เขมมันสะกิดหัวผมเบาๆ
“โอ้ย เจ็บนะโว้ยไอ้ห่าเขม”
“จริงอ่ะ?”
ผมทำงอใส่มันมือก็ลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ
“ไหนของดูส้นตีนหน่อยสิ ”
“นี่หัวโว้ย”
“อ้าวนี่หัวเหรอ นึกว่าส้นตีนเห็นดำคล้ายๆ กัน”
มันหยอกผมเหมือนที่ชอบทำประจำ ผมเลยยกเท้าเตะต้นขามันทีนึง
“ขี้งอนจังนะมึงเนี่ย”
ผมทำตาเขียวใส่มัน เขมเลยเอื้อมมาลูบหัวผม
“โห ทำไมตีนมึงมึงดำจังเลยว่ะ”
“ไอ้ห่าเขม”
ผมยกเท้าใส่มัน แต่ฝ่ายนั้นหัวเราะดังลั่น ทำเอาผมเผลอขำตาม
“เล่นอะไรกัน หัวเราะเสียงดังลั่นเชียว”
พี่เก้าที่เพิ่งเดินมาสมทบทำหน้าทำตาอย่างรู้อยากเห็นได้อย่างน่ารัก ผมต้องยอมรับว่าพี่เก้าเป็นผู้ชายที่หน้าตาน่ารักจริงๆ หน้าก็เล็ก ตางี้โคตรโต ปากนี่ก็บางเฉียบ สมแล้วแหละที่ไอ้เขมมันรักปักใจขนาดนี้ ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากประชดประชันหรืออิจฉา เพราะเมื่อลองเปิดใจมองอย่างไม่อคติเวลาสองคนนี้อยู่ด้วยกันมันก็เหมาะสมกันดี
ผมถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา ไม่ใช่ฝืนยิ้มแบบที่แล้วมา แต่ยิ้มจากใจจริง ต่อจากนี้เป็นต้นไปผมคงมองและรู้สึกกับเขมในฐานะของเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนสนิทที่ไม่มีเปลี่ยนไป เป็นเพื่อนกันแบบที่แล้วว่า เพราะถ้ามองในแง่ของความเป็นเพื่อนแล้ว ทั้งเบิร์ดและเขมต่างเป็นเพื่อนที่ดีของผม ตอนเด็กๆ ผมเป็นผู้ชายที่ตัวเล็กมากเลยมักถูกพวกหัวโจกรังแกประจำ
ทุกครั้งที่มีปัญหาพวกมันมักคอยปกป้องผมเสมอ มีครั้งหนึ่งเบิร์ดเคยท้าชกกับหัวโจกจนหน้าแตกยับ และเขมก็เคยขาดเรียนเพื่อมาเฝ้าผมเวลาที่ป่วยจนนอนซม นั่นเพราะเราเป็นเพื่อนกัน พวกมันถึงทำทุกอย่างเพื่อนผมอย่างถวายหัว เพราะเราดำเนินความสัมพันธ์นี้มานานแสนนาน มันนานจนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว
...และเราจะเป็นเพื่อนกันแบบนี้ตลอดไป...
ความสัมพันธ์แบบเพื่อนนี่แหละที่จะทำให้เราคบกันได้ยาวนานกว่าความสัมพันธ์แบบอื่น ถ้าเป็นคนรักสักวันคงต้องเลิกรา แต่ถ้าเป็นเพื่อนกันเราไม่มีวันเลิกคบกันได้ ต่อให้โกรธหรือทะเลาะกันมากแค่ไหน สุดท้ายเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
...เพื่อนรัก...
“พี่เก้าช่วยผมด้วยไอ้ห่าเขมแม่งแกล้งผม”
ผมทำท่ากลัวๆ วิ่งไปหลบหลังพี่เก้าแต่แอบยื่นหน้ามาล้อเลียนไอ้เขม ซึ่งแน่นอนว่าพี่เก้าไม่ทันเล่ห์ผมหรอกถึงหันไปเอาเรื่องกับมันแทน
“แกล้งอะไรน้องแรกห่ะเขม!”
“ผมเปล่า”
“จริง?”
“ไอ้แรกมันตอแหล”
พี่เก้าฟาดแขนไอ้เขมแรงๆ “นิสัยไม่ดีไปว่าเพื่อนแบบนี้ได้ไง”
“โธ่พี่”
ผมแลบลิ้นใส่มันพอพี่เก้าหันมาก็รีบทำหน้าซื่อตาใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนไอ้เขมมองผมขวางๆ แล้วทำปากขมุบขมิบซึ่งพอจะจับใจความว่ามันด่าผมอยู่แน่นอน
“พี่เก้า ไอ้เขมมันด่าผม”
พูดเสร็จผมก็ชิ่งหนีออกมาก่อนที่ไอ้เพื่อนเลวจะเตะตูดผมทัน พี่เก้าเลยรีบล็อคตัวไอ้เขมไปขำไปจนหน้าดำหน้าแดง ผมรู้ดีว่าเขมไม่ได้โกรธผมเลย ไม่งั้นมันคงไม่ยิ้มให้ผมแบบนั้น ผมมองภาพนั้นแล้วยิ้มออกมากว้างๆ เป็นยิ้มแรกที่บอกตัวเองว่าเต็มใจที่จะยิ้มให้คนทั้งคู่
...อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน...**********************************************
ผมเกลียดกลิ่นบุหรี่
ผมไม่ชอบคนสูบบุหรี่
และยิ่งเกลียดมากๆ ตอนที่ควันบุหรี่ลอยอยู่ใกล้ๆ ตัวผมแบบนี้
ผมตาขวางใส่ไอ้ห่าพี่ปืนที่มันกวักมือเรียกให้ผมไปเสิร์ฟน้ำมันถึงที่ นั่นแหละผมถึงต้องเดินมามันที่หลบมายืนสูบบุหรี่ห่างจากผู้คน พอมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นพี่เปรี้ยวอยู่แถวนี้แล้ว ซ้ำแก๊งสี่โจรที่เหลือก็ไปไหนก็หมดไม่รู้ เหลือหัวหน้าแก๊งที่ยืนโพสท่านายแบบคาบบุหรี่คาปากอยู่นี่แหละ เอาตรงๆ นะ ถ้าตัดบุหรี่ในมือพี่มันและกลิ่นเหม็นที่ผมโคตรเกลียดออก ให้ตายเถอะเวลาที่พี่ปืนยืนกอดอกเงยหน้ามองท้องฟ้าชิวๆ แบบนี้มันเทห์ฉิบหาย ไอ้ห่าเอ้ย ผมทำหน้าง้ำนึกสมเพชเวทนาตัวเองตอนที่เปรียบเทียบร่างกายตัวเองกับคนตรงหน้า
“เป็นอะไร?”
“เหม็น”
พี่ปืนชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะคีบบุหรี่เบี่ยงหลบไปไว้ด้านหลัง ถึงอย่างนั้นกลิ่นมันก็ยังอบอวลอยู่ดี ผมเลยย่นจมูกใส่พี่มัน ถึงแม้จะพอรู้มาบ้างว่าแก๊งสี่โจรนี่มันสิงห์รมควันกันทั้งนั้น แต่เท่าที่สังเกตมันไม่ถึงกับติดบุหรี่หรอก นานๆ ครั้งพวกพี่มันจะสูบกันสักที และเวลาที่พี่มันสูบก็มักจะไปหลบมุมห่างไกลจากผู้อื่น ยิ่งถ้าวันไหนมีเด็กชาวบ้านมาที่ค่าย ผมแทบไม่เห็นพี่มันสูบกันเลย
“เหม็นมากเหรอ”
ผมย่นจมูกแทนคำตอบ พี่ปืนเลยทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วขยี้ให้มันดับก่อนจะโบกมือไล่ควันรอบกายผม
“ผมถามจริงนะพี่?”
พี่ปืนเลิกคิ้วเป็นคำถาม
“มันอร่อยนักเหรอวะ เห็นสูบกันจัง เหม็นก็เหม็น”
พี่ปืนกดยิ้มมุมปากท่าทางขบขัน
“สมองมันโล่งดี”
“เหอะ สูบเข้าไปได้มีแต่มะเร็งทั้งนั้น”
“ทำไงได้มันติดแล้วนี่หว่า”
“ติดได้ก็เลิกได้”
ผมขัดใจนิดๆ เมื่อพี่มันกอดอกไหวไหล่ฟังผม ท่าทางเหมือนจะเชื่อฟังแต่แววตาพราวระยับดูขบขันผมมากกว่า
“เลิกยากว่ะ”
“ยากตรงไหนก็แค่ไม่สูบ”
“อยากให้กูเลิก?”
ถามเฉยๆ ก็ได้มั้งยิ้มทำห่าอะไรล่ะ ผมเสหน้าหรุบตามองพื้น
“ก็...ก็ดีต่อสุขภาพตัวพี่เองไม่ใช่เหรอวะ”
พี่ปืนยิ้มๆ ก่อนจะจ้องหน้าผมตรงๆ “ไหนมึงลองบอกวิธีการเลิกบุหรี่ให้กูฟังหน่อยสิ”
ผมอ้าปากพะงาบๆ แต่เห็นแววตาของพี่มันแล้วนึกฮึดอยากเอาชนะมันมากพูดตรงๆ
“ก็”
“ฟังอยู่”
“ผมเคยอ่านเจอมาว่าถ้าอยากสูบบุหรี่ให้เคี้ยวหมากฝรั่งแทน มันจะช่วยได้นะถึงมันจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่มันทำให้เลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น”
“อ่าห่ะ”
“ผมว่าถ้าพี่อยากสูบจริงๆ เปลี่ยนมาเคี้ยวหมากฝรั่งไม่ดีกว่าเหรอ”
“อะไร?”
ผมทำหน้างงมองกระเป๋าตังของพี่ปืนที่ยื่นมาให้ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ฝากซื้อหมากฝรั่งหน่อย”
“เรื่อง?”
“กูมีทิปให้”
ผมทำตาโตรีบคว้ากระเป๋าตังพี่มันทันที
“แล้วเงิน?”
“ในกระเป๋า”
ผมหรี่ตามองเงินในกระเป๋ามันเห็นใบสีเทาๆ สี่ห้าใบอยู่ในนั้นก็ถึงกับตาลุก โอ้โห ลาภลอยชัดๆ อารามโลภมากผมเลยยิ้มกริ่มเดินรี่ไปร้านค้าข้างโรงเรียนอย่างไว ลืมแม้กระทั่งถามพี่ปืนว่ามันจะเอาแบบไหน ซ้ำไม่เอะใจด้วยซ้ำว่าคนอะไรฝากกระเป๋าตังให้คนอื่นถือแทนเงินสดออกมาหน้าตาเฉย
ตอนจะจ่ายเงินนั่นแหละผมถึงมีโอกาสเปิดกระเป๋าตังพี่มัน เชี่ยเอ้ย นี่มันเศรษฐีตัวเอ้เลยรึเปล่าวะ เพราะนอกแบงค์เทาที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ ยังมีบัตรเครดิตและเอทีเอ็มอีกหลายใบในกระเป๋า นอกนั้นก็เป็นบัตรส่วนลดร้านเกมซึ่งมีเยอะมาก เห็นบัตรประชาชนมันแวบๆ แต่ถ้าผมรื้อขึ้นมาดูเกิดมันจับได้ว่าไปยุ่งย่ามในกระเป๋ามัน ผมตายห่าแน่เลยปล่อยผ่านมันไป
อวดรวยนักใช่มั้ย!
ผมตาวาวเหลือบตามองไปที่ตู้ไอติมก่อนจะชะโงกหน้าดูของหวานดับร้อนแล้วยิ้มเผล่ให้แม่ค้า
“เหมาดีโด้หมดกล่องนี่เลยครับ”
.
.
ผมเหมาดีโด้แบบหลอดที่แช่แข็งมากล่องใหญ่ พอมาถึงก็เดินไปแจกจ่ายคนทั้งค่าย พวกนั้นมองอย่างงงๆ ผมเลยบอกไปว่า
“พี่ปืนให้เอามาแจกครับ”
ทุกคนหมดความสงสัยต่างมารุมทึ้งกันใหญ่
ยกเว้นก็แต่...
“แปลกๆ นะ”
ไอ้หมวยเปิดประเด็นคนแรก
“นั่นสิ”
“เมื่อกี้มึงไปร้านค้ามาเหรอ?”
“อือ” ผมพยักหน้าตอบแล้วเพลินปากพูดต่อ “ไปซื้อหมากฝรั่งให้พี่ปืน”
“หือ?”
ไอ้แก๊งดอกไม้พุ่งสายตามากดดันผมจนรู้สึกหนาวๆ ผมเลยพยายามซ่อนพิรุธด้วยการเนียนๆ เอากระเป๋าตังสีดำของพี่ปืนหลบไว้ด้านหลัง แต่นั่นแหละเพราะลุกรี้ลุกรนจนเกินไปสุดท้ายมันก็ไม่พ้นไปจากการจับผิดของแก๊งดอกไม้อยู่ดี
“อะไรอยู่ข้างหลังมึง”
“เปล๊า”
“เสียงสูงไป”
ไอ้หมวยพูดยิ้มๆ แต่สีหน้ามันนี่สิโคตรเจ้าเล่ห์
“เปล่า”
คราวนี้ผมทำเสียงต่ำแบบสุดๆ ทำเอาพวกมันสามตัวขำก๊าก ก่อนที่พวกมันจะให้สัญญาณกันแล้วพุ่งมาชิงของกลางจากหลังผม
“เชี่ย”
“กระเป๋าตัง?”
“......”
“ไม่ใช่ของมึงนี่ แล้วของใคร”
ไม่แปลกที่มันจะรู้ว่าไม่ใช่ของผมก็ในเมื่อพวกมันสอดรู้สอดเห็นขนาดนี้
“มึงไปขโมยกระเป๋าใครมาวะ”
“กูเปล่า”
“มึงขโมยเงินไปซื้อดีโด้มาแจกพวกเราเหรอ”
“ไม่ใช่โว้ย”
“ของใคร?”
“ก็กูบอกว่าไปซื้อหมากฝรั่งให้พี่ปืนไง”
“ของพี่ปืนงั้นเหรอ?” พวกมันหรี่ตามองผม
“เออะ เออ”
“แล้วกระเป๋าตังพี่ปืนมาอยู่ที่มึงได้ไง”
“ก็”
ขณะที่ผมกำลังตกที่นั่งลำบาก เป็นจังหวะที่พี่ปืนเดินมาทางนี้พอดีผมเลยคว้ากระเป๋าตังค์ใบนั้นคืนมาแล้ววิ่งฉิวไปคืนเจ้าของโดยไว แต่ยังไม่ทันถึงตัวพี่มันพวกมารทั้งสามก็ตามมาติดๆ ผมเลยเบรกจนตัวโก่งรีบซุกกระเป๋าตังไว้ด้านหลังแล้วยิ้มเจื่อน
“พี่ปืนคะ” ไอ้หมวยขยับแว่นท่าทางเจ้าเล่ห์
“ครับ?”
“พวกเราขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ”
“เอาสิ”
“พี่ว่ากระเป๋าตังเป็นของสำคัญมั้ยคะ”
พี่ปืนทำหน้างงก่อนจะตอบ ก่อนจะเหล่ตามาทางผมแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก นั่นแหละในหัวผมถึงได้ยินเสียงกระซิบว่า ‘ความฉิบหายกำลังจะมาเยือน’
“ก็สำคัญนะถ้าจะใช้เงิน”
“แล้วปกติพี่เคยฝากของแบบนั้นกับใครมั้ยคะ”
“ไม่ครับ”
“งั้นเหรอคะ” สามสาวมองหน้าผมแล้วแสยะยิ้ม
“นอกจากครอบครัวแล้วพี่ปืนคิดว่าใครควรได้ถือกระเป๋าตังพี่”
พี่ปืนทำหน้าคิดๆ
“นอกจากแม่ ก็คงเป็น ‘เมีย’ ละมั้ง” ไอ้สัด!
ผมใจกระตุกวาบ หน้านี่ร้อนผ่าวๆ รู้สึกว่ากระเป๋าตังในมือเปรียบเหมือนของร้อน ขณะที่ผมอ้าปากค้าง พวกสาวๆ นั่นก็พากันขำคิกแล้วเดินจากไปแบบสมใจอะไรสักอย่าง
“หมากฝรั่งที่กูฝากซื้อล่ะ”
ผมสะดุ้งโหยงรีบโยนหมากฝรั่งและกระเป๋าตังค์ในมือคืนพี่ปืนราวกับว่ากำลังจับต้องของร้อน
“ไม่อยากถือแล้วเหรอ?”
ไอ้ ไอ้เหี้ย!!!
พี่ปืนกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วก้มสำรวจเงินในกระเป๋า ผมหน้าเจื่อนตอนที่พี่ปืนนิ่งไปเพราะพี่มันรู้แน่ว่าเงินหายไปไม่น้อย แต่พี่ปืนไม่พูดอะไร มันแค่ยิ้มขำๆ ก่อนจะยักไหล่เดินชิวๆ จากไป
ผมยืนนิ่งรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังหูดับ รู้เลยตอนนี้ตัวเองหน้าแดงขนาดไหน จนกระทั่งได้ยินเสียงเล็กๆ ของแก๊งดอกไม้ดังมาตามสายลมที่ว่า
“เป็นเมียเขาเหรอ ถึงไปใช้เงินพี่เขาน่ะ” เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“นอกจากแม่ ก็คงเป็น ‘เมีย’ ละมั้ง” เมีย!!เมีย!!เมีย!! คำๆ นั้นดังก้องอยู่ในหัวจนรู้สึกว่าตัวเองหน้าไหม้
เมียพ่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ตึก!
ตึก!
ตึก!
หยุดเต้นแรงขนาดนี้สักทีสิโว้ยหัวใจกู ฮือออออออ
สวัสดีวันแรงงานค่ะ ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆนะคะ
หวีดในทวิตติด #ค่ายสร้างรัก และ #ทีมเมียพี่ปืน
ปล.พี่ปืนฝากถามว่า เป็นเมียพี่เหรอถึงเม้นท์อ่ะ 5555555555+++ (เม้นท์รัวๆๆๆ เลยสิคะรออะไร)