(มีต่อค่ะ)
สำหรับบางคน...ใช้เวลาไม่นานความเป็นเพื่อนก็ยิ่งแน่นแฟ้น ในขณะที่บางคน...แม้เวลาจะผ่านไปเกือบครึ่งปี แต่เพราะมีเหตุผลบางประการทำให้ต้องรักษาพื้นที่รอบ ๆ ตัวเองอย่างคงเส้นคงวา จนไม่มีใครสามารถก้าวข้ามเส้นบาง ๆ ที่ขีดคั่นกลางเพื่อไปทำความรู้จักกันให้มากขึ้นได้ และสำหรับพายุพัด เหตุผลบางประการที่ทำให้เขาต้องสร้างประการป้องกันตัวเองจากความสนิทชิดเชื้อที่เพื่อน ๆ ร่วมชั้นพร้อมจะมอบให้ก็คือความต้องการที่จะพาตัวเองไปเรียนต่อยังโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านกีฬาในกรุงเทพฯ และนี่ก็คือวิธีการตัดไฟแต่ต้นลมของเขา
มือหนาจับเมาส์คลิกบนไฮเปอร์เท็กซ์ซึ่งนำไปสู่รายละเอียดของการแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ประเทศไทยบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตาคมกวาดมองทีละบรรทัดก่อนจะสั่งพิมพ์ เมื่อกระดาษ 2-3 แผ่นเลื่อนออกจากเครื่องพิมพ์ พายุพัดก็เดินไปจ่ายเงิน รับกระดาษเหล่านั้นใส่ในกระเป๋าหนังสือก่อนจะเดินออกจากร้านถ่ายเอกสารซึ่งตั้งอยู่ข้างโรงอาหาร
“พาย!”
เจ้าของชื่อหันไปมองและพบว่าคนเรียกกำลังเดินตรงเข้ามาอย่างรีบร้อน
“มีอะไรเหรอ”
“ช่วยอะไรสิหน่อยได้ไหม” สิชลกระซิบกระซาบ
“ได้ สิจะให้เราทำอะไรล่ะ”
“ช่วยถือกระเป๋าให้สิหน่อย” พูดจบเธอก็ยื่นกระเป๋าให้ “เดินไปกับสิจนถึงหน้าโรงเรียนเลยนะ”
พายุพัดพยักหน้าพลางรับกระเป๋านักเรียนของอีกฝ่ายมาถือไว้จากนั้นก็เดินเคียงคู่กันไป
“มีอะไรหรือเปล่า”
“รำคาญพี่สิทธิ์น่ะ ตามอยู่ได้”
“แล้วทำไมไม่พูดกับเขาไปตรง ๆ ล่ะ”
“ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบใคร พูดกันง่าย ๆ ก็ดีสิ พายจะให้สิเดินเข้าไปแล้วบอกว่า ‘สิไม่ได้ชอบพี่ เลิกยุ่งกับสิสักที สิรำคาญ’ แบบนี้น่ะเหรอ”
“ก็อยากพูดอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“มาก”
“แล้วทำไมไม่พูดล่ะ”
“สงสารเขา เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่ทำตัวน่ารำคาญไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“ถ้าไม่พูดแล้วจะเอายังไงต่อไป”
“สิมีวิธีของสิ” สาวน้อยยักคิ้วพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย
“วิธีอะไร”
“มันต้องตัดไฟแต่ต้นลม สิจะบอกเขาว่าสิมีแฟนแล้ว พายว่าดีไหม”
“แล้วจริง ๆ มีหรือเปล่า” พายุพัดถามซื่อ ๆ
“ไม่มีไง”
“แล้วเอาใครมาเป็นแฟนไปหลอกเขา”
“ก็พายไง” สิชลยิ้มกว้างก่อนจะเกาะแขนอีกฝ่ายแน่น เท่านั้นพายุพัดก็รู้ชะตากรรมตัวเอง...
“ไหนมันบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกับสิไงวะ” ภาณุกล่าวอย่างอารมณ์เสียพลางง้างเท้าหวดเข้าเต็มแรงเพื่อส่งบอลที่เพิ่งตกลงกลางวงคืนสนาม ดวงตาจับจ้องไปยังสองคนที่เดินเคียงกันไปจนถึงประตูโรงเรียน
“ไม่เป็นแฟนกันสิแปลก สนิทกันขนาดนั้น” อวัศย์เอ่ยขึ้น รอจนเพื่อนกลับมานั่งที่โต๊ะจึงกล่าวต่อ “ใคร ๆ เขาก็พูดกันว่าพายกับสิน่ะเป็นแฟนกัน ไม่เห็นเหรอว่าพอเริ่มเปิดตัวไอ้พี่สิทธิ์ม.ห้าก็หายหัวกบาลไปเลย”
“แล้วทำไมมันต้องโกหกพวกเราด้วย”
“ไม่รู้โว้ย” อวัศย์เกาหัว “แต่จะว่าไปไอ้พายมันก็ไม่จำเป็นต้องบอกพวกเรานี่หว่า มันนับเราเป็นเพื่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เออจริง กินข้าวด้วยกันมาเทอมหนึ่งแล้วยังรู้สึกเข้าไปไม่ถึงมันสักที จะโลกส่วนตัวสูงไปไหน”
“แต่ก็อย่าไปสนใจเลยว่ะ อันที่จริงพายมันก็ไม่ได้มีพิษภัยอะไรอะไรหรอก พวกเราอาจจะเข้าไม่ถึงก็เท่านั้นเอง”
“มันก็ใช่” ภาณุพึมพำคล้ายจะเห็นตาม แต่ก็นึกได้เมื่อย้อนกลับไปดูภาพบาดตาบาดใจ “เฮ้ย! เริ่มไม่ใช่แล้ว”
“เอาน่า...ไม่เป็นไรนะ ถึงจะอกหักก็ยังมีเพื่อนรักอยู่ตรงนี้ มา ๆ ทำโจทย์ข้อนี้ต่อ” พูดจบอวัศย์ก็วาดแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อน
“ใคร? ใครเพื่อนรัก” ภาณุเหล่ตามองคนข้าง ๆ
“ก็เราไง”
“อย่ามาสำคัญตัวเองครับคุณหมอก เพื่อนรักของผมอยู่นี่” ว่าแล้วก็ขยับไปนั่งคู่กับนคินทรพร้อมกับโอบไหล่อีกฝ่าย “ม่อน...ช่วยเราด้วย”
“จะให้ช่วยอะไร” เจ้าของชื่อกล่าวเรียบ ๆ ทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาแก้โจทย์คณิตศาสตร์
“ช่วยตัดไฟแต่ต้นลมไง ไปกันไอ้พายออกจากสิให้หน่อย นะ ๆ”
“เราจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง”
“ทำได้สิ นายไปช่วยมันทำอัฒจันทร์กีฬาสีแทนเรา ส่วนเราจะไปเป็นรามสูรแทนนาย”
“เฮ้ย! ขืนทำแบบนั้นสิได้มาต่อว่าเราแน่ อีกอย่าง...นายไม่ใช่หรือไงที่ไปบอกพี่ประธานสีว่าเราเคยเรียนโขนตอนเด็ก ๆ เขาถึงจับเราไปรำคู่กับสิ”
“มันก็มีเหตุขัดข้องให้ต้องยกเลิกบ้างไหมล่ะ”
“แต่เราไม่มีนี่”
“ก็พูดอยู่นี่ไงว่าแลกกัน ตอนนั้นพี่เขาจะให้เรารำ แต่เราไม่รู้นี่ว่าจะได้รำคู่กับสิ เรารำไม่เป็นก็เลยปฏิเสธไป ถ้ารู้ละก็...เรารับปากไปแล้ว ”
“ตอนนี้รำเป็นแล้วหรือไง” นคินทรเงยหน้าขึ้นถาม
“เห็นนายซ้อมทุกวันก็ดูไม่ยากนี่ นายเองก็เพิ่งเริ่มซ้อมได้ไม่นาน กว่าจะถึงงานกีฬาสีก็อีกตั้งเดือนกว่า นะ ๆ ม่อนนะ”
“ไม่ได้” นคินทรเสียงแข็ง
“แค่นี้เอง ช่วยเพื่อนหน่อยนะม่อนนะ” ภาณุทำเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ไม่ได้จริง ๆ”
เมื่อเห็นนคินทรยังยืนกรานเช่นเดิมซึ่งผิดวิสัยของคนหัวอ่อน ภาณุจึงถามถึงเหตุผล
“ทำไมวะ”
“เพราะมันสำคัญกับเรามาก ๆ”
ได้ฟังน้ำเสียงและเห็นแววตาจริงจังของเพื่อนให้รู้สึกใจหายแปลก ๆ กระนั้นภาณุก็ยังไม่หยุดรบเร้า “ถ้าไม่แลก นายก็ไปช่วยเราทำอัฒจันทร์ด้วย นายหาจังหวะกันไอ้พายไว้ เราเองก็จะหาโอกาสไปทำคะแนน นะม่อนนะ นะ ๆ ตกลงนะ”
“ติวต่อเถอะหมอก” นคินทรเลือกกล่าวกับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแทนการตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอเมื่อครู่
แม้จะไม่ได้ตกปากรับคำด้วยวาจา แต่การเงียบของอีกฝ่ายก็ทำให้คนที่สนิทสนมกันมานานอย่างภาณุแจ้งแก่ใจว่าคนใจอ่อนอย่างนคินทรมิได้ปฏิเสธคำร้องขอของตน
....
นคินทรถอนหายใจแรง ๆ ขณะเดินออกจากห้องนาฏศิลป์ แม้จะไม่ยอมรับข้อเสนอของภาณุ แต่สุดท้ายความเป็นเพื่อนก็ทำให้เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปบอกประธานสีรวมถึงเพื่อน ๆ ที่ร่วมซ้อมรำในพิธีเปิดกีฬาสีว่าตนเองจะขอสละสิทธิ์ หากแต่คำขอนั้นไม่สัมฤทธิ์ผลเนื่องจากไม่มีใครเห็นด้วย ต่างคนต่างลงความเห็นกึ่งขอร้องให้เขาทำหน้าที่ต่อ เนื่องจากทุกคนได้เริ่มต้นซักซ้อมจนเข้าขากันดีมาตั้งแต่ช่วงก่อนเปิดภาคเรียนที่ 2 แล้ว
“ม่อน อย่าเพิ่งไป รอสิก่อน” สิชลเอ่ยขึ้น ถือกระเป๋าเดินตามออกมาจากห้อง เธอรีบสวมรองเท้าก่อนจะก้าวมาหยุดตรงหน้าของชายหนุ่มที่สูงกว่าตนเองอยู่มาก
“สิมีอะไรเหรอ”
“ทำไมม่อนถึงจะถอนตัวล่ะ หรือว่าสิทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า ถ้าม่อนลำบากใจ สิจะช่วยพูดกับพี่ ๆ เขาให้”
“เฮ้ย! เปล่าเลย” นคินทรรู้สึกตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาฝืนยิ้มกว้างให้คู่สนทนาสบายใจพลางส่ายหน้าช้า “ไม่เกี่ยวกับสิเลย แต่เราคิดว่ามีคนที่เหมาะกว่าเรา”
“ฉายใช่ไหม”
“จริง ๆ คนที่พี่เขาเลือกตั้งแต่แรกคือฉาย”
“แต่ฉายเองนี่นาที่เป็นคนเสนอม่อน เพราะฉายน่ะนึกถึงแต่ตัวเอง ตัวเองไม่อยากทำก็โยนให้เพื่อน” สิชลว่า เวลาหนึ่ง เทอมทำให้เธอสามารถมองคนรอบ ๆ ตัวได้ทะลุปรุโปร่งในระดับหนึ่ง
“อย่าไปว่าฉายเลย เพื่อนกันทั้งนั้น”
“สิไม่รู้หรอกว่าม่อนกับฉายไปตกลงอะไรกันมา แต่สิอยากบอกม่อนนะว่าสิอยากเป็นเมขลาแล้วมีม่อนรำเป็นรามสูรคู่กัน”
“เราเข้าใจแล้ว” นคินทรกล่าวด้วยความรู้สึกยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง เขารู้ดีกว่าการแข็งขืนยืนกรานไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ เพราะอย่างไรก็ต้องรับฟังเสียงของคนรอบข้าง รวมถึงต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าเห็นแก่พวกพ้อง “ขอโทษนะที่ทำให้สิต้องคิดมาก”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เราพอจะเข้าใจความรู้สึกของม่อน แต่ม่อนต้องอย่ายอมฉายมากนะ ต้องแข็งบ้างไม่อย่างนั้นฉายจะเคยตัว”
“อื้อ”
“อื้อแล้วต้องทำด้วย ถ้าฉายมาเอาเปรียบม่อนแล้วไม่พูด สิจะเป็นคนไปพูดกับฉายเอง”
“รู้แล้ว ๆ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” นคินทรยิ้ม
“แล้วเดี๋ยวม่อนจะไปช่วยเพื่อนทำอัฒจันทร์หรือเปล่า”
“ก็ว่าจะไปนะ”
“ถ้าอย่างนั้นสิไปด้วย สิกำลังจะไปหาพายอยู่พอดี”
ทั้งคู่เดินลงจากอาคาร เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์จวนลับขอบฟ้า ไฟทางเดินและที่รอบ ๆ สนามถูกเปิดขึ้นเพื่อให้ความสว่างแก่หลาย ๆ คนที่กำลังซ้อมกีฬา ซ้อมการแสดง และกลุ่มที่ช่วยกันตกแต่งอัฒจันทร์
“พาย”
เสียงเจื้อยแจ้วเรียกสายตาสองคู่ให้จับจ้องไปยังสาวน้อยร่างเล็กในชุดนักเรียนที่กำลังเดินเข้ามา ยิ้มสดใสของเธอทำให้บางคนสดชื่นได้พอ ๆ กับน้ำดื่มที่เธอมักถือติดไม้ติดมือมาด้วย
“พักกินน้ำก่อน สิซื้อน้ำมาฝาก” พูดจบก็หยิบขวดน้ำหวานออกจากถุงแล้วยื่นให้
พายุพัดวางมือจากการผูกลวดกับโครงไม้เพื่อยึดผืนผ้าใบสำหรับกันแดดเหนืออัฒจันทร์ กล่าวขอบคุณแล้วรับมาเปิดดื่มพลางเลื่อนสายตาไปยังคนที่เพิ่งเดินมาหยุด
“ไม่มีของเราบ้างเหรอ” ภาณุกล่าวขณะก้าวลงจากอัฒจันทร์
“ฉายก็ทำอัฒจันทร์ด้วยเหรอ ปกติสิเห็นไปป้วนเปี้ยนแถวห้องนาฏศิลป์”
“เราก็มาช่วยทำเกือบทุกวันนะ ขืนไม่มาอาจารย์เมธีคงไม่ให้คะแนนกิจกรรมชมรมแน่ ๆ เฮ้อ...หิวน้ำจัง”
“เรามีนะ กินมั้ย” นคินทรกำลังจะดึงขวดน้ำออกจากเป้ อีกฝ่ายก็ขัดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก เราอยากกินแบบพายน่ะ สิไปซื้อจากไหนเหรอ ยี่ห้อนี้เราชอบมากเลยแต่หากินยากจัง”
“สิซื้อจากร้านฝั่งตรงข้ามโรงเรียนน่ะ ถ้าฉายอยากกินเดี๋ยวสิเดินไปซื้อให้ก็ได้”
“สิ เดี๋ยวเราไปเอง” นคินทรเสนอ
“ไม่เป็นไรจ้ะ” สิชลกล่าวขณะดึงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ “แม่สิออกจากที่ทำงานแล้ว สิต้องออกไปรอที่หน้าโรงเรียนแล้วละ ถ้าอย่างนั้นฉายเดินไปพร้อมกับสิก็ได้ เดี๋ยวสิชี้ให้ดูว่าร้านไหน”
ภาณุรีบพยักหน้า
“นายอยู่นี่ช่วยไอ้พายมันทำงานเถอะ เดี๋ยวเราเดินไปกับสิก็ได้” พูดจบก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินไปโอบไหล่เพื่อนรักพร้อมกับกระซิบเบา ๆ “ฝากด้วยนะเพื่อน” จากนั้นจึงเดินตามสิชลไป
นคินทรมองสองคนที่เดินคู่กันไป ในที่สุดเขาก็ต้องละสายตาเมื่อได้ยินประโยคหนึ่ง
“หน้าที่ของฉาย ไม่เห็นต้องมาทำแทนเลย”
“ไม่เกี่ยวกับฉายนี่ เราแค่อยากมาช่วย หมอกก็มาทำ คนอื่น ๆ ในห้องก็มา”
“เพราะมันเป็นหน้าที่ของพวกนั้นไง เราแบ่งหน้าที่กันแล้ว นายเองก็มีหน้าที่ของนาย”
“ก็วันนี้หน้าที่เราหมดแล้วนี่ เราก็เลยมาช่วยทำอัฒจันทร์ เมื่อวันก่อนสิก็มาเพราะห้องสิกับห้องเราอยู่สีเดียวกัน”
พายุพัดขี้เกียจเถียง เขาพรูลมหายใจพลางมองคนที่กำลังปลดเป้ลงวางกับพื้นหญ้า
“ถึงเราจะเล่นบาสไม่เป็น ดูเป็นตัวถ่วงจนนายไม่อยากจับคู่ด้วย ถึงจะอยู่ชมรมห้องสมุดที่วัน ๆ เอาแต่จัดหนังสือ แต่เราก็ระบายสีเป็นนะ” พูดจบนคินทรก็เดินไปหยิบอุปกรณ์ผสมสีสำหรับระบายป้ายที่ทำค้างไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนไม่ทันฟังถ้อยคำที่หลุดจากริมฝีปากของอีกคน
“ไปกันใหญ่แล้ว”
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
สวัสดีค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ที่ยังคิดถึงกันนะคะ
อย่างที่บอกว่าเราก็คิดถึงทุกคนเหมือนกัน คิดถึงบรรยากาศตอนที่ลงนิยายครั้งแรก
ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ คิดว่าจะมีคนอ่านหรือเปล่า เห็นว่ามีคนอ่านค่อยใจชื้น ขอบคุณทุก ๆ คอมเม้นต์ค่ะ
จากที่ห่างหายไปนานกลับมาเขียนคราวนี้รู้สึกว่ายังฝืด ๆ ติด ๆ ขัด ๆ หลายอย่าง เหมือนสนิมจะจับ
ยังไงก็จะพยายามให้มาก ๆ ค่ะ