@@@ แจ้งข่าว....ดี!!!!การจัดรวมเล่มไตรภาคย์งานเขียนเรื่อง
ตะเกียงพิเศษ...จอมใจนักเลง...เหยี่ยวหัวใจ เป็นบล๊อคเซ็ทรวมไตรภาคย์ทั้งหมดสามเรื่อง เปิดจองได้แล้วค่ะ
แต่!..ยังไม่เปิดโอน จะเปิดโอน มีเลื่อนเป็นกลางเดือนมกรา ปีหน้า ที่แจ้งให้จองก่อน เพราะท่านที่ลงชื่อจอง 150 คนแรก ตอนเปิดโอนท่านยังยืนยันการโอนสั่งซื้อ
ท่านจะได้รับหนังสือแถมเรื่อง 'เทพพิทักษ์ขุนทัพ' ฟรี!..อีกหนึ่งเรื่อง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องนี้
สนใจส่งเมลล์ มาจองได้ที่
luxilove_19690 แอท hotmail ดอท Com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปส่วนท่านที่สนใจเฉพาะเรื่องไม่เอาเป็นไตรภาคย์ ไม่ต้องถามนะคะว่าแยกซื้อได้ไหม ได้อยู่แล้วคะ
ตอนนี้แค่เปิดจอง ให้นักอ่านที่ต้องการเก็บหนังสือไตรภาคย์นี้ไว้ ได้ลงชื่อจองเข้ามา
ปล.ทุกเรื่องจะมีตอนพิเศษ แถมในเล่มเรื่องละ 2 ตอน ซึ่งไม่โพสฯลงในกระทู้นิยาย
เก็บตังค์หยอดกระปุกได้เลย จะนำรูปเล่มและข้อมูลที่เหลือมาแจ้งให้ทราบเป็นระยะ คอยติดตามด้วยนะคะ
ปล. 2 สำหรับคนจองแล้วไม่โอน ถือว่าสละสิทธิ์ เราจะเลื่อนสิทธิ์การโอนตามลำดับของคนจอง
หากใครเข้าข่ายอยู่ใน 1 ถึง 150 คนแรก ก็จะได้รับสิทธิ์พิเศษไปแทนนะคะ
ปล3. เปิดรับจองรับโอนไม่จำกัดนะคะ แก้ไขความเข้าใจผิดเสียใหม่แต่จะได้รับแถมพิเศษเฉพาะคนจองคนโอน 150 คนแรกเท่านั้นค่ะ นอกนั้นไม่ได้ของแถม Luk.
มนต์มาร
Part 26
หัวใจแห่งชีวิต.
.
.
.
.
“ใครไปรับพระหรือยัง จวนใกล้เวลาแล้วนะตรัย” กายันต์เอ่ยถามธรรมตรัย หลังทั้งคู่เหนื่อยกับการเตรียมสถานที่ภายในห้องโถงใหญ่ของเรือนไทย
กันพอสมควร กลายเป็นตนต้องรับภาระเป็นหัวแรงใหญ่กะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัวขึ้นมาซะงั้น
“สิงห์คำเอารถไปรับมาแล้ว” ธรรมตรัยบอกหน้านิ่งตามเอกลักษมณ์ของเจ้าตัวเช่นเคย
“นึกถึงเหตุการณ์คืนที่เราไปพบสภาพของพระลักษมณ์ ผมยอมรับว่าเวทนาสุดๆเลยทีเดียว” กายันต์เปรย
มาเบาๆ แววตาบ่งบอกว่ารู้สึกตามที่พูดอย่างไม่ปิดบัง
“เป็นใครก็คงสติหลุด ถ้าต้องลงมือยิงคนรักด้วยน้ำมือตัวเอง” ธรรมตรัยพูดดวงตาแฝงแววสะเทือนอารมณ์
นั่นสิคงไม่มีใครสามารถเก็บอาการเศร้าโศกไว้ได้แน่ เมื่อต้องพบเหตุการณ์เดียวกันกับพระลักษมณ์ที่กอดร่างโชกไปด้วยเลือด
ของปาจาแนบอก แหกปากร้องไห้ลั่นทุ่งแทบไม่เหลือสติทำอะไรแล้ว โชคดีที่ตนกับกายันต์ตามไปเพราะเห็นว่าเลยเที่ยงคืน
มาพอสมควรเกิดนึกเป็นห่วงทั้งคู่ขึ้นมา จึงตัดสินใจฝืนคำสั่งของปาจาพากันเอารถออกตามไปดังกล่าว กระทั่งไปพบกับภาพ
ที่เห็นนั่นแหละ ยอมรับว่าตนกับกายันต์ถึงกับน้ำตาคลอกันเลย มันเป็นภาพสะเทือนใจจริงๆที่ผู้ชายรูปร่างสมส่วนนั่งไม่เหลือ
มาดกอดเอาร่างสูงใหญ่ซุกอกไว้แน่น แถมเอาแต่ร้องไห้ปานจะขาดใจ ข้างๆ กันยังมีร่างไร้วิญญาณของสิตานอนลืมตาโพลง
พร้อมกับพญามัจจุราชสีดำทะมึนตกอยู่ตรงพื้นอย่างไม่ได้รับความสนใจเลย
“ปี๊นๆ!..” เสียแตรรถดังขึ้นตรงหน้ามุกเรือนไทย แสดงว่าแขกวีไอพีมาถึงแล้วแน่ๆ กายันต์กับธรรมตรัยต่างหันมอง
หน้ากันก่อนจะเดินลิ่วรีบไปต้อนรับทันที
“อายันต์ อาตรัย..สวัสดีค่ะ” จันทน์ผาเด็กหญิงตัวน้อย ที่เพิ่งโผล่ศรีษะลงจากรถมาได้ พอเห็นทั้งคู่
ก็วิ่งเข้าใส่พรางกล่าวสวัสดีไปด้วย ก่อนจะทะยานเข้าสู่อ้อมแขนแกร่งของกายันต์ ซึ่งก้มตัวรวบกอดเอาร่างเล็กไว้แนบอก
พร้อมกับจมูกโด่งแนบแก้มนุ่มสูดกลิ่นหอมของเด็กหญิงอย่างคิดถึง
“ฟอด...ฟอด!..คิดถึงอาไหมครับคนสวย?” ภาพพ่อลูกกอดกันกลมซึ่งกายันต์รู้ถึงสถานะอยู่เต็มอก
ในขณะที่เด็กหญิงแม้จะไม่รู้ว่าคนที่กอดตนอยู่นั้นคือผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง แต่ก็หาได้เกิดกำแพงปิดกั้นความรู้สึกอบอุ่นที่ฉายชัด
ออกมากับรอยยิ้มใสซื่อและแววตาไร้เดียงสาจากดวงตากลมโตอย่างมีความสุขยามได้อยู่ในอ้อมกอดของกายันต์
“คิดถึงสิค่ะ หนูผาคิดถึงทุกคนเลยน๊า! คิคิ” เสียงเจื้อยแจ้วเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากธรรมตรัยที่มอง
เด็กหญิงตัวน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน โดยไม่ต้องอาศัยคำพูดแทนการบรรยาย เพราะนิสัยธรรมตรัยน้อยครั้งจะได้เห็น
แววตาแบบนี้มอบให้ใคร
ไม่ต่างกับนมอ่อนหญิงกลางคนอายุร่วมจะห้าสิบปลายๆ กำลังยืนมองภาพประทับใจนี้ด้วยใบหน้า
เปื้อนยิ้ม ใกล้กันนั้นยังมีชายสูงวัยท่าทางภูมิฐานหน้าตาหล่อเหลาแม้จะเลยวัยหนุ่มใหญ่มามากโขแล้วก็ตาม แต่หาได้ลดทอน
ความดูดีลงได้แม้แต่น้อย คงไม่ต้องบอกว่าคนผู้นี้คือใครนอกจากแขกวีไอพีที่ว่าและเป็นผู้ใหญ่ท่านนั้น ซึ่งปาจาฝากนมอ่อน
และหนูผาให้ไปอยู่ในความดูแลชั่วคราวนั่นเอง
หลังจากปล่อยตัวหนูผาลงยืนที่พื้นเรียบร้อยแล้ว กายันต์รีบตรงเข้าไปยกมือไหว้ชายสูงวัยท่านนี้ทันที
โดยมีธรรมตรัยยกมือขึ้นไหว้ตามด้วยเช่นกัน
“สวัสดีครับท่าน/สวัสดีครับ เชิญขึ้นเรือนก่อนครับท่าน” กายันต์จัดแจงทำหน้าที่เจ้าบ้านกล่าวต้อนรับ
พร้อมกับเชิญบุคคลท่านนี้ขึ้นบนเรือนไทยด้วยน้ำเสียงติดเกรงใจอย่างเห็นได้ชัด
“อืม..ทำตัวตามสบายเถอะ ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก” เสียงทุ้มนุ่มอย่างผู้ใหญ่ใจดีเอ่ยบอกมา ช่วยให้กายันต์
รู้สึกผ่อนคลายลงมาก ยิ้มรับคำบอกกล่าวอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินนำทุกคนขึ้นบนเรือนไทยไป
ก้าวพ้นประตูมายังห้องโถงใหญ่ คลาคล่ำไปด้วยคนรับใช้และคนงานกว่าครึ่งร้อยที่ได้รับเชิญให้มาร่วมบุญ
กันครั้งนี้ ต่างหันมองกายันต์ที่เดินนำชายวัยกลางคนเข้ามา เลยพากันสงบเสงี่ยมสำรวมกิริยาอัตโนมัติ ทั้งที่ก่อนหน้ายัง
ส่งเสียงคุยกันจอกแจกจอแจอยู่เลย
“ลูกชายผมเป็นอย่างไรบ้าง?” หลังนั่งลงเก้าอี้ทำจากไม้สักทองแกะสลักลายไทยอย่างประณีตบรรจง
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็เอ่ยถามกายันต์ขึ้นมาทันที
“ครับ..ธรรมตรัยบอกคนไปตามให้แล้วครับ” กายันต์ตอบกลับไป ก่อนจะถือโอกาสนั่งคุยเป็นเพื่อนท่าน
ไปพลางๆ รอคนที่ต้องมาต้อนรับแทนตนไปก่อน ไม่ถึงสิบนาที
“หวัดดีครับพ่อ” เสียงทุ้มหล่อเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้ด้วย ในขณะที่ช่วงขายาวเร่งก้าวเข้ามาให้เร็วขึ้น
“เป็นไงไอ้เสือ หึหึ” ท่านเอ่ยทักพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้ ก่อนจะหัวเราะเสียงในคอ
“ขอโทษครับพ่อที่ทำให้เป็นห่วง” พระลักษมณ์ยิ้มรับ พร้อมกับแสดงความสำนึกผิดบอกไป
ไม่ว่าจะนานแค่ไหนผู้ชายตรงหน้าซึ่งได้ชื่อว่าผู้บังคับบัญชาและพ่อบังเกิดเกล้าตนนั้น ยังคงห่วงใยตนอยู่ตลอดมา
“สวัสดีครับท่าน ผมขอโทษด้วยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง” เสียงทุ้มนุ่มมาพร้อมกับรอยยิ้มหล่อ
กระชากใจ สองมือยกขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม ดูดีไม่มีขัดเลยสักนิดกับรูปร่างล่ำสันสูงใหญ่ของคนพูด
“หึหึไม่เป็นไรคุณจา ผมเข้าใจคนเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บไม่ต้องลำบากหรอก แล้วนี่ดีขึ้นแล้วหรือ?” น้ำเสียงแกมเอ็นดูที่ถามกลับไปหลังจากเห็นร่างสูงใหญ่ดูดีทุกองศา เดินตามลูกชายสุดที่รักมาติดๆ จนไม่สังเกตแทบดูไม่รู้ว่า
บุคคลตรงหน้าเพิ่งโดนยิงมายังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ด้วยซ้ำ
“ดีขึ้นมากแล้วครับ คงเพราะคนยิงไม่เจตนาฆ่าผมมั้งครับ ถึงไม่สาหัสปางตาย” พูดพร้อมส่งสายตา
กรุ่มกริ่มล้อเลียน ทำเอาหน้าพระลักษมณ์หน้าขึ้นสีเรื่ออย่างไม่มีทางเลี่ยง พออาการดีขึ้นก็ล่อพระลักษมณ์
วางหน้าไม่ถูกไปเลย แถมยังกล้าแซวต่อหน้าพ่อของคนโดนอีกต่างหาก
ก่อนที่หนุ่มหล่อหน้าใสจะอายมากไปกว่านี้ ก็มีระฆังช่วยไว้ทันด้วยพระสงฆ์เก้ารูปที่กำลังทยอยเดินเข้ามา
ทุกคนต่างพากันพนมมือไหว้หยุดพูดคุยส่วนตัวไปโดยปริยายกลับสู่บรรยากาศสำรวมกันทันที หัวหน้าคนงานรู้หน้าที่จัดการ
นิมนต์ท่านนั่งลงตรงอาสนะยกพื้นสูง เพื่อทำพิธีเจริญพุทธมนต์ทำบุญเลี้ยงพระครั้งใหญ่ของคุ้มดงพญา
หลังผ่านคืนพระจันทร์ดับ ปาจาฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่ถูกยิงบ่ายของวันถัดมา ที่เจ้าคุ้มสุดหล่อรอดมาได้
เพราะกายันต์กับธรรมตรัยตามไปพบตนบาดเจ็บสาหัสหมดสติเพราะทนพิษบาดแผลจากการยิงเจาะเข้าบริเวณอกซ้ายไม่ไหว
ฝีมือคนยิงแม่นยังกะจับวางไม่มีพลาดเป้าตรงจุดหัวใจพอดี
ถูกต้องกระสุนไม่ได้พลาดเป้าแม้แต่เซนเดียว แต่กระสุนเงินที่อาบน้ำตานารายณ์กลับเป็นเพียงกระสุน
มัจจุราชสังหารจิตมารให้วิญญาณร้ายแตกดับไปทันทีเท่านั้น ลำพังกระสุนเงินเพียงอย่างเดียวคงไม่มีอำนาจพอที่จะสังหาร
ดวงจิตของมารร้ายลงได้ แต่เพราะผนวกกับน้ำตานารายณ์ที่ไหลรินจากดวงตากลมโตคู่สวยของพระลักษมณ์หยดลงกระบอก
ปืนหยดแล้วหยดเล่าต่างหาก จึงเกิดพลานุภาพกำจัดมารร้ายให้สิ้นซากลงได้
ส่วนปาจารอดตายได้อย่างไร นั้นไม่ใช่เพราะปาฏิหาริย์ แต่เป็นเพราะหัวใจของปาจาอยู่ด้านขวา
ไม่ได้อยู่อกซ้ายเหมือนคนปกติตั้งแต่แรก ยังกับว่าเบื้องบนจะรู้ล่วงหน้าก่อนด้วยซ้ำ ฉะนั้นวาระที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุมีผลของ
กงกรรมกงเกวียนซึ่งถูกกำหนดมาแล้ว จะดีชั่วเพียงไรสวรรค์ท่านได้ให้เวลาผู้หลงผิดมัวเมาต่อบาป ได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ
กระทำความดีละเว้นกรรมชั่ว แต่หากยังไม่เลิกก่อบาปอีกวาระสุดท้ายย่อมมาถึงเช่นจิตมาร ต่อให้มีพลังอำนาจมากแค่ไหน
เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเช่นกัน
เพราะจิตมารไม่รู้ว่าร่างกายของปาจามีหัวใจอยู่ด้านซ้าย เมื่อมันย้ายดวงจิตเข้าไป จึงพุ่งดวงจิตไปยัง
อกซ้ายเพื่อหวังเข้าครอบงำจิตใจในทันที พอผิดความคาดหมายจึงเกิดการต่อต้านจากปาจา ซึ่งมีหัวใจอยู่ด้านขวาจิตสำนึก
ที่เหลือจึงเกิดการต่อต้านขึ้น ทำให้เกิดสงครามระหว่างดวงจิตสองดวง ดังที่พระลักษมณ์เห็นการโต้ตอบของคนสองคนใน
ร่างเดียวกันนั่นแหละ แต่ถ้าหากหัวใจของปาจาอยู่ทางอกซ้ายละก็ จิตมารคงเข้าครอบงำสำเร็จทันที ปาจาจะไม่เหลือสำนึก
ต่อต้านมันเป็นอันขาด ต่อให้แม้พระลักษมณ์จะสามารถปลิดวิญญาณมันลงได้ สุดท้ายดวงจิตของปาจาก็ต้องแตกดับ
ไปด้วยเช่นกัน คงไม่มีโอกาสได้มายืนปั้นหน้าหล่ออยู่อย่างนี้อีกต่อไป
ในสภาวะกดดันอยู่นั้น พระลักษมณ์เองไม่ทันฉุกคิดเรื่องตำแหน่งที่ตั้งของหัวใจปาจาด้วยซ้ำ ทั้งที่ก่อน
หน้าตนทราบมาแล้วว่า ปาจามีหัวใจอยู่อกด้านขวา บนความกดดันที่ตนเลือกไม่ยิงแสกหน้าอย่างที่ปาจายิงพี่ชายของสิตา
แต่เลือกที่จะยิงเข้าหัวใจแทน หากต้องลงมือสังหารปาจาด้วยน้ำมือตัวเองแล้ว พระลักษมณ์ไม่อยากให้คนรักได้รับ
ความทรมานก่อนตายแม้แต่น้อย ขอใช้กระสุนเพียงนัดเดียวเจาะหัวใจเลยทีเดียวดีกว่า จึงส่งผลให้ปาจารอดตายมาได้
หวุดหวิด แต่ต้องไม่ลืมขอบคุณกายันต์และธรรมตรัยด้วย ที่ฝ่าฝืนคำสั่งตัดสินใจตามไปช่วยได้ทันเวลา ขืนไปช้ากว่านี้
ไม่แน่ปาจาอาจไปสู่ยมโลกเข้าแล้วจริงๆ เพราะเลือดออกหมดตัวตายเสียก่อน
ส่วนที่ปาจาไปรู้จักคุ้นเคยกับพ่อของพระลักษมณ์ได้อย่างไรนั้น สืบเนื่องมาจากความจริงเกี่ยวกับประวัติ
ของพระลักษมณ์เปิดเผย ปาจาก็อาศัยเส้นสายที่ตนเคยเป็นตำรวจมาก่อน สืบหาข้อมูลความเป็นไปของครอบครัวพระลักษมณ์
ทั้งหมด เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วจึงเริ่มขบวนการแนะนำตัวโดยติดต่อทางอีเมลล์เล่าเรื่องราวความเป็นมาของตนเอง รวมถึงเรื่อง
ระหว่างตนกับพระลักษมณ์ให้กับว่าที่พ่อตาฟังอย่างไม่ปิดบัง
ด้วยนิสัยเปิดเผยจริงใจ กอปรกับความนอบน้อมถ่อมตนของปาจาที่แสดงออกผ่านตัวอักษร
ทำให้พ่อของพระลักษมณ์เปิดโอกาสให้พูดคุยเป็นการส่วนตัวทางอินเตอร์คอมฟอร์เร้น ถือเป็นการพบหน้าครั้งแรกระหว่าง
พ่อตากับลูกเขย โดยเรื่องราวทั้งหมดพระลักษมณ์ไม่รู้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย
หากเฉลียวใจสักนิด ก็น่าจะรู้ว่าหลังสุดที่ได้ติดต่อกับนายท่าน ตนเองก็ไม่ได้ออนไลน์พูดคุยกับ
ท่านอีกเลย แถมซ้ำท่านไม่ยักทุกข์ร้อนที่ตนหายหัวไปอีกต่างหาก ผิดกับตอนที่โดนกักขังไว้ในห้องใต้ดินก่อนทำพิธีล้าง
อาถรรพ์มนต์มารลิบลับ ท่านถึงกับจะส่งคนเข้ามาสอดแนมดูด้วยซ้ำ แม้แต่พระลักษมณ์โดนแทงท่านก็ไม่อะไรยังไง
นั่นเป็นเพราะลูกเขยสุดหล่อทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวทุกเรื่องโดยไม่ปิดบัง ให้ท่านทราบอยู่ตลอดเวลา
พฤติกรรมที่องอาจเปิดเผยอย่างลูกผู้ชายของปาจา เอาชนะใจของพ่อตาได้ไม่ยาก
เหตุผลสำคัญที่ท่านไม่คัดค้าน เพราะท่านรู้จักนิสัยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนดีกว่าใคร ลองพระลักษมณ์
ไม่ได้รักปาจาแล้วละก็ คงไม่มีทางยอมให้ทำอะไรเป็นอันขาด ต่อให้ต้องตายมีหรือวิษณุทรงพลที่ใครต่างรู้ดีว่าเอาเรื่องแค่ไหน
จะยอมเป็นของปาจาในแบบที่เป็นอยู่นี้ได้ นอกจากมีเพียงสาเหตุเดียวลูกชายของท่านเจอคนที่จะมอบชีวิตและหัวใจให้เค้า
ดูแลแล้ว และตัวคุณพ่อเองก็เห็นแล้วว่าไม่มีใครเหมาะสมเช่นกัน ที่สามารถทำให้ท่านปล่อยมือลูกชายคนเล็กไว้ให้ดูแล
นอกจากปาจา เพราะฉะนั้นระหว่างพ่อตากับลูกเคยรูปหล่อดีกรีด๊อกเตอร์ แถมพ่วงฐานะเศรษฐีด้วยอีกต่างหาก
ถึงได้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ความกระจ่างของเรื่องราวทั้งหมด ถูกเปิดเผยหลังจากปาจาพักฟื้นได้สามวัน และตัดสินใจเล่า
ความจริงทุกอย่างกับพระลักษมณ์ แม้เจ้าตัวจะออกอาการเคืองอยู่บ้าง แต่ก็ยอมให้อภัยยังดีกว่าเสียปาจาไปอย่างไม่มีวันกลับ
ซึ่งตนต้องนั่งร้องไห้จนสติแตก เสียภาพลักษมณ์ของวิษณุทรงพลให้กายันต์และธรรมตรัยได้เห็นมุมอ่อนแอนั่นแล้วด้วย
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างกระจ่าง ทุกคนจึงลงความเห็นจัดงานบุญเลี้ยงพระขึ้นในวันนี้ พร้อมกับเชิญพ่อ
ของพระลักษมณ์ซึ่งตั้งใจมาเยี่ยมว่าที่ลูกเขย พร้อมกับนำตัวนมอ่อนและหนูผามาส่งคืนด้วยเลย หลังรับไปดูแลช่วงที่คุ้ม
ดงพญาอยู่ในภาวะผจญมารขณะนั้น
คดีฆาตกรรมทั้งหมด ปิดฉากลงด้วยการทำสำนวนของพระลักษมณ์รายงานต่อเบื้องบน โยนความผิด
ให้กับพี่ชายของสิตาและสิตา โดยให้เหตุผลว่าสองพี่น้องคือฆาตกรโรคจิต ที่ก่อคดีสะเทือนขวัญเพื่อสนองความต้องการ
เกี่ยวกับตัณหาวิปริต ทุกอย่างมีความเป็นไปได้สมเหตุสมผล เพราะประวัติของสิตาคือผู้หญิงข้ามเพศ และประวัติของพี่ชาย
ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทิ้งความเป็นปริศนาของมนต์มารอาถรรพ์ให้ปิดผนึกอยู่ในความทรงจำของคนที่รับรู้เพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้น
ยังมีพ่อของพระลักษมณ์รวมอยู่ด้วย เพราะท่านคือผู้อนุมัติลายเซ็นปิดสำนวนคดีตามตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดเช่นกัน
หลังผ่านพิธีทางศาสนา กระทั้งส่งพระกลับวัดและร่วมรับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จ ก็สมควร
แก่เวลาส่งพ่อของพระลักษมณ์ขึ้นรถกลับ ทั้งหมดต่างพากันมายืนส่งท่านตรงหน้ามุก ก่อนไปท่านยังแอบมีทิ้งท้ายกระซิบบอก
ปาจาตามลำพังด้วยว่า เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วอย่าลืมพาลูกชายท่านไปกราบขอขมาให้เป็นเรื่องเป็นราว ท่านจะรอที่กรุงเทพฯ
“คุณแอบคุยอะไรกับพ่อผม” พระลักษมณ์ถามหลังจากรถของของพ่อลับตาไปแล้ว
“อยากรู้หรือครับ?” ปาจาไม่ตอบ กลับทำหน้านิ่งยกคิ้วถามกลับซะงั้น
“ทำไมเป็นความลับหรือไง ผมไม่มีสิทธิ์รู้งั้นดิ” อดไม่ได้กวนกลับไปทันที
“ก็ไม่ใช่ความลับสำคัญหรอก เพียงแต่สถานที่ไม่เหมาะให้พูด” ปาจายังคงเก๊กหน้านิ่งน้ำเสียงจริงจัง
พลอยให้พระลักษมณ์รู้สึกตื่นเต้นตาม คิดว่าไอ้เรื่องที่ไม่ใช่ความลับคงไม่ธรรมดาเสียแล้ว ในเมื่อยืนพูดกันตรงนี้ไม่ได้ ทั้งที่
ไม่เหลือใครอยู่ตรงนี้สักคน นอกจากตนและคนตรงหน้า
“ถ้างั้นต้องไปคุยที่ไหน?” ความอยากรู้ทำให้พระลักษมณ์โพล่งถามไปอย่างรวดเร็ว ออกอาการ
สนใจแบบไม่มีปิดบัง
“งั้นตามผมมา” ไม่พูดเปล่า เจ้าคุ้มรูปหล่อฉวยมือพระลักษมณ์จูงไปยังทิศทางคุ้นเคยทันที
หากมีตาทิพย์จะเห็นว่าบัดนี้ร่างกายสูงใหญ่องอาจของปาจามีร่างแฝงของปีศาจยืนสยายปีกสีดำเต็มแผ่นหลัง ในขณะที่
เจ้าของร่างตัวจริงแอบยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ส่วนคนที่มือโดนจับพาเดินตรงไปยังห้องนอนส่วนตัว กับออกอาการตื่นเต้น
สงสัยฉายชัดในแววตากลมโต ช่างไม่รู้ว่าร่างแฝงแห่งนารายณ์ที่ปรากฎอยู่เหนือร่างตนกำลังส่ายหน้าให้กับความเจ้าเล่ห์
ของปีศาจรูปงามเข้าให้....
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มมีความสุข กลับคืนสู่คุ้มดงพญาอีกครั้ง โดยเฉพาะเรือนไทยหลังนี้เต็มไป
ด้วยบรรยากาศคู่รักจนออร่าสีชมพูกระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุม กลิ่นอายแห่งอาถรรพ์มนต์ดำและความขมุกขมัวไม่มีให้เห็น
อีกเลย เหลือแต่ความสุขสดชื่นของทุกชีวิต ที่จะสานสัมพันธ์จูงมือกันก้าวไปข้างหน้าโดยจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์เกิดขึ้น
กับคนของตระกูลดงพญาอีกเป็นอันขาด ทั้งปาจา พระลักษมณ์ กายันต์และธรรมตรัย ทุกคนต่างมีหน้าที่ในการช่วยกัน
ประคับประคองชีวิตรัก ที่ต้องแลกมาด้วยหยดเลือดและรอยน้ำตารวมทั้งซากศพของผู้เคราะห์ร้ายอีกนับไม่ถ้วน ต่างตั้งปณิธาน
กันแน่วแน่ จะไม่ให้สิ่งที่ต้องสูญเสียไปสูญเปล่า และจะทำให้คุ้มดงพญาเป็นคุ้มแห่งความรักไร้พรมแดนตลอดกาลปวสาน....??
จบบริบูรณ์ มาต่อตอนอวสาน ให้เรียบร้อยแล้วนะคะ
หวังว่าคงถูกใจนักอ่านได้สุขสดชื่นกันถ้วนหน้า
ขอให้มีความสุขกับคริสมาตส์ สำหรับตอนพิเศษยังไม่รับปาก
ตอนนี้วุ่นวายเรื่องหนังสือ และงานประจำอยู่
ถ้ามีโอกาสก็จะไม่ลืมค่ะ
Luk.
ปล. ใครคิดว่าคนเขียนกล้าอ้างเรื่องหัวใจปาจา ให้กลับไปอ่านตอนที่ 23 นะคะ จะรู้ว่าสองคนนี้เค้าเคยคุยกันเรื่อง
หัวใจปาจาอยู่ผิดด้านค๊า