บทที่ 7 : เรื่องในรถ
แฮงค์
มันไม่แฮงค์ถึงขนาดจะเดินเข้าห้องน้ำไปอ้วก แต่ก็ทำให้ผมมึนหัวมากอยู่ทีเดียว
ผมลุกขึ้นนั่ง นึกแปลกใจที่เห็นรูมเมทตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังอ่านหนังสืออยู่ ผมรู้มาว่าคณะนิติไม่มีสอบมิดเทอม มีแต่สอบไฟนอล และแน่นอนว่าไม่มีใครอ่านสอบวิชาTUของมหาลัยหรอก ดังนั้นการที่เขาอ่านหนังสือก่อนผมจะสอบมิดเทอมนั้นสรุปได้คำเดียวว่าขยันมาก
…หรือไม่ก็ต้องใกล้บ้า
“ตื่นแล้วเหรอ” คนบนเก้าอี้หันหน้ามาหา ผมจึงได้เห็นซอมบี้ตัวหนึ่งที่ใต้ตาคล้ำระดับสุดท้ายเหมือนเอาถ่านมาทา
“อือ”
“มึนหัวหรือปล่า”
“นิดหน่อย ยังพอไหว” ผมเหลือบมองคนที่ปกติแล้วจะค่อนข้างเป๊ะ วันนี้กลับหน้าโทรมจนไม่เหลือเค้าเดือนคณะ ขนาดหนวดบนหน้ายังไม่โกนเลยวันนี้
“ดีแล้ว”
“ทำไมตามึงคล้ำขนาดนั้นวะ”
“หึ” เขายกยิ้มมุมปาก “เมื่อคืนรู้มั้ยว่ากูต้องพยายามอดทนจนสุดท้ายต้องนั่งอ่านหนังสือให้มันลงเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ”
หะ พูดอะไรก็ให้มันเคลียร์ๆหน่อย อะไรลง ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ
เคย์ยกมือกดหัวตาเหมือนจะคลายความเมื่อยล้าจากการใช้สายตาอย่างหนัก ผมเห็นอย่างนั้นเลยไม่กล้าไปกวนใจเขามากนัก เวลาผู้ชายตัวโตหน้าคมคนนี้ไม่ยิ้มแล้วค่อนข้างจะน่ากลัวทีเดียว
“วันนี้มีเข้าคณะหรือเปล่า” ผมถามเขา
“มีๆ” คนตัวโตลุกจากเก้าอี้มานอนแผ่แขนขาบนเตียงจนลามมายังเตียงผม เมื่อก่อนผมก็บ่นอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้เริ่มชินเสียแล้ว ดีไม่ดีบางวันหมอนี่จะกลิ้งตัวมานอนที่เตียงผมแล้วดึงผมเข้าไปกอดอีก ไม่รู้คิดว่าเป็นหมอนข้างหรือยังไง
“เรียนบ่าย?”
“ใช่ แล้วมึงล่ะ”
“วันนี้กูไม่มีเรียน แต่มีต้องเข้าไปทำงานกับเพื่อนเหมือนกัน”
คิดถึงภาระของเด็กมหาลัยแล้วพวกผมก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน มันต่างจากสมัยเรียนมัธยมมากทีเดียว โดยเฉพาะงานโปรเจ็คที่ยากกว่าเดิมหลายเท่าและมีผลต่อเกรดมาก และผมก็ดันซวยที่ได้จับกลุ่มกับบางคนที่ไม่ยอมทำงานซะด้วยสิ
“งานอะไรอ่ะ TUเหรอ”
“ก็มีอยู่วิชาเดียวป่ะ”
“ก็จริง” เขาหัวเราะรวนเมื่อคิดถึงโปรเจ็คที่หนักยิ่งกว่าตัวในคณะซะอีก
“เฮ้อ งั้นเดี๋ยวเข้าไปพร้อมกันเลย กูจะเอารถเข้าไปด้วย” ผมลุกขึ้นไปเอาผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่า “มึงจะอาบน้ำมั้ยหรือจะให้กูอาบก่อน”
คนบนเตียงโบกมือเป็นเชิงให้อาบเลย ผมจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรก็ได้ยินเสียงทุบประคูห้องน้ำดังโครมๆ
“จิน! เปิดก่อน! เอาเสื้อผ้าเข้าไปด้วย อย่าให้ความพยายามตอนกลางคืนกูเสียเปล่าเลย! ขอร้องล่ะนะ!”
ผมขมวดคิ้ว งงกับความพูดไม่รู้เรื่องของเขาตั้งแต่ตอนเช้า ในใจคิดถึงแผนจะพาเคย์ไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลมหาลัยซะหน่อย เผื่อว่าเมื่อวานตอนที่พวกเราเมา เขาอาจจะเอาหัวตัวเองไปฟาดอะไรมา
ผมนั่งประจำที่ขับรถเหมือนอย่างเดิม ข้างกายคือตัวปัญหาที่ตอนนี้โกนไรหนวดเขียวครึ้มออกแล้ว แถมผมยังปาดเจลเป็นทรงธรรมชาติอย่างไม่เหลือเค้าซอมบี้ตอนเช้า
เขาคาดเข็มขัดแล้วพึมพำเรื่องที่จะไปถอยรถสักคันมาขับให้ผมนั่ง แต่ขอโทษเถอะ จะมีรถหลายๆคันไปทำไมไม่ทราบในเมื่อเราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่แล้ว
“ให้ไปรับตอนเลิกมั้ย จะได้กลับเข้ามาด้วยกัน” ผมหันหน้าไปถามคนที่กำลังวุ่นวายกับการยัดของลงกระเป๋าอยู่
“…ปกติคำถามแบบนั้นควรเป็นฝั่งนี้ป่ะที่ถามนะ” เคย์พึมพำอย่างอดสู “ไม่เท่เลยสักนิด ทำไมต้องให้มึงมารับด้วยนะ”
“หา? มีปัญหาอะไรกับที่กูจะไปรับหรือไง”
“ก็ปกติกูควรเป็นคนไปรับมากกว่าอ่ะ แบบขับรถไปจอดหน้าคณะมึงแบบหล่อๆแล้วมึงก็ขึ้นมางี้ ละมึงก็จะบอกว่าขอบคุณที่มารับนะ แล้วในใจมึงก็จะคิดว่า เท่จังเลย แฟนเรานี่พึ่งพาได้จริงๆด้วย”
ดะ…เดี๋ยวนะ นี่ผมควรจะขัดมันตั้งแต่ตรงไหนก่อนดีวะเนี่ย
แต่แค่คิดภาพหมอนี่ขับรถผมก็คิดไม่ออกแล้ว ไม่ต้องไปถึงขั้นที่ผมคิดว่าเขาเท่หรอก
“ตอนจะกลับก็ไลน์มาบอกกูด้วยแล้วกัน ถ้ากลับใกล้ๆกันก็จะได้กลับด้วยกันไปเลย”
เคย์ทำหน้าเหมือนอยากประท้วงแต่โดนเย็บปิดปาก มันตลกมากเพราะผมรู้ว่าเขาอยากจะเป็นคนมารับผมเสียมากกว่า ในที่สุดเมื่อรถผมวนมาถึงคณะเคย์ เขาก็ต้องลงไปทั้งๆที่ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนั้น
และผมจะไม่บอกเขาหรอกว่าหลังจากขับรถออกมาแล้วผมก็หัวเราะกับเรื่องนั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมผมยังรู้สึกว่าเขาน่ารักมาก
อ่า…นี่ผมรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายร่างยักษ์ที่ไม่มีส่วนไหนใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักได้ยังไงนะ
ผมยังคงอารมณ์ดีถึงแม้ว่าจะหาที่จอดยากมากก็ตาม ความเป็นจริงแล้วผมยิ้มทั้งวันถึงแม้ว่าเพื่อนจะทำงานออกมาได้ห่วยแตกมากก็ตาม แต่ก็เพราะว่ามันแย่นี่แหละ พวกเราถึงต้องอยู่เลยเวลากันเพื่อทำงานต่อ
ผมเหลือบตามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ไร้การแจ้งเตือนจากคนที่ผมรอคอย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเขาอาจจะกลับหอไปก่อนหน้านี้แล้วตอนที่ผมไลน์ไปบอกเขาตอนสี่โมงว่าผมน่าจะกลับดึกกว่านั้น
“จิน แกแก้สไลด์นี้หน่อยได้มั้ยอ่ะ”
ผมเงยหน้ามองเพื่อนร่วมทีมที่กำลังขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งกับสไลด์ซึ่งดีไซน์ดูไม่ค่อยดีเท่าไร ตอนมัธยมพวกผมเรียนรู้มาว่าสไลด์ต้องใส่ข้อมูลกับทำเอฟเฟกเยอะๆ แต่พอเข้ามหาลัย ความเชื่อพวกนั้นก็สลายหายไปเหมือนฝุ่นผงในอากาศ แถมโดนอาจารย์ว่ามาอีกว่าสไลด์พวกนี้มันไม่โปรเอาซะเลย
“เดี๋ยวทำเสร็จแล้วเรามาลองซ้อมพูดกันสักรอบมั้ย” ผมเสนอ
“แต่มันดึกแล้วนะ…”
มาอีกแล้วประโยคนี้ ผมแทบกลอกตาในใจ ในเมื่อพวกเราต่างก็อยู่หอด้วยกันจะกลัวทำไมวะว่ากลับมืดค่ำเนี่ย หอก็อยู่หน้ามหาลัยเอง อีกอย่างหกโมงนี่มันดึกเหรอวะ ทีตอนไปกินเหล้ากลับตีสองตีสามยังไม่พูดเลยว่าดึกนะ
คิดแล้วแม่งขึ้น
“งั้นไปคิดมาก่อนมั้ยว่าเราจะพูดอะไรกัน แล้วค่อยมาซ้อม” เพื่อนที่เป็นคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ยเพราะสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของผม
ผมกัดฟันพยักหน้ากับข้อเสนอเป็นกลางนี้อย่างช่วยไม่ได้แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ถึงแม้ว่าจะนั่งคิดกับตัวเองแล้วก็เถอะว่าชาติไหนงานมันจะเสร็จกันนะ จะทันเดดไลน์หรือเปล่า
ช่างเถอะ พอใกล้เดดไลน์เมื่อไรงานมันก็จะเสร็จของมันแบบงงๆเองนั่นแหละ
“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้น เรียกให้พวกผมเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆโต๊ะ ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนที่คิดว่าน่าจะกลับหอไปเรียบร้อยแล้วยืนตัวตรงอยู่ใกล้ๆ
“อ่า…คะ?” เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มผมพูดตะกุกตะกักเมื่อเห็นหน้าเขา แถมยังเอาผมทัดหูอีกต่างหาก ผมได้ยินมาว่าพฤติกรรมแบบนี้หมายความว่าผู้หญิงคนนั้นสนใจในตัวอีกฝ่าย
เสน่ห์แรงจริงนะพ่อคุณ
ผมหันไปทำตาขวางใส่คนที่เสน่ห์หกเรี่ยราดลงพื้นไปหมดแล้วเพราะรอยยิ้มนุ่มดูใจดีประจำของเจ้าตัวขัดกับตุ้มหูเงินสี่รูที่ส่องประกายล้อกับแสงไฟ
“ผมขอมานั่งรอเพื่อนหน่อยนะครับ”
“เพื่อน? ได้ค่ะ เออ…ไม่ทราบว่าเพื่อนคนไหนเหรอคะ”
มือเรียวยาวของคนนั้นชี้มาทางผมที่นั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ
“ผมเป็นรูมเมทของจินครับ”
และนั่นเป็นการเปิดตัวที่ได้รับเสียงเกรียวกราวจากคนในคณะผมที่ยังนั่งอยู่ในคอมมอน
“เราเชียร์เคย์อยู่นะคะตอนประกวดดาวเดือน หล่อมากๆเลย ยิ่งใส่สูทยิ่งหล่อเข้าไปใหญ่เลยค่ะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ทีมแต่งหน้าเขาแต่งให้ดีมากกว่า”
“เสียดายตอนตอบคำถามนิดหน่อยเนอะ”
“ฮ่าๆ ผมตื่นเต้นนะครับ จริงๆหลังจากนั้นคิดคำตอบดีๆได้เพียบเลย”
“เคย์น่าจะได้เป็นเดือนมหาลัยนะ อยากเห็นตอนเดินพาเหรดงานกีฬาอ่ะ”
“ธารเขาเหมาะเป็นเดือนมากกว่าผมอีกครับ”
“โหย ถ่อมตัวมากจ้า”
“แต่กูเห็นด้วยนะ ธารเขาเหมาะกับการเป็นเดือนมหาลัยกว่าเยอะ” ผมสอดปากพูดท่ามกลางเสียงโห่ไล่ของเพื่อนๆที่นั่งอยู่ตรงนั้น
“จิน แกนี่เป็นอะไร อิจฉาเพื่อนเหรอหะที่หล่อนะ ไอ้คนหน้าตาน่ารัก”
“จะอิจฉาเพื่อ กูก็แค่จะบอกว่าเจ้าหน้าปลาจวดนี่เรอะจะเป็นเดือนมหาลัย”
“แรงมากแม่ ถ้าเคย์หน้าปลาจวดมึงต้องเรียกว่าไรจ้ะ”
ผมถลึงตาให้เพื่อนสนิทในคณะที่ตอนนี้กลับมารวมหัวกันแกล้งผมแล้ว
“เนี่ย คือถ้าจินมันเป็นรูมเมทที่น่ารำคาญก็ย้ายมานอนห้องเราได้เสมอเลยนะคะ”
“ทิ้งเบอร์ห้องไว้เลยครับ”
พูดจบก็ได้รับเสียงวี้ดว้ายจากสาวๆ ขี้เต๊าะไม่ต่างกันเลย ผมส่ายหน้าให้กับระดับการเล่นมุขที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อดยอมรับไม่ได้ว่าเป็นอีกมุมที่ไม่ค่อยเห็นเวลาเขาอยู่ตามลำพังกับผม
“แล้วเคย์จะไปลงกีฬาไหนมั้ยคะ จะได้ไปเชียร์”
“ผมว่าจะลงบาสน่ะครับ” เขาพาดแขนกับเก้าอี้ผมตอนพูดประโยคนั้น เผยแขนเฟิร์มๆที่พอดีด้วยกล้ามให้ผู้หญิงส่งสายตาแทะโลมเล่น
“ตอนแข่งต้องการคนไปเช็ดหน้าให้มั้ยคะ”
“ฮ่าๆ ผมว่าถ้ามีน้ำมาให้คงจะชื่นใจมากกว่าครับ”
“แหม พูดอย่างนี้แสดงว่ามีคนมาเช็ดเหงื่อให้แล้วแน่เลย ใครอ่า แฟนเหรอ หรือคนรู้ใจ”
“ฟะ---”
“กูทำงานเสร็จแล้ว เดี๋ยวแยกย้ายกันเลยนะ” ผมพูดขัดบทสนทนาขึ้นมาเมื่อมันไปในทางที่ผมไม่ต้องการเสียเท่าไร ไม่เข้าใจเหมือนกับว่าทำไมไม่อยากได้ยินว่าคนข้างๆมีใครในใจแล้วหรือยัง
“เอากระเป๋ามา เดี๋ยวกูถือให้” ไม่พูดเปล่า เคย์ฉวยเอาโน้ตบุ๊คผมเก็บลงกระเป๋าแถมยังเอาไปสะพายเสียเรียบร้อย ซึ่งเพื่อนผมต่างก็กุมหัวใจกับความสุภาพบุรุษในร่างแบดบอยกันใหญ่
“โอ๊ยยย จิน มึงต้องช่วยเป็นแม่สื่อให้กูแล้วนะ”
“อีจิน ถ้ามึงช่วยกู กูให้เลยหมื่นนึง”
“ฮ่าๆ ผมมีแฟนแล้วล่ะครับ รักมากๆด้วย”
สิ้นคำประกาศของเขาผมก็เอื้อมมือไปจับแขนเขาวิ่งออกมาทันทีก่อนที่เราจะต้องตอบคำถามจากกองทัพสาวๆซึ่งตาวาวพร้อมที่จะล้วงความลับเรื่องรักๆใคร่ๆของเดือนคณะสุดหล่อที่มีกระแสในโซเชี่ยลมีเดียมากมาย
“ที่บอกว่ามีแฟนนี่คืออะไร แอบย่องออกไปติดใครตอนไหนหะ อย่าทำตัวเหมือนหมาที่เห็นผู้หญิงก็กระดิกหางตามไปได้มั้ย” ผมสาดคำพูดรุนแรงกับแววตาดุร้ายไปให้เขาทันทีที่ขึ้นรถ
เรื่องแฟนอะไรนั่นผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย!
เขายิ้มขำรับที่ผมด่าไป เห็นแบบนั้นผมยิ่งอยากกระทืบเท้าใส่อีกสักที ผมโคตรโมโหจริงๆนะ! แทนที่จะสำนึกผิดกับที่ผมด่าไปซะบ้างกลับยิ้มหน้าตาเฉย คืออะไรหะ!
“หมามันไม่ได้กระดิกหางเวลาเห็นผู้หญิงสักหน่อย”
“พูดกันคนละเรื่องแล้วรู้มั้ยหะ! ตอบคำถามสิวะ”
“อุ๊ย ดุจัง”
“กวนประสาท”
“ปากดุๆนี่เนี่ย น่าบีบจัง”
ไม่ว่าเปล่า เขายังบีบแก้มผมจนผมพูดอะไรไม่ได้ด้วย ผมเอามือจับแขนเขาหวังดันออกไป แต่คิดไม่ถึงว่าคนหน้าไม่อายอย่างหมอนี่จะแรงเยอะสุดๆ
“อื้อ!”
“ฟังก่อนสิ อย่าเพิ่งหึงจนหน้ามืด”
“อูไอ่ไอ้อึง!” (กูไม่ได้หึง)
“ครับๆ เข้าใจแล้วครับ ไม่หึงเลย แค่โมโหลมเพชรหึงเฉยๆ”
“อ่างอันองไอ!” (ต่างกันตรงไหน)
“ฟังนะ ที่บอกว่ามีแฟนนั่นก็จริง แฟนกูก็มึงไงจิน”
พูดจบเขาก็คลายมือที่บีบแก้มผมออกแล้วไปล็อคหลังคอผมไม่ให้เคลื่อนไหว จากนั้นจึงก้มลงมาจูบปากผมทีนึงแล้วถอนออกอย่างรวดเร็วเหมือนการจุ๊บกันของเด็กประถม
เขาหัวเราะนิดๆ พึมพำประมาณว่า หว่า เดี๋ยวต้องโดนต่อยแน่เลย
แต่สำหรับผม…
มันไม่พอ
ผมเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อเขาลงมาให้ใบหน้าเขาอยู่ใกล้ผม จากนั้นจึงขยี้ริมฝีปากของตัวเองเข้ากับเขาอย่างรุนแรง ในจังหวะที่เขาเผลอเผยอปากผมก็แทรกลิ้นเข้าไปกระหวัดเกี่ยวอย่างไม่ชินนักตามประสามือใหม่
เคย์อึ้งได้ไม่นานก็ประคองหน้าผมแล้วจูบตอบกลับ เสียงจูบของพวกเราดังเสียจนผมกลัวว่าคนที่อยู่ข้างนอกรถจะได้ยิน มันฟังดูกระหายอย่างน่ากลัว เหมือนกับคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ
การจูบของพวกเราหยุดลงหลังจากผ่านไปอย่างยาวนานในความคิด ผมหอบหายใจน้อยๆมองดูเขาที่แววตาเริ่มเปี่ยมอารมณ์มากขึ้นทุกที
“เรามีปัญหาซะแล้วล่ะ” เขาแค่นยิ้ม มือชี้ไปที่เป้ากางเกงของทั้งผมและเขา ผมหน้าร้อนเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความร้อนที่พุ่งขึ้นสูงของตัวเอง พอๆกับเป้ากางเกงของอีกฝ่ายที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่ยังคงชื้นเพราะกิจกรรมแลกจูบเมื่อสักครู่ เงยหน้าขึ้นสบสายตากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ
พวกเราต่างก็รู้ดีว่าต้องทำอะไร
ผมชี้ไปทางหลังรถ และร่างกายของพวกเราก็ขยับตามสัญชาตญาณ ทั้งผมและเขาเปิดประตูรถ พุ่งตัวไปอยู่เบาะหลังในเวลาไม่กี่วินาที จนกระทั่งเสียงดังปึงของประตูรถที่ปิดสนิท และพวกเราที่ขังตัวเองไว้เรียบร้อยแล้วมองตากัน ผมกับเคย์ถึงได้หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ค่อยๆแผ่วไปเมื่อเรายังคงจ้องตากันอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากของพวกเราค่อยๆขยับเข้าหากันเหมือนมีแม่เหล็กเป็นแรงดึงดูด
ผมนึกสงสัยว่าตัวผมที่สะท้อนในนัยน์ตาเขาจะเป็นอย่างไรกัน
ตอนแรกพวกเราจูบกันอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเริ่มไล่ริมฝีปากไปตามอารมณ์ สุดท้ายก็เหลือเพียงสัญชาตญาณนำพาพวกเราทั้งคู่
เสียงปลดกางเกงดังขึ้นคลอกับเสียงจูบของพวกเรา ตัวผมกับเคย์อยู่ชิดกันมากจนสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจากตัวอีกฝ่าย ขาพวกเราปัดป่ายไปมา แถมตัวของผมเกือบจะขึ้นไปอยู่บนตักของเขาแล้วเรียบร้อย
ทุกจุดที่เราสัมผัสกันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน มันถูกจุดขึ้นอย่างรวดเร็วและทิ้งความร้อนไว้ตรงผิวกาย
ผมไล่มือไปตามขาของรูมเมทจนสุดท้ายไปหยุดตรงจุดที่ความปรารถนาอัดแน่น
เคย์ถอนริมฝีปาก แต่ยังคงคลอเคลียอยู่ข้างหูผมไม่เลิก ผมสัมผัสได้ถึงมือร้อนๆของเขาที่บัดนี้กำจัดเสื้อผ้าที่ขวางกั้นจุดหมายและบัดนี้ได้กอบกุมความอ่อนไหวของผมแล้ว
ผมขยี้มือหนักๆตรงส่วนปลายของเขา เรียกลมหายใจถี่กระชั้นให้เป่าที่ข้างลำคอของผม พอๆกับที่เขาเร่งมือตามแรงอารมณ์ของตัวเองทำเอาผมจิกมือเขากับต้นแขนเขาด้วยความสุขสม
“ฮา…อ่า” เสียงนุ่มๆที่ครางอยู่ข้างหูแน่นอนว่าโคตรทำให้ผมตื่นยิ่งกว่าเดิม และตอนนี้ผมเองก็คิดว่าตัวเองคงหน้าแดงตัวแดงเถือกจนทำเอาหมาบ้าเริ่มไล่กัดๆงับๆแถวคอผมไม่เลิก
“หยุด…เลย…อะ…เดี๋ยวเป็นรอย!..อือ” ผมเตือนเมื่อรู้สึกถึงฟันคมที่งับๆลงมา แต่คนที่แปลงร่างไปแล้วก็เหมือนจะกู่ตัวเองไม่กลับ เขาใช้มือข้างที่ว่างถลกเสื้อผมขึ้นและบีบขย้ำเอวผมไม่เลิก
“อย่าหยุดสิจิน อืม…ทำดีๆหน่อย”
กะผีนะสิ!
เขาดุเมื่อผมเสียวซ่านจนหยุดมือข้างที่รูดดึงท่อนเนื้อของเขา เคย์เอามือข้างที่คลำๆแถวเอวผมไปกุมมือผมให้สัมผัสกับท่อนลำนั้นให้มากขึ้นอีก
“อ่า…นุ่มชะมัด…อย่างนั้นแหละ จับมันสิ”
ผมหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินเรื่องสัปดนออกจากปากเขา เคย์สูดหายใจบังคับมือผมให้ไปตามที่ตัวเองต้องการ ผมรู้สึกได้ว่ามือเปียกชื้นแถมยังร้อนจากการสัมผัสสิ่งนั้น ไม่พอ มันยังใหญ่จนทำให้ผมนึกกลัว
“พร้อมกันนะ” เขากระซิบที่ข้างหู แล้วเร่งมือทั้งสองข้าง
จากนั้น ขาผมเหยียดเกร็งด้วยความสุขสม พอๆกับที่เขาดูดคอผมจนเจ็บแปลบ พวกเราปลดปล่อยออกมา มันเหมือนพลุที่ถูดจุดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็วเหลือไว้เพียงช่วงเวลาความสุข
“…เลอะหมด” ผมบ่นเมื่อมือของพวกเราต่างก็เลอะเศษซากของความสุขสม
เคย์ไม่ตอบอะไร เขาเอื้อมมือไปดึงทิชชู่ในกล่องที่อยู่หลังรถมาเช็ดมือ จากนั้นจึงเช็ดให้ผมทีละนิ้วๆจนสะอาด
“เรียบร้อย เราไม่มีน้ำในรถเพราะงั้นไว้ค่อยไปล้างมือที่ห้องแล้วกัน”
ผมพยักหน้า เมื่อหมดบทสนทนาแล้วถึงได้รู้ว่าท่าตอนนี้มันประดักประเดิดแค่ไหน ผมนั่งอยู่บนหน้าขาของเขา หันหน้าชนกัน ใกล้ชนิดที่ว่าเคย์สามารถเอื้อมมือมาโอบผมได้
“เออ…เดี๋ยวกูลงก่อน”
ผมพยายามขยับตัวและสาบานได้ว่าพยายามจะไม่ทำให้ประกายไฟนั่นถูกจุดติดขึ้นมาอีกรอบ แต่พวกเราต่างรู้ดีว่าการระวังมันไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อตัวเราเสียดสีกันขนาดนั้น
“อือ กูว่าเรารีบกลับห้องกันดีกว่า” เคย์ว่าขำๆ “กูอารมณ์ค้างอยู่เลย”
ผมเผลอไผลมองส่วนนั้นของเขาที่ไม่อาจเรียกได้ว่าสงบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเองก็ยังรู้สึกถึงประกายไฟล่องลอยวนไปวนมาในอากาศอยู่เลย พวกเราแต่งตัวกันเงียบๆในเบาะหลังรถที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเฉพาะของกิจกรรมเมื่อครู่
“เดี๋ยวกูขับเอง” เคย์ที่แต่งตัวสำเร็จก่อนอ้อมไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งผมที่ยังใส่กางเกงครึ่งๆกลางๆไว้ข้างหลังรถ
“ขับเป็นเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ
“นี่ปกติจินเห็นกูเป็นคนยังไงวะ…อยากรู้” เขาบ่นอย่างละเหี่ยใจ “คิดว่ากูคอไม่แข็ง ไม่เท่ ไม่อะไรเลย ชักจะน้อยใจแล้วนะ”
“คอแข็งก็ไม่ได้แปลว่าเท่สักหน่อย” ผมประท้วง
เคย์ยู่ปากเหมือนอยากจะเถียง แต่สุดท้ายเขาก็สตาร์ทรถขับออกจากที่จอดรถซึ่งมืดอย่างไม่มีแสงไฟชนิดที่ว่าน่ากลัวจะมีโจรออกมาปล้น
แต่คิดอีกที…
ถ้าโจรมาเห็นพวกเราตอนนั้น ฝั่งโจรนั่นแหละที่น่าจะรีบวิ่งหนีไปก่อน
ผมไม่คิดว่าครั้งที่สองของเราจะเป็นในรถ
อันที่จริงมันเรียกครั้งที่สองได้มั้ยนะ ในเมื่อเรายังไม่ได้…
ผมโบกมือในอากาศ ปัดความคิดไร้สาระออกจากหัว เคย์หายเข้าไปในห้องน้ำเป็นสิบนาทีแล้ว ผมไม่เคยเห็นเขาอาบน้ำนานขนาดนี้มาก่อน และเพราะเขาเปิดฝักบัวค้างไว้ทำให้ผมไม่รู้ว่าเขาทำกิจกรรมนอกเหนือจากการอาบน้ำในนั้นมั้ย
แล้วทำไมผมจะต้องโฟกัสตรงนั้นด้วยวะ
ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งๆที่หัวยังเปียกชื้น
มันคือความเผลอไผล
มันคืออารมณ์ชั่ววูบ
อา…ผมคิดว่าผมสามารถสะกดจิตตัวเองได้ห่วยทีเดียว
เราต่างก็รู้ดีว่าทุกครั้งที่ผมกับเขาอยู่กันลำพังในห้องนี้ มันเหมือนกับว่ามีประกายบางอย่างที่พร้อมจะถูกจุดให้ระเบิดล่องลอยอยู่ในอากาศ และทุกครั้งผมระวังตัวไม่ให้ไปสัมผัสโดนประจุเหล่านั้น
แต่ตอนอยู่ในรถผมดันชนมันเข้าไปเต็มๆเลยนี่สิ
จะว่าเสียใจก็พูดได้ไม่เต็มปากในเมื่อรสชาติหวานของช่วงเวลานั้นยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น
ผมเผลอใช้ปลายนิ้วลูบริมฝีปากของตัวเอง คิดกังวลว่ามันจะนุ่มมั้ยนะ หรือตอนเราจูบกันมันจะมีแค่ผมที่รู้สึกดีหรือเปล่า
ติ๊ง!
งับ!
ผมแทบจะร้องอ๊ากเมื่อเสียงไลน์ที่ดังขึ้นขัดความคิดจนเผลองับนิ้วของตัวเองเข้าไปจริงๆ พอเอาออกมาดูก็เห็นว่าผิวเป็นรอยแดงเพราะแรงกัด
ผมถอนหายใจ หยิบเอาโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะพบข้อความที่ทำให้ตัวแข็งเป็นหิน
Rain : วันงานจะเจอกันที่ไหน
เออว่ะ
อีกสามวันจะถึงวันอีเว้นท์คอสเพลย์แล้ว
เพราะมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องน่าสับสนในหัวตัวเองแล้วก็งานที่มหาลัย ผมถึงกับลืมอีเว้นท์ที่รอมานานเลยหรือ ผมจับโทรศัพท์พิมพ์ตอบเขากลับไป
JIN : ไม่อยากเจอกับมึงหรอก
Rain : คิดว่ากูอยากเจอกับมึงนักเหรอ
JIN : 9โมงหน้างาน?
Rain : ได้ ตามนั้น
ผมวางโทรศัพท์ลงเมื่อจบบทสนทนาห้วนๆตามปกติเวลาเราคุยกัน นั่นคือเรน เพื่อนในวงการคอสเพลย์สายแทร็ปของผมเอง เป็นคนน่ารำคาญที่ย้อนกลับไปได้จะไม่ยอมรู้จักกับมันเด็ดขาด
ผมละสายตาไปมองประตูห้องน้ำที่ยังมีเสียงน้ำไหลอย่างต่อเนื่อง เมื่อแน่ใจว่าคนที่ยังคงอาบน้ำอยู่คงจะไม่ออกมาในเร็วๆนี้ผมจึงลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งผมยังคงซ่อนเสื้อผ้าใหม่ๆไว้ในนั้น
กิโมโนลายซากุระสีชมพูอ่อนยังคงพับอยู่ในกล่องอย่างเรียบร้อย สายโอบิสีชมพูเข้มถูกวางไว้ข้างๆพร้อมกับวิธีการผูก ผมไล่นิ้วสัมผัสกับเนื้อผ้านุ่มลื่น สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของตัวเองไม่ต่างจากครั้งแรกที่หยิบเดรสจากตู้เสื้อผ้าของแม่มาลองใส่
ในที่สุดผมก็คลี่กิโมโนตัวนั้นออกมาทาบกับตัวเอง จ้องมองตัวเองในกระจกจนไม่รู้สึกตัวว่าตอนนี้เสียงน้ำหยุดไปแล้ว พร้อมๆกับที่เคย์เปิดประตูออกมาในชุดนอน
“ชุดใหม่เหรอ” เขาไม่ได้ผงะหรือส่งสายตาเคลือบแคลงมาที่ผมซึ่งกำลังทาบชุดของผู้หญิงกับตัว
“อือ”
“จะลองมั้ย”
“นิดหนึ่งก็ดี”
แต่คิดๆแล้วผมก็มองไปทางด้านหลังอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ ซึ่งเคย์ก็ทำหน้าซื่อมองผมด้วยตาใสๆ
“ครั้งที่แล้วกูแค่เข้าใจผิด ปกติกูควบคุมตัวเองเก่งจะตาย”
เหรออออ
ผมส่งสายตาค้อนให้กับคำตอบนั้น แต่ก็เอาเหอะ เห็นกันไปหมดแล้ว ใช่ว่าจะน่าอายซะหน่อย….แถมผมยังอยากแกล้งคนที่กล้าเคลมตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรด้วย
“อยากเห็นกูใส่นักใช่ป่ะ” ผมหันกลับไปเห็นเขากลืนน้ำลายเอื๊อกจนลูกกระเดือกขยับอย่างชัดเจน “งั้นนั่งเฉยๆซะนะ”
เพราะผมจะค่อยๆใส่ทีละชิ้นต่อหน้าเขาเอง : )
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อดกลับมาทางสายกามไม่ได้จริงๆค่ะ
คอสเพลย์จงเจริญ! คอสเพลย์จงเจริญ!
เรื่องดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว พร้อมกับมาม่าหรือยังคะ /สูดบะหมี่
@nofsnof
ดีใจจังค่ะที่ยังมีคนจำนพได้ กรี๊ดๆ รอดูว่าคุณเขาจะมีบทบาทอะไรอีกมั้ยกันนะคะ หลังจากพบจุดจบของเขาในเรื่องสั้นไปแล้ว ฮา