เรือนร้าว17(ครึ่งหลังอัพครบ)
ตอน ถวิล
ณ พระนคร
“เจ้าดอม เมื่อไหร่เจ้าจะไปทำงานเสียที พระยาสุรศักดิ์พร่ำบ่นพ่อทุกเมื่อเชื่อวันว่าไม่เคยเห็นหัวเจ้าเลย”
พระยามนตรีส่ายหน้าระอาที่บุตรชายคนเล็กที่เกิดจากภรรยาชาวสยามนั้นวันๆเอาแต่นั่งแต่งกาพย์กลอน แม้ด้วยความฉลาดสามารถเรียนได้สูสีพร้อมกับบุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์ทำให้สามารถฝากเข้าทำงานกับพระยาสุรศักดิ์ จนได้ยศตำแหน่งขุนได้อย่างรวดเร็วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนานครั้งคุณดอมกลับไม่ใคร่สนใจงานการเท่าใดนัก เพราะมัวแต่โปรดปรานบทละครและกาพย์กลอนอยู่นั่นเอง
“วันนี้ไม่มีประชุมราชการนี่ขอรับคุณพ่อ กระผมก็อยากอยู่เรือน ทำในสิ่งที่ชอบบ้างก็เท่านั้น” คุณดอมแก้ต่างบิดา
“เฮ้อ!” พระยามนตรีถอนหายใจดังเฮือก “ลูกคนโตก็ได้เลื่อนยศเชื่องช้าไม่ทันใจ คนเล็กก็วันๆเอาแต่แต่งกลอนไม่สนใจงานการ นี่ถ้าเจ้าเรียนได้ที่หนึ่งเหมือนพ่อเขมล่ะก็...ป่านนี้คงได้เป็นนักเรียนทุนโก้อยู่อังกฤษแล้ว”
คุณดอมที่ได้ยินบิดากล่าวถึงคู่แข่งสมัยเรียนก็หูผึ่ง เงยหน้าขึ้นด้วยความเคืองเล็กๆด้วยทุกวันนี้ยังริษยาคุณเขมไม่หายแม้จะเรียนจบมาถึงสามปีแล้วก็ตาม เพราะบุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์อะไรนั่นนอกจากจะเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้ว ยังสอบไล่ได้ที่หนึ่งจนอาจารย์ใหญ่ชอบใจมอบทุนไปเรียนต่อยุโรปเก๋โก้
ในขณะที่ตน...กลับถูกเพื่อนร่วมชั้นตีตนออกห่าง ถูกนินทาว่าหยิ่งยะโส เรียนเก่งสู้คุณเขมไม่ได้แล้วยังทำอวดเก่ง แล้วจะไม่ให้ตนชอบคุณเขมอะไรนั่นได้อย่างไรล่ะ!?
“หึ! คุณพ่อมีเบี้ยอัฐมากมาย แต่กลับไม่ส่งผมไปเอง มิอย่างนั้นผมคงโก้ไม่แพ้คุณเขมอะไรนั่นหรอกขอรับคุณพ่อ”
“แล้วใครใช้ให้เจ้าเรียนด้อยกว่าพ่อเขมเล่า?!”
“คุณพ่อ!”
คุณดอมผุดลุกขึ้นจากที่นั่งทำหน้าโกรธเกรี้ยว เพราะหลายครั้งที่ตนมักถูกเปรียบเทียบกับลูกขุนน้ำขุนนางด้วยกัน ไม่ใช่เพียงแค่ตน แต่คุณโดมผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาก็โดนด้วยว่าเป็นบุตรพระยารับราชการในกระทรวงดีๆไม่ชอบ กลับไปดิ้นรนเสี่ยงชีวิตกับโจรผู้ร้ายโดยไม่สนใจว่าจะได้รับยศตำแหน่งอะไร แต่พอถึงคราวตนได้รับราชการบ้าง มีความชอบในการประพันธ์บทละครจนได้รับยศเป็นขุนวรประพันธ์ หากถึงกระนั้นก็ยังหาเป็นที่พอใจแก่บิดาไม่
“วันก่อนฉันเจอคุณพระวินิตราชศักดิ์ เห็นว่ากำหนดกลับของพ่อเขมคือกลางปีหน้า คุณพระจึงตั้งใจจะฝากฝังพ่อเขมกับฉันให้ทำงานราชการเสียเลย คนเก่งๆอย่างพ่อเขม ฉันเชื่อว่าไม่พ้นปีคงได้ตำแหน่งหลวงเหมือนคุณพระในวัยหนุ่มเป็นแน่”
“อะไรนะขอรับ!?” คุณดอมขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “สามปีมานี้กระผมยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหลวงเสียที คุณพ่อยังจะไปช่วยคุณเขมอะไรนั่นอีกหรือขอรับ?!”
“อย่ามาขึ้นเสียงใส่พ่อนะเจ้าดอม!” พระยามนตรีเอ็ดตะโรบุตรชายคนเล็ก “ในเมื่อมีลูกถึงสองคน แต่ละคนมันไม่ได้ดั่งใจ ฉันก็จะสนับสนุนลูกของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่บ้างจะเป็นกระไรไป”
พระยามนตรีส่ายหน้าหัวเสียเดินกลับเข้าไปในบ้าน คุณดอมมองตามบิดาด้วยความหงุดหงิดและคับแค้นใจ เขาเป็นถึงบุตรที่เกิดจากมารดาชาวสยามที่เป็นลูกขุนน้ำขุนนางสูงส่ง ไม่เหมือนกับพี่ชายที่เกิดจากแหม่มฝรั่งมังค่าภรรยาคนแรกของคุณพ่อ
จะมายอมให้บิดาส่งเสริมลูกของเพื่อนที่มียศถาต่ำต้อยกว่ากระนั้นรึ! ไม่มีทาง!!
ในเมื่อผู้เป็นพ่อไม่เห็นหน้าไม่เห็นหัวตัวเองบ้าง เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกัน!
รอวันที่คุณเขมกลับมาก่อนเถอะ...จะจัดการให้สาสมทีเดียว!
“ยม เปิดประตูหน่อย ฉันกลับมาแล้วนะ”
เมื่อได้ยินเสียงของคุณโดม ร่างน้อยก็รีบเดินจ้ำอ้าวมาเปิดประตูที่ลงกลอนไว้แทบจะทันทีเพราะเกรงว่าคุณโดมจะรอเสียนาน
“ทำอะไรอยู่?”
“เพิ่งทำกับข้าวเสร็จจ้ะ” ยมตอบคุณโดม รับปิ่นโตที่ร้อยโทหนุ่มส่งมาให้ คุณโดมยิ้มมุมปากก่อนเดินเข้าไปในห้องทำครัว ก็พบว่าบนโต๊ะมีอาหารประมาณสองสามอย่างวางอยู่แล้ว
“หื้ม?” สายตาคมกริบเห็นพวงลูกตาวตั้งไว้อยู่มุมห้อง ก่อนจะหันไปถามยมที่เดินตามมาติดๆ “นั่นยมไปเอาลูกตาวมาจากไหนน่ะ?”
“เอ่อ...คือ...” ยมตอบเสียงสั่นๆ คุณโดมจะดุตนไหมหนอที่ตนพูดคุยกับคนแปลกหน้า “พอดีใกล้ๆเรือนมีเพื่อนบ้านย้ายมาใหม่ เขานำลูกตาวมาให้เพราะแค่อยากรู้จักบ้านใกล้เรือนเคียงน่ะจ้ะ คุณโดมไม่ว่า...”
“ฉันจะว่ายมทำไมกัน” คุณโดมพูดดักขึ้นพลางพับแขนเสื้อเพื่อล้างมือล้างไม้ให้ถนัด “ยมจะคุยกับเพื่อนบ้านฉันก็ไม่ว่าหรอก แค่จำไว้ว่าต้องคอยระวังตัว แต่ถ้าเขามาดีจริงก็ไม่ต้องถึงขั้นไประแวง เข้าใจไหม?”
เด็กน้อยยิ้มแหย หากแต่ก็พยักหน้ารับรู้โดยดี คุณโดมจึงชวนยมทานมื้อเย็นด้วยกัน จากครั้งแรกที่ยมตัวเกร็งด้วยไม่เคยนั่งเสมอนายมาตลอดเริ่มชินกับการร่วมโต๊ะกับร้อยโทหนุ่มเสียแล้ว
“อยู่คนเดียว เหงาไหมยม?” คุณโดมเอ่ยถามไถ่เพื่อไม่ให้มื้อนี้เงียบเหงาจนเกินไป
“ก็นิดหน่อยจ้ะ...” ยมตอบขณะตักผัดผักเข้าปาก
“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ ฉันจะพายมไปซื้อเสื้อผ้าข้าวของเพิ่ม จะได้ไปซื้อของสดเพิ่มด้วย ดีไหม?”
ยมพยักหน้าหงึกๆ ตามใจคุณโดมเพราะรู้ดีว่าถึงจะปฏิเสธอย่างไรคุณโดมก็คงจะดึงดันพาตนออกไปอยู่ดี ดังนั้นเมื่อคุณโดมเป็นฝ่ายอาสาเก็บล้างจานชามเสร็จ ร่างสูงก็พายมขับรถยนต์คู่ใจออกมาเดินเล่นตลาดยามเย็นที่เดียวกับเมื่อวานแทน วันนี้แตกต่างจากเมื่อวานตรงที่ผู้คนเดินกันให้ควั่กมากกว่าเดิมเสียอีก
“นี่ๆตั๋วๆ เห็นว่าวันนี้จะมีคณะละครจากบางกอกสิมาเล่นให้ผ่อละเน้อ” เสียงหญิงชาวบ้านเดินเกาะกลุ่มพูดคุยกันตื่นเต้น
“แต้กา? เรื่องอะหยังอีเครือ?”
“บ่ฮู้สิ เปิ้นว่ารีบไปผ่อกันติกว่า ขะใจ๋เข้า!”
แม้ภาษาเหนือจะค่อนข้างยากที่จะจับใจความสำหรับยม แต่เด็กน้อยก็พอจะจับใจความได้ว่าวันนี้จะมีคณะละครจากพระนครมาแสดงให้ชม ราวกับรู้ใจ...เพราะอยู่ๆคุณโดมก็สะกิดถามเด็กน้อยขึ้นมา
“ยมอยากดูละครไหม?”
ยมพยักหน้าหงึกหงัก จากที่ตอนแรกจะมาซื้อของอย่างเดียว กลายเป็นว่าตอนนี้คุณโดมก็เดินนำยมมายังลานกว้างกลางตลาดที่มีพรมและแท่นปูไว้สำหรับนางรำรำแสดง ความจริงยมก็เคยเห็นผ่านในพระนครมาบ้าง แต่ไม่เคยได้นั่งชมใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ละครเปิดเรื่องด้วยการมีเด็กสองคนที่ถูกทาผิวจนดำมิดหมีมาสร้างสีสันให้ชาวบ้านพากันหัวเราะขบขันในอากัปกิริยาเฉกเช่นชาวซาไก ก่อนจะมีตัวละครเด่นสามคนเริ่มแสดงบทสำคัญตาม ส่วนใหญ่บทกลอนจะไม่ค่อยมีเท่าใด จะหนักไปทางพูดและอารมณ์ของคนแสดงสมกับเป็นละครนอกมากกว่า
“พี่ฮเนาปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย จ้วยเปิ้นโต้ย!”
คนแสดงเป็นลำหับตะโกนขอความช่วยเหลือกลางคำเหนือคำเมื่อถูกฮเนายื้อยุด แต่ก็ถูกซมพลาลอบเอาไม้พลองตีหัวจนล้มตึงไปบนพื้นท่าทางขบขันเรียกเสียงหัวเราะจากชาวบ้าน ยมชมละครชุดนี้อย่างมีอารมณ์ขันร่วมกับคนอื่นโดยมีคุณโดมนั่งขำท้องแทบหงายอยู่ข้างๆ
จนกระทั่งเรื่องดำเนินมาถึงตอนที่ฮเนามาแย่งชิงลำหับกลับบ้าน แต่ซมพลาไม่ยอมจึงเกิดการต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร เมื่อฮเนาใกล้จะเสียที พี่ชายของฮเนาก็เป่าลูกดอกอาบนาพิษปักหน้าผากซมพลาจนตาย ลำหับร้องไห้คร่ำครวญเข้าถึงบท ยกมีดปลอมที่ใช้แสดงฆ่าตัวตายตามคนรัก ฮเนาพร่ำพรรณนาความรักที่มีต่อลำหับก่อนจะแทงตัวตายตามด้วยความรู้สึกผิด ทำเอาชาวบ้านร้องโห่อยู่ชั่วคราวเพราะเรื่องจบอย่างไม่มีความสุข จนต้องเอาเด็กที่เล่นเป็นคนังกับไม้ไผ่มาปิดฉากเรียกเสียงหัวเราะถึงจะยอมกลับไปนั่งดูที่เดิม
“คณะละครนี่ก็แปลกแท้ รู้ทั้งรู้ว่าชาวบ้านส่วนมากไม่ชอบละครที่จบแย่ ก็ยังจะเอามาเล่น” คุณโดมส่ายหน้าพลางบ่นพลาง ผิดกับยมที่ยังคงนั่งดูเด็กตัวเล็กทั้งสองไม่วางตา โดยเฉพาะเด็กที่สวมบทบาทเป็นคนัง...
พระนิพนธ์เงาะป่าว่าตามเค้า
คนังเล่าแต่งต่อล้อมันเล่น
ใช้ภาษาเงาะป่าว่ายากเย็น
แต่พอเห็นเงื่อนเงาเข้าใจกัน
ทำแปดวันครั้นมาถึงวันศุกร์
สิ้นสนุกไม่มีที่ข้อขัน
วันที่สองของเดือนกุมภาพันธ์
ศกร้อยยี่สิบสี่มั่นจบหมดเอย
“คนังเป็นใครหรือจ๊ะพี่เขม?” ยมสะดุดชื่อแปลกตาตรงวรรคที่สอง หรือจะเป็นชื่อของผู้ที่ช่วยในหลวงท่านแต่งเรื่องเงาะป่ากันนะ
“คนังเป็นเด็กชาวซาไกที่ในหลวงทรงรับอุปการะ พระองค์จึงได้รับรู้วิถีชีวิตของชาวซาไก ภาษาก็อย และวัฒนธรรมที่แทรกอยู่ในหนังสือ ก็มาจากคนังนี่แหละ พระองค์ถึงได้แต่งเสร็จภายในแปดวันไม่ติดขัด”
ว่าแล้ว...ก็คิดถึงหนังสือเงาะป่าที่ยังอยู่ที่เรือนของตนเหลือเกิน
ตั้งแต่จากมา ยมไม่มีของๆพี่เขมติดมาแทนความคิดถึงแม้แต่ชิ้นเดียว...
หวังว่าพี่มั่นพี่เพลิง...จะเก็บหนังสือเล่มนั้นไว้คืนคุณเขมแทนนะ
“ยม เหม่ออีกแล้ว..” ร้อยโทหนุ่มสะกิดเรียกเมื่อเห็นยมเหม่อลอยได้สักพัก ก่อนจะลุกเพื่อเดินนำยมไปซื้อของ“ละครจบแล้ว ไปซื้อของกันดีกว่า”
“จะ...จ้ะ คุณโดม”
เมื่อหลุดออกจากภวังค์ได้ยมก็รีบตอบรับคนตัวใหญ่ เดินตามร่างสูงต้อยๆ เขาพายมไปซื้อเสื้อผ้าราคาไม่แพงเพิ่มสองสามชุดอ้างไว้ใส่นอนจะได้สบายๆ ตามด้วยของสดไว้ให้ยมทำอาหารมื้อต่อไป กระทั่งได้ของครบคุณโดมก็จะพายมกลับเรือน หากแต่ระหว่างเดินกลับนั้นคุณโดมก็หยุดชะงักเมื่อเห็นร้านเล็ๆที่มีต้นไม้พรรณหายากปลูกเรียงราย หน้าร้านมีดอกไลเซนทัสประดับปะปนกับพรรณไม้อื่น คุณโดมมองอย่างฉงนด้วยไม่คิดว่าจะได้มาเจอที่เมืองเหนือเช่นนี้
“สนใจดอกไลเซนทัสรึพ่อหนุ่ม?” ลุงเจ้าของร้านหน้าตาใจดีทักทายคุณโดมอย่างมีอัธยาศัย ภาษาบางกอกชัดถ้อยคำราวชาวพระนคร “นี่ดอกไม้เทศเจียวนะ เจ้านายเก่าลุงเป็นฝรั่ง ท่านปันพรรณไม้พวกนี้มาให้ลุงปลูก ลุงเห็นว่าได้ราคางามจึงนำมาขายนี่แหละ”
สุดท้ายแล้วคุณโดมก็ได้ซื้อดอกไลเซนทัสมาจากลุงคนขายในราคาที่ไม่ได้แพงหูฉี่อย่างที่คิดไว้แต่แรกนัก ก็ดีเหมือนกัน...เห็นแล้วก็คิดถึงดอกไลเซนทัสที่เรือนของบิดาเหลือเกิน ร้อยโทหนุ่มหันไปมองร่างเล็กที่กำลังหลับตาพริ้มเพื่อดอมดมกลิ่นหอมของดอกมะลิลาอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าคมคายแบบฝรั่งยกมุมปากยิ้มน้อยๆ
“ยมอยากได้ดอกมะลิรึเปล่า?”
เพราะเห็นว่ายมไม่ยอมห่างจากต้นมะลิต้นเล็ก คุณโดมจึงตัดสินใจควักอัฐส่งให้ชายชรารวมกับดอกไลเซนทัส ก่อนจะช่วยกันนำต้นไม้ทั้งสองไปไว้เบาะหลังเพื่อกลับเรือนเพราะยามนี้ก็ใกล้ค่ำมืดเต็มที
“เรียบร้อยแล้วนะยม” คุณโดมยืนมองผลงานหลังจากนำทั้งต้นไลเซนทัสกับมะลิมาปลูกเข้าไว้ใกล้ๆกัน หัวใจของทั้งสองยามที่มองดอกไม้ที่ชื่นชอบ ก็ย่อมมีความคิดอ่านต่างหันออกไป
หัวใจหนึ่งมองดอกไลเซนทัส...นอกจากจะระลึกถึงหญิงสาวที่สวยที่สุดในชีวิต เขายังแน่วแน่ที่จะรักษามิตรภาพที่ชิดใกล้
หากแต่อีกหนึ่งหัวใจที่มองดอกมะลิ...กลับมีเพียงสิ่งเดียวที่นึกคิด
คิดถึงคนอีกคน...ที่ชื่นชอบดอกมะลิเช่นเดียวกัน!
“ยม...” คุณโดมเรียกยมที่ยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขยามมองดอกมะลิ “ดูยมมีความสุขมากขึ้นนะ ตั้งแต่ฉันซื้อดอกมะลิให้”
“ก็มันเหมือนได้อยู่กับพี่เขมนี่จ๊ะ” ยมพลั้งเผลอตอบตามที่ใจนึกคิด นั่นทำให้คุณโดมทำหน้านิ่งอย่างเห็นได้ชัด
“ยมยังรอเขมอยู่อย่างนั้นหรือ?”
“เอ่อ...” ใบหน้าของเด็กน้อยเจื่อนลง พยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบ
“ความรักของยมนี่มั่นคงดีนะ” ริมฝีปากหนายิ้มมุมปาก พูดเหมือนที่ใจคิดเช่นเดียวกัน หากนั่นกลับทำให้แววตาของยมสลดลง
“ก็ทั้งชีวิตของยม มีแค่พี่เขมคนเดียวนี่จ๊ะ” แม้กลีบปากสวยจะยิ้มน้อยๆ แต่น้ำเสียงนั้นแผ่วเหลือเกิน “ยมเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตาย คนที่อยู่ด้วยแล้วยมรู้สึกอบอุ่นที่สุด ก็คือพี่เขม”
“หึ...” ร้อยโทหนุ่มเหล่มองเด็กหนุ่มที่รู้สึกว่าตอนนี้จะกล้าพูดถึงคุณเขมดีอย่างนั้นอย่างนี้...มากเหลือเกิน
“ฉันรู้แล้ว ว่ายมรักเขมมากขนาดไหน” ร่างสูงนั่งยอง ชำเลืองมองดอกไลเซนทัสบ้าง “ก็เหมือนที่ฉันรักคุณแม่ของฉันนั่นแหละ”
คุณอันนา...เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในความทรงจำของคุณโดม ดวงตากลมโตสวยสีฟ้า ผิวที่ขาวเนียนสมเป็นหญิงยุโรป เส้นผมสีบลอนด์สลวยงดงามประบ่า แม้โดยชาติกำเนิดจะเป็นแหม่มฝรั่ง แต่คุณอันนาเล่าให้ฟังว่าเธออยู่กับคุณตาในสยามมาตั้งแต่แบเบาะ จึงสามารถเจรจาพาทีภาษาสยามได้ไม่ติดขัด คุณโดมในวัยเยาว์แม้จะดูเผินๆแล้วชอบเล่นซนตามประสาเด็ก หากแท้จริงแล้วกลับมองออกทุกอย่างว่าแววตาของมารดาเศร้ามากแค่ไหน เพราะยามที่ร้องไห้เสียใจคุณอันนามักจะชอบมานั่งเหม่อลอยท่ามกลางทุ่งไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์ที่งดงาม
“มัมครับ”
คุณโดมในวัยห้าขวบวิ่งเข้ามากอดร่างของมารดาที่นั่งหันหลังอยู่ที่ดงดอกไลเซนทัสในสวนของพระยามนตรี คุณอันนาปาดน้ำตาก่อนจะหันมายิ้มให้ลูกชายที่เธอรักแสนรัก
“โดม...เด็กดีของมัม” เธอโอบกอดลูกชายตัวน้อย หลบซ่อนใบหน้าสวยหวานที่ตอนนี้ดวงตาสีฟ้าแดงก่ำ “นี่ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วนะ ทำไมยังไม่ทานข้าวจ๊ะ?”
“โดมอยากทานกับมัมครับ” เด็กน้อยออดอ้อนผู้เป็นมารดา “คุณพ่อไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน โดมเหงา”
“โธ่...มายเดียร์”
คุณอันนาแทบจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ แม้จะเป็นภรรยาเอก แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างออกหน้าออกตา ที่ทุกวันนี้เธอได้รับการดูแลอย่างดีก็เพราะเพียงเธอมีเลือดเนื้อเชื้อไขของพระยามนตรีก็เท่านั้น แต่คุณอันนาเองไม่เคยมองคุณโดมเป็นเครื่องมือคอยรั้งผู้เป็นสามีแม้แต่น้อย หากแต่เธอก็อยากให้ลูกชายมีครอบครัวที่อบอุ่น จึงยอมก้มหน้าก้มตารับสภาพต่อไป
“แค่ก...แค่ก...” หญิงสาวไอสำรอกออกมาจนต้องเอามือปิดปากไว้ ครั้นเมื่อพินิจอีกที หยาดสีแดงเปื้อนฝ่ามือขาวเนียนเต็มมือ เวลาของเธอใกล้หมดตั้งแต่วินาทีนี้แล้วสินะ
นี่ล่ะ...สาเหตุที่เธอถูกสามีทิ้งขว้าง เพื่อแสวงหาหญิงอื่นที่เหมาะสมอยู่ร่ำไป
“มัม! ทำไมมัมไอเป็นเลือด ฮือ!” เด็กน้อยร้องไห้คร่ำครวญเมื่อเห็นสภาพอิดโรยหน้าเวทนาของมารดา หากแต่คุณอันนาฝืนยิ้มก่อนจะยื่นดอกไลเซนทัสให้ลูกชาย
“โดม ที่รักของมัม” เธอกุมมือน้อยของลูกชาย...ที่เธอรักทั้งหมดของหัวใจ “หากมัมไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ดอกไลเซนทัสนี้จะเป็นเครื่องเตือนความทรงจำของเรา โดมจำความหมายของมันได้ใช่ไหม?”
“ฮึก...จำได้ครับ มันหมายถึง ความรัก ความทรงจำที่ดี และมิตรภาพที่ดีด้วย” คุณโดมตอบมารดาเสียงสั่นเครือ คุณอันนายิ้มรับน้อยๆเมื่อได้ฟังคำตอบ
“จงจำไป...ตลอด...นะจ๊ะ...”
ดวงตาสีฟ้าเริ่มปิดสนิท มือเรียวที่เปื้อนเลือดยังคงเกาะกุมลูกชายตัวน้อยไม่ห่าง ลมหายใจของคุณอันนาเริ่มผ่อนแรงลง ครั้นเมื่อเลือดออกทั้งเจ็ดทวาร มือของมารดาที่คล้ายปกป้องคุ้มครองดวงใจของตนก็ร่วงหล่นเช่นเดียวกับวิญญาณในร่าง
“มัม ฮือ! มัมครับ!!!”
จากเหตุการณ์ในวันนั้น...ชีวิตที่ไม่มีแม่ คุณโดมต้องทนแบกรับความกดดันที่บิดาต้องการ เขาทำได้ทุกอย่าง...ยกเว้นก็แต่ความฝันที่อยากจะเป็นตำรวจ พิทักษ์สันติราษฎ์เพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อีกทั้งตอนนี้นอกจากจะได้ปลูกดอกไลเซนทัสในเรือนปั้นหยาเพื่อนึกถึงคุณอันนาที่ล่วงลับไปแล้ว เขายังมีคนคอยช่วยดูแลดอกไม้ที่เขารักที่สุดในชีวิตอีกด้วย
เรียกว่าเป็นความสุขก็คงไม่ผิดกระมัง
‘มัมครับ...ไม่ต้องห่วงว่าผมจะอยู่คนเดียว ผมไม่เหงาอีกต่อไปแล้วนะครับ’
“เศร้าเหลือเกินจ้ะ”
เมื่อได้ฟัง...ยมก็เข้าใจอย่าถ่องแท้ทันที ว่าเหตุใดคุณโดมถึงได้รักดอกไลเซนทัสมากถึงขนาดนี้ เพราะต่างคนต่างมีดอกไม้แทนใจอยู่ในใจ เพื่อคิดถึงคนที่รัก
แต่มันต่างตรงที่...คนที่คุณโดมรักไม่กลับมาแล้วนั่นเอง!
“คุณแม่ยังอยู่กับฉันเสมอแหละนะ” ใบหน้าคมคายยิ้มส่งให้ ก่อนจะยื่นมือไปแตะหัวไหล่เอ่ยถามคนตัวน้อย “แล้วยมล่ะ? ในเมื่อยมไม่ได้อยู่เรือนคุณอาแล้ว ยมว่าเขมจะตามหายมไหม?”
“ยม...” อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีก้อนในลำคอ คล้ายเหมือนจะพูดไม่ออก แต่ก็เปล่งเสียงพูดออกไปจนได้ตามใจนึก แววตาจับจ้องมะลิลาด้วยใจถวิล
“ยมจะรอ ต่อให้ต้องรอชั่วชีวิต ยมก็จะรอ”