เรายังคงคุยกันได้ทุกเรื่องเหมือนเดิมแม้แต่เรื่องหยุมหยิมอย่างถกเถียงกันว่าวันนี้ฝนจะตกไหม จมูกผมที่ได้กลิ่นก่อนฝนตก กับการสังเกตก้อนเมฆของเขา อันไหนจะแม่นกว่ากัน ไปจนถึงเรื่องความฝันที่สำคัญในชีวิต
“ที่เลือกเรียนเคมีก็แค่อยากเรียนสิ่งที่หาเรียนนอกห้องเรียนไม่ได้น่ะ อย่างทุกคุกกี้ลองผิดลองถูกเอาเองก็ถูไถได้อยู่ แต่เคมีเนี่ย ศึกษาเองคงไม่เวิร์ค ต้องมีคนสอนคนติว แล้วก็มีห้องแล็บด้วย”
“แล้วทำไมต้องเคมีอะ ในเมื่อเรียนเฉพาะทางอย่างอื่นแบบพวกเภสัช หมอ วิศวะ ก็ได้นี่”
“อ๋อ การทดลองทางเคมีเหมือนการทำขนมจะตายไป ใส่ส่วนผสมพลาดนิดเดียวนะ...บึ้ม!!”
“โอ๊ย! ตกใจหมด”
“ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะ เผยรอยยิ้มที่เห็นฟันขาวเรียงสวยเป็นระเบียบ
“หัวเราะเก่งไปไหมคุณ” ผมแกล้งแซวด้วยท่าทีเซ็งๆ แต่เขาก็รู้ว่าผมไม่ได้จริงจังอะไร “แต่คุณดีนะ ความฝันและเป้าหมายชัดเจนมาก ดูอย่างผมตอนนี้ หนีจากโรงงานมาได้ก็ต้องทำงานในโรงพยาบาลแบบแค่ทำให้ผ่านไปวันๆ เท่านั้นเอง ชื่อตำแหน่งนักวิชาการ แต่ขลุกอยู่แค่กับงานเอกสารอะ ไร้ฝันมาก อันที่จริงผมก็ไม่มีความฝันชัดเจนแต่แรกล่ะนะ”
“ใครว่าคุณไม่มีความฝัน ฝันของคุณคือการได้อ่านหนังสืออยู่บ้านท่ามกลางกลิ่นหอมของคุกกี้รสเนยในเตาอบไม่ใช่เหรอ”
“นั่นมัน...เรียกว่าความฝันได้เหรอ เล็กน้อยมากเลยนะ”
“จะเล็กน้อยแค่ไหนก็เป็นความฝันหมดแหละ หรือต่อให้ไม่มีความฝันเลยก็ไม่เห็นเป็นไร”
เขาพูดพร้อมกับยิ้ม ทั้งที่ปกติแล้วรอยยิ้มของเขาดูสดใสเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ แต่ตอนนี้ดูอบอุ่นละมุนละไม
ผมไม่แปลกใจเลยที่ผมรักคนคนนี้
ในตอนนั้นผมคิดแบบนั้น
ความเป็นจริงแล้วรอยยิ้มเจิดจ้าซ่อนจุดกระดำกระด่างไม่ต่างจากดวงอาทิตย์เลย
ที่เราคิดว่าคุยกันได้ทุกเรื่อง จริงๆ แล้วไม่
ความจริงจุดเล็กๆ จุดนี้ผมน่าจะเห็นได้ตั้งแต่เขานึกจะพูดอะไรก็พูดกับแม่ผมแล้ว
ที่ว่าเราเช่าบ้านอยู่ด้วยกันหลังเรียนจบ ผมมารู้ตัวว่าเขาเลือกเช่าบ้านหลังไหนก็ตอนที่เขาพาผมไปดูแล้ว ที่เลือกเผื่อความต้องการของผมก็แค่ใกล้โรงพยาบาลที่ทำงานของผมเท่านั้น
ตอนผมทักท้วง เขายิ้ม หัวเราะสดใสแล้วบอกว่าเป็นเซอร์ไพรส์ไง พอผมบอกว่าไม่ชอบที่ไม่คุยกันก่อน เขาก็เงียบไป
ตอนซื้อเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ทีวี พัดลมแอร์ โคมไฟ เขาก็บอกแค่ว่าเขาไม่ได้ทำงานประจำ เวลาว่างเยอะกว่าเลยซื้อให้เลย พอผมทักท้วงว่าไม่ชอบที่ทำแบบนี้ เขาก็เงียบ
ตอนที่เขาทำคุกกี้เสร็จแล้วไม่ยอมเก็บล้างอุปกรณ์ในวันเดียวกัน ชอบปล่อยข้ามคืนจนบ้านมีแมลงสาบมาเยือน เขาก็หัวเราะแล้วบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ พอผมบอกว่าจะดีกว่าไหมถ้าไม่มีแต่แรก เขาก็เงียบ
ตอนที่ผมถามว่าทำไมไม่ครีเอกคุกกี้รสอื่นนอกจากรสเนยบ้างเพราะยอดขายเริ่มตกแล้ว เขาก็เงียบ
รวมถึงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ที่ผมไม่พอใจ เขาก็เงียบ
เงียบเหมือนที่แม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องพ่อ ไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผมเป็นเกย์
ผมว่ามันเป็นความเงียบแบบเดียวกัน
ความเงียบที่ทำให้เราไม่รู้จักกัน
จนกระทั่งวันที่ผมเจอมรสุมในการทำงาน ผมทำเอกสารสำคัญผิดพลาดจนกระทบทุกหน่วยงานในโรงพยาบาล โดนหัวหน้าด่าแบบสาดเสียเทเสีย พอเลิกงานผมตั้งใจกลับไปนอนพักที่โซฟาสักงีบ แต่เข้าบ้านไปหยิบน้ำจากตู้เย็นในครัวออกมาดื่มก็พบซากถาดจานชามที่ใช้ทำคุกกี้วางกองไว้เหมือนเดิมตั้งแต่เมื่อคืน ไม่รู้ว่าคนทำหายไปไหน แต่ผมเหนื่อยจนขี้เกียจโทรตามหรือล้างจานให้ จึงเดินไปนอนพักที่โซฟาตามที่ตั้งใจ
ความเงียบและลมเย็นจากพัดลมแอร์ทำให้ผมผ่อนคลายใกล้เคลิ้มหลับ แต่แล้วก็รู้สึกถึงอะไรยุกๆ ยิกๆ อยู่บนใบหน้า
มันเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่กำลังเดิน...
ผมลืมตาโพลงทันที แล้วก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น เส้นยาวๆ สองเส้นขยับอยู่ในระยะสายตา ทำให้แม้ไม่ต้องเห็นตัวสิ่งที่เกาะแก้มอยู่ก็รู้ว่าคืออะไร
แมลงสาบ
ผมร้องลั่นบ้าน มือปัดสิ่งที่ผมเกลียดสุดชีวิตออกโดยอัตโนมัติ แต่มันทำให้แมลงสาบกางปีกบิน ผมร้องเสียงหลงยิ่งกว่าเดิมและลนลานหนักจนตกโซฟา
“คุณ! ใจเย็น!”
เสียงของเขาดังขึ้นพร้อมกับมือที่เข้ามาจับไหล่ผมไว้ ผมตกใจจนไม่รู้ว่าเขาเข้าบ้านมาตอนไหน
“เพราะมึงนั่นแหละ!”
ผมโมโหมากจนยั้งไม่อยู่ ถึงขั้นขึ้นมึงขึ้นกู ตะโกนใส่หน้าเขาอย่างที่ไม่เคยทำ ผมเห็นเขาอึ้งไป แต่ก็พยายามกู้สถานการณ์
“เดี๋ยวผมตีมันให้”
“ไม่ต้องแล้ว! เดี๋ยวกูออกไปเอง! บอกกี่รอบแล้วว่าเกลียดแมลงสาบ ยังจะปล่อยให้บ้านสกปรกอีก”
“คุณ... ใจเย็น พูดกันดีๆ ก่อน” เขาพยายามดึงรั้งที่ผมดึงดันจะลุกหนี
“พูดเหรอ?” ผมมองหน้าเขา รู้สึกตอนนั้นเองว่ากลัว โกรธและโมโหจนน้ำตานองหน้าเพราะมองหน้าเขาได้ไม่ชัด “ที่ผ่านมากูพูดอะไรไปมึงก็เอาแต่เงียบหนี เงียบๆๆ เงียบจนไม่สนใจฟังด้วยซ้ำว่ากูเกลียดแมลงสาบแค่ไหน”
“ผมรู้ว่าคุณเกลียดแมลงสาบ”
“ไม่! มึงไม่รู้หรอกว่ากูเกลียดมันถึงขนาดยอมตายถ้าต้องอยู่ร่วมกับมัน เพราะอะไรรู้ไหม?! เพราะตอนเด็กๆ พ่อกูฉีดยาฆ่าแมลงลงท่อน้ำ แล้วฝูงแมลงสาบ...ฝูงแมลงสาบแม่งบินขึ้นมา เกาะตัวกูเต็มไปหมด ตอนนั้นพ่อกูก็ร้องลั่น ไม่ใช่เพราะห่วงกู แต่เขาก็กลัวแล้ววิ่งหนีออกจากบ้านไป ทิ้งกูไว้อะ กูที่ตอนนั้นยังไม่ถึง 5 ขวบด้วยซ้ำ!”
ผมไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้ายังไงอยู่ เพราะภาพยังพร่าเลือนด้วยน้ำตา แต่เขายังเงียบ ผมจึงยิ่งโมโห
“ทุกครั้งที่เห็นแมลงสาบ ความทรงจำแย่ๆ ก็ผุดขึ้นมา มันไม่ใช่แค่แมลงสาบ มันหมายถึงพ่อกูด้วย! พ่อที่แม่ไม่เคยพูดถึงเลย กูอยากให้แม่พูดถึงเขาบ้าง จะข้อดีหรือข้อเสียอะไรก็ได้ เพราะสิ่งเดียวที่กูจำเขาได้คือเรื่องแมลงสาบ!”
พอพูดถึงตรงนี้ผมปล่อยโฮออกมา ผมสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดของเขาที่พยายามกอดปลอบใจ ทั้งลูบหัวและลูบหลังจนผมเริ่มจะเย็นลง
“คุณไม่เคยบอกผมเลย...”
แต่แล้ว...อารมณ์ของผมก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีกรอบ
“แล้วมึงเคยฟังกู คุยกับกูเหรอ?” ผมถาม ผละจากอ้อมกอดเขา “พอกูจะเคลียร์ปัญหา มึงเอาแต่หนี เอาแต่เงียบ ทุกเรื่องเลย ตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ ทำไมวะ ไอ้เรื่องที่ทำอะไรโดยไม่บอกนี่ก็ที่สุดเลยว่ะ คิดว่าสิ่งที่ทำอะดีแล้วจริงเหรอ ทำโดยไม่ปรึกษาเนี่ย คิดว่ากูจะพอใจใช่ไหม แต่สุดท้ายก็เห็นตลอดนี่ว่ากูไม่พอใจ พอกูพูด มึงก็เงียบ มึงก็หนี วิธีแก้ปัญหาของมึงแม่ง...โคตรทำร้ายกูเลยว่ะ หรือว่าจริงๆ แล้วมึงรับไม่ได้ที่สิ่งที่มึงทำน่ะมันแย่ มันห่วย แล้วมึงก็อ่อนแอเกินกว่าจะรับฟัง มึงแม่งห่วยว่ะ ห่วยกระทั่งคุกกี้ที่มึงทำนั่นแหละ!”
ผมตะโกนใส่หน้าเขาราวสำรอกความไม่พอใจตลอดระยะเวลาหลายปีออกมา เหมือนเดิมที่ผมไม่เห็นสีหน้าเขา แต่เขาไม่ได้เงียบอีกต่อไป
“ถ้าผมแย่ขนาดนั้น ผมก็จะไม่อยู่ให้คุณเสียใจแล้วกัน”
ผมเดาอารมณ์ในน้ำเสียงเขาไม่ออก แต่เห็นว่าเขาลุกออกไปจากที่เรานั่งกองกันอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา ผมจึงยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกให้เห็นชัดๆ
เขาเดินออกไปจริงๆ โดยไม่หันหลังกลับ
“เออ ไปได้ก็ดี”
ผมพูดไล่หลัง จะได้ยินหรือไม่ได้ยินผมไม่ใส่ใจ และหลังจากเขาเดินออกไปแล้ว ผมมองหาว่าแมลงสาบที่กระตุ้นให้ผมระเบิดอารมณ์นั้นอยู่ไหนจะได้หลีกเลี่ยง แต่ผมก็ไม่เห็นตัวมันอีก
ถึงจะไม่เห็น แต่ผมก็ตัดสินใจเดินออกจากบ้านเพราะไม่อยากอยู่ร่วมกับแมลงสาบ ผมอาจจะไปค้างที่อื่นสักสองสามวันแล้วค่อยกลับมา ป่านนั้นเขาคงกลับมาล้างอุปกรณ์ทำขนมให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว และแมลงสาบก็คงหายไปแล้ว
ผมคิดแบบนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะไม่กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกเลย
**
สองเดือนหลังจากที่เราเลิกกันโดยไม่มีคำบอกเลิก ผมย้ายออกจากบ้านเช่ากลับมาอยู่บ้าน ในเมื่อพยายามติดต่อเขาแล้วไม่เป็นผล ยิ่งรู้ข่าวจากเพื่อนเขาว่าเขาสบายดี เขาแค่ไม่กลับมา ผมเลยยิ่งทำตามอำเภอใจ ในเมื่อเขาทิ้งทุกสิ่งไม่กลับมาเอา ผมจึงทิ้งข้าวของเขาหมด ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ตุ๊กตา ครีม ที่ชาร์ตแบต จานชาม อื่นๆ อีกสารพัดตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ยกเว้นก็แต่อุปกรณ์ทำขนมอย่างเตาอบ เครื่องตีแป้ง ถาด จานชามทั้งหลาย ผมเอากลับบ้านเพื่อให้แม่ใช้งาน เหมือนเดิมที่แม่รับไปโดยไม่พูดอะไร ผมก็ไม่พูดอะไร
การกลับมาบ้านคือการใช้ชีวิตแบบวันๆ ตื่นเช้าไปทำงาน เย็นเลิกงานกินข้าวนอกบ้านบ้าง ในบ้านบ้าง หมกตัวไม่สุงสิงกับใคร ไถมือถือดูฟีดขาว ง่วงก็นอนให้จบไปอีกวัน
เสาร์อาทิตย์ไหนที่แม่ไปบ้านแฟนก็จะไม่มีกลิ่นคุกกี้ที่บ้าน แต่ถ้าแม่อยู่ กลิ่นหอมของคุกกี้จะอบอวบไปทั่ว
แล้ววันหนึ่งแม่ที่เงียบเรื่องสำคัญมาตลอดก็พูดขึ้นมา
“ลูกไม่เคยบอกแม่เลยนะว่าชอบกลิ่นตอนอบคุกกี้รสเนยที่สุด”
“แล้ว...แม่รู้ได้ไง”
“เขาบอกแม่”
“เขานี่ใคร”
“จะใครซะอีก ก็แฟนลูกไง”
คำพูดของแม่ทำให้ใจที่ไม่อ้วนท้วนของผมรู้สึกสะอึกหลายประเด็น
ประเด็นแรก แม่ยอมรับได้ว่าผมชอบผู้ชายจากปากแม่เอง
ประเด็นที่สอง เขา...ที่เอาแต่ทำคุกกี้รสเนย
ไม่หรอก มันคงไม่ใช่เหตุผลงี่เง่าแบบนี้ที่ทำให้เขาทำแต่คุกกี้รสเนย
“ผมเลิกกับเขาไปแล้ว”
ผมเอ่ยบอก หนีกลิ่นคุกกี้รสเนยที่ชื่นชอบขึ้นห้องไป
ผมใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีเขา และมันคงเป็นอย่างนี้ไปได้เรื่อยๆ จนผมตายอย่างที่เคยคิดไว้ว่าอินโทรเวิร์ตอย่างผมแก่ตายคนเดียวก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เมื่อแฟนของแม่อาหารเป็นพิษอย่างหนักจนต้องแอดมิท ทำให้แม่ผละจากครัวที่กำลังอบคุกกี้อยู่ ผมเองเลิกงานก็รีบไปเยี่ยมเช่นกัน พบว่าอาการเขาทรงตัว เหลือแค่รอให้ดีขึ้น ผมก็โล่งใจ แต่แม่ขอนอนเฝ้าแล้วไล่ผมให้กลับบ้าน
ผมทำตามที่แม่บอกเพื่อมาเก็บบ้านให้เรียบร้อย ตอนที่เปิดไฟห้องครัวก็เห็นว่าจานชามที่ใช้ทำคุกกี้กองพะเนินที่ซิงค์ล้าง ผมถอนหายใจเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือไปหยิบฟองน้ำขึ้นมาเพื่อเริ่มทำความสะอาด
แต่พลันก็ต้องร้องลั่นบ้าน ฟองน้ำกระเด็นหลุดมือไปไกล เมื่อผมเห็นแมลงสาบตัวหนึ่งเดินขึ้นมาจากซิงค์ ไต่บนกำแพงแล้วยืนนิ่ง ขยับแค่นวดสองข้างไปมาเหมือนชั่งใจว่าผมเป็นอันตรายต่อมันหรือเปล่า
แน่นอนว่าไม่
แค่ผมได้เห็นมัน ใจก็กระตุกวูบ ความทรงจำอันเลวร้ายตอนเด็กผุดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีความทรงจำอื่นแทรกกลบเข้ามาจนผมได้แต่ยืนนิ่ง และน้ำตาเริ่มคลอ
ภาพของเขาที่หันมายิ้มแย้มหลังใช้ม้วนกระดาษตีแมลงสาบตายแวบเข้ามาในหัว ตามด้วยภาพของเขาที่พนมมือขอขมาชีวิตที่คร่าไป
ผมเคยคิดว่าฉากนั้นที่ทำให้ผมใจเต้นแม่งโคตรบ้าบอ โดยไม่เคยคิดว่าจะเจอสิ่งที่บ้าบอกว่า เพราะตอนนี้ผมเห็นแมลงสาบแล้วร้องไห้ ไม่ใช่เพราะกลัวแต่คิดถึงเขาที่เคยมาตีมันให้
ผมรีบเดินหนีออกจากครัว เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้วิ่งหนีแมลงสาบทันทีที่เห็น มองกลับไปก็เห็นสิ่งมีชีวิตสีดำยังอยู่ที่เดิม เหนือซิงค์ล้างจานที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำคุกกี้
ส่วนใหญ่เป็นของเขา
ผมยิ่งน้ำตาแตก เพราะใจผมปิดซ่อนมันไม่ไหวอีกแล้ว มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่กล้าทิ้ง ไม่ใช่เพราะเสียดายเลยเอามาให้แม่ใช้หรอก
ผมอยากขอโทษเขาที่บอกว่าคุกกี้ของเขามันห่วย ทั้งที่คุกกี้รสเนยของเขาอร่อยกว่าคุกกี้รสเนยของแม่ด้วยซ้ำไป
ผมอยากบอกว่าขอบคุณที่ทำสิ่งต่างๆ ให้ด้วยความหวังดี ถึงจะบกพร่องตรงที่ไม่เคยปรึกษากันก่อนก็ตาม
เอาจริงข้อบกพร่องเหล่านั้น ทั้งไม่ปรึกษากันก่อน ทั้งชอบเงียบชอบหนีปัญหา นึกขึ้นมาทีไรก็ยังโกรธ แต่มันเป็นความโกรธ...ที่อยากจะเคลียร์กันให้หายโกรธ
เพราะผมไม่ชอบในส่วนนั้นของเขา แต่ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ได้ เคลียร์ก็ไม่ได้ ผมจึงพยายามเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น แล้วมันก็กลับกลายเป็นว่าเขาดูเป็นคนอ่อนแอไม่ได้เรื่อง เพราะมันทำให้ผมคิดว่าผมได้เข้าใจความคิดความรู้สึกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง และได้รู้จักเขาในส่วนที่เขาไม่ยอมให้ผมรู้จัก
ซึ่งความจริงอาจไม่ใช่เลย
ผมไม่รู้หรอกว่าผมเข้าใจเขาผิดหรือถูก รู้แค่ว่าผมมองเขาในแง่ที่เลวร้ายไปแล้ว
ขณะเดียวกันผมก็คิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะมองแบบนั้นเพราะเขาทำให้ผมเจ็บปวด
ไม่มีทางลงให้ความรู้สึกเหล่านี้เลย
แต่คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเขาไม่กลับมาแล้ว
ผมมองกลับไปที่ครัวอีกครั้ง ข้าวของของเขายังอยู่เหมือนเดิมชวนให้ใจสลาย แต่สิ่งที่กระตุกใจได้ดีกว่าก็คือ...แมลงสาบหายตัวไปแล้ว
หมดซีนอารมณ์ทันที เพราะไม่รู้ว่ามันจะโผล่มาอีกทีตรงไหน เมื่อไหร่ ผมตัดสินใจหยิบกระเป๋าเงินและกุญแจบ้านเพื่อออกจากบ้านทันที แต่ก็ได้เห็นว่ามีแขกคนหนึ่งยืนลังเลหน้าประตูรั้วบ้านตอนค่ำคืนว่าจะกดกริ่งดีไหม
แขกคนนั้นใส่เสื้อเชิ้ตฮาวายแขนสั้น กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ คิ้วเข้มรับแว่นทรงหยดน้ำ และเรือนผมหยักศกยังดูยุ่งนิดๆ เหมือนเดิม
แขกคนนั้นคือ ‘เขา’
ตุบ!
แล้วจังหวะนรกก็เกิดขึ้นเมื่อกุญแจในมือหล่นพื้น เป็นตัวแทนเสียงหัวใจของผมที่หล่นไปที่ตาตุ่ม
เขาหันมามองทันที เราสบประสานสายตากันชั่วครู่
“คุณ” แล้วเสียงนุ่มทุ้มของเขาก็เอ่ยเรียกผม
“มา...มาเอาของเหรอ” ผมถาม ตะกุกตะกัก ทั้งที่เมื่อครู่คิดคำพูดไว้เต็มหัวสมองไปหมด
เขาส่ายหัวปฏิเสธ
“มาหาคุณน่ะแหละ”
ใจผมเต้นระรัวพร้อมรวดร้าวเมื่อได้ยิน
“ผม...ว่าเราควรทำความรู้จักกันใหม่”
“ทำไมล่ะ...” ผมถาม
“ที่ผ่านมา เราคบกันมาก็หลายปี แต่จริงๆ แล้วเราสองคนยังไม่รู้จักกันจริงๆ เลย คุณ...ยังอยากรู้จักผมไหม ผมอยากรู้จักคุณนะ”
น่าแปลก ทั้งที่ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณ ขอโทษ เสียใจ แต่สิ่งที่เขาพูดดูเป็นสิ่งที่ลงที่ตัวสุดสำหรับความสัมพันธ์ของเราตอนนี้
ผมไม่ตอบเขาทันที ก้มลงหยิบกุญแจที่พื้นขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูรั้วบ้าน
ทุกย่างก้าวเหมือนจังหวะเต้นหนักหนืดของหัวใจ
ในที่สุดผมยื่นกุญแจบ้านให้เขา บ่งบอกให้เขาไขเข้ามาเอง แล้วพูดสิ่งที่ไม่ใช่คำตอบแต่ทำให้เขายิ้มกว้างเผยฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
รอยยิ้มที่งดงามเพราะเปรียบดั่งดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าแต่ก็มีจุดกระดำกระด่างในตัวมันเอง
“มีแมลงสาบอยู่ในบ้าน คุณเข้าไปจัดการให้หน่อยสิครับ”*********************************************
สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่อ่านเรื่องสั้นแมลงสาบๆ นี้จนจบนะคะ 555
ใครชอบคอมเม้นติชมได้นะคะ หรือ...
#เห็นแมลงสาบแล้วคิดถึงเขาใช้เป็นแท็กในทวิตก็ได้ค่ะถ้าไม่สะดวกเม้น
ขอบคุณทุกคนนะคะ
ปล. พลาดตรงกลิ่นคุกกี้นิดหน่อย เพราะแทบทุกรสมันเบสกลิ่นเนยอยู่แล้วนี่นะ หยวนๆ ไปแล้วกันนะคะ แง