ตอนที่ 34
ความสุขที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่วัน กลายเป็นความทรงจำที่น่าจดจำไปชั่วชีวิต
แล้ววันเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก็มาถึง ผมต้องตื่นจากโลกแห่งความฝันแล้วกลับคืนมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง การมาพักผ่อนครั้งนี้คือสิ่งวิเศษที่สุดในชีวิตของผม ผมไม่มีวันลืมมันแน่นอน
คุณชายเดินจับมือผมไปตลอดทาง แม้จะมีสายตาหลายคู่มองมาทางเราเป็นระยะ ๆ แต่คุณชายก็ไม่คิดที่จะปล่อยมือผมให้หลุดพ้นไป แถมยังดูออดอ้อนมากกว่าปกติอีกด้วย... สงสัยจะติดใจในลีลาของผมในคืนนั้นก็เป็นได้...
คืนนั้นผมเหมือนสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่าโดนตัวอะไรเข้าสิง คึกยิงกว่าเสือสิงห์กระทิงแรดเสียอีก... คุณชายได้กล่าวเอาไว้แบบนั้น และเช้าวันต่อมาผมยังโดนบ่นจนหูแฉะเพราะคุณชายไม่มีแรงจะลุกไปอาบน้ำ(ผมคิดว่าสำออยมากกว่า) แถมยังต้องเสียเงินค่าปรับที่ผมเผลอรุนแรงจนขาเตียงหัก คิดแล้วก็น่าอายชะมัด เพิ่งรู้ว่าการเป็นฝ่ายกระทำมันสนุกแบบนี้นี่เอง ชักจะติดใจแล้วสิ
“ฮืม... ไอ้ข้าว คิดไรอยู่” เสียงของคุณชายที่ดังขึ้นเรียกสติของผมให้กลับคืนมา
“เปล่านี่ครับ” ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวที่วูบขึ้นมาบนใบหน้า
“อย่าริอาจคิดเรื่องคืนนั้นนะโว้ย” คุณชายรู้ทัน “อยู่ ๆ ก็หน้าแดง รู้นะคิดอะไรอยู่”
“ครับผม ไม่คิด ๆ” ผมเอื้อมมือไปคลำศีรษะของคุณชายด้วยความเอ็นดู รู้ว่าคุณชายติดใจเรื่องคืนนั้นแน่นอนแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมาตรง ๆ ไอ้คนขี้เก๊กไม่มีที่สิ้นสุดเอ๊ย…
ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องบินอยู่นั้น คุณชายได้คืนแบตโทรศัพท์มาให้ผม แล้วบอกให้ผมโทรหาพี่ปั๊มเพื่อที่พี่ปั๊มจะได้ไม่ต้องรอกลับพร้อมผม เข้าใจเปลี่ยนเรื่องดีนะคุณชายของผมเนี่ย
ผมรับแบตโทรศัพท์นั้นมาก่อนจะใส่มันลงไปในโทรศัพท์แล้วกดเบอร์โทรหาพี่ปั๊มทันที
“ข้าว!!! มึงอยู่ไหน ไอ้สัส ไอ้เชี่ย ไม่ติดต่อกลับมาหากูไม่เลยนะ รู้ไหมว่ากูเป็นห่วง ทุกคนเขาวุ่นวายตามหามึง ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย ไอ้โด้บอกว่ามึงไปกับคุณชายตั้งแต่คืนนั้น แล้วมึงก็ไม่กลับมาอีกเลย ไอ้น้องเวรเห็นคุณชายดีกว่ากู แม่งเอ๊ย... แล้วนี่โทรมาทำไม โทรมาหาวันจะกลับสินะรู้วันดีจริง เออไม่ต้องห่วง กูจองตั๋วรถไว้เผื่อมึงแล้วนะ รีบกลับมาที่บ้านกูด้วยล่ะ รถออกบ่ายสี่โมงเย็น”
ทันทีที่พี่ปั๊มกดรับโทรศัพท์ เขาก็พูดยืดยาวไม่ยอมหยุด ไม่มีแม้กระทั้งการเว้นวรรคจังหวะเพื่อหายใจ แถมยังใส่อารมณ์ในน้ำเสียงรุนแรงจนน่าตกใจอีกต่างหาก ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะผมผิดเองที่ไมได้ติดต่อกลับไปเลย
“ผมขอโทษนะพี่” ผมเอ่ยอย่างสำนึกผิด ใช่ว่าผมไม่อยากติดต่อกลับไปเสียเมื่อไรล่ะ แต่คุณชายเล่นซ่อนแบตมือถือไว้ ครั้นจะแอบหยอดเหรียญโทรศัพท์สาธารณะไปหาก็จำเบอร์ใครไม่ได้สักคน “คือผมกำลังจะบินกลับกรุงเทพกับคุณชายแล้วครับ ไว้ผมเล่ารายละเอียดให้ฟังนะครับ แล้วเจอกันที่นู่นนะพี่”
“เออ!!!” พี่ปั๊มรับคำอย่างไม่พอใจ “กูซื้อตั๋วรอมึงเก้อสินะ ดีจริง... ไว้เจอกัน แค่นี้ล่ะ”
พูดจบก็ตัดสายทันที ไม่รอให้ผมพูดอะไรอีกเลยสักนิด ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่แปลกที่พี่ปั๊มจะโกรธ ผมเล่นหายตัวไปแล้วยังไม่ยอมติดต่อกลับ ถ้าผมเป็นพี่ปั๊มก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
“ไม่คิดมากน่า” ใบหน้าของผมคงแสดงถึงความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด คุณชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เลยเอื้อมมือมาโอบบ่าให้กำลังใจ “ปั๊มโกรธข้าวได้ไม่นานหรอก เชื่อสิเดี๋ยวก็หาย”
“ครับ” ผมรับคำสั้น ๆ และคิดแบบนั้นเช่นกัน พี่ปั๊มอาจจะเป็นคนขี้น้อยใจหรือโมโหง่ายในบ้างเรื่อง แต่ข้อดีคือไม่เคยโกรธใครได้นานซึ่งผมก็หวังว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน
“รออยู่นี่แป๊บนึงนะ ไปซื้อของกินก่อน” คุณชายตบบ่าผมอีกครั้งแล้วยั้งกายให้ลุกขึ้น
ผมพยักหน้ารับ ระหว่างนั้นผมลองโทรกลับไปหาพี่ปั๊มอีกสองครั้ง แต่พี่ปั๊มก็ไม่ยอมรับสาย ผมจึงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“พี่ครับ ๆ” อยู่ ๆ เสียงของเด็กน้อยคนหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับฝ่ามือเล็ก ๆ ที่เดินมากระตุกขาของผมเบา ๆ
“ครับ” ผมมองดูเด็กคนนี้ด้วยความสงสัย อายุของเด็กคนนี้น่าจะประมาณ 6-7 ขวบ เขามีผิวเขา รูปร่างสมส่วน ตาตี่ แถมยังมีลักยิ้มด้วย
“มีคนฝากมาให้ครับ” พูดจบก็ยื่นอมยิ้มสีรุ่งมาให้พร้อมกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ สีขาว
ผมพลิกแผ่นกระดาษขึ้นมาดูจึงเห็นข้อความเขียนเอาไว้ว่า ‘ยิ้มบ้างนะ ทำหน้าบึ้งแบบนี้ไม่น่ารักเลย แต่ถ้ายังไม่หายก็แกะอมยิ้มมาอมซะนะ ไอ้ทะลึ่ง…’
ทันทีที่อ่านจบ ริมฝีปากของผมก็ฉีกออกเป็นรอยยิ้มโดยอัตโนมัติ แค่มองแว๊บแรกผมก็จำได้แล้วว่าเป็นลายมือไก่เขี่ยแบบนี้เป็นของใคร ยิ่งเห็นประโยคสุดท้ายที่เขียนไว้ นอกจากคุณชายแล้วก็ไม่มีใครเรียกผมแบบนี้สักคน
พอผมเงยหน้าจะขอบคุณเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ เด็กคนนั้นก็หายไปเสียแล้วกลายเป็นคุณชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ยิ้มแล้ว” คุณชายเอ่ยยิ้ม ๆ “อย่าเครียดนะ ฉันขอโทษ”
ผมพยักหน้ารับพร้อมกับยกอมยิ้มและโน้ตในมือขึ้นมาโชว์ “ใครมันจะไปเครียดลงล่ะ”
“ก็ข้าวไง” คุณชายเถียง
“หายแล้วครับ”
“แกะมาอมดิ” คุณชายยื่นมือหวังจะมาแย่งอมยิ้มที่อยู่ในมือของผม
“ไม่ครับ” ผมขยับมือมาซ่อนไว้ข้างหลังไม่ให้คุณชายแย่งอมยิ้มไป “อมไม่ลงหรอก เป๊กอุตส่าห์ซื้อให้”
“ก็ซื้อให้อมไง จะได้ยิ้ม”
“ก็ยิ้มแล้วไงครับ ไม่แกะนะ” ผมยื่นหน้าไปใกล้ ๆ ทำสายตาออดอ้อนสุดฤทธิ์ เมื่อคุณชายยังคงหน้านิ่งผมจึงเอ่ยต่อ “นะ ๆ ขอเก็บไว้ดูดีกว่า”
“ไอ้บ้า ใครเขาให้เก็บอมยิ้มไว้ดู” คุณชายต่อว่าก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ
“ผมไง” ผมยิ้มแป้นแล้นแล้วยัดมันลงในกระเป๋ากางเกงทันที
การเดินทางเหนือน่านฟ้าเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายและรวดเร็วที่สุด หากแต่ความสะดวกสบายย่อมต้องแลกมาด้วยจำนวนเงินที่มากกว่า ซึ่งผมคงไม่มีวันที่จะมีโอกาสได้นั่งเครื่องบินแน่ ๆ หากไม่ใช่ว่าคุณชายเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางโดยเครื่องบิน คุณชายใจดีให้ผมนั่งชิดติดขอบหน้าต่าง ผมมองผ่านกระจกเครื่องเห็นท้องฟ้า เห็นก้อนเมฆที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วรู้สึกตื่นเต้น จนกระทั่งเครื่องบินโลดแล่นเข้าสู่เมืองหลวง ผมเพิ่งรู้ว่ากรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีขนาดกว้างขวางและใหญ่โตมโหฬารถึงเพียงนี้ มองจากมุมสูงสามารถเห็นแผนผังเมืองและตึกได้อย่างชัดเจน มันกว้างขวางเสียจนผมรู้สึกทึ่งอย่างบอกไม่ถูก
การที่ได้นั่งเครื่องบินในครั้งนี้ มันทำให้ผมรู้ว่าโลกของเรานั้นกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหน มนุษย์เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ไม่ต่างจากฝูงแมลงสักนิด
หลังจากที่ลงจากเครื่องบิน คุณชายก็ไปรับกระเป๋าและเดินทางกลับบ้านทันทีโดยที่พาผมไปด้วย
ระหว่างที่นั่งแท็กซี่อยู่นั้น ผมพยายามไม่คิดถึงเรื่องร้ายแรงต่าง ๆ นานาทั้งสิน เพราะคาดเดาได้ว่าคุณหญิงและคุณท่านจะต้องโกรธคุณชายแน่นอน อาจมีการทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้น แต่ผมก็ยังหวัง... หวังว่าทุกอย่างจะเป็นปกติไม่มีการโต้เถียงระหว่างครอบครัว แม้มันจะเป็นความหวังที่ริบหรี่ก็ตาม
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าวจะต้องอยู่ข้างฉันนะ” คุณชายเอ่ยเบา ๆ ก่อนยื่นมือมาจับที่ฝ่ามือของผม ซึ่งเราทั้งสองคนต่างนั่งแท็กซี่เบาะหลังด้วยกัน
“แน่นอนครับ” ต่อให้คุณชายจะเจอกับอะไร ผมก็พร้อมที่จะอยู่ข้างคุณชาย ผมเป็นลูกผู้ชายพอ ไม่มีวันที่จะผิดคำพูดของตัวเองอยู่แล้ว
...แต่ว่าทำไม ยิ่งรถแล่นไปในเส้นทางที่คุ้นเคย ใกล้ถึงบ้านคุณชายเรื่อย ๆ ผมถึงยิ่งกังวลมากขึ้น มากจนผมไม่รู้ตัวเลยว่าร่างกายของผมมันขยุกขยิกไปมา เหงื่อไหลทั้ง ๆ ที่แอร์เย็น
‘อย่าคิดมากน่าข้าว มันไม่มีอะไรหรอก คุณผู้หญิงรักคุณชายจะตายไป’ ผมพยายามปลอบใจตัวเอง อดเป็นห่วงคุณชายไม่ได้จริง ๆ
ผมสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งถึงที่หมาย
มองผ่านกระจกเห็นลุงแช่มลุกลี้ลุกลนมาเปิดประตู และพอร่างของคุณชายก้าวลงจากรถก็รีบกุลีกุจอมาถือกระเป๋าให้อย่างเต็มใจก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยว่า
“คุณชายรีบเข้าบ้านเลยครับ คุณหญิงท่านเป็นห่วงคุณชายมากนะครับ ท่านไม่ยอมทานอะไรเลยได้แต่นอนซมอยู่บนห้องนอนครับ” ลุงแช่มเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ถามว่าคุณชายไปไหน เพราะเรื่องสำคัญกว่าตอนนี้ก็คือเรื่องของคุณหญิงและหม่อมย่า “พอหม่อมย่าของคุณชายได้ข่าวว่าคุณชายหายตัวไป ท่านเลยแวะมาหาคุณหญิงที่นี่นะครับ ท่าทางไม่พอใจเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ”
“หม่อมย่ามาเหรอ” คุณชายทวนถาม สังเกตเห็นว่าคิ้วของคุณชายกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ว่ายินดีหรือเสียใจกันแน่
“ใช่ครับ มาตั้งแต่คืนแรกที่คุณชายหายตัวไป” ลุงแช่มตอบ คุณชายพยักหน้ารับก่อนจะเร่งฝีเท้าก้าวขาเข้าไปในบ้านทันที แต่แทนที่คุณชายจะเดินเข้าไปคนเดียว มือข้างหนึ่งกลับยื่นมาจับแขนของผมแน่นจนผมต้องก้าวขาเดินตามไปด้วย
บ้านของคุณชายยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สิ่งของทุกอย่างยังคงวางถูกที่ถูกทางเหมือนเดิม ทันทีที่คุณชายเดินเข้าไปในตัวบ้าน เหล่าแม่บ้านและคนรับใช้ต่างส่งเสียงวี้ดว้ายด้วยความดีใจที่เห็นคุณชายกลับมา จนกระทั่งเสียงที่ทรงอำนาจมหาศาลของใครบางคนดังขึ้นสั้น ๆ ความเงียบจึงกลับมาในบันดล
“หยุด! เอะอะโวยวายอะไรกัน”
น้ำเสียงทรงพลังจนผมเองยังแอบสั่นผวาในใจ นี่เป็นน้ำเสียงของใครกัน... ผมไม่คุ้นเคยเลยสักนิด พอหันไปมองตามต้นเสียงจึงพบกับร่างของหญิงวัยชราหากแต่สภาพร่างกายยังคงดูแข็งแรงสมบูรณ์ เส้นผมของเธอถูกเกล้าขึ้นมามีปิ่นปักผมสีทองเสียบอยู่บนม้วนผมนั้น เธอแต่งกายด้วยชุดลูกไม้สีขาวแขนยาว ท่อนล่างเป็นซิ่นสีทองอร่าม มือข้างขวาถือพัดสีเงินดูมีราคา บุคลิกของเธอดูน่าเกรงขามจนทำให้ผมรู้สึกประหม่าไม่กล้าสบตา
“สวัสดีครับคุณย่า” ก่อนที่หญิงชราจะได้เอ่ยปากพูดอะไร เป็นคนชายที่แย่งพูดขึ้นมาก่อน คุณชายยกมือไหว้และโค้งศีรษะลงอย่างนอบน้อมจนผมต้องปฏิบัติตาม
“สวัสดีครับ”
หม่อมย่าของคุณชายก้มหน้าเล็กน้อยเป็นการรับไหว้แต่ก็ไม่ได้สนใจผมไปมากกว่านั้น เพราะสิ่งที่เธอสนใจคือหลายสุดรักสุดหวงต่างหาก
“หายไปไหนมาฮะตาเป๊ก” หม่อมย่าทำเสียงดุพร้อมกับก้าวขาฉับ ๆ แล้วยกพัดมาตีแขนคุณชายเบา ๆ หลายที “นี่แน่ะ ๆ”
“โอ๊ย... คุณย่าครับ เป๊กเจ็บแล้วครับ” คุณชายแสร้งทำเสียงเจ็บปวด
“เจ็บก็ดี จะได้สำนึกไว้บ้างว่าคราวหลังจะไม่หายไปแบบนี้อีก”
“คุณย่าอ่ะ” คุณชายแกล้งทำหน้างอนก่อนจะโอบกอดร่างของหม่อมย่าแล้วใช้ลูกอ้อนสารพัดทั้งหอมแก้ม ทั้งออกแรงกอดแน่น ๆ จนหม่อมย่าต้องยอมแพ้ให้กับความน่ารักของคุณชาย
“พอได้แล้วชายเป๊ก ย่ายอมแล้ว ปล่อย ๆ” คุณย่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ดูท่าทางท่านสนุกสนานและชอบใจจนลืมความผิดของหลานชายจอมแสบไปแล้ว ภาพที่ดูทรงอำนาจพังทลายลงในบันดลทันทีที่ได้กระเซ้าเย้าแหย่กับหลานชายสุดที่รัก
คุณชายหันมายักคิ้วให้ผมแล้วเอ่ยว่า
“คุณย่าครับ นี่ข้าวนะครับ” ผมยิ้มให้หม่อมย่าด้วยความประหม่าพลางผงกศีรษะเล็กน้อย
“เด็กคนนี้เหรอที่พาหลานย่าเหลวไหล” คำพูดของหม่อมย่าทำให้ผมแทบลมจับ ผมเนี่ยนะพาคุณชายเหลวไหล คุณชายต่างหากล่ะที่เป็นคนชอบทำอะไรตามใจ หม่อมย่าจะมาโยนความผิดให้ผมดื้อ ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ เป็นลมดีกว่า... แต่ถ้าผมต้องกลายเป็นคนผิดแล้วคุณชายไม่ต้องทะเลาะกับครอบครัวผมก็ยอม
“ใช่ครับ” เอาสิ... คุณชายดันตอบออกไปแบบนั้นเสียด้วย แถมยังส่งสายตากวนบาทามาให้ผมอีก
หลังจากที่ได้ยินคุณชายตอบแบบนั้น หม่อมย่าก็ผละร่างออกจากอ้อมกอดของคุณชายแล้วก้าวขาฉับ ๆ มาหาผมด้วยความฉับไวทันที ผมนึกทึ่งในท่าทีคนสูงอายุที่น่าจะอ่อนแอแต่กลับแข็งแรงกระฉับกระเฉงราวกับสาวแรกรุ่น
หม่อมย่าจ้องหน้าจ้องตาผมอย่างพินิจพิจารณา จนผมรู้สึกเกร็งต้องหลบสายตา
“ซื่อ ๆ แบบนี้คงไม่น่าจะใช่” หม่อมย่าพูดเพียงเท่านั้นแล้วเดินกลับไปหาคุณชายทันที “บอกย่ามาซะดี ๆ หายไปไหนมา แล้วทำไมไม่ยอมติดต่อกลับมาที่บ้าน รู้ไหมแม่ชายน่ะเป็นห่วงชายมากเลยนะ”
“รู้ครับคุณย่า” คุณชายก้มหน้า “พอดีมีปัญหานิดหน่อย เป๊กขอโทษนะครับ ว่าแต่ตอนนี้คุณแม่เป็นไงบ้างครับ”
“อุ๊ย...” หม่อมย่าทำสีหน้าตกใจพร้อมกับยกมือทาบอก “ย่าลืมไปเลยว่าแม่ของชายกำลังนอนป่วยอยู่บนห้อง รีบขึ้นไปหาแม่วลีลาวัลย์เถอะ ป่านนี้คงตรอมใจที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหายออกจากบ้านจนแทบจนขาดใจแล้วมั้ง”
“โถ่... คุณย่า” คุณชายทำเสียงสำนึกผิดก่อนจะเดินจูงขึ้นย่าขึ้นบันไดไปยังชั้นสองทันที และไม่ลืมที่จะหันหน้ามาหาผมแล้วพยักหน้าบอกเป็นเชิงให้ผมขึ้นไปด้วย... ผมจึงยอมเดินตามไปห่าง ๆ
คุณชายก้าวขาอย่างชำนาญเดินผ่านห้องของตัวเองแล้วตรงไปยังห้องที่มีประตูไม้บานใหญ่กั้นอยู่ ผมรู้ว่านี่คือห้องของคุณหญิงและคุณท่านแม้ผมจะคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้แต่ผมก็ไม่เคยย่างกายเข้าไปในห้องนั้นสักครั้งเพราะคิดว่ามันไม่สมควร
คุณชายเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับหม่อมย่า
“ชายเป๊กลูกแม่” เสียงของคุณหญิงวลีลาวัลย์เล็ดรอดออกมา น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ “หายไปไหนมาตั้งหลายวันเนี่ย ไม่ติดต่อกลับมาหาแม่บ้างเลย โถ่... มีลูกชายคนเดียวแต่ดันไม่ได้รับการเหลียวแล น่าน้อยใจที่สุด”
“ไปแม่ฮ่องสอนมาครับ” เสียงคุณชายที่เอ่ยตอบดังแว่วออกมา แต่ก่อนที่จะได้ยินอะไรไปมากกว่านั้น ผมคิดว่าผมยังไม่ควรที่จะเข้าไปขัดจังหวะในตอนนี้ ...กลับบ้านดีกว่า
ในระหว่างที่หันหลังกลับ ผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นร่างที่ยืนนิ่ง ๆ ของหม่อมราชวงศ์กริชกร สุริยะวิทูจ้องผมด้วยสายตาที่เขม็ง มือข้างหนึ่งกำซองเอกสารสีน้ำตาลเอาไว้ กำจนแน่นเสียจนซองยับยู่ยี่...
แววตาที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนสมกับเป็นผู้ใหญ่ใจดีนั้นแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่มีแต่ความโกรธเกลียดชิงชัง ...ผมสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่ผมไม่ทราบว่าเพราะอะไร คุณท่านถึงมีท่าทีที่ไม่พอใจผมแบบนี้
“สวัสดีครับ” ผมพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด หากแต่คุณท่านไม่รับไหว้แถมยังฝากวาจาที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินให้ผมช้ำใจเล่นเสียด้วย
“ออกไปจากวังซะ แล้วอย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีก” พูดจบก็เดินตรงไปยังห้องนอนทันที
ผมรู้สึกตัวชาไปชั่วขณะ ทำตัวไม่ถูก ในหัวเต็มไปด้วยคำถามที่ว่าผมทำผิดอะไรทำไมจึงโดนห้ามไม่ให้มาเหยียบที่นี่อีก ผมรู้ดีว่าสถานที่ที่มีค่ามีราคามากมายมหาศาลอย่างวังหลังนี้ไม่ใช่ของผม ผมไม่ได้ต้องการจะเรียกร้องสิทธิอะไรแค่อยากจะทราบถึงเหตุผลเท่านั้น
...โถ่เอ๊ยข้าว ครั้งก่อนโดนคุณชายไล่อย่างกับหมูกับหมา กลับมาครั้งนี้ดันเจอคุณท่านไล่ นี่โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรกับผมเนี่ย
จบตอน
ขอบคุณทุกคนที่เม้นท์และติดตามจนถึงตอนล่าสุดนะครับ แหะๆ