EP. 10
[การ์ด]
สิ่งแรกที่ผมส่งให้ธนูในตอนเช้าคือรอยยิ้มแห้งๆ ขาดความสดชื่น
ผมทำการเช็กรายรับรายจ่ายของทางร้าน ซึ่งทำให้ผมได้รู้ว่าผลประกอบการช่วงเปิดร้านนั้นขาดทุนย่อยยับ...และนอกจากจะไม่มีวี่แววของกำไรแล้ว ร้านยังพังพินาศเพราะนักเลงอันธพาลอีกต่างหาก
ผมน่าจะบอกให้ธนูมันนิมนต์พระมาทำบุญเปิดร้านก่อนที่ร้านจะเปิดจริงๆ น่าจะมีการเจิมอะไรสักหน่อยที่หน้าประตู ร้านจะได้ไม่ส่อแววเจ๊งบ๊งตั้งแต่อายุยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์แบบนี้
ธนูที่ยังมีใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผลมองดูผมก่อนจะสลับไปที่คอมฯ ของผม มันทำหน้าปลงๆ ราวกับรู้ว่าผมต้องการจะสื่ออะไร
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปมันต้องแย่มากแน่ๆ” ผมพูดเสียงกังวลใจ เพราะรู้ดีว่าถ้าร้านทำกำไรไม่ได้ภายในสามเดือนล่ะก็...ธนูจะต้องเสียร้านและที่หลับที่นอนตรงนี้ไปให้พี่นทีทั้งหมด
“กูรู้น่า” มันตอบ ทำสีหน้าเครียดพอๆ กันระหว่างที่มองอาหารเช้าที่เพื่อนเตรียมไว้ให้ “มึงคิดว่ากูอยากจะเสียร้านกับบ้านกูไปให้ไอ้พี่ผีบ้านั่นจริงๆ เหรอ”
ก้องกับโฮมที่ยืนอยู่ไม่ห่างมองธนูด้วยท่าทางเป็นห่วง ถ้าธนูเสียร้านนี้ไป...แปลว่าชีวิตมันก็แทบจะไม่มีอะไรที่เป็นของมันเลย ยกเว้นมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์สีแดง
แผลบนใบหน้าของไอ้ธนูบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันต้องต่อสู้กับพี่ชายคนนี้ขนาดไหน ไม่ว่าอายุอานามจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม คนที่ตกเป็นเบี้ยล่างเสมอก็คือน้องชายอย่างธนู
“ขอกูคิดหาวิธีก่อน” มันพูดกับผมและเพื่อนๆ ก่อนจะทำสีหน้านิ่ง “วันนี้กูไม่อยู่นะ”
ร้านที่เต็มไปด้วยข้าวของที่พังคงไม่มีอะไรให้มันทำนักหรอก (หรืออันที่จริงมันก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรอยู่แล้วกันนะ...)
“จะไปไหน” ผมถาม
“จะชวนรบไปเที่ยว” มันพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ระหว่างที่พูด
ผมกับเพื่อนมองหน้ากัน...เราตามใจมันทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เราทุกคนรู้สึกงุนงงนิดหน่อยสถานการณ์ในร้านไม่สู้ดี แต่ธนูกลับขอตัวเพื่อที่จะไปเที่ยวกับรบเนี่ยนะ
มึงไปเอาอารมณ์มาจากไหนวะ...
มันรู้ตัวว่ามันกำลังถูกคนอื่นจ้องมองอยู่ “ทำไมวะ กูหาเรื่องคลายเครียดไม่ได้เหรอ”
“ได้สิวะ” ทำไมจะทำแบบนั้นไม่ได้...ผมก็แค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้นว่ามันยังมีอารมณ์ชวนรบเที่ยวได้ยังไง
“กูขอวันนึง” ธนูทานข้าวอีกคำแล้วลุกขึ้นยืน “ตอนที่กูกลับมา...กูสัญญาว่ากูจะเปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนไปยังไง...” โฮมถาม
“มึงจะมีเมียแล้วใช่มั้ย” ก้องนี่แม่งก็ถามซ้ำได้ผิดจังหวะซะจริง
ผมหลับตาปี๋เพราะรู้ว่าธนูมันต้องเดินมาเตะไอ้ก้องกับไอ้โฮมแน่ แต่มันกลับยืนนิ่งๆ จ้องมองพื้นราวกับว่ากำลังใจลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้
“ถ้ามึงรู้ว่ากำลังใจอยู่ไหน...มึงก็จะไปหากำลังใจเหมือนอย่างที่กูทำ”
พ่อง...เราทุกคนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งกันเลยทีเดียว
ผมหันหลังกลับ...ลักลอบส่งข้อความให้รบ เพราะกลัวว่ามันจะปฏิเสธท่านหัวหน้าของผม ซึ่งผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย
เพราะตอนนี้มีเพียงรบคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ธนูอารมณ์ดีขึ้นมาได้
[รบ]
Sagittarius :
ร้านยังไม่เสร็จ
วันนี้มึงไม่ต้องทำงานแล้ว
เราสองคนออกไปเที่ยวกันเถอะผมจำได้ว่าตอนนั้นผมกะจะปฏิเสธไอ้ธนูอย่างเต็มที่เพราะตอนนี้ร้านกำลังพัง จะให้ผมไปเที่ยวโดยที่เพื่อนๆ ของมันซ่อมร้านกันอยู่ได้ยังไง แต่ในระหว่างที่ผมลังเลอยู่...การ์ดกลับส่งข้อความมาตอกย้ำในเรื่องที่จะทำให้ผมไม่กล้าปฏิเสธธนู
มันเครียด...ช่วยไปเที่ยวกับมันหน่อยนะ ใจของผมอ่อนยวบยาบ รู้ตัวมานานแล้วว่าตัวเองนั้นเริ่มที่จะแคร์ความรู้สึกของธนูจนผิดปกติวิสัย แต่ผมไม่อยากคิดหนักอะไรในตอนนี้ ถ้าธนูมันอยากเที่ยว...ผมก็จะพามันไปเที่ยว ส่วนเรื่องร้าน...เอาไว้กลับจากเที่ยวแล้วเราค่อยลุยกันใหม่ก็ยังไหว
“พี่ทึ่มเอ๊ย...จะใส่เสื้อยืดกับขาสั้นจริงดิ” น้องสาวผมโผล่หน้าเข้ามาตอนที่ผมกำลังมองเงาตัวเองในกระจก “นี่พี่จะไปเจอพี่ธนูคนหล่อทั้งทีนะ แต่งตัวให้มันดูดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ”
รันมันคงนึกว่าผมจะออกไปทำงานในร้านของธนู แต่จริงๆ แล้วผมกำลังจะไปเที่ยวกับมันข้างนอกต่างหาก ผมไม่ได้บอกน้องเรื่องนี้ แต่ก็ยังยืนนิ่งพร้อมกับทำหน้าถามความเห็นว่าผมควรใส่ชุดไหนออกไปดี
“กางเกงยีนกับเสื้อยืดตัวนี้ดีกว่า...ดูไม่เรียบเกินไปเพราะมีดีเทลเก๋”
เสื้อยืดสีขาวลายสกรีนเป็นตัวอักษรง่ายๆ อย่างงี้อ่ะนะเรียกว่าดีเทลเก๋
“ก็ได้”
ผมเชื่อน้องเพราะไม่อยากให้ทุกอย่างมันช้าไปกว่านี้ รันออกไปข้างนอกห้อง ปล่อยให้ผมเปลี่ยนชุดใหม่ทั้งหมด และในระหว่างนั้นโทรศัพท์ของผมก็ส่งเสียงดังพอดี
ธนูมันโทรมาว่ะ เอ๊ะ มันจะโทรมาทำไมกันนะ...หรือว่ามันจะแคนเซิล?
ผมมองตัวเองในกระจกเงาไปด้วยขณะที่รับสายธนูไปด้วย
“ฮัลโหล”
[บ้านมึงหลังไหนกันแน่วะ ทำไมทุกหลังแม่งเหมือนกันไปหมด] ธนูโวยวายเสียงดังจนผมทำหน้าเหยเก
แต่เดี๋ยวก่อน…นี่มันจะมารับผมที่บ้านเหรอ
เฮ้ยยยยยยย
“มึงจะมารับกูเหรอ!” ผมทำหน้าช็อกกับตัวเอง
[กูถามขนาดนี้กูมารับแม่มึงมั้ง]
“เฮ้ย” ผมตกใจมากจนรีบพุ่งตัวไปที่หน้าต่างเพื่อมองหาธนู แน่นอนว่ามันยังมาไม่ถึงหน้าบ้านผมหรอก “รู้ได้ไงว่าบ้านกูอยู่ไหนน่ะ”
[ไปขู่เอามาจากเพื่อนมึง]
“มึงอย่ามาพูดเล่น”
[กูพูดจริง]
“เชี่ยธนู…” ไม่ได้มีแต่มันที่ห่วงพวกพ้องคนเดียวหรอกนะ
[ล้อเล่น…กูฝากให้การ์ดดูในประวัติที่มึงกรอกตอนเซ็นสัญญาจ้างน่ะ]
เออว่ะ...ตอนนั้นผมกรอกที่อยู่ลงไปซะละเอียดยิบ
“คือ...จริงๆ มึงไม่ต้องมารับก็ได้ อีกนิดกูก็ออกไปแล้ว” ผมยอมรับว่าเขินนิดหน่อย เพราะผมไม่คิดมาก่อนว่าผมกับธนูจะมีโมเมนต์นี้ด้วย มีการมารับมาส่งกันที่หน้าบ้านเนี่ยนะ...
[มันช้า]
“กูเหรอช้า”
[ไม่…กูคิดว่าเวลามันเดินช้าเกินไป]
ผมอมยิ้ม “ทำไมต้องอยากเจอกูเร็วขนาดนั้น”
[จะไม่ได้เจอเร็วแล้วเนี่ย…]
“ทำไมวะ”
[ก็เพราะมึงไม่บอกบ้านมึงสักทีไงสาด!]
“ฮ่าๆๆ”
[ใช่บ้านที่มีต้นมะม่วงอยู่หน้าบ้านป่ะ]
ผมชะงัก…บ้านผมมีต้นมะม่วงอยู่หน้าบ้าน แต่บ้านหลังอื่นในหมู่บ้านก็มีอีกหลายหลังที่ปลูกต้นมะม่วง
[ใช่หมู่บ้านพานทองนิเวศน์ เลขที่ 42 ป่ะเนี่ย]
ผมยื่นคอออกไปมองดู…ไม่เห็นได้ยินเสียงของเจ้าแดงไบเล่เลยแม้แต่น้อย มีเพียง BMW คันหนึ่งที่ทะเบียนคุ้นตาเนื่องจากเคยเห็นมันจอดข้างผมบ่อยๆ ในลานจอดรถของร้านแบล็คแพ็ค
[เหมือนกูจะเห็นมึงแวบๆ แล้ว]
“…” นี่มันมองเห็นผมผ่านกระจกรถเหรอ
[อึ้งไรขนาดนั้น ลงมาหากูดิ…]
รู้สึกเสียเปรียบเล็กน้อยที่มีแต่ธนูที่เห็นผม แต่ผมไม่เห็นมัน…
“อยู่บนรถนะ น้องกูจะเห็นมึงไม่ได้” ผมรีบเก็บข้าวเก็บของของตัวเองอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าอีกนิดก็หัวทิ่มพื้นแล้ว
[ทำไมกูจะเจอน้องมึงไม่ได้]
“น้องกูมันจะวิ่งเข้าไปตะครุบมึงอ่ะดิ”
[นี่มึงหวงกูหรือมึงหวงน้อง…]
“ทั้งคู่อ่ะ”
พูดจบผมก็ยืนชะงักนิ่ง…เพราะกำลังงงว่าตัวเองพูดถูกหรือพูดผิด
[ฉิบแล้ว...เหมือนจะเห็นแดดดี้มึงแฮะ] จู่ๆ ธนูมันก็ตัดสายไป แต่ผมไม่มีเวลาที่จะมาคิดอะไรสักอย่างแล้วเนื่องจากไม่ค่อยมีใครมารอผมที่หน้าบ้านแบบนี้ (ถ้าเพื่อนมารอจะให้ความรู้สึกอีกแบบ…) ผมจึงรีบมากเป็นพิเศษ ตอนที่ผมเดินลงบันไดมา ผมเจอกับยัยรันที่กำลังจะขึ้นมาบนบ้าน
“ทำไมพี่รบเหงื่อแตกแบบนี้” รันขมวดคิ้ว “จะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น”
“พี่ไปก่อนนะ”
“อ่าฮะ…”
ผมไม่อยากให้รันเห็นว่าธนูมันมารับผม…อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ผมกลัวว่ารันจะวิ่งเข้าใส่ธนูแทนที่มันจะตกใจว่าทำไมคนที่มันจิ้นให้ได้กับผมถึงได้มารอถึงหน้าบ้านสมดั่งปรารถนาเช่นนี้…
ลึกๆ ในใจผมก็อยากจะบอกรันอยู่นะครับว่าสิ่งที่รันคิดมันมีแต่คำว่าจริง จริง จริง และก็…จริง แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากจะปิดน้องเอาไว้ก่อน ผมกลัวว่าน้องมันจะฟินจนเป็นลมไปก่อนที่จะเรียนชั้นมัธยมต้นจบ
ผมกำลังสวมรองเท้าอย่างรีบเร่งตอนที่ผมเห็นไอ้ธนูกำลังเช็กแฮนด์ทักทายกับแดดดี้ของผมอยู่…
เดี๋ยว...นี่มันตัดสินใจลงจากรถเพื่อที่จะมาคุยกับแดดดี้ผมงั้นเหรอ
ไม่เคย....ไม่เคยมีใครหาญกล้าทำแบบนี้มาก่อน
“ผมเป็นเพื่อนรบครับ” มันแนะนำตัวอย่างรวดเร็ว “ชื่อว่าธนู ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
อาจเป็นเพราะลักษณะท่าทางของแดดดี้ผมดูใจดีเหมือนท่านผู้พันที่ขายไก่เคเอฟซีล่ะมั้ง ธนูมันจึงไม่ได้แสดงท่าทีเก้อเขินอะไร มิหนำซ้ำยังกะตือรือร้นจนเกินไปอีกต่างหาก
“กำลังเดตกันอยู่เหรอ” แดดดี้ถามยิ้มๆ
“ประมาณนั้นครับ” ธนูยอมรับง่ายๆ
“ทำไมรบไม่เล่าอะไรให้พ่อฟังเลย” แดดดี้หันมาหาผมพร้อมกับทำสีหน้าล้อเลียน “เอาเถอะ…ขอให้สนุกนะ”
“ขอบคุณครับ” ธนูหันมาหาผม…จากนั้นมันก็โบกมือเรียกผมให้รีบเข้าไปหาลับหลังแดดดี้
ผมส่งยิ้มแห้งๆ ให้ผู้มีพระคุณก่อนจะรีบสาวเท้าไปหาธนู มันรีบออกไปจากบ้านอย่างให้ความร่วมมือกับผมเป็นอย่างดี
“แดดดี้มึงพูดไทยชัดมาก” ธนูกดรีโมตเปิดประตู “ดูใจดีเหมือนซานตาคลอสผสมผู้พันของเคเอฟซีเลย”
“ท่านยังมีความเป็นไทยสูงด้วยนะทั้งๆ ที่พื้นเพเป็นคนอเมริกัน” ผมเล่าให้มันฟังระหว่างเข้าไปนั่งแล้วคาดเซฟตี้เบลท์
“ก็ดีแล้วนี่” ธนูมองผมที่ขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ มันที่เป็นคนขับ “เพราะถ้าเลี้ยงแบบอเมริกัน…ชีวิตมึงเละเทะแน่ไอ้รบ”
“ยังไง”
“มึงจะเป็นอิสระตั้งแต่อายุสิบแปด…และอาจจะไม่เข้าเรียนมหา’ลัย เพราะมัวแต่ตามตูดผู้ชายตัวเล็กๆ”
ผมไม่แน่ใจว่ามันตั้งใจจะพูดเล่นหรือตั้งใจจะเหน็บแนมผมกันแน่…แต่ผมก็ชักสีหน้าใส่มันไปแล้ว
“กวนตีน”
“แหย่เล่นเฉยๆ” พอมีรอยยิ้มของมันส่งมา...ผมก็ลืมความขุ่นเคืองนิดๆ ของผมไปเลย
โธ่เอ๊ย หมั่นไส้ตัวเองเป็นบ้า...
“แล้วนี่ทำไมไม่ขับแดงไบเล่มา” ผมมองสำรวจในรถ จำได้ว่าธนูมันโวยวายแทบตายตอนที่ผมเลือกจะใช้รถยนต์ในการเดินทางไปหาหมอฟัน ฉะนั้นความคิดแรกที่แวบมาให้หัวของผมก็คือผมต้องเตรียมตัวซ้อนมอ’ไซค์ของธนู ไม่ใช่นั่งในรถยนต์แบบนี้
“แดงไบเล่?”
เอ่อ…ผมลืมไปว่ามันไม่รู้ว่าผมตั้งชื่อเล่นให้รถบิ๊กไบก์ของมัน “ก็ไอ้รถบิ๊กไบก์ของมึงนั่นแหละ”
“ฮ่าๆๆ เข้าใจตั้งชื่อนะ” มันเริ่มออกรถ “จอดไว้บ้าน เอ๊ย ร้าน…ร้านนั่นแหละ”
“มึงจะเรียกว่าบ้านก็ได้ กูเข้าใจ” ผมยังจำได้ดีถึงหลักฐานการใช้ชีวิตของธนูในห้องที่อยู่ชั้นสองของมัน “นี่กูกะเตรียมตัวซ้อนท้ายมึงเต็มที่เลยนะเนี่ย”
“จริงเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“กูอยากให้มึงสบายเต็มที่ไง...เห็นบ่นว่าอากาศมันร้อน”
“…” รู้สึกดีใจที่มันเอาใจใส่แฮะ
“จริงๆ แล้วกูก็ไม่ได้ชอบขับรถยนต์เท่าไหร่หรอก”
ผมปลื้มนิดๆ ที่มันยอมทำในสิ่งที่ไม่ชอบเพื่อผม “แล้วนี่ไปยืมรถใครมา”
“กูจะไปยืมรถคนอื่นมาทำไม” มันงงกับคำพูดของผม
อ้าว…นี่อย่าบอกนะว่าไอ้ที่จอดไว้หลายๆ คันที่ลานจอดรถนั่นมัน…
“รถพวกนั้นมันคือของเล่นที่ไอ้นทีมันเบื่อแล้วส่งต่อมาให้กู…” ธนูอธิบายให้ผมฟัง ผมนึกว่ารถพวกนั้นจะเป็นของเพื่อนมันคนละคันซะอีก “กูถึงไม่ค่อยอยากขับนี่ไง…เพราะขับไปมันหงุดหงิดไป”
“เอ่อ...ให้กูขับให้เปล่า” เริ่มรู้สึกเกรงใจมันขึ้นมาแล้ว
“ไม่เป็นไร” มันตอบ “อะไรที่มึงรู้สึกสบาย…กูทำได้หมดนั่นแหละ”
ผมหรี่ตามองคนที่กำลังขับรถอยู่ ก่อนจะลองแหย่นิดแหย่หน่อย “นี่จีบกูใช่ป่ะเนี่ย”
มันเหล่มองตอบ “หา”
“จีบกูชัดๆ”
“จะจีบทำไมอีกวะ ก็ในเมื่อมึงมีใจให้กูแล้ว”
“...”
“เอ๊ะ หรือมึงอยากให้กูจีบ อยากทำตามขั้นตอนอย่างนั้นใช่มั้ย” ทำไมพูดรัวจังวะ เถียงไม่ทันเลย “จะเอาอะไรล่ะ ดอกไม้หมื่นดอกหรือว่า...เรือยอร์ชสักลำ”
มันกวนตีนผมแล้วล่ะแบบนั้น
เคยมีสักครั้งมั้ยที่มันจะยอมผมแบบสุดๆ…บางครั้งผมก็รู้สึกว่าแม่งยอม แต่ยอมไม่ครบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ยังไงก็ไม่รู้
“อยากรู้มั้ยว่าถ้าจะจีบ ต้องทำยังไงถึงจะจีบกูติด” ผมยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อยู่กับไอ้บ้านี่ทีไร...ผมเป็นโรคแพ้ไม่เป็นทุกทีไป
“กูคิดว่ากูรู้แล้ว” ธนูเลี้ยวซ้ายกะทันหัน ผมคิดว่าการกระทำของมันจะเป็นการกระทำประกอบคำตอบผมจึงได้มองตาม ป้ายหน้าปากซอยเป็นป้ายที่บ่งบอกชัดเจนว่าข้างในซอยนั้นมีโรงแรมชั่วคราวตั้งอยู่
เชี่ยยยยยยย...แบบนี้ผมช็อกนะ เพิ่งออกจากบ้านมาได้ไม่เท่าไหร่ ธนูมันก็คิดที่จะ...อย่างนั้นกับผมเลยเหรอ
“...”
“เป็นอะไรวะ...ทำไมจู่ๆ ก็นั่งเกร็งขึ้นมา” มันมองผมอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะมองตามสายตาผมไป แล้วหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ การจีบมึงให้ติดไม่ใช่การลากมึงเข้าโรงแรมหรอก”
ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ผมหยิบกระเป๋าติดตัวมา ไม่อย่างนั้นล่ะก็...ธนูมันต้องเห็นการพองโตของไอ้หนูของผมแน่ๆ โชคดีที่กระเป๋าของผมปกปิดความลับของผมได้ ผมกลืนน้ำลาย...ตั้งใจเปลี่ยนเรื่องเพื่อเบี่ยงประเด็นอย่างรวดเร็ว
“แล้ว...แล้วต้องทำยังไง”
“ก็...วันนี้มึงอาจจะเบื่อหน่อยๆ” ธนูถอนหายใจ
“ทำไมวะ” จริงๆ แล้วผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่ามันจะพาผมไปไหน มันบอกว่าแค่ไปเที่ยว ไม่ได้บอกเจาะลึกลงรายละเอียด
“กูจะพามึงไปรู้จักชีวิตของกู...จริงๆ”
ทำไมฟังดูน่าสนใจ แทนที่จะฟังดูน่าเบื่ออย่างที่มันพูด “ก็...ก็ดีแล้วนี่”
“เนอะ”
“...”
“มึงบอกเองว่าเราต้องเรียนรู้กันและกัน”
เฮ้ย มันจะพาผมไปรู้จักชีวิตของมันซึ่งผมขอพูดตรงๆ เลยว่าผมชอบมาก ที่ผ่านมาผมกับมันอยู่แต่ในร้านแบล็คแพ็ค ยังไม่มีการพูดคุยกันลึกซึ้งแต่ก็มีการหึงหวงกันและกันชนิดที่ว่าข้ามขั้นตอนไปมาก ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าคืนนั้นผมกับธนูได้วางยาอะไรใส่อีกฝ่ายไว้หรือเปล่า ทำไมมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ เอ๊ะ...มีแต่มันที่วางยาใส่ในตัวผมหรือเปล่า
เอาล่ะ เปลี่ยนเรื่องดีกว่าครับ
“มึงจะพากูไปไหนเป็นที่แรกล่ะ” ผมถามอย่างสงสัย
“มีอยู่ที่หนึ่ง...”
“...”
“แต่ไม่ใช่โรงแรมแน่ๆ” มันหัวเราะระหว่างที่พูด...ส่วนผมก็ได้แต่ทำหน้าบึ้งใส่
เย็นไว้ไอ้หนูลูกพ่อ อย่ายอมแพ้ ไอ้บ้านี่มันก็แค่ให้ความหวังหนูเฉยๆ เท่านั้น หนูต้องวางฟอร์ม หนูต้องคีพคูล...
...และหนูก็ต้องไม่ตั้งง่ายๆ แบบนี้สิวะ!
ดีนะที่อีกฝ่ายมันไม่รู้น่ะ
สถานที่แรกที่มันพาผมมาคือยิม
ผมมองดูห้างที่ผมกับรันชอบมาบ่อยๆ ไอ้ธนูมันคงเป็นสมาชิกของยิมในห้างที่นี่ มันมองหน้าผม เปิดกระโปรงหลังรถเพื่อหยิบกระเป๋า จากนั้นก็มองหน้าผมอีกด้วยสีหน้าเกินกว่าจะคาดเดาว่ามันอยู่ในอารมณ์อะไร
“กูไม่ออกกำลังกายนะ” ผมบอกมันไว้ก่อน
“กูรู้” มันตอบ “แต่มึงต้องรอมากู...”
“...”
“มึงรอ...ได้มั้ยวะ”
คำถามของมันดูติดจะลุ้นมากกว่าเป็นคำสั่ง ผมยักไหล่แทนคำตอบ “เข้าใจแล้ว”
ดูจากทรงของไอ้ธนูแล้ว...รูปร่างดีฉิบหายขนาดนี้แม่งต้องขยันมายิมทุกวัน ซึ่งนั่นมันก็คือความจริง สิ่งแรกที่ผมควรรู้เกี่ยวกับตัวมันคือมันรักการออกกำลังกายมาก เอ่อ...นี่ผมต้องลงบันทึกไว้ในโทรศัพท์เพื่อกันลืมหรือเปล่า
“สวัสดีครับคุณธนู” พนักงานของยิมทักระหว่างที่ธนูเดินนำผมเข้าไป
“ผมพาเพื่อนมาด้วยนะ” ธนูพะยักเพยิดมาทางผม ก่อนจะเอ่ยเพิ่มเติมอีก “อย่ายุ่งกับมันนะครับ”
พนักงานหน้าชา...ส่วนผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมธนูถึงพูดแบบนั้น กลัวเขามาขายคอร์สให้ผมหรือยังไงกัน
ระหว่างที่มันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า...ผมก็ได้รับคำตอบแทบจะในทันทีว่าพนักงานที่นี่คงขายคอร์สขายการสมัครสมาชิกรายปีกันหนักมาก เพราะคนที่นั่งข้างๆ ผมก็คือโดนนำเสนอจากพนักงานทั้งนั้น ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเพราะธนูมันได้สั่งเอาไว้
พ่อง...ผมรอดเพราะมันว่ะ
ไม่ใช่เพราะผมปฏิเสธไม่เป็นหรอกนะครับ แต่ผมเบื่อที่จะต้องมาหาเหตุผลต่างๆ นานาว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงไม่เซย์เยสน่ะ การที่ธนูมันทำแบบนี้ทำให้ผมสบายใจไปเปลาะหนึ่งเลยทีเดียว
ผมเห็นธนูมันเดินออกมาในชุดพร้อมออกกำลังกายแล้ว...พ่อแก้วแม่แก้วเอ๊ย มันสูง ยาว ขาว และหุ่นดี ทุกอย่างดูครบเป๊ะไปหมดเลย
ตาของผมค้างจนมันมาหยุดอยู่ที่หน้าผมนี่แหละ
“รอแป๊บนะ” สีหน้าของมันดูอ้อนนิดๆ ผมใจละลายก่อนจะเผลอพยักหน้ารัวเร็วจนผิดปกติ มันยิ้มนิดๆ ก่อนจะหายเข้าไปในโซนเครื่องออกกำลังกาย
ระหว่างนั้น...ผมเห็นผู้หญิงสองสามคนวิ่งตามมันไป ขอย้ำ...วิ่งตามมันไป
โทรศัพท์ผมมีเสียงแจ้งเตือน ผมจึงเปิดขึ้นมาดูขณะที่คิ้วของผมกำลังขมวดมุ่น การ์ดส่งข้อความมาถามว่าธนูพาผมไปไหน ผมจึงตอบกลับไปว่ามันพามายิม
อาม่าอาอึ้มชอบไปกวนมัน ถ้ามันหงุดหงิดก็อย่าตกใจนะ!ผมมองซ้ายมองขวา...มองยังไงก็ไม่เห็นมีวี่แววอาม่าอาอึ้มอย่างที่การ์ดว่า มีแต่หญิงสาวที่อายุยังไม่ถึงสามสิบ อีกทั้งทุกคนดูตั้งใจที่จะไปออกกำลังกายบริเวณรอบๆ ไอ้ธนูอีกด้วย
ไม่ใช่แค่สามคนแล้ว ผมเห็นว่ามีมาเพิ่มอีกสี่ กลายเป็นเจ็ด...
ผมมองไม่เห็นสีหน้าของมันเพราะมันกำลังวิ่งอยู่บนเครื่องวิ่งและหันหลังให้ผม แต่การกระทำของหญิงสาวหุ่นดีเหล่านั้นผมเห็นชัดเต็มสองตา...ทุกคนส่งอ้อยให้ธนูชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร บางคนนี่ถึงกับเข้าไปทักเข้าไปคุยกับมันด้วยซ้ำ
นี่ไม่รู้กันเลยหรือไงว่ามันเป็นเกย์น่ะหา!
ผมไม่รู้ตัวว่าผมเริ่มอยู่ไม่สุข ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้าตามากลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมหัวร้อนได้ทั้งหมด พนักงานที่ส่งยิ้มหวานเพื่อต้องการขายคอร์สให้หนุ่มหล่อก็ทำผมหงุดหงิด แม่บ้านที่เอาน้ำเปล่ามาเสิร์ฟให้ผมก็ทำผมหงุดหงิด
...และผู้หญิงพวกนั้นที่เข้าไปล้อมรอบไอ้ธนูก็ทำผมหงุดหงิด
นี่คือสิ่งที่มันต้องเจอทุกวัน แต่มันก็มา...นั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่
ผมไม่ชอบแล้วผมจะทำอะไรได้...ผมเป็นคนบอกธนูเองว่าเราสองคนต้องเรียนรู้กันและกัน ไม่แน่ว่าสิ่งที่มันอยากให้ผมรู้อาจเป็นเรื่องที่ว่ามันชอบที่จะอยู่ท่ามกลางผู้หญิงเหล่านี้ก็เป็นได้...
โว้ยยยยยยยยยยยยยยย แบบนั้นมันบ้าชัดๆ
แล้วไอ้ห่านั่นมันจะส่งยิ้มให้ผู้หญิงที่ซื้อน้ำเปล่าให้มันทำไมกัน...
ผมตัดสินใจเลิกมองมันแล้วเปิดเกมขึ้นมาเล่นแทน แม้จะเล่นไปแพ้ไปแต่ผมก็ไม่แคร์ ผมต้องการอะไรบางอย่างที่จะทำให้ผมหลุดโฟกัสจากไอ้บ้าโซแดมน์ฮอตที่มีชื่อว่าควายธนู
ตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมาอีกที...ธนูก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม เหงื่อของมันเต็มตัวไปหมด มันเช็ดเหงื่อแบบลวกๆ สลับกับกรอกน้ำดื่มเข้าไปในคอ
โห...เหมือนผมจ้างนายแบบมายืนทำเท่ให้ดูอ่ะ
แต่เดี๋ยวก่อน...ลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังหัวร้อน
“เป็นอะไร...เบื่อเหรอวะ” มันถามผม ผมมองดูระยะห่างระหว่างผมกับมัน...และก็เพิ่งรู้ว่าเรากำลังเป็นเป้าสายตาให้พวก ‘อาม่าอาอึ้ม’
อาม่าอาอึ้มพ่องดิการ์ดดดดดดดดด
“ทำไมยืนอยู่ห่างจัง มายืนใกล้ๆ ดิ แบบนี้มันคุยกันไม่รู้เรื่องนะ” ผมแถไปนู่น
“เหงื่อกูเต็มตัวเนี่ย เดี๋ยวมึงเหม็น”
“ไม่เหม็น”
“มึงจะเหม็น”
“พูดอย่างกับกูไม่เคยได้กลิ่นเหงื่อมึงอย่างงั้นแหละ คืนนั้นกูสูดเข้าไปเต็มๆ จมูกแท้ๆ” ผมบ่นไปเรื่อยอย่างลืมคิดก่อนพูด รู้ตัวอีกทีไอ้ธนูมันก็พุ่งตัวเข้ามานั่งข้างๆ ผมซะแล้วราวกับพึงพอใจคำพูดของผมนักหนา
“จริงๆ กูจะใช้เวลานานกว่านี้ แต่กูเกรงใจมึง...”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” ผมไม่เห็นจะรู้สึกว่ามันนานมากมายอะไร “ขอแค่อย่างเดียว...”
“อะไรเหรอ”
เข่าของมันชนกับเข่าของผมระหว่างที่มันนั่งกางขาเช็ดนั่นเช็ดนี่ของมันไปเรื่อยๆ กลิ่นความเป็นชายของมันโชยเข้าจมูกผม...เสน่ห์แบบธรรมชาติที่ไม่ใช่การฝืนเลยสักนิดนี่มัน...พานทำให้คนที่นั่งข้างๆ แม่งหายใจลำบากจริงๆ
ผมกลืนน้ำลายลงคอเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะพูด
“อย่าไปอยู่ใกล้อาม่าอาอึ้มพวกนั้นให้มากได้ป่ะวะ”
ดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้เส้นผมเปียกที่ปรกใบหน้าของมันสื่อให้ผมเห็นว่ามันกำลังถูกใจคำพูดของผม...อีกแล้ว
“มึงรู้อะไรป่ะ”
“หา” ผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อฟังมันพูดต่อ
แทนที่มันจะพูด...มันกลับขยับใบหน้าเข้ามาจุ๊บที่ปากของผมแทน มันเป็นการจุ๊บที่นานพอที่จะทำให้คนที่อยู่รอบตัวคนอื่นๆ หันมามอง โดยเฉพาะ ‘อาม่าอาอึ้ม’
“ไม่มีอะไร” มันยิ้มมุมปากก่อนจะลุกขึ้นยืน “แค่รอทำแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว”
“อะไรของมึง” ผมกระพริบตารัวใส่มัน
“หนึ่ง...พวกนั้นเขาจะได้รู้ว่ากูเป็นเกย์” มันพยักพเยิดไปทางสาวๆ เหล่านั้น “สอง...กูอยากจุ๊บมึงจะแย่”
ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าผมกำลังเขินแม่งอีกแล้ววววว...เฮ้อ เก้าอี้หนังสีแดงกับหน้าผมอะไรมันจะแดงมากกว่ากัน
“อาบน้ำแป๊บนะ” ธนูขอตัว
“ไม่ออกกำลังต่อแล้วเหรอ”
“ไม่ล่ะ ต้องรีบแล้ว”
“...”
“เผื่อกูได้จุ๊บมึงอีก”
มันส่งยิ้มให้ก่อนที่จะหายเข้าไปในโซนห้องน้ำชาย ผมหัวใจเต้นแรงมากจนต้องกุมอกตัวเอง ระหว่างนั้นผมสัมผัสได้ว่ามีสายตาอาฆาตมาดร้ายรวมไปถึงสายตารับไม่ได้ถูกส่งต่อมาจาก ‘อาม่าอาอึ้ม’
ช่วยไม่ได้ที่ผมต้องส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้เธอเหล่านั้น...
[ มีต่อนะคะ ]