Inside Tin[TIN SIDE]
หลังจากที่เกิดเรื่องไอ้ฟิก ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดเพราะต้องกลับบ้านในช่วงตรุษจีน ผมอยู่แค่วันไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษเท่านั้น เดี๋ยวม๊าจะจับสังเกตได้ เพราะม๊าเป็นพวกความรู้สึกเร็วมักจะดูออกผมไม่อยากให้ม๊าเป็นกังวลเพราะม๊าเองก็เคยกังวลเรื่องไอ้ฟิกมาก่อนหน้านี้แล้วไม่อยากให้มันกลับมาเป็นประเด็นอีก
ส่วนมากผมจะไปคลุกอยู่กับไอ้เบลล์มากกว่าไอ้ชัย เพราะต้องช่วยกันสรุปทำโครงการ แต่สมาธิและความตั้งใจที่เคยมีกลับลดฮวบฮาบอย่างน่ากลัว สาเหตุหลักๆก็มีแค่อย่างเดียวคือไอ้ฟิก ไอ้ตัวป่วนที่มักจะทำให้ผมว้าวุ่นได้เสมอ ก็ปกติผมจะเห็นหน้ากวนๆของมันเกือบทุกวัน ถึงไม่ได้เห็นหน้าก็ยังได้ยินเสียง แต่นี่ขาดไปทั้งสองอย่าง ก็ต้องเหงาเป็นธรรมดา อาการคิดถึงกำเริบตลอดทั้งวัน
การถอยให้กันคนละก้าวตอนนี้คงดีที่สุด และก็ไม่ใช่เพราะเรื่องไอ้เพชรด้วย แต่เป็นเพราะปัญหาที่สะสมมานาน เอาเข้าจริงๆ ทั้งผม ไอ้ฟิก พี่ภูแทบไม่มีส่วนไหนที่เข้ากันได้เลยด้วยซ้ำ ถึงแม้จะปรับเข้าหากันบ้างแล้วแต่ผมก็เชื่อว่าลึกๆแล้วมันก็ยังไม่เต็มร้อยอยู่ดี
คำว่าเหนื่อยที่ผมพูด ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายความรู้สึกของมัน ผมไม่ได้เหนื่อยกับการที่ต้องอยู่กับไอ้ฟิก แต่เหนื่อยกับปัญหาที่เข้ามาไม่หยุดต่างหาก ก็ขำดี เพราะไม่รู้ว่าเป็นความผิดของใครกันแน่ แต่วิธีนี้ก็ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นความรู้สึกไม่ดีมันจะเพิ่มมากขึ้นและยิ่งส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ของเราสามคน
ภายนอกอาจดูเหมือนว่าผมไม่ได้เสียใจ ทำตัวเป็นปกติ แต่ความจริงแล้วผมก็แย่พอๆกับพี่ภูนั่นล่ะ แค่ผมเก็บอารมณ์เก็บอาการเก่งกว่าพี่เขาเท่านั้นเอง ไอ้เรื่องเสแสร้งผมถนัดอยู่แล้ว แต่ไอ้อาการ ‘อวดเก่ง’กับหายไปเมื่อต้องมาเจอๆไอ้ฟิกตัวเป็นๆที่ร้านกาแฟข้างคณะร้านเดิม นี่ก็เป็นเรื่องตลกอีกเรื่อง ทั้งๆที่ผมกับมันไม่ได้เลิกกัน แต่ทั้งผมทั้งมันกลับดูเหมือนคนแปลกหน้าซะงั้น อาจเพราะคำพูดที่อยู่ในใจเมื่อวันก่อนก็ได้ ทำให้เข้าหน้ากันไม่ค่อยติด
“เลิกเรียนแล้วเหรอ”ผมเอ่ยถามก่อนในที่สุด ไอ้ฟิกสั่งชาเขียวปั่นแบบเดิม มันหันมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มกว้าง
“จำได้ด้วยเหรอ”ถามแปลกๆ
“ก็จำได้ดิ”นั่งดูตารางสอนมันจนจำได้หมดแล้ว
“แล้วมึงล่ะ ไปทำงานต่อหรือว่าไง”มันถามเรื่อยๆ สายตามองต้นไม้นอกร้าน
“อืม ไปทำที่หอไอ้เบลล์”ผมนึกอยากหยอกมันขึ้นมา จึงกระแอมแล้วเอนตัวไปใกล้ๆ
“คิดถึงกูไหม”
“ไม่เลย เอาจริงๆคนที่เจ็บไม่ใช่กูหรอก”ไอ้ฟิกหันมามองหน้าผมอีกครั้ง เห็นแววตาสุกใสของอีกฝ่ายก็พลอยชื้นใจไปด้วยเพราะผมกลัวว่ามันจะคิดมากจนเกินไป
“ดีแล้ว”ผมเงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“กูอ่านไดอารี่ของมึงแล้วนะ”มันเผยยิ้มออกมา
“น้ำเน่าพอๆกับของไอ้ภูเลย”ผมได้แต่ยิ้มกับคำพูดของอีกฝ่าย
“พรุ่งนี้กูจะไปเชียร์ไอ้ภูแข่งดนตรี มึงไปไหม”
“ต้องดูก่อน อาจไม่ว่าง”ไม่ว่างจริงๆ ไม่ใช่เพราะว่าจะหลบหน้ามันแต่อย่างใด
“แล้วห่างๆกูเป็นไงบ้าง คิดอะไรได้บ้างไหม”
“ก็หลายอย่าง”โดยเฉพาะเรื่องมัน ผมรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก สงสัยได้มาเจอหน้ามันล่ะมั้ง
“เหรอ”มันเดาะลิ้นเบาๆ ท่าทางดูกวนประสาทเหมือนแต่ก่อน
“แล้ว…”ไอ้ฟิกหันมาทำหน้าจริงจังใส่อีกรอบ พร้อมๆกับที่ชาเขียวปั่นของมันได้แล้ว
“ทำแบบนี้มีความสุขไหม”พูดจบมันก็รับแก้วชาเขียวปั่นไป ชี้มือมาทางผมเหมือนบอกว่าให้จ่ายเงิน ผมได้แต่มองตาม เป็นหมา จะว่าไปอาการของไอ้ฟิกเหมือนช่วงที่มันยังแข็งๆใส่ผมเลย
“ขอบคุณครับ”ผมรับแก้วโกโก้ปั่นของตัวเอง ก่อนจ่ายเงินให้ทั้งของตัวเองและของไอ้ฟิก กลับไปนอนเบื่อที่ห้องไอ้เบลล์ต่อ อย่าว่างั้นงี้เลย แต่ห้องมันโคตรจะรก ซื้อของมาเน่าคาตู้เย็น จนผมต้องจัดการทำความสะอาดห้องให้มันเพราะทนไม่ไหว เห็นแล้วหงุดหงิดเกะกะตา
“มึงดูอารมณ์ดีกว่าทุกวันนะ”ไอ้เบลล์เงยหน้ามาจากรูปเล่มโครงการในมือ ดินสอทัดอยู่ที่ใบหูกางๆของมัน จะว่าไปมันก็เหมือนหมาพุดเดิ้ลแบบที่ไอ้ฟิกตั้งฉายาจริงๆ นึกแล้วก็ขำ
“หือ ประสาทแดกแล้วว่ะเพื่อนกู หัวเราะคนเดียวก็เป็น”มันทำหน้าเบื่อหน่าย คว้าส้มมาแกะ ทิ้งเปลือกไว้แถวๆที่มันนั่งอยู่
“ถามจริง มึงเคยถูห้องไหมเนี่ย”บนหลังตู้เสื้อผ้าฝุ่นตรึมเลย
“ไม่ว่ะ ยังหาเมียมาช่วยถูไม่ได้เลย”มันทำหน้าเซ็ง จริงๆมันก็ไม่ได้หน้าตาแย่อะไรหรอก ติดที่นิสัยบ้างานและขี้เกียจคุยกับคนอื่นของมันนี่ล่ะ ปากบ่นว่าอยากมีเมีย แต่พอมีสาวมาจีบเข้าจริงๆก็ถอย อะไรของมันก็ไม่รู้
“กูหาให้เอาไหม”ไม่รู้ว่าผมทำสีหน้าแบบไหนออกไปมันถึงได้เบ้หน้าทันที
“ให้มึงหาให้ กูหาเองดีกว่า กลัวมึงจะยัดเยียดแบบพี่อันแล้วก็ไอ้ฟิกมาให้”
“แบบไอ้เจ้าคุณล่ะ”ผมลองแหย่เล่น
“โอยยย มึงเอาไว้ไถเงินเถอะ ยินดีจะจ่ายให้อยู่แล้วนี่ ไอ้นักเลงนั่นด้วย”ไอ้เบลล์ยังจำไอ้เพียวเพื่อนเก่าไอ้ฟิกได้อยู่ ครั้งล่าสุดที่มันโดนหน้าแข้งผมอัดท้องไป ก็ไม่ค่อยโผล่มากวนประสาทผมแล้ว เหลือแต่ไอ้เจ้าคุณที่ยังมาวนเวียนเหมือนยุงน่ารำคาญ
“พอๆเลิกพูด”อารมณ์เสียขึ้นมาซะงั้น ไอ้เบลล์หัวเราะหึอย่างเคยชินกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของผม เก็บของลงถุงดำเสร็จ ผมก็กลับมานั่งแดกส้มเป็นเพื่อนมัน
“ถามจริงนะๆ”ไอ้เบลล์พ่นเม็ดใส่โต๊ะ จนผมต้องขึงตาขู่มัน
“มึงจะเก็บดีๆหรือมึงต้องเจ็บตัวก่อน”ไอ้เบลล์ทำเสียงจิ๊จ๊ะก่อนจะกวาดเม็ดที่มันเพิ่งพ่นออกมาใส่ถุงขยะ
“ถามต่อได้”ยักคิ้วให้มัน
“มึงทำแบบนี้แล้วได้อะไรวะ กูเห็นมึงนั่งดูรูปมันเมื่อตอนปีหนึ่งแบบนั้นแล้วมันขัดลูกตา”
“มึงเคยได้ยินไหม ห่างกันเพื่อเรียนรู้ ช่วงนี้แหละ เราจะรู้ว่าขาดอะไรไป และสิ่งไหนสำคัญ สิ่งไหนที่ต้องแก้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่กู ก็ต้องแก้ที่ตัวกู เรื่องของความรู้สึกถ้าได้แตกหักไปแล้ว มันจะแก้ยาก กูไม่อยากให้เรื่องของกูกับมันต้องเป็นแบบนั้น…ถึงมันจะดูเข้าใจยาก แต่เพื่อรักษาความสัมพันธ์มันก็คุ้ม”ผมสบายใจขึ้นเยอะเลยช่วงที่ได้คิดอะไรคนเดียว ไม่ใช่ว่าสบายใจที่มันไม่อยู่ใกล้ๆนะ แต่มันรู้สึกได้ชัดเจนว่าผมรักมันมากแค่ไหนและถัาต้องขาดมันไปจริงๆจะเป็นยังไง เพราะอย่างนี้ผมถึงต้องรักษามันไว้นานๆ
ความไว้ใจและเชื่อใจสองสิ่งนี้ผมต้องสร้างให้มันมั่นคงเพราะหมาฟิกของผม...ชัดเจนในความรู้สึกของตัวเองมากกว่าแต่ก่อนมากจริงๆ ผมต้องเข้าใจในตัวตนของมัน คนเราจะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นคงสูญเสียความเป็นตัวเอง ทั้งผมและพี่ภูก็มีมุมของตัวเอง และผมก็เชื่อว่ามันเข้าใจ...
“บางทีกูก็คิดนะว่าเอาแต่ใจตัวเองมากไปหน่อย กะเกณฑ์ให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างที่อยากให้เป็น...”ผมถอนหายใจมองส้มตรงหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด เหมือนได้กลับไปช่วงรู้จักไอ้ฟิกใหม่ๆ เหมือนได้กลับไปจีบมันเลย ไม่สิ สงสัยต้องเริ่มจีบมันสักทีแล้วสิ
“พูดจาเข้าใจยากอีกแล้ว นี่ถ้ามึงสวดมนต์ให้กูฟังด้วยกูจะอันเชิญมึงเข้าวัดบวชแม่งเลย”ไอ้เบลล์เหลือบมองพร้อมกับยิ้มขำ
“สักวันถ้ามึงมีความรักดีๆมึงจะเข้าใจเอง”ผมโยนส้มในมือให้เพื่อนก่อนจะลุกไปเช็คตารางของวันพรุ่งนี้ มีเรียนเกือบครึ่งวัน
“พรุ่งนี้ตอนบ่ายกูจะไปเดินเล่นที่อ่างเก็บน้ำหลังมอนะ”แอบนึกถึงพี่ภูนิดหน่อย ตั้งแต่วันนั้นยังไม่ได้คุยกันเลย นอกจากไอ้ฟิกแล้วคนที่ผมเป็นห่วงรองลงมาก็คือพี่ภู คนที่ดูแข็งกระด้าง ไม่ละเอียดอ่อน เป็นคนตรงๆ จะเป็นยังไงถ้าหากต้องอยู่ห่างไอ้ฟิก คนๆนี้เป็นคนที่ผมมองครั้งแรกก็ดูออกว่าเป็นคนแบบไหน ยิ่งไปเห็นครอบครัวของอีกฝ่ายแล้ว...คนแบบพี่ภูนี่ล่ะ อ่อนแอและต้องการความรักมากกว่าใครๆ
ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมาถึงจะมีบางเรื่องที่ขัดใจแต่พี่ภูก็เปรียบเสมือนพี่ชายคนนึงของผม อันที่จริงอยากบอกว่าเหมือนน้องชายมากกว่าแต่ไม่ดีกว่า...เดี๋ยวผมจะเจอลูกเตะมหาปะลัยเข้า ผู้ชายคนนี้มือเท้าหนักจริงๆ ผมเคยโดนพิษจนไหล่หลุดมาแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาคนที่นึกห่วงทันที
ตู้ดด ตู้ดด ตู้ดด
รอสายอยู่นานจนผมเกือบจะวางสายแล้วเชียว อีกฝ่ายก็กดรับพอดี
[มีอะไร]...น้ำเสียงแบบนี้ มีอะไรรึเปล่านะ?
“พี่เป็นไงบ้าง”ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปลายสายถึงเงียบไปนานขนาดนี้ ก็แค่คำถามธรรมดาๆเองนะ
[ก็ดี] ผมรู้สึกว่าตรงข้ามแน่นอน
“พรุ่งนี้พี่แข่งแล้วนี่นา พร้อมหรือยัง ผมไม่ได้โทรมากวนใช่ไหม”
[เปล่า] ได้ยินอีกฝ่ายถอนหายใจ
“มีเรื่องใช่ไหม เล่าให้ผมฟังได้นะ”เป็นอีกครั้งที่ปลายสายเงียบไปนาน
[...กูเป็นคนแย่ๆคนนึง ถ้ากูหายไปสักคนคงดี]
“เฮ้ย พูดอะไรแบบนั้น”ผมตกใจจริงๆ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร แต่ตอนนี้อีกฝ่ายคงอยู่ในอารมณ์เปราะบางมากจริงๆ และคนคิดมากแบบพี่ภู ช่วงอารมณ์แบบนี้อันตรายที่สุด
[แต่มาคิดดูแล้ว...กูเลือกอยู่เจอหน้าไอ้ฟิกดีกว่า]อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
“พี่อยู่ไหนเนี่ย บอกมา”ผมเริ่มเครียด
[มึงเป็นไร ทำเสียงแบบนั้นทำไม หึ กลัวกูคิดบ้าๆหรือไง คนอย่างกูไม่หนีปัญหาด้วยวิธีทุเรศๆแบบนั้นหรอก] น้ำเสียงของอีกฝ่ายดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก
“ใครจะรู้ ก็เมื่อกี้พี่พูดแปลกๆ แล้วตกลงพี่อยู่ไหน”
[บ้านไอ้ปา]ผมโล่งอกขึ้นมานิดหน่อย
“โทรหาไอ้ฟิกบ้างเหรอยัง”
[อืม...]น้ำเสียงไม่สู้ดีแบบนี้ คงเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ผมกับไอ้ฟิกรู้แน่ๆ เรื่องอะไรนะที่ทำให้พี่ภูคนที่ดูแข็งกระด้าง อ่อนแอได้ขนาดนี้
“พรุ่งนี้ผมอาจไม่ได้ไปเชียร์พี่นะ ส่งกำลังใจไปให้แทนล่ะกัน”ฟังดูแปลกพิลึก
[กูไม่อยากได้จากมึงหรอก]
“น่าเสียดายเนอะ..”ผมลองกระตุกหนวดเสือบ้าง
[เดี๋ยวกูเตะกระเด็น ถ้าโทรมากวนกูวางล่ะนะ]
“ผมเป็นห่วงพี่หรอก”ผมพูดเสียงจริงจัง
[ขนลุกสัด ไม่ต้องห่วงกูหรอก ระดับกูไม่ตายง่ายๆอยู่แล้ว ไว้เจอกัน] พี่ภูกดวางสายทันทีที่พูดจบเหมือนไม่อยากคุยนาน จะว่าไป...พี่ภูก็มีส่วนคล้ายๆไอ้ฟิกอยู่เหมือนกันแฮะ
*****************************************
หลังจากที่เรียนช่วงเช้าเสร็จ ผมก็กะจะแวะไปผ่อนคลายที่อ่างเก็บน้ำหลังม.ระหว่างทางผมก็เจอเข้ากับสองแม่ลูกแต่งตัวปอนๆเดินหอบหิ้วของพะรุงพะรังอยู่ตรงฟุตบาตร ผมขี่รถเข้าไปใกล้ๆทันที ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ได้เอาลูกเบ๊นซ์มาขับ แต่ผมไม่ชอบเวลาที่เห็นคนแก่กับเด็กลำบากเห็นแล้วมันสะท้อนใจแปลกๆ
“จะไปไหนกันเหรอครับ”ผมจอดถาม เด็กน้อยมองหน้าผมด้วยสายตาฉงน
“จะกลับไปห้องพักหลังม.นี่แหละหนู”คุณแม่ตอบกลับมา ท่าทางดูอ่อนล้าเพราะน้ำหนักของที่ถือมา
“เดี๋ยวผมไปส่งครับ ไม่รบกวนหรอก”ผมรีบเสริมเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเหมือนจะปฎิเสธ สุดท้ายผมก็กล่อมสำเร็จ
“เรียนอยู่ปีไหนแล้วล่ะเรา”คุณแม่ชวนคุยระหว่างที่ผมขับไปตามเส้นทางช้าๆเพราะเด็กน้อยนั่งแทรกอยู่ด้านหน้า
“ปีสี่แล้วครับ”
“ใกล้จะจบแล้วนี่นา ทนอีกหน่อยนะลูก เดี๋ยวก็สบายแล้ว น้าเองก็มีลูกชายคนโตเรียนอยู่ที่เดียวกับหนูเหมือนกัน ถ้าเขาเห็นน้าเขาคงไม่รับมาด้วยหรอก หนูมีน้ำใจมากเลยนะ”ผมหัวเราะให้กับคำชมของคุณแม่
“ผมแค่อยากช่วยน่ะครับ ปกติผมไม่ค่อยจะทำความดีสักเท่าไหร่ เห็นแบบนี้ผมอาจเป็นคนไม่ดีก็ได้นะครับ คนเราตัดสินกันเท่านี้ไม่ได้หรอก ต้องดูกันยาวๆ”ตัวผมก็มีทั้งสีขาวและสีดำ แล้วแต่ว่าจะเลือกใช้ด้านไหนกับใคร ต่างจากพี่ภูที่แสดงตัวตนออกมาตามอารมณ์ ผมชักจะกลัวตัวเองขึ้นมาเหมือนกันแล้วนะเนี่ย
“ฉลาดพูดซะด้วยสิ”
ผมมาส่งสองแม่ลูกที่ห้องแถวในเขตชุมชนห่างจากม.ไปพอสมควร ก่อนจากกันผมนึกบางอย่างได้พอดี
“คือ...รบกวนถ่ายรูปได้ไหมครับ”ถึงอีกฝ่ายจะดูงงๆแต่ก็ยอมให้ผมถ่ายรูปตามใจชอบ รูปที่ผมได้มาคือรอยยิ้มกว้างของสองแม่ลูก
“ขอบคุณครับ”ได้ทำอะไรแบบนี้ ก็รู้สึกดีเหมือนกัน
“อย่าลืมถ่ายรอยยิ้มของตัวเองด้วยนะหนู”คำพูดของคุณแม่สะกิดใจผมเข้าอย่างจัง แค่ช่วงเวลาสั้นๆผมกลับได้อะไรเยอะกว่าที่คิด รูปที่ผมถ่าย น้อยรูปที่จะมีรูปของตัวผมเอง
ผมวนกลับเข้าไปในม.เพื่อไปยังที่หมาย ช่วงคล้อยบ่ายใกล้เย็นแบบนี้ ส่วนใหญ่มักมีคู่รักมาวิ่งกันที่นี่ คลื่นกระแสความเหงากลับเข้ามาอีกครั้ง กลายเป็นคนไม่ชินกับการอยู่คนเดียวไปซะแล้ว ก็นะ หลายปีมานี้ไอ้ฟิกกับผมตัวติดกันตลอด คิดถึงมันอีกแล้วสิ ทั้งๆที่เจอหน้ามันไปเมื่อวานแล้วแท้ๆ
อืม...พี่ภูนี่เก่งจริงๆ ช่วงที่โดนเด้งไปนอกพี่ภูทนกับความรู้สึกพวกนี้ได้ยังไงกันนะช่วงที่โดนเด้งไปนอกพี่ภูทนกับความรู้สึกพวกนี้ได้ยังไงกัน ผู้ชายชื่อภูนี่โชคร้ายสุดๆไปเลย อยู่ๆไอ้ความคิดที่ว่าผมเป็นคนโชคดีขนาดนี้เลยเหรอก็แว๊บเข้ามา ระหว่างที่กำลังเฟลๆ ไอ้ฟิกก็ทักไลน์มาให้แปลกใจเล่น
Fix - คิดถึงกูอยู่แน่ๆ
Tin - ไม่...
Fix - เออ เรื่องของมึง
Tin- ไม่มีเวลาไหนไม่คิดถึงหรอก
Fix - ถุย ทำมาพูดดี
ผมจ้องจอมือถือเหมือนอยากทะลุไปหาอีกฝ่ายให้ได้
Tin - พี่ภูได้โทรหาบ้างรึเปล่า
เป็นคำถามที่เสี่ยงตายมากทีเดียว
Fix - ไม่ คิดถึงกูจนแห้งตายไปแล้วมั้ง
Tin - พี่เขาดูแปลกๆ...
ผมเป็นห่วงขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้ฟิกเองก็ไม่ได้ตอบกลับมา เรื่องไหนที่ทำให้พี่ภูเป็นแบบนี้ได้นอกจากเรื่องไอ้ฟิก...ทะเลาะกับ พ่อเหรอ? ก็ไม่น่าใช่ ถ้าทะเลาะกันจริงคงอาละวาดมากกว่าจิตตก หรือเป็น...เรื่องต้องห้ามเรื่องนั้น
คู่อริที่ตาย...ก็เป็นไปได้ ผมเองก็ไม่รู้รายละเอียดลึกซึ้งของเรื่องนี้ ขนาดไอ้ฟิกเองก็รู้น้อยพอๆกับผมหรือจะร้ายแรงมากจนบอกใครไม่ได้ ผมสงสารพี่ภูจริงๆ คนนิสัยคิดมากอย่างพี่เขามาเจอเรื่องแบบนี้อีก แถมยังเป็นความผิดของตัวเอง ครอบครัวก็ไม่ใส่ใจเท่าที่ควร สิ่งที่ยึดเหนี่ยวพี่ภูไว้อาจมีแค่ไอ้ฟิกก็ได้
“เฮ้อ...”การถอยคนละก้าวสำหรับพี่ภูคงเป็นเรื่องยากแน่ๆ ก็หวังว่าจะไม่เฉาตายไปซะก่อนแบบที่ไอ้ฟิกว่านะ...
ผมนั่งคิดสะระตะจนฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี รู้สึกปลงกับชีวิตมากกว่าที่คิดซะอีก ถ้าปลงมากกว่านี้คงเข้าวัดตามที่ไอ้เบลล์บอกแล้วแน่ๆ
TBC.
ขอโทษพี่ภูจริงๆตอนที่แล้วใจร้ายกับคนงอแงไปหน่อย ของตินดูเบาๆไปเลย ยังไงก็แล้วแต่ เราอยากให้คนที่เหม็นหน้าภู(เอ๊ะ555)เข้าใจเฮียเขาหน่อยเนอะ พื้นฐานชีวิตของภูต่างจากตินมากวิธีการคิดเลยค่อนข้างต่างกัน ตัวตนของทั้งสามคนก็ต่างกัน ภูคือภู ตินคือติน ฟิกคือฟิก แตกต่างแต่ก็หาทางลงอยู่ด้วยกันได้ เอ็นดูเฮียแกด้วยเนอะ ส่วนตินเองเลือกแสดงสีขาวให้เห็นในพาร์ทนี้ พาดาร์คด้วยกันทั้งคู่เดี๋ยวจะอืด สำหรับติน...อย่าหลงกับดักความดีของพี่แกล่ะ บทจะร้ายก็น่ากลัวพอๆกะภู อาจมากกว่าก็ได้
สุดท้ายนี้คนเรามักมีพลาดกันได้ #คนเขียนก็เช่นกัน เจอกันตอนหน้าเนอะ ฟิกกลับมาสตรองแล้วนะ!
อย่าเพิ่งเหนื่อยกันน้าา ขอบคุณที่ติดตามกันมาเสมอค่ะ