รักของเรา -- April Fool's Day 31 มีนาคม เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเด็กม.ปลายอย่างผมและเพื่อนๆ วันนี้เราเดินทางมาโรงเรียนอีกครั้งเพื่อรับใบรบ. ก่อนจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงปัจฉิมที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นในตอนเย็นเพื่อเป็นการอำลาครั้งสุดท้ายแก่นักเรียนม.6ทุกคน ภาพบรรยากาศในงานจึงมีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตา ผมเองก็ใจหายไม่น้อยที่ต้องแยกย้ายไปตามความฝันของตัวเอง ไม่รู้ว่าพอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วจะเจอเพื่อนดีๆ เหมือนอย่างตอนนี้หรือเปล่า
แต่เอาเถอะ ถึงยังไงตอนนี้ผมก็อุ่นใจได้อย่างหนึ่ง นั่นคือผมมีที่เรียนแล้ว และ
เพื่อนคนหนึ่งของผมก็สอบติดที่เดียวกัน คณะเดียวกันกับผมด้วย
“นิล!” ผมรีบเรียกเขาเอาไว้ก่อน เพราะกลัวว่าจะวิ่งตามไม่ทัน ก็เขาเดินลงไปถึงชั้นสองแล้วนี่ ทั้งที่เผลอคลาดสายตาไปนิดเดียวแท้ๆ
“หืม?” นิลหยุดรอตามคาด แล้วเงยหน้ามองขึ้นมาตรงช่องระหว่างบันได ผมจึงรีบซอยเท้าตามลงมา
“มึงจะกลับบ้านแล้วเหรอ”
“อืม มึงอ่ะ ไม่ไปต่อกับพวกไอ้กายเหรอ”
“ไม่ไปแล้ว พรุ่งนี้ต้องกลับลำพูน ไม่อยากดึกมาก กลัวตื่นไปขึ้นรถไม่ทัน”
“เออ กูก็ง่วง นี่จะห้าทุ่มแล้วด้วย”
“เด็กอนามัย”
“ก็งั้นสิ กูนอนสี่ทุ่มทุกวันนี่” เขายอมรับง่ายๆ ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดอะไร เพราะใครๆ ก็รู้ว่าเขาเคยเป็นนักกีฬาที่มีตารางซ้อมทุกเช้า ดังนั้นจึงนอนเร็วเป็นนิสัย แม้ตอนนี้จะเลิกเล่นไปสามสี่เดือนเพราะเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เถอะ “งั้นกลับด้วยกันป่ะ”
“เอาดิ” เมื่อเขาชวน ผมจึงรีบตอบรับทันที ก็เหตุผลที่วิ่งตามมาเพราะอยากให้เป็นแบบนี้นี่นะ
ผมเป็นคนเหนือ แต่ที่ถ่อมาเรียนถึงกรุงเทพก็เพราะพ่อต้องมาประจำในโรงเรียนในกรุงเทพตามประสาผู้อำนวยการ แม้เมื่อกลางปีที่แล้วพ่อย้ายกลับลำพูนไปเนื่องจากครบวาระสี่ปี แต่พ่อก็ไม่อยากให้ผมย้ายโรงเรียนกลางคัน ดังนั้นผมจึงต้องเช่าหออยู่เพียงลำพัง และโชคดีที่หอนั้นอยู่ตรงปากซอยบ้านนิลพอดี หลายเดือนมานี้เราจึงแทบกลับบ้านด้วยกันตลอด
ตอนนั้นผมค้นพบว่าเขาอยากเรียนคณะบัญชี ผมเองก็อยากเรียนคณะบัญชีเหมือนกัน เราสองคนจึงมีเรื่องคุยกันมากขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน ยามว่างจากการเรียนพิเศษเราก็มักจะติวหนังสือเตรียมตัวสอบ และช่วยกันวางแผนว่าจะเข้ามหา’ลัยไหน
ช่วงแรกเขาค่อนข้างพึ่งพาผมหลายอย่าง เพราะเขาเอาแต่เล่นกีฬาบางครั้งจึงมีเนื้อหาบางส่วนที่ตามไม่ทัน แต่เมื่อผ่านไปไม่กี่เดือน นิลกลับเรียนแซงหน้าผมไปไม่เห็นฝุ่น ใครจะรู้ว่าเขาหัวดีขนาดนั้น ตอนประกาศผลสอบตรงคะแนนของเขานำโด่งขึ้นไปอยู่ที่หนึ่ง ส่วนผมอีกนิดเดียวก็เกือบจะไม่ติดแล้ว
แต่พอผ่านจุดนั้นมาได้ เราก็สบายใจและมีเวลาว่างมากขึ้นอีกหน่อย ไม่ต้องเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์หน้าดำคร่ำเครียดเหมือนเพื่อนหลายๆ คนอีก เขาจึงชวนผมไปเล่นกีฬาที่ชมรมด้วย จากที่ไม่เคยเล่นบาสเพราะผมชอบฟุตบอลมากกว่า ตอนนี้ผมก็เล่นพอใช้ได้ มิหนำซ้ำยังต้องคอยอัพเดตบาสเอ็นบีเอสลับกับฟุตบอลเอฟเอคลับที่ชื่นชอบเป็นทุนเดิมเพิ่มอีกหนึ่งรายการ แต่ผมว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
เพราะมันก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น เขาเป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ คุยสนุก ไม่เรื่องมาก และที่สำคัญคือไม่ค่อยพาผมออกนอกลู่นอกทาง เขาไม่เคยชวนผมไปทำเรื่องไม่ดี เช่น ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่เลยสักครั้ง เพราะเหตุผลที่ว่าเขาเป็นนักกีฬาก็เลยต้องดูแลตัวเอง ซึ่งอันที่จริงผมก็ไม่ได้ต่อต้านเรื่องพวกนั้นนะ เข้าใจเพื่อนที่อยากรู้อยากลอง ผมเองก็เคยลองแต่ไม่ได้รู้สึกชอบหรืออะไร คือถ้าจะให้ไปก็ไปได้
แต่ถ้าเลือกได้ ตอนนี้ขอไปกับนิลดีกว่าผมเดินออกมาจากโรงเรียนพร้อมเขา เรายืนรอรถแท็กซี่อยู่นานก็ไม่มีผ่านมาเลยสักคัน เราจึงตัดสินใจขึ้นรถเมล์ที่มาจอเทียบป้ายหลังจากนั้นสิบนาที
บนรถไม่ถึงกับร้างผู้คน แต่ด้วยเวลาขณะนี้ผู้โดยสารก็มีไม่มากแล้ว ผมเดินตามนิลไปนั่งเบาะเกือบหลังสุด เมื่อจ่ายให้กระเป๋ารถเมล์เงินเรียบร้อย เขาก็หันมาบ่นกระปอดกระแปดกับผมเบาๆ
“ไม่รู้จะถึงบ้านกี่โมง ง่วงชะมัด”
“ง่วงก็นอนสิ เดี๋ยวถึงแล้วเรียก” ผมเสนอทางเลือกให้เขา ก็ดูตาเขาสิ แดงก่ำจนรู้ได้เลยว่าง่วงจริงๆ
“แล้วมึงไม่ง่วงบ้างหรือไง” เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ แล้วถาม หัวใจผมเต้นผิดจังหวะไปนิดจึงหันหน้ากลับมามองตรงไปทางคนขับ
ใครใช้ให้เขาดูดีขนาดนี้กันเล่า“ไม่ค่อยอ่ะ มึงนอนเหอะ อีกหลายป้ายอยู่”
“งั้นอย่าลืมปลุกด้วยนะ”
“อืม”
“ห้ามหลับด้วย”
“รู้แล้วน่า ตกลงจะนอนไหมเนี่ย”
“นอนๆ”
พอพูดจบเขาก็เงียบไป เมื่อผมหันกลับไปหาก็เห็นเขาหลับตาเอาหัวพิงกับกระจกหน้าต่างที่ปิดเอาไว้ครึ่งบาน ลมจากช่องที่เปิดอยู่พัดเข้ามาจนผมของเขาปลิวน้อยๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมาหลังจากสอบเสร็จก็เดือนกว่าแล้ว นักเรียนชายทุกคนจึงไม่ต้องตัดผมสั้นเกรียนกันอีก และดูเหมือนผมของเขาจะยาวเร็วมาก ทั้งยังเป็นคนผมดกมากจริงๆ แถมดำสนิทแบบเดียวกับคิ้วดาบพาดเฉียงนั่นเลย แต่ผมไม่ยักรู้สึกว่าหน้าเขาดุเลยนะ อาจเป็นเพราะเขาตาหวานเหมือนแม่ล่ะมั้ง
ผมนั่งมองเขาอยู่อย่างนั้น รถเมล์ก็ขับสั่นไปส่ายมาจนหัวของเขาโขกกับกระจกหลายรอบ ผมนึกสงสารอยู่ในใจเหมือนกันแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ในขณะที่คิดว่าควรเอื้อมมือหรือสอดกระเป๋าไปรองให้ดีไหม จู่ๆ เขาก็เอนตัวกลับมาแล้วพิงหัวลงกับไหล่ของผมพอดิบพอดี
ผมนั่งตัวแข็งทื่อทันทีทันใด ไม่กล้าขยับตัวหรือแม้แต่จะหายใจแรงๆ ด้วยซ้ำ หูได้ยินเสียงเขางึมงำอะไรสักอย่างไม่เป็นประโยค แต่ผมก็ไม่กล้าถามกลับไป
ไหล่แข็งๆ ไม่เหมือนหมอนฟูนุ่ม ดูเหมือนว่าเขาก็นอนไม่สบายเท่าไหร่ นิลใช้หัวเกลือกไปมาบนไหล่ผมหาจุดที่สบายอยู่สักพัก จนผมเกือบจะเรียกให้เขาตื่นอยู่รอมร่อ แต่สุดท้ายเขาก็นิ่งไปเอง ผมมองไม่เห็นหน้าเขาอีก เห็นเพียงขวัญเล็กๆ กลางกลุ่มผมดำสนิท เท่านี้ก็ทำให้ผมเกือบหุบยิ้มไม่ได้แล้ว โดยที่ไม่ต้องสงสัยให้เหนื่อย ผมสารภาพได้เลยว่า
ผมรู้สึกดีกับความใกล้ชิดนี้เหลือเกิน เมื่อคนเรามีความสุข เวลามักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ พอเผลอเพียงแวบเดียวเราก็เกือบถึงป้ายที่ต้องลงกันแล้ว ผมตัดใจจากความสุขตรงหน้า ก่อนทำลายมันด้วยการเรียกชื่อเขาเบาๆ
“นิล”
“…”
“นิลตื่น”
“…”
“นิลตื่นได้แล้ว จะถึงบ้านแล้วนะ” เมื่อผมพร้อมเขย่าแขนเป็นครั้งที่สาม เขาก็ครางรับออกมาในที่สุด
“อื้อ…”
พอรู้ตัวเขาลุกกลับไปนั่งตัวตรงตามเดิม ขยี้หูขยี้ตาเล็กน้อยและหาวหวอดๆ ด้วยความงัวเงีย ก่อนจะสะพายกระเป๋าขึ้นหลังเตรียมตัวลงจากรถ
“ถึงบ้านแล้วเนี่ย” ผมว่า
“หลับลึกไปหน่อย มึงหนักป่ะเนี่ย”
“ไหล่ชาหมดแล้ว” ไหล่ของผมชาจริงๆ แม้กระทั่งตอนนี้ยังไม่หายชา แต่ความรู้สึกอุ่นๆ จากกายของเขากลับค่อยๆ เจือจางลง…น่าเสียดาย
“เฮ้ย…โทษที” เขาขอโทษขอโพยอย่างสำนึกผิด แต่ผมก็ตอบปัดๆ ไปเพราะรู้ว่าตัวเองก็ใช้ประโยชน์จากเขาเหมือนกัน
“ไม่เป็นไร”
“ไว้คราวหน้าถ้ามึงง่วงกูจะให้หนุนคืน” เขาว่ายิ้มๆ
“เออๆ ไปกดกริ่งเหอะ เดี๋ยวเขาไม่จอดนะ”
“ไปดิ”
ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินหนีเขาไปกดกริ่ง หัวใจผมยังเต้นระส่ำรุนแรงจากคำพูดและรอยยิ้มเมื่อครู่ของเขาไม่หาย โชคดีทีที่เสียงรถมันดัง หวังว่าเขาคงไม่ได้ยินเสียงหัวใจของผมหรอกนะ บ้าเอ้ย! การตกหลุมรักใครสักคนมันทำให้ผมกลายตัวละครในการ์ตูนสาวน้อย งี่เง่า เพ้อเจ้อ แต่ก็หยุดความรู้สึกที่พุ่งพล่านในอกของตัวเองไม่ได้
เมื่อรถจอดสนิทผมก็เดินนำเขาอยู่นิดหน่อย เขาจึงรีบเดินตามมาตีคู่กัน เราเดินเข้าปากซอยเงียบๆ ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร รอบตัวมีแต่เสียงประตูอัตโนมัติของ 7-11 กับเสียงโฉงเฉงของร้านขายข้าวต้มรอบดึก ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี
“ขี้เกียจเดินเข้าซอยว่ะ” เขาเปรย
“งั้นเรียกมอเตอร์ไซด์ไหมล่ะ จะถึงหอกูแล้วด้วย มึงจะได้ไม่ต้องเดินคนเดียว”
“ไปส่งมึงถึงหอก่อนค่อยเรียกที่หน้าหอก็ได้”
“มึงกลับเลยก็ได้นะ แค่นี้เอง ง่วงไม่ใช่หรือไง จะได้รีบอาบน้ำนอน” พอเขาบอกว่าจะไปส่งผมก็ดีใจนะ แต่อีกใจก็สงสารเมื่อเห็นเขาง่วงขนาดนั้นตอนอยู่บนรถ
“เอาเหอะ เดินไปๆ นี่ก็จะถึงอยู่แล้ว”
“ตามใจ”
พอเราเดินมาจนถึงหอพัก เขาก็ยืนส่งผมที่หน้าประตูทางเข้า เหมือนจะรอให้ผมเข้าไปข้างในก่อนจึงจะเรียกรถ ผมจึงรีบไล่เขาไปเพราะเป็นห่วง
“มึงกลับเถอะ กูถึงหอแล้วเนี่ย”
“เออๆ รู้แล้ว ว่าแต่มึงไปลำพูนพรุ่งนี้ใช่ป่ะ”
“ใช่ไง”
“กลับมากรุงเทพเมื่อไหร่อ่ะ”
“หลังสงกรานต์มั้ง”
“เมษานี้ไม่ได้เล่นน้ำกับมึงอีกแล้ว ทำไมบ้านมึงไม่อยู่กรงเทพวะ” เขาว่าอย่างตัดพ้อ
“ก็กูเป็นคนเหนือนี่หว่า งอแงไรขอมึงเนี่ย”
“ไม่ได้งอแง กูแค่อยากไปเล่นน้ำกับมึงบ้าง”
“แต่ปีนี้กูนัดแม่ไว้แล้ว”
“ช่างเหอะ กูกลับล่ะ พรุ่งนี้ก็เดินทางดีๆ” พอพูดจบห้วนๆ เขาก็หันหลังกลับไปเรียกมอเตอร์ไซด์ เป็นผมที่ร้อนใจว่าเขาจะโกรธจึงรั้งเขาเอาไว้ ผมนึกแต่ว่าอยากให้เขารู้ ว่าสำหรับผม เขาก็เป็นคนสำคัญเหมือนกัน
“เดี๋ยวนิล!”
“อะไร” นิลหันกลับมาตามเสียงเรียก
“คือ…คือปีหน้ากูจะเที่ยวกับมึง กูสัญญา” ผมพูดตะกุกตะกัก ไม่คิดว่าตัวเองต้องร้อนรนเพียงเพราะกลัวเขาน้อยใจขนาดนี้
“อืม แล้ว?”
“ดังนั้นตอนนี้ อย่าโกรธกูนะ” ผมไม่รู้ว่าเสียงตัวเองเป็นเช่นไร แต่นัยน์ตาหวานของเขาไหวไปวูบหนึ่ง
“ไม่ได้โกรธหรอก เข้าหอเหอะ”
“แต่…”
“รู้แล้วไง ไม่ได้โกรธสักหน่อย” เสียงรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างกำลังใกล้เข้ามา และผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไร จึงตะโกนออกไปโดยที่ไม่คิด
“แต่กูกลัวมึงรู้สึกไม่ดี กูไม่อยากให้มึงโกรธ”
“ดีใจจัง เหมือนเป็นเพื่อนคนสำคัญเลย”
“สำคัญสิ มึงสำคัญกับกูมากๆ อยู่แล้ว”
“พูดอย่างกับชอบกู”
“ก็ใช่ไง
กูชอบมึง ไม่รู้หรือไง”
“ห๊ะ! อะไรนะ” เขาถามตาถล่นเพราะคงไม่คิดว่าผมจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่ก็ไม่แปลกหรอก ในเมื่อผมเองยังไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอหลุดปากออกมาได้
“…”
“หมายความว่าไง”
“คือ…กู…” ผมไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อหลุดพูดออกไปก็หาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองไม่ได้ ผมเคยคิดว่าสักวันอาจบอกเขา แต่ไม่คิดว่าจะเผลอบอกไปเร็วขนาดนี้
ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกันมา เขาไม่เคยมีสีหน้าแบบนี้มาก่อน ยิ่งมองเห็นแววตาของเขา ผมก็ยิ่งกลัว กลัวว่าจะถูกเกลียด กลัวว่าจะเสียเพื่อน กลัวไปหมด ผมนี่มันโง่ โง่จริงๆ
“ชอบยังไง ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยสิ” เขาย่างสามขุมเข้ามาใกล้ พอรถมอเตอร์ไซด์ที่เรียกเข้ามาจอดด้านข้าง เขาก็หันไปบอกให้กลับไปรอที่คิวรถก่อนพร้อมทั้งขอโทษขอโพยยกใหญ่
“…”
“พูดออกมาว่าชอบแบบไหนกันแน่”
“คือ…” ในหัวของผมประมวลผลเร็วจี๋ ถ้าจะสารภาพตอนนี้อาจมีแต่เสียกับเสียก็ได้ เพราะดูท่าว่าเขาไม่พอใจที่ผมพูดว่าชอบออกไปเมื่อกี้ ผมจึงคิดตื้นๆ ว่าควรรักษาความเป็นเพื่อนไว้ก่อน คนอย่างผมมันขี้ขลาดเกินกว่าจะเสียเขาไปได้
“
พูดสิหมอก”
“
April Fool's Day!”
“ห๊ะ!”
“วันนี้วันโกหกไง วันที่ 1 เมษา” ผมว่าก่อนถอนหายใจออกมา
“อ๋อ เมษาน่าโง่” เขาหันไปด้านข้าง เอามือทึ้งผมตัวเอง ไม่ยอมมองหน้าผม
“อืม” ผมพยักหน้ารับ ทำทีร่าเริงว่าวางแผนหลอกเขาได้สำเร็จ
“แม่งไม่ตลกเลยว่ะ” เขาหันกลับมาพูดเสียงเรียบ ใบหน้าและนัยน์ตาแดงก่ำไปหมด ผมรู้สึกว่าตัวเองพลาดแล้ว เขาคงรู้แล้วว่าผมชอบจริงๆ หรือไม่ก็คงโกรธที่ผมแกล้งเขา เนื่องจากนิลไม่ชบคนโกหก
“ขำๆ น่า” ผมบอกอย่างนั้นทั้งที่ตัวเองกลับอยากร้องไห้เต็มที
“
ไม่ขำสักนิด!”
“นิล…กูแค่พูดเล่นเอง”
“แต่กูไม่สนุกด้วยว่ะหมอก รู้ไหมทำไม”
“ทะ…ทำไม”
“
เพราะกูก็ชอบมึงเหมือนกันไง”
เกิดความเงียบขึ้นหลังจากที่เขาโพล่งออกมา ผมพูดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าตัวสั่นไปหมด ผมถูกบังคับให้ต้องมองตาเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้ และในนั้นมันก็สื่ออะไรออกมามากมาย มากเกินกว่าแค่คำว่าล้อเล่น
“มึง…แกล้งกูกลับเหรอวะ” ผมถามเสียงสั่น เขาจึงก้าวเข้ามาประชิด แม้เราจะสูงไล่เลี่ยกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองสู้เขาไม่ได้ ขัดขืนก็ไม่ได้
“
กูไม่ได้แกล้ง เพราะกูโกหกความรู้สึกตัวเองไม่ได้”
“…”
“
แล้วมึงล่ะหมอก อยากแกล้งกูจริงๆ หรือกำลังโกหกความรู้สึกของตัวเองอยู่กันแน่”
“กูว่า…” ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ ก้มหน้ามองรองเท้านักเรียนสีดำสองคู่ที่อยู่ชิดกันเกินกว่าครั้งไหนๆ ก่อนตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมาบอกกับเขา “กูคงกำลังโกหกตัวเองอยู่เหมือนกัน”
“…” เขาเริ่มกลับมายิ้มนิดๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น
“
เพราะดูเหมือนกูเองก็ชอบมึงจริงๆ”
“ไปพักเติมน้ำทางโน้นไหม ตรงนี้คนเยอะ” นิลตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงดนตรีกระฮึ่มที่เปิดอยู่ระหว่างทางรอบคูเมืองเชียงใหม่
“ได้ๆ”
“มานี่มา” เขาคว้ามือผมไปจับเอาไว้ก่อนดึงให้เดินไปอยู่ใกล้ๆ กัน
“อะไรเนี่ย คนเยอะแยะนะนิล” ผมโวยขึ้นเพราะเห็นสายตาของใครหลายคนมองมาที่เรา
“ก็คนเยอะไง นิลกลัวเราคลาดกัน หมอกไม่ต้องอายหรอก เป็นแฟนนิลจะอายทำไม”
“งั้นก็รีบเดิน” ได้ยินเขาพูดคำนั้นทีไร ผมก็เถียงไม่ได้ทุกที
“ครับๆ” นิลหันมาส่งยิ้มให้เป็นรางวัลที่ผมว่าง่าย ก่อนเดินจูงมือพากันออกไปที่จุดเติมน้ำ
หลังจากคืนนั้นเราสองคนก็ตกลงคบกันแบบคนรัก นิลขอแม่ตามผมมาที่ลำพูนตอนช่วงสงกรานต์ พ่อกับแม่ของผมก็ต้อนรับเขาเป็นอย่างดี พอถึงวันเทศกาลเราก็ออกมาเล่นน้ำด้วยกันอย่างที่เขาเคยบอกอยากทำ
จากวันนั้นถึงวันนี้เพิ่งผ่านมาได้ครึ่งเดือนเท่านั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูหรือเปล่าที่เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนมาเป็นแฟน หนทางข้างหน้านั้นยังอีกยาวไกล บางทีเราอาจจะรักกันได้ยืดยาวอย่างที่วาดหวัง หรือไม่เราอาจจะเลิกแล้วมองหน้ากันไม่ติดอีกเลยก็เป็นได้ แต่เขาก็สอนให้ผมซื้อสัตย์ต่อตนเอง หากในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผมก็อยากปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ในเมื่อวันนี้ผมรัก เขารัก เพียงเท่านี้ก็คงพอแล้ว
======================================
สวัสดีค่ะ
จะบอกสุขสันวันโกหกก็เลยมา 15 นาทีแล้ว
นี่เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของฝนค่ะ
แถมเป็นรักๆ อารมณ์หนุ่มน้อยหอยสังข์ ไม่เคยเขียนเลย 55555
ชอบไม่ชอบยังไงก็ติชมได้นะคะ
ละอองฝน.