อ่ะแหมรอกันนานไหมครับ
ทำงานติดกันหลายชั่วโมงนี่เหนื่อยใช้ได้เลย
มีคน rep เยอะแล้ว
ดีใจที่มีคนอ่านเพิ่มนะครับ ขอบคุณๆ
รู้สึกปิงจะคะแนนตก
สมน้ำหน้ามัน หุหุ
(อ้าว กรรม)
ตอนที่ 8 ความทรงจำที่ซ้อนทับกัน ผมกลับมาที่บ้าน ปลุกไอ้ปิง เห็นหน้ามันแล้วก็หวั่นไหวอีกรอบ แต่ผมจะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ ผมต้องก้าวต่อไป
ใครจะเข้าใจผมไหมนะ คือที่ผมตัดสินใจลงไปจริงๆ แล้วเพราะว่าผมแคร์ปิงเหลือเกิน ผมว่าความรักก็เหมือนกับถ่านไฟนะ มันมีหมดได้ ถ้าผมทรมานมากๆ แล้วไฟผมหมดลงไปล่ะ ผมคงรักปิงอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ฉะนั้นผมขอเก็บความรู้สึก หยุดเอาความทรงจำทั้งหมดเอาไว้ก่อน รอเวลาครับ ผมรอว่าเผื่อมีสักวันที่ผมกลับมามีเรี่ยวแรงใหม่ และผมจะเอาความความรู้สึกของผมให้มันใหม่อีกครั้ง เมื่อไหร่ไม่รู้แหละ แต่ตอนนี้คงต้องพักต้องเซฟใจเอาไว้ก่อน
“วันนี้กูไม่ว่างนะ ออกจากบ้านแล้วปิดบ้านด้วย” ผมเอาตีนเขี่ยไอ้ปิงที่หลับกรนเป็นเรือไฟ
“อ..อะไรวะ มึงจะไปไหน”
“ไปดูหนังก่ะเพื่อน”
“ใครวะ แล้วทำไมต้องแต่งดีขนาดนี้เนี่ย” ผมหน้าชา นี่กูแต่งเว่อร์ไปไหม ความจริงก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์นั่นแหละ แต่ว่าวันนี้ผมใส่เสื้อเชิ๊ตอีกตัวนึงทับไว้
“เอาน่า กูไปนะ” ปิงทำหน้าประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น คิ้วของมันขมวดเป็นปม แถมยังทำแก้มพองใส่ผมอีก ดูไปก็เหมือนหมาทำหน้างง ผมรู้ว่ามันทั้งงง ทั้งแฮ้ง มึน ปวดหัว
ผมผลักปิงให้นอนต่อก่อนจะดึงผ้าห่มมาห่มให้มัน “ไว้เดี๋ยวกูค่อยโทรหา”
ผมรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องทิ้งโฟนไว้แบบนี้ จะเรียกว่ารู้สึกผิดก็ได้ แต่ผมก็ก้าวเท้าออกจากบ้านไป แม้ว่าจะสับสน ผมไปถึงที่ก่อนถึงเวลานัดนานอยู่เหมือนกัน ความจริงก็ตื่นเต้นมากนะ ก็ถ้าจะคิดๆ ไปแล้วนี่เป็นเดทอย่างเป็นทางการเดทแรกของผมเลย ไม่เคยมีแฟนมาก่อนง่ะ โตจะเป็นควายอยู่แล้ว
“โฟนเหรอ รอนานไหมเนี่ย”
ผมหันหลังไปเจอเป้
ป๊าดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
กูขอตบหน้าตัวเองสักฉาดได้ไหมวะ ว่าไม่ได้ฝันไป เป้แม่งหล่ออย่างเว่อร์ครับ พูดจริงๆ นะ ถ้าเทียบกับปิงแล้วผมว่าไอ้ปิงแม้จะหล่อเซอร์แต่ก็ยังแพ้อยู่หลายช่วงตัว ยังก่ะหลุดออกมาจากหนังสือ เป้ตัดผมสั้นแล้วก็โกรกสีน้ำตาลไหม้ ซึ่งโคตรเท่เลย แล้วมันก็แต่งตัวดีมาก ไม่ได้ใช้ของแพงเว่อร์หรอกนะ แต่มันแต่งแล้วดูพอดิบพอดีไปหมด
“โห.. เป้”
“อะไรเหรอ”
“นายหล่อเว่อร์หว่ะ” ผมพูดพร้อมกับขำๆ
“ไม่ดีเหรอ ตื่นมาแต่งตัวตั้งแต่ 8โมงเช้าเลยนะเนี่ย”
“ก็ดี แต่เดินด้วยแล้วเกร็งงงง ฮ่าาา”
“จริงอ่ะ งั้นก็...” ว่าแล้วเป้ก็เอามาขยี้หัวที่จัดมาอย่างดี ให้ฟูๆ ดูแล้วผมโคตรขำ มันเหมือนเพิ่งตื่น
“เฮ้ย ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ .. ตลกว่ะ”
“จะได้ไม่เกร็งไง งั้นไปดูหนังกันได้ยัง”
“อือ ได้แล้ว”
เป้เป็นคนเอาใจเก่งครับ แล้วก็ถึงเนื้อถึงตัว แม้ว่าปิงจะแต๊ะอั๋งผมบ่อยๆ แต่ว่าเป้นี่ถึงขั้นจะจับมือเดินเลยครับ ผมอายไม่ค่อยยอมหรอก แต่ก็มีบ้างในที่ที่คนน้อยๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมกับเป้ก็ไปขลุกอยู่ในร้านหนังสือ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างเราก็คือเรารักหนังสือเหมือนกันทั้งคู่ สนุกดีครับ เป้พาผมไปเปิดหูเปิดตาในโลกของศิลปะ มันหยิบหนังสือมาเปิดให้ดูหลายเล่ม แล้วก็อธิบายว่ารูปนี้นะกว่าจะมาวาดเสร็จมันผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง ศิลปะของทางยุโรปเป็นยังไง แล้วการเมืองส่งผลยังไงกับความคิดของศิลปินในยุคนั้นจนแสดงออกมาทางศิลปะ เป้รู้เรื่องพวกนี้ดีมาก จนผมทึ่ง เวลาเป้อธิบายนั้น เป้จะดูจริงจัง เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็มีความสุขมาก ผมเข้าใจว่าเป้ชอบทางด้านนี้จริงๆ
เผลอแว๊บเดียวเงยหน้ามาอีกทีก็ฟ้ามืดแล้ว
“หิวแล้วอ่ะเป้ ไปหาอะไรกินกันเห่อะ”
“ให้นายเลือกเลยโฟน”
“นายเคยเดินสะพานพุทธตอนกลางคืนไหม”
ในเมื่อคำตอบคือไม่ ผมก็เลยนั่งบรรชาการเส้นทางโดยมีคุณชายเป็นต้นหน
สะพานพุทธเป็นสะพานเก่าแก่ที่โคตรจะคลาสสิคในความคิดของผม ด้านล่างมีร้านรวงมาเปิดท้ายขายของกันเต็มไปหมด วัยรุ่นมากมายเดินเลือกซื้อของกันอย่างขวักไขว่ ด้านปลายสะพานติดกับตึกสีเทาของโรงเรียนสวนกุหลาบ อีกด้านก็เป็นปากคลอง ตลาดขายดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แถมยังมีร้านอาหารอร่อยๆ ซุกซ่อนตัวอยู่ภายในอีกเต็มไปหมด
“โห คนเยอะมาก เราเคยได้ยินนะแต่ไม่เคยมา”
เป้แวะเพ้นท์เฮนนาที่อยู่ข้างทาง ตรงหัวไหล่ ส่วนผมก็ได้เสื้อยืดมาสองตัว ระหว่างที่เดินเล่นกันอยู่ โทรศัพท์ของเป้ก็ดังหลายรอบ ผมเห็นแต่เป้เอาแต่ตัดสายทิ้ง
“เฮ้ย เป้ คุยก่อนก็ได้นะเราไม่ว่าอะไร”
เป้ มองหน้าผมเหมือนจะชั่งใจ ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุย ผมไม่อยากรู้หรอกว่าใครโทรมาหา และก็มีมารยาทพอที่จะเดินออกไปรอในที่ที่จะไม่ได้ยินเสียงสนทนา เป้ทำหน้าเครียดตลอดเวลาที่คุย มันคุยอยู่นานพอควรก่อนจะเดินกลับมาหา
ผมยิ้มให้ เป็นการแสดงออกว่าผมเป็นกำลังใจ พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆ
“นายรู้เส้นทางแถวนี้ดีจังเลยโฟน”
“ก็แน่สิ เรามาเดินแถวนี้บ่อยๆ ตอนมัธยม”
ผมก้าวเท้าเดินนำเป้ เข้าสู่ปากคลองตลาด ผมสนุกกับการแนะนำที่ต่างๆ เช่นร้านขายการ์ตูนที่ผมมาซื้อบ่อยๆ ร้านเกมส์ที่ชอบมานั่งเล่น
“มีร้านเกมส์อยู่ตรงตรอกนั้นสองร้าน แล้วถ้าตรงไปหน่อยแล้วเลี้ยวซ้ายจะมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวให้เส้นเยอะมากกกก กับร้านก๋วยเตี๋ยวคั่ว”
เป้ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เศร้าไม่สมกับเป็นมันเลย
“ร้านพวกนี้ ตอนมัธยมนายก็มากับปิงหมดแล้วดิ”
ผมจุก... เหมือนกับโดนใครสักคนมาตบหน้าอย่างนั้นแหละ
“ขอโทษนะ .. เราแค่ เราแค่อยากจะพานายมา”
มือของเป้เอื้อมมาแตะมือของผมพร้อมกับบีบเบาๆ “ไม่เป็นไร คราวหน้าเราไปในที่ที่มีแค่เรากับนายกันบ้างดีไหม”
“ได้ ได้สิ” ผมไม่ชักมือหนีออกมา แต่บีบมือนุ่มๆ ของเป้กลับไปเบาๆ
แม้ว่าจะล่วงเลยมาถึงสามทุ่มแล้ว แต่ผู้คนก็ยังเดินกันขวักไขว่ บ้างก็ทำงานแบกข้าวแบกของกันจ้าละหวั่น พวกเรากำลังหัวเราะนั่งคุยกันอย่างออกรถอยู่ที่ร้านขายข้าวมันไก่ข้างทาง ผมคิดว่าเป้เองก็คงมีเรื่องราวในอดีตของเป้เช่นกัน ส่วนผมเองก็มีอดีตของผม ความรู้สึกมันต่างกันจริงๆ ระหว่างการยืนแหกปากตะโกนร้องบอกรักอยู่คนเดียวโดยไร้การตอบสนอง กับการถูกรักโดยใครสักคน
หลังจากอิ่มแล้วผมกับเป้ก็เดินเล่นขึ้นไปนั่งผมสะพานพุทธ ผมมานั่งเล่นที่นี่กับปิงเป็นร้อยครั้งได้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนี้
“สวยจังเน๊อะ”
“อืออ”
“โฟน เราหอมแก้มนายได้ป่ะ”
“อือ”
ลมหนาว แต่แก้มของผมอุ่น ใจของผมก็อุ่นด้วยเหมือนกัน