บทที่เจ็ดการก้าวขึ้นปีการศึกษาที่สี่ผ่านมาด้วยความลำเค็ญ ผมลุ้นแทบตายกับผลการสอบ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้
คุณหายตัวไปหลังจากสอบเสร็จ แต่น่าประหลาดใจที่ผมไม่นึกถึงคุณ ไม่หงุดหงิดที่คุณหายตัวไป ไม่แม้กระทั่งตอนมารู้ทีหลังว่าคุณไปต่างจังหวัดกับแฟนสาวคนใหม่ ความรู้สึกของผมก็ยังคงราบเรียบ
ทั้งนี้ไม่เชิงว่าผมไม่รู้สึกอะไร แต่เหมือนว่าการใช้เวลาอยู่กับเขาทำให้ผมนึกถึงตัวตนของคุณน้อยลง ผมพาเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดเช่นกัน เราไปเพื่อหวังถึงการได้ใช้เวลาร่วมกิจกรรมต่างๆด้วยกัน เช่น ทำกิจกรรมทางน้ำ ไปตลาดเพื่อซื้ออาหารมาทำกินกัน หรือแม้แต่การออกไปตกปลาหมึกตอนกลางคืน แต่กลับกลายเป็นว่าผมกับเขาแทบไม่ได้ก้าวไปไกลจากห้องพักเลย ผมไม่แน่ใจนักว่าความปรารถนาต่อตัวตนเขามีมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมอยากสัมผัสเขา อยากทำให้เขาบอบช้ำ อยากทำให้เขารู้สึกถึงอำนาจของผมที่มีเหนือกว่า ช่วงเวลาแสนสั้นสามคืนสี่วันที่ทะเลแห่งนั้น เนื้อตัวพวกเราไม่เปียกน้ำทะเลแม้เพียงน้อยนิด แต่เราต่างเปื้อนเหงื่อและโชกชุ่มไปด้วยน้ำกาม
ช่วงปิดเทอมผมออกมาเจอคุณและกลุ่มเพื่อนของเรา ไปกินข้าว ดูหนัง เล่นเวคบอร์ด เรียนดำน้ำ แม้แต่เข้าคอสเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ โดยกิจกรรมเหล่านั้นผมหมายรวมถึงเขาเข้าไปด้วยและเขาได้หลอมรวมสนิทชิดเชื้อกับกลุ่มเพื่อนของผม
ผมคิดว่าช่างโชคดีเหลือเกินที่เขาเข้ากับเพื่อนของผมได้ แต่กระนั้นระหว่างคุณกับเขาดูจะไม่สนิทกันสักเท่าไหร่ ผมไม่ตระหนักถึงบรรยากาศนั้นจนกระทั่งเอ็มมั่วเป็นคนเปิดประเด็น ตอนที่คุณกับเขาออกไปสูบบุหรี่ด้วยกัน ในบ่ายวันแรกของการเปิดภาคเรียนปีที่สี่
“ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้นวะ”
ใหม่กับเอ็มม่ากรอกด้วยความเบื่อหน่าย เอ็มมั่วเจ้าของประเด็นส่ายหัวราวกับเหนื่อยล้าเต็มที หงส์ถอนหายใจยาวพรืด ส่วนนัททำสีหน้าประมาณว่าผมดูโง่งมที่สุดในโลกหล้า
“อะไรของพวกมึงวะ”
“มึงไม่รู้เหรอว่าเมียมึงไม่ถูกกับไอ้บอส”
“มึงอย่าเรียกปรายว่าเมียได้ไหม ไม่ให้เกียรติเขาเลย” ผมเถียงด้วยรู้สึกมาพักหนึ่งแล้วว่าการที่เพื่อนของผมเรียกเขาแบบนั้นคือคำหยาบคายอีกรูปแบบหนึ่ง มันคือสิ่งแท้จริงหากนับว่าเรื่องบนเตียงเขาชอบบทบาทเป็นผู้รับ เขาไม่เคยคิดมากเลยด้วยซ้ำตอนที่เจ้าเพื่อนของผมพูดแบบนั้น กลายเป็นผมนี่แหละที่ไม่ชอบ ไม่ต้องการให้คนอื่นจาบจ้วงเขาด้วยถ้อยคำหยาบโลน หรือยัดเยียดความตลกโปกฮาในแบบที่อาจทำให้เขาอับอาย
“ทำไมมึงคิดมากงี้วะ แต่ปรายก็เป็นเมียมึงจริงๆอะ” เอ็มมั่วยังคงเถียง
“มึงรู้ได้ไง ปรายอาจจะเป็นผัวกูก็ได้” ผมตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่ได้โกรธอะไรแต่ไม่ชอบให้คนอื่นจาบจ้วงสิ่งนั้นต่อเขา “อย่าทำเหมือนปรายเป็นผู้หญิงได้ไหม กูไม่ชอบหวะ”
“โอ้ยยย อิหนอน แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยนะคะเมียมึงเนี่ย” คราวนี้เอ็มม่าเอ่ยปาก ก่อนจะกรอกตาเบื่อหน่ายอีกรอบ “เมียมึงยังไม่ว่าอะไรเลย อิเวร ทำมาเป็นอ่อนไหว”
“เออๆ จะเรียกอะไรก็เรียกไป แล้วมึงรู้ได้ไงว่าปรายกับตะวันไม่ถูกกัน กูยังเห็นไปดูดบุหรี่กันอยู่เลย”
เพื่อนของผมมองหน้าสลับกันไปมาด้วยสีหน้าหนักใจ ก่อนเอ็มมั่วคนเปิดประเด็นจะเป็นฝ่ายตอบ “คือมันไม่เกี่ยวกับปรายหรือไอ้บอสโดยตรงหรอก แต่แบบเหมือนไอ้บอสมันเขม่นนิดหน่อยตรงที่ปรายเคยเป็นกิ๊กกับแฟนใหม่ของแฟนเก่าไอ้บอสมัน”
ผมอ้าปากค้างเพราะคาดไม่ถึงว่าเพื่อนของผมจะอธิบายได้งงงวยที่สุดจนไมเกรนแทบขึ้น เพื่อนที่เหลือโห่ร้องเมื่อฟังคำอธิบายอันซับซ้อนและไม่คลายความสงสัย สุดท้ายใหม่จึงเป็นคนอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
“มึงจำหมวยได้ไหม แฟนเก่าไอ้บอสอะ”
ผมพยักหน้า ได้แต่นึกในใจว่าทำไมผมถึงจะจำแฟนสาวผู้น่ารักของคุณไม่ได้หละ
“ตอนมันเลิกกับหมวยก็ห่างๆกันไป แต่ทีนี้อยู่ๆหมวยก็โทรมาหาไอ้บอสบอกว่า สงสัยแฟนใหม่ของตัวเองมีกิ๊กก็เลยอยากปรึกษาไอ้บอส แล้วช่วงนั้นไอ้บอสมันก็ไปอยู่กับหมวยอะ สืบนู่นนี่จนรู้ว่ากิ๊กดันเป็นผู้ชายอีก”
“แล้ว?”
“ผู้ชายคนนั้นก็คือปราย”
“แล้วทำไมตะวันถึงไม่ชอบปราย”
“โอ้ยยยยย ไอ้หนอน ก็ปรายมายุ่งกับแฟนคนอื่นอะ”
ผมนิ่งเงียบ ประสบการณ์ด้านความรักอันน้อยนิดทำให้ผมต้องคิดวิเคราะห์ ผมไม่สนใจหากว่าคุณชอบหรือไม่ชอบเขา แต่ผมสนใจหากว่าเขากำลังนอกใจผม
หลากเสียงรุมเร้าผมเพื่อปลอบประโลม บ้างก็ว่าอย่าคิดมาก บ้างก็ว่าเรื่องมันผ่านมานานแล้ว บ้างก็บอกให้ผมหวาดระแวงในตัวเขามากขึ้น บ้างก็บอกว่าให้ผมเข้าไปคุยกับเขา แต่หลายเรื่องราวผ่านมาและผ่านไป ผมฟังไม่รู้เรื่อง จมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง ความคิดที่ว่าทำไมปรายถึงนอกใจผม
คุณเป็นคนดีเหลือเกิน ผมมองคุณผิดไป คุณยังคงมีความห่วงใยต่อแฟนสาวคนเก่าแม้ว่าเป็นคุณเองที่บอกเลิกกับเธอ แต่อย่างน้อยคุณกับแฟนเก่าของคุณคงจบได้ด้วยดี เพราะไม่เช่นนั้นคุณคงไม่รู้สึกแบบนี้ แบบที่คุณไม่พอใจเพราะเขาไปยุ่มย่ามกับคนรักใหม่ของหมวย หมวยซึ่งเป็นอดีตของคุณ ผมพอจะเข้าใจตรรกะนั้นแล้ว
คุณกลับมายังโต๊ะหินอ่อน พร้อมกับสายลมทำให้เส้นผมของคุณปลิวไสว คุณจับเส้นผมของคุณทัดหลังใบหู ไม่ว่ากี่ครั้งที่พบเห็นผมมักชอบมองการกระทำของคุณอย่างไม่รู้เบื่อ
คุณกลับมาเพียงลำพัง ไร้วี่แววเขา ไม่มีแม้คำอธิบายถึงเขาว่าหายไปไหน ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมจึงไม่เอ่ยถามถึงเขากับคุณ แต่กลับกลายเป็นว่าคนอื่นเอ่ยถามถึงเขาแทน
“ปรายหายไปไหนหละ” ใหม่เป็นคนถาม แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจมากนักเพราะเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องอื่น
“เห็นว่าไปหารุ่นน้อง”
“ที่ไหน” ในที่สุดผมพูดถาม
“น่าจะที่คณะ”
ผมครุ่นคิดสิ่งหนึ่ง ผมมองหน้าคุณก่อนจะใช้จังหวะที่ไม่มีใครให้ความสนใจกระซิบชักชวนให้คุณเดินออกไปด้วยกัน
“มีอะไรหรือเปล่าอาทิตย์” คุณถามขณะที่เราก้าวออกมาจากบริเวณนั้น
“ผมเพิ่งรู้ว่าตะวันไม่ชอบหน้าปราย ผมขอโทษแทนเขาด้วยนะ”
“นี่รู้เรื่องแล้วเหรอ”
“อืม รู้แล้ว ขอโทษนะผมจะหาทางเลี่ยงไม่ให้มาเจอเอง”
“เฮ้ย อย่าพูดแบบนั้นดิ”
“………”
“แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เขาไม่ได้ยุ่งกับแฟนหมวยอีก ผมไม่อยากมีปัญหา”
“แล้วทำไมไม่บอกผม”
“จะให้ผมบอกยังไง ผมเห็นอาทิตย์มีความสุขกับปรายดี ผมพูดไม่ออกหรอก” คุณยิ้มในตอนที่หันมา ก่อนจะพูดอีกครั้ง “ผมไม่อยากให้อาทิตย์คิดมาก เรื่องมันจบไปแล้ว”
ผมมองคุณ ครุ่นคิดว่าทำไมคุณถึงแสนดีขนาดนี้ แสนดีต่อผมซึ่งเป็นเพียงบุคคลหนึ่งที่วนรอบตัวคุณ คุณทำให้ผมรู้สึกเทิดทูนความบริสุทธิ์ในตัวคุณ
“อาทิตย์ ผมไม่อยากให้อาทิตย์มีปัญหากับปรายนะผมถึงไม่เล่าให้ฟัง”
“อืม”
คุณหันมาทางผมด้วยสายตาสุดห่วงใย “นี่ผมทำให้อาทิตย์ไม่สบายใจแล้วใช่ไหม”
ผมส่ายหน้าก่อนจะเงียบไปพักหนึ่ง มองดูคุณซื้อน้ำอัดลมในโรงอาหาร
“ผมสงสัยว่าปรายมีคนอื่น”
คุณไม่ตกใจกับความคิดของผม คุณเพียงแค่หัวเราะราวกับว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องสามัญธรรมดา “อาทิตย์โคตรขี้หึง”
ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่ามีอะไรที่แสดงออกชัดเจนจนทำให้คุณคิดแบบนั้น
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นหละ”
ผมส่ายหน้าอีกครั้ง
“นี่คิดอยู่ใช่ไหมว่าปรายนัดเจอคนอื่น”
ผมส่ายหน้าอีกแรงกว่าเดิม
คุณยิ้ม พลางดื่มน้ำในแก้วแต่ไม่ได้ตอบอะไร
บ่ายวันนั้นผมเรียนไม่รู้เรื่องสักนิด ที่จริงมันเป็นวิชาที่ต้องลงเรียนตั้งแต่ปีสองแต่เพราะความเหลวไหลทำให้เวลาเรียนไม่พอจึงต้องลงเรียนตอนปีสี่แทน คนที่ลงเรียนวิชานี้มีผม หงส์ และคุณ เราสามคนมันเป็นพวกเหลวไหลกับการเรียนอย่างแท้จริง
คุณนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างหงส์กับผม เราสองคนคุยเรื่องสัพเพเหระ เราสองคนชี้ชวนกันคุยเรื่องงาน เราสองคนคุยกันอย่างยาวนานมากที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา หงส์มีโลกส่วนตัวเพราะติดแชทอยู่กับแฟนหนุ่ม เงยหน้ามาคุยด้วยเป็นครั้งคราว แต่สุดท้ายแล้วคุณและผมร่วมสนทนาด้วยกันเป็นหลัก
คุณดูนุ่มนวลเหลือเกินในตอนที่เผยยิ้ม บรรยากาศรอบตัวคุณอ่อนละมุน ฟุ้งฝัน ราวกับมีแสงสีทองเปล่งประกาย ผมไม่ได้พูดเกินจริงหากกล่าวว่าคุณอาจเป็นเทวดา ผมไม่คิดถึงเรื่องขุ่นข้องหมองใจที่ผ่านมา ไม่คิดว่าคุณเองยังมีแฟนสาวคนใหม่ล่าสุดสำหรับปีการศึกษาที่สี่นี้ ไม่คิดถึงว่านี่เป็นปีการศึกษาชั้นสุดท้ายของเรา
ผมมองเพียงแค่คุณ ฟังคุณ หัวเราะมุกตลกของคุณ ผมพบว่านอกจากคุณเป็นเหมือนสื่อนำความบันเทิงให้กับคนหมู่มาก คุณยังเป็นราวกับบาทหลวงที่คอยรับฟังเรื่องทุกข์เรื่องโศกของคนอื่นได้ดี คุณฟังผม ฟังผมพูดถึงชีวิตส่วนตัวของผม คุณสงสัยมานานว่าคนแบบผมชอบทำอะไร มีกิจกรรมแบบไหนที่สนใจเป็นพิเศษ คุณตกตะลึงตอนผมเปิดเผยว่าชอบออกกำลังกายและเข้ายิมห้าวันต่อสัปดาห์ คุณบอกว่าคุณยอมแพ้เพราะเข้ายิมแค่สามวันต่อสัปดาห์ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ผมหัวเราะให้กับใบหน้าตลกของคุณ
คุณเอ่ยชมว่าผมมีรูปร่างดี ผมไม่อาจถ่อมตนได้และยินยอมน้อมรับต่อกายภาพที่ปรากฏ ผมถือว่าคำชมของคุณเป็นรางวัลสำหรับผม
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทั้งที่คุณเป็นคนเอ่ยออกจากปาก แต่แล้วคุณกลับเงียบลงไปก่อนสีหน้าจริงจังจะปรากฏฉายชัด
“ผมคาใจเรื่องที่ห้องบันทึกเสียง”
ผมเงียบ รอคอยรับฟัง
“ผมขอโทษนะที่ทำตัวแปลกๆ ผมตกใจที่อยู่ๆก็…”
“อะไร ตะวันเข้าหาผมก่อนนะ”
คุณถอนหายใจ สีหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ “ผมทำเพราะผมอยากรู้เรื่องของอาทิตย์กับปรายอะ”
“อืม”
“แต่พอเจอของจริงเข้าไป…”
“รังเกียจเหรอ”
คุณเงียบ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ คุณเพียงแค่หุบปากของคุณ และเปลี่ยนคำตอบมาเป็นคำร้องขอ “ผมยังอยากรู้เรื่องของอาทิตย์นะ เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“ให้เล่าในห้องเรียนเนี่ยนะ” ผมทำทีเป็นตลก ทำเป็นเหมือนรู้สึกสบายใจกับการพูดถึงเรื่องนี้
คุณหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะชักชวนไปกินข้าวกันหลังเลิกเรียน
ผมมองคุณซึ่งสูบบุหรี่ตัวเดิม ไม่อนาทรร้อนใจ น่าแปลกเหลือเกินที่คุณนัดมาผมมาเพื่อฟังเรื่องราวของผม ผมสูบบุหรี่ตัวเดียวกันกับคุณแม้ว่าไม่ต้องการ คุณมักมองทอดสายตาไปยังเบื้องหน้ายามพ่นควันสีเทา ไม่มีความสวยงามใด ไม่มีทิวทัศน์เหมือนฝัน คุณแค่มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
ผมคืนบุหรี่ให้คุณก่อนจะเดินเข้าห้องเพราะทนอากาศร้อนไม่ไหว ผมเห็นคุณขยี้ทิ้งบุหรี่แล้วเดินตามเข้ามา
“แฟนตะวันหละ”
“เขาอยู่บ้าน ไม่ได้อยู่กับผม”
ผมนึกสงสัยว่าคุณมีแฟนมาแล้วกี่คน แต่ผมก้ำกึ่งระหว่างต้องการรู้กับไม่ต้องการรู้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่อยากรับรู้ในส่วนนี้ของคุณแม้น้อยนิด
คุณนั่งลงบนเตียงด้านข้าง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นก่อนจะเอนตัวลงนอน แต่ไม่เอ่ยถามในสิ่งที่คุณสงสัย หรือบางทีคุณอาจต้องการให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มต้น “ตะวัน ตกลงจะถามอะไรผม”
คุณหันมามองพลางวางโทรศัพท์มือถือลงด้านข้าง แล้วนอนตะแคงเท้าแขนมองผม “อาทิตย์…”
“อืม”
“กับปรายอะ ตอนมีอะไรกันมันเป็นยังไง”
ผมอ้าปากค้าง หากกล่าวว่าไม่ประหลาดใจคงไม่ใช่ความจริง “ถามจริงดิ”
“จริง”
ดวงตาของคุณใสแจ๋วขณะถามเรื่องบนเตียง คุณทำให้ผมคิดว่าคุณยังไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน
“ตะวันเคยมีอะไรกับแฟนป้ะ”
ความตกใจปรากฏบนใบหน้าของคุณ สิ่งที่น่าประหลาดใจตามมาหลังจากนั้นเมื่อคุณส่ายหน้า
“มันก็ไม่ต่างกันหรอก”
คุณพยักหน้าเข้าใจ แต่ดวงตาของคุณยังคงไม่คลายความสงสัย ผมเดาว่าคุณคงอยากรู้อย่างอื่นอีกแต่คุณกระดากอายเกินกว่าเอ่ยปาก
“จะถามแค่นี้ใช่ป้ะ” ผมถามแล้วส่งยิ้มให้คุณ ยิ้มที่ต้องการท้าทาย
ริมฝีปากของคุณเม้มตรง มันคลายออกเมื่อในที่สุดคุณเผยความจริงอันน่าตื่นตะลึง “จริงๆผมมีเรื่องอยากบอกอาทิตย์”
“เรื่องอะไร”
“ผมรู้ว่าปรายยังติดต่อกับต้นอยู่”
“ต้น? ใครคือต้น”
“แฟนใหม่ของหมวยไง”
ความเงียบงันของผมทำให้คุณเริ่มมีสีหน้าอึดอัดลำบากใจ ผมทบทวนคิดหลายสิ่งหลายอย่างและรู้ว่าคุณหวังดีต่อผมคุณจึงบอกเรื่องนี้ “อืม ผมพอจะเดาได้อยู่”
“ผมไม่อยากให้อาทิตย์มีปัญหากับปรายนะ แต่ผมว่าอาทิตย์ควรรู้เรื่องนี้”
“เลิกพูดถึงปรายเถอะ ตะวันอยากรู้เรื่องอะไรอีกไหม”
เสียงของคุณหายจ้อยไปที่ไหนสักแห่ง คุณไม่ถามอะไรเพิ่มอีกแม้สีหน้าของคุณจะคลางแคลงหลายสิ่งอย่าง คุณทำเพียงแค่ล้มตัวลงนอน คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเพลง ผมรับหูฟังจากคุณมาเสียบเข้าที่รูหู เพลงเก่า บรรยากาศเก่าระหว่างเราหวนย้อนคืนกลับมา มันกลายเป็นโลกของผมกับคุณอีกครั้งเมื่อเราฟังเพลงด้วยกัน
ท่อนเพลงหนึ่งดังขึ้น แต่คุณหลับไปแล้ว ลมหายใจของคุณสม่ำเสมอ มีเสียงกรนนิดหน่อย ผมมองคุณซึ่งผล็อยนอนหลับ ใบหน้าที่ผมเฝ้าฝันดูผ่อนคลาย มองดวงตาพริ้มละมุนที่ปิดสนิท
รู้รู้เราต้องห้ามใจ หยุดใจรักเธอ
สุดเจ็บใจเราต้องแพ้พ่าย ปล่อยใจรักเธอ
รู้รู้ใจฉันมันก็รู้ ยังฝืนสู้ความจริง
แม้จะห้ามใจใจฉันทำไม่รู้
เบื่อฝืนใจต้องยอม ให้ใจคิดถึงเธอ
ตัวฉันต้องยินยอมแพ้พ่าย
ปล่อยให้ใจฝันใฝ่ รักเธอไม่หน่าย
เต็มใจ ใจฉันพ่ายใจเธอ
คุณคงตั้งค่า Repeat ไว้ ท่อนเพลงนั้นดำเนินกลับมาอีกครั้ง ผมยังคงมองคุณอยู่เช่นเดิมพร้อมกับเพลงเดิม
เขายิ้มกว้างในตอนเห็นผมกลับถึงห้อง ช่วงราวๆสองทุ่มเขายังรอกินข้าวกับผม เขาไม่ถามว่าผมหายไปไหนมา เขาไม่ถามว่าผมอยู่กับใคร เขาทำให้ผมรู้สึกโกรธโมโหและทำให้ผมเคลือบแคลงสงสัยว่าช่วงบ่ายเขาหายไปไหนมา แต่ถึงอย่างนั้นผมยังคงเงียบไม่ถามอะไรออกมาในทันทีที่เห็นหน้าเขา
ผมนั่งลงที่โต๊ะอาหารตัวเล็ก รอเขาอุ่นอาหารให้ เขาเปิดประเด็นคุยถึงร้านอาหารปิ้งย่าง เขาอยากกินเนื้อวัวทั้งที่ปกติไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์ใดๆ ผมกินข้าวของตัวเองอย่างเงียบเชียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ในสมองกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของคุณที่กล่าวถึงเขา คำพูดของคุณทำให้ความคลางแคลงใจของผมเด่นชัดขึ้น สงสัยว่าเขามีคนอื่น
“ปราย”
“ว่า”
“ตอนบ่ายหายไปไหนมา”
“อ้าว ตะวันไม่ได้บอกเหรอ ผมไปช่วยงานรุ่นน้องไง”
“แล้วทำไมไม่มาบอกผม ทำไมต้องฝากตะวันมาบอก”
เขาทำหน้าสงสัย คิ้วขมวดเล็กน้อย
“อยู่ๆก็หายไป ข้อความก็ไม่ส่งมา...”
“พอๆ ผมไม่อยากทะเลาะด้วย” เขาตัดบท พูดแทรกราวกับหมดความอดทน
ผมวางช้อนส้อมลง มองหน้าเขา
“ผมผิดเองที่อยู่ๆก็หายตัวไปโดยไม่ได้รายงานตัวกับอาทิตย์ก่อน พอใจรึยัง”
“ทำไมต้องประชดด้วย”
“ผมไม่ได้ประชด ผมแค่บอกว่าผมผิดเองที่ไม่ได้บอกอาทิตย์ว่าจะไปช่วยงานรุ่นน้อง”
“ไปหารุ่นน้องหรือไปหาผัวที่เป็นรุ่นน้อง”
เขาวางช้อนส้อมลงบ้าง ถอนหายใจยาว ท่าทางพยายามระงับอารมณ์ “ผมจะทำเป็นไม่ได้ยินประโยคเมื่อกี้”
“ทำไมต้องทำเป็นไม่ได้ยินหละ ในเมื่อผมตั้งใจพูดให้ปรายได้ยิน”
“...............”
“ผมรู้เรื่องที่ปรายไปยุ่งกับแฟนคนอื่น นี่มาเรื่องรุ่นน้องอีก ทำไมเป็นแบบนี้วะปราย”
“แฟนคนอื่น? คนไหนวะ ผมไม่ได้ยุ่งกับใครนอกจากอาทิตย์เลยนะ”
“คนที่ชื่อต้นไง”
เขาเงียบแล้วถอนหายใจอีกครั้ง สีหน้าเหนื่อยหน่าย “ผมกับต้นเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น พอได้แล้วนะอาทิตย์ ผมเบื่อที่จะต้องอธิบายอะไรแบบนี้หวะ”
ผมคว้าแขนเขาไว้ ไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะคุยให้รู้เรื่อง “แต่ผมได้ยินแบบอื่นมานะ”
“ผมกับต้นเป็นเพื่อนกัน ผมไม่มีคำอธิบายอย่างอื่นให้อาทิตย์แล้ว”
“งั้นเอามือถือมาดู”
เขายื้อแขนกลับแต่ไม่เป็นผล “ทำไมต้องดู ผมไม่ให้ดู”
ผมเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะ เรายื้อยุดต้านแรงกันไปมาอยู่พักหนึ่ง เราทุ่มเถียงกัน ผมบอกเขาว่าหากไม่มีเรื่องปิดบังก็ให้เอาโทรศัพท์มือถือมา แต่เขายังยืนกรานว่าตัวเองบริสุทธิ์และไม่ยินยอมให้ผมล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว ผมดาลเดือด รู้สึกร้อนอกร้อนใจ เชื้อพันธุ์แห่งความเคลือบแคลงใจกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
“ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงก็เอามือถือมาให้ผมดูดิ”
“ทำไมต้องให้ดู ผมบอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไร”
ผมหงุดหงิดขั้นสุด เขาทำให้ผมพบเจออารมณ์แปลกใหม่ ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ผมโกรธ โมโห ผมหมกมุ่นคิดถึงแต่เรื่องของเขา ราวกับคนบ้า
เขากระชากมือออก ผมยิ่งใช้แรงฝืนดึงเข้ามา ท้ายที่สุดโทรศัพท์มือถือตกอยู่ในมือของผม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมยุ่มย่ามกับโทรศัพท์มือถือของเขา แทบไม่อยากเชื่อว่าความหวาดระแวงจะนำพามาจนถึงจุดนี้ ผมรู้รหัสของเขาเช่นเดียวกับที่เขารู้รหัสของผมทุกอย่าง ผมไล่ดูตามแอพพลิเคชั่นต่างๆ พบเห็นว่าหน้าแชทแทบว่างเปล่า มีแชทที่คุยกับผม เพื่อนของเขา และรวมถึงคนชื่อต้นที่เพิ่งส่งข้อความเข้ามา ผมกดเข้าไปดูและพบข้อความซึ่งถูกส่งมาจากคนที่ชื่อต้นหลายข้อความ เมื่อไล่อ่านดูผมสรุปได้ว่าคนที่ชื่อต้นพยายามชวนปรายคุยในเชิงชู้สาว มันพยายามจีบคนของผม
“ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนไง”
เขาไม่ตอบ สีหน้าไม่พอใจและมีความโกรธปรากฏขึ้นชัดเจน
“รู้จักกันได้ยังไง”
เช่นเคย เขาไม่ตอบ
“ปราย! อย่าให้ผมโมโหนะ”
“เรียนเซคชั่นเดียวกัน ทำโปรเจคเดียวกัน พอใจรึยัง”
ผมบีบแขนเขาแน่น รู้สึกหงุดหงิดเหลือเกินกับท้ายประโยค “ยังไม่พอใจ” ผมตอบแล้วอ่านข้อความต่างๆไปมา เปิดดูเฟสบุ๊คของเขาที่มีเพื่อนเยอะมากพอสมควร แต่ก็ไม่มีอะไรผิดแปลก เปิดดูบันทึกการโทรเข้าโทรออกก็มีแต่หมายเลขโทรศัพท์ของผม พ่อแม่ของเขา และเพื่อนที่ผมรู้จัก
“แล้วทำไมคนอื่นถึงบอกว่าปรายเข้าหามันก่อน”
“ผมจะไปรู้เหรอ เขามาจีบผมเอง จะให้ผมทำยังไงผมต้องทำงานกับเขา ผมก็บอกแล้วว่าผม... ช่างแม่งเหอะ” เขาคว้าโทรศัพท์มือถือมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วเริ่มต้นกินข้าวอีกครั้งโดยไม่พูดกับผมอีก
ผมล้างภาชนะต่างๆให้ขณะที่เขาออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง เขาทำกิจกรรมของเขา ผมทำกิจกรรมของผม แต่ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ยังไม่หายไปเสียที ผมไม่ชอบที่เขาต่อต้านผมด้วยวิธีนี้ เขาไม่พูด ไม่คุย ถามคำตอบคำ และเอาแต่สูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงด้านนอก ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลย กระวนกระวายไปหมด ผสมปนเปกับความหงุดหงิด สุดท้ายผมทนไม่ไหวจึงเดินออกไปหาเขาที่ด้านนอก
“ปราย...”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เขาหันมามองก่อนจะขยี้บุหรี่ทิ้งและเดินหนี ผมเดินตามเข้ามา คิดอยู่ในใจว่าห้องมันก็มีอยู่เท่านี้เขาจะหนีผมไปที่ไหนได้
“ปราย มาคุยกันก่อน”
“ผมง่วงแล้ว ไว้ค่อยคุยวันอื่น” เขาว่าเช่นนั้นพร้อมกับปิดไฟดวงใหญ่กลางห้อง
ผมยืนอยู่ด้านข้าง มองดูเขาดึงผ้านวมมาห่มคลุมก่อนจะกระชากออก “ส่งข้อความไปบอกมันว่ามีผัวแล้ว”
เขาผุดลุกขึ้นนั่ง แม้ห้องจะมืดสลัวแต่ยังพอเห็นเค้ารางใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจ “พอเถอะอาทิตย์ ผมว่านี่มันมากเกินไปแล้วนะ”
ผมนั่งลงด้านข้าง หยิบโทรศัพท์มือถือของเขามาเปิดเพื่อที่จะส่งข้อความให้คนที่ชื่อต้น เขาใช้ความไวแย่งโทรศัพท์มือถือไป ผมขยับเข้าหาหมายแย่งโทรศัพท์มือถือของเขาคืน แต่แล้วผมกลับต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงความเปียกแฉะบนท่อนแขนขณะยื้อแย่งสิ่งของกัน เขาร้องไห้อีกแล้ว
เขาปาดเช็ดน้ำตาทันทีที่รู้ตัว ผมจับมือของเขาไว้ จ้องมองด้วยนึกฉงนใจว่าเพราะอะไรเขาจึงร้องไห้
“ผมไม่ใช่เมียอาทิตย์ ไม่ได้เป็นเมียใครทั้งนั้น”
“............”
“เห็นผมเป็นตัวอะไรวะคิดจะพูดอะไรก็ได้งั้นเหรอ”
เขาดูอ่อนล้าและเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังเช็ดน้ำตาไปก่อนหน้านี้เขาไม่ร้องไห้อีก ไม่มีน้ำตา แต่ดูเปราะบางสำหรับผมมากเหลือเกิน “ผมขอโทษ”
เขายังคงหันมองไปทางอื่น แต่ผมรู้ว่าเขากำลังรับฟัง
“ผมไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งกับปราย ผมบอกตามตรงว่าอดคิดถึงอดีตของปรายไม่ได้ ผมขอโทษ”
“ผมชอบเซ็กส์แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเอากับคนอื่นไปทั่วนะอาทิตย์”
“............”
“ก่อนคบกับอาทิตย์ผมเคยมีอะไรกับผู้ชายคนอื่น แต่เขาเป็นแฟนผม เป็นคนที่ผมเคยคบด้วย มีแต่อาทิตย์นี่แหละที่ผมเข้าหาก่อน มีแต่อาทิตย์นี่แหละที่ผมยอมให้หมด ผมไม่รู้ว่าต้องทำแบบไหนอาทิตย์ถึงจะเชื่อใจผมบ้าง”
“............”
“เมื่อไหร่จะเลิกทะเลาะกันเรื่องนี้สักทีวะ ผมเบื่อ”
“ปราย ผมขอโทษ” ผมกุมมือของเขาไว้ รู้สึกปวดหนึบในใจอย่างบอกไม่ถูก อะไรบางอย่างทำให้ผมรู้สึกผิดมากถึงขนาดนี้
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“เรื่องที่ระแวงคนอื่นไง ก็ปรายน่ารักอะ จะให้ผมไม่ระแวงได้ยังไง”
เขาเงียบไม่ได้ตอบอะไร แต่ท่าทางดูผ่อนคลายลง “แค่เรื่องนี้เหรอ”
“มีเรื่องอะไรอีกหละ”
“ก็ที่เรียกผมว่าเมียไง ไหนบอกไม่ชอบคำนี้ ตอนแรกผมก็เฉยๆนะ แต่พอได้ยินเมื่อกี้ผมไม่ชอบ”
ผมยิ้มกริ่มขยับเข้าไปหมายจุมพิตที่แก้ม แต่เขาเบี่ยงหนีผมจึงจับกดร่างเขาไว้ให้นอนราบไปบนเตียง เขาคงเดาได้ว่าเรื่องวันนี้จะจบแบบไหน “ไม่ชอบให้คนอื่นเรียกแบบนั้น เพราะผมเรียกได้คนเดียว แล้วผมก็ไม่ขอโทษเรื่องนี้ด้วย”
เขาพัลวันฝืนแรงไม่ให้ผมจูบปาก และเอ่ยเถียงเฉไฉไปเรื่องอื่น
ผมค่อยๆตะล่อมจุมพิตที่มือ ที่หน้าผาก ก่อนสุดท้ายเขาจะยินยอมให้จูบบนริมฝีปาก ผมเรียกเขาแบบนั้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แม้ใจจริงผมจะไม่ชอบยัดเยียดถ้อยคำแบบนั้นให้เขาสักเท่าไหร่ ผมชอบที่เขาเป็นผู้ชาย ผมมีอารมณ์เพราะเห็นท่อนเนื้อของเขาตั้งชัน และแม้ว่าการกระทำบนเตียงของเราจะไม่ต่างอะไรไปจากบทบาทของชายหญิง แต่ผมชอบเขาที่เป็นผู้ชาย ผมขอยืนกรานในเรื่องนี้
ผมง้อเขาสำเร็จ ออดอ้อน เว้าวอนขอให้เขารักผม เขาใจอ่อนแบบนี้เสมอและสามารถง้อได้ด้วยการปรนนิบัติอ่อนโยน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขาง่ายดาย เป็นของตาย หรืออะไรทำนองนั้น แต่ผมรู้ว่าเขากลายเป็นแบบนี้ก็เพราะผม เขายอมให้ผมดังที่ได้กล่าวไว้จริงๆ
ในตอนผมร้องขอแทรกเข้าไปในตัวเขา เขากระบิดกระบวน เขาเขินอายทั้งที่เราผ่านการร่วมหลับนอนกันมาหลากหลายครั้ง ผมเรียกเขาว่าเมีย เขาทำขึงขังแต่พอผมเรียกอีกเขายอมอ่อนข้อให้และบอกว่าจะยอมให้ผมเรียกว่าเมียแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ผมทำให้เขาครางเครือในตอนดันท่อนเนื้อเปลือยเปล่าเข้าหา เขาบอกให้ผมร่วมรักกับเขาอย่างแผ่วเบา บอกให้ผมค่อยๆแทรกกายเข้าไปตามแต่ที่เขาต้องการ
เขาสำเร็จความใคร่จากการถูกท่อนเนื้อของผมรุกรานที่ช่องลับโดยไม่แตะต้องส่วนหน้า เขาเคยบอกผมว่าเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ร่วมหลับนอนกับผม แต่กับอดีตแฟนเขายังต้องใช้มือช่วยเพื่อให้ถึงฝากฝั่ง ผมเลียที่ท่อนเนื้ออ่อนตัวของเขา ดูดกลืนน้ำขาวขุ่นที่เปรอะเปื้อนตามอวัยวะ เขาร้องบอกให้ผมใส่ท่อนเนื้อกลับเข้ามา สั่งให้ชำเราบั้นท้ายและหลั่งในช่องทางลับของเขา
ผมสวมบทบาทหื่นกาม เรียกเขาว่าเมีย เขาไม่ห้ามปรามอีก ผมสุขสมอยู่ในร่างกายของเขา หลั่งน้ำกามทุกหยาดหยดอยู่ภายใน ปล่อยให้ช่องทางด้านหลังของเขาบีบรัดด้วยความรู้สึกดี
“ปราย... รักผมแค่คนเดียวนะ”
“อืม ผมรักแค่อาทิตย์คนเดียว”
ในตอนนั้นผมนึกถึงคุณ ใบหน้าของคุณเมื่อหลายชั่วโมงก่อนฉายชัดในความทรงจำ ผมรู้สึกผิดบาปแต่ขณะเดียวกันผมถวิลหาคุณ มีเพียงคุณเท่านั้นที่ปรากฏตัวอยู่ในใจของผม
เขาหลับไปแล้ว แต่ผมยังคงลังเลอยู่กับการโทรหาคุณในตอนประมาณตีหนึ่งกว่า หน้าจอสว่างก่อนดับลงตามเวลาที่ตั้งค่าไว้ ผมทำให้หน้าจอสว่างอีกครั้งตัดสินใจโทรหาคุณ เพียงเพราะแค่อยากได้ยินเสียงคุณ
นานจนเกือบจะตัดใจแต่แล้วคุณก็รับสายจากผม เราต่างเงียบงันใส่กันก่อนคุณจะเป็นฝ่ายเอ่ยปาก
“อาทิตย์”
“ผมจะโทรมาบอกตะวันว่าผมถึงห้องแล้ว”
“ผมไม่น่าพูดเรื่องนั้นกับอาทิตย์เลย” คุณพูดเปลี่ยนเรื่อง น้ำเสียงของคุณดูหมองเศร้า แต่กระนั้นคุณไม่แม้แต่จะสนใจเรื่องของผม ไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรกับคุณ
ผมตอบรับ หลังจากนั้นเราต่างเงียบกันไปอีกครั้ง
“ผมไม่อยากให้อาทิตย์มีปัญหากับปรายนะ รอดูไปอีกสักพักก่อนแล้วกัน”
ผมขมวดคิ้ว สิ่งที่คุณพูดกับสิ่งที่ผมเห็นในโทรศัพท์มือถือของเขามันแตกต่างกัน
“พรุ่งนี้เจอกันในคลาสนะ” คุณเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไม่มั่นคง ผมตอบรับก่อนวางสาย
กลางคืนนี้ช่างเงียบสงัด ไม่มีลมพัด ไม่มีแม้แต่ดวงดารา ทั้งที่ผมชอบคุณ แต่ผมกลับรู้สึกว่างเปล่าหลังจากได้ฟังเรื่องราวของคุณและเรื่องราวของเขาที่ไม่เชื่อมโยงกัน ผมมองจอโทรศัพท์มือถืออีกครั้งมันดับแสงลงที่ตรงนั้น แต่ใจของผมกลับสว่างไสวด้วยความสงสัย ผมไม่รู้ว่าใครพูดความจริง อาจมีใครสักคนที่กำลังโกหกต่อหน้าผม
************************************
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่ะ
แต่ตอนนี้เราขอพักเรื่องนี้ไว้สักระยะหนึ่งเพราะตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเรื่อง
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ให้จบก่อน
แต่ไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่ะ 55555 และเรื่องนี้จบแฮปปี้นะคะ