รักสองเมือง
บทที่ 8
“โอ๊ย อะไรกันอีกล่ะเนี่ย”
อาสน์แห่งผู้ดูแลสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง องค์อินทร์ถึงกับยกหัตถ์กุมพระเศียรเมื่อก้มไปดู
ความเป็นไปของโลกมนุษย์ที่แสนวุ่นวาย พักตร์ที่เต็มไปด้วยความเมตตายังต้องส่ายไปมาด้วยความระอา
เพิ่งจะช่วยเจ้าคนน้องให้สมหวังกับความรัก ตอนนี้เจ้าคนพี่ถึงกับตรอมตรมใจเพราะเหตุที่ยังไม่ลงเอยเสียที
“แล้วไอ้คู่นี้จะทำอย่างไรดีเล่า”
นึกไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ก่อนนึกสนุกขึ้นมาแล้วโปรยมือเสกคาถาลงไปบนโลกมนุษย์
“อะไรนะฝูงผีพรายอาละวาดอยู่ที่ชายป่างั้นหรือ”
กษัตริย์แห่งเมื่อพาราณสีตรัสถามอย่างไม่เชื่อพระกรรณจนอำมาตย์เอกต้องถวายบังคมตอบอีกครั้ง
“พะย่ะค่ะ มันกระจายตัวอยู่รอบชายป่าจนชาวบ้านไม่กล้าเดินทางสัญจร”
“ลูกจะไปปราบมันเองพะย่ะค่ะ”
เจ้าชายสหัสรังสีขันอาสา แม้จะดวงหทัยยังไม่เป็นปกติแต่หน้าที่ต้องมาก่อนเพราะไม่อยากได้ชื่อ
ว่าเป็นเจ้าชายเสเพลอีกแล้ว
“ให้หม่อมฉันไปช่วยดีกว่า”
“อย่าเลยพะย่ะค่ะ”
แม้ว่าเจ้าชายจักรธรจะเสนอพระองค์แต่เจ้าชายสหัสรังสีกลับปฏิเสธ
“ท่านพี่กำลังเตรียมตัวเดินทางไกลเพื่อกลับมิถิลากับศศลักษณ์ อย่ามัวเสียเวลากับเรื่องแค่นี้เลย
หม่อมฉันเองก็พอมีวิชาติดตัวอยู่บ้าง อย่าได้วิตกกับเรื่องเพียงเล็กน้อย”
ดังนั้นเมื่อค่ำคืนมาเยือนเจ้าชายสหัสรังสีจึงควบอาชาไปกับนายทหารฝีมือดีกลุ่มหนึ่งเดินทางไปที่ชายป่า
เพื่อปราบผีพรายตามที่ชาวเมืองแจ้งไว้
พระราชาและมเหสีรวมทั้งเจ้าชายศศลักษณ์ต่างเฝ้ารอคอยอย่างร้อนพระทัยยิ่ง เวลาผ่านไปจนถึงยามเช้า
ที่ตะวันสาดส่องแล้วก็ยังไม่มีวี่แววที่พระราชโอรสพระองค์โตจะกลับมา
“แย่แล้วพะย่ะค่ะ”
เสียงทหารวังตะโกนก้องเมื่อทหารที่ไปกับเจ้าชายสหัสรังสีควบม้ากลับมาพร้อมกับวรกายอ่อนปวกเปียก
บนหลังม้าของเจ้าชายสหัสรังสี พระราชาและมเหสีเอกรีบรุดไปอย่างตกพระทัย
“เกิดอะไรขึ้นกับลูกของข้า”
“เจ้าชายสหัสรังสีเข้าไปต่อกรกับพวกผีพรายและถูกพวกมันล้อมไว้พะย่ะค่ะ พวกหม่อมฉันก็ไม่รู้ว่ามันทำ
อะไร แต่พอพวกมันลอยหายไปเจ้าชายก็ทรงหมดสติล้มลงไป และก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย”
“ลูกแม่”
พระมเหสีปราดเข้าไปกอดวรกายหลับใหล ทรงกันแสงอย่างหน้าสงสารจนเจ้าชายศศลักษณ์ต้องช่วย
ปลอบพระทัย
“โธ่ สหัสรังสีลูกพ่อ นี่เจ้าไปโดนอะไรมานะ”
พระราชาตรัสอย่างจนด้วยเกล้า
เจ้าชายจักรธรก้าวไปยังมุมปลอดคนแล้วกระซิบกับสายลม
“หย็องกรอด”
สายลมพัดวูบหนึ่งก่อนร่วมร่างเป็นโครงกระดูก
“มาแล้วพะย่ะค่ะ แหม…ตั้งแต่มีความสุขก็ลืมหม่อมฉันเลยนะเจ้าชาย”
“พูดมากน่า นี่ยังไม่ได้ลงทัณฑ์เจ้าเลยนะที่ปิดบังความจริงเรื่องศศลักษณ์กลายร่างเป็นพนา”
ทรงตรัสคาดโทษจนโครงกระดูกค้อนขวับ
“นี่หย็องกรอด ทำไมสหัสรังสีถึงหลับไม่ได้สติอย่างนั้นล่ะ”
“ทรงถูกมนตราของผีพรายน่ะสิพะย่ะค่ะ จึงได้หลับใหลไม่ยอมตื่น”
“แล้วจะทำอย่างไรถึงจะรักษาได้ล่ะ”
“ก็ต้องไปจับเจ้าตัวหัวหน้ามันมาทำพิธีลนน้ำมันพรายมาให้เจ้าชายสหัสรังสีดื่มเข้าไปพะย่ะค่ะ”
“อืม ดีล่ะ เดี๋ยวเราจะไปแจ้งแก่เสด็จพ่อ”
เจ้าชายจักรธรทรงเรียกพระบิดาของศศลักษณ์ว่าเสด็จพ่ออย่างเต็มโอษฐ์เนื่องจากมิได้รังเกียจที่เป็นชาย
ด้วยกัน และเมื่อส่งสาห์นไปแจ้งแก่พระบิดาของพระองค์ เมืองมิถิลาก็ยอมรับได้แถมยังให้เดินทางไปเยือน
อีกด้วย
ทรงก้าวพระบาทกลับไปแจ้งต่อพระราชาที่ยังมีพระพักตร์เศร้าโศก เมื่อทรงรับฟังแล้วจึงได้ให้อารักษ์
ประกาศออกไป หากใครปราบผีพรายและจับหัวหน้าฝูงผีพรายมาทำพิธีแก้บ่วงมนตราได้พระราชาแห่ง
เมืองพาราณสีจะปูนบำเหน็จให้ อยากได้อะไรก็จะยกให้ทุกอย่าง
“พี่จะไปช่วยปราบไอ้พวกผีพราย”
เจ้าชายจักรธรเอ่ยกับเจ้าชายศศลักษณ์เมื่อประทับกันเพียงลำพังในตำหนักเจ้าชายองค์เล็ก
“แต่น้องว่าเจ้าพี่ไม่ต้องเหนื่อยหรอกพะย่ะค่ะ”
ศศลักษณ์ยิ้มอ่อนหวานจนจักรธรทอดพระเนตรอย่างแปลกพระทัย
“ดูน้องจะไม่กังวลเลยนะ นี่มีอะไรปิดบังพี่หรือเปล่า”
รับสั่งถามพลางก้าวไปนั่งเคียงข้างและโอบร่างอรชรไว้ในอ้อมกอด
“น้องมิได้ปิดบังอันใด เพียงแต่น้องสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่เสด็จพี่สหัสรังสีกลายเป็นแบบนี้ต้องมีเบื้องหลัง
พะย่ะค่ะ”
ขนงเข้มของจักรธรคลายปมเมื่อดำริตามที่ศศลักษณ์ตอบ พระพักตร์จึงค่อยคลายกังวล
“เบื้องหลังเหมือนที่น้องกลายร่างเป็นพนางั้นสิ”
ศศลักษณ์สรวลเบาๆ ทำให้พักตร์งามยิ่งหวานจนจักรธรต้องจุมพิตที่ปรางนวลอย่างหลงใหล
“เจ้าแห่งสวรรค์ก็ชอบเล่นอะไรพิลึกพิลั่นยิ่งกว่าชาวโลกเสียอีกนะ”
จักรธรพึมพำพลางฝังนาสิกโด่งลงกับพระศอเนียนนุ่มจนศศลักษณ์สะท้านวูบ
“เสด็จพี่จะทำอะไร ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเยี่ยงนี้เล่า”
“ก็น้องตรัสกับพี่ว่ามิต้องกังวลพี่ก็คลายกังวลแล้วไง นี่พี่ก็จะกระทำในสิ่งที่คนไม่มีกังวลปฏิบัติกัน”
พึมพำพลางประคองให้ร่างอ้อนแอ้นเอนวรกายไปกับแท่นบรรทม เจ้าชายศศลักษณ์ส่ายพักตร์อย่างระอา
ในพระสวามี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคล้อยตามบทอัศจรรย์แห่งรักที่เจ้าชายจักรธรปรนเปรอให้
เวลาผ่านไปราวสัปดาห์
แม้จะมีผู้กล้าต่างก็ขันอาสามาปราบผีพรายเพื่อหวังลาภยศสมบัติ แต่ก็หาได้สำเร็จดังประสงค์กลับถูก
ผีพรายอาละวาดใส่ให้หวาดกลัวพ่ายแพ้เป็นบ้าเป็นหลังกลับมา จนกษัตริย์แห่งเมืองพาราณสียิ่งร้อน
พระทัย เสียงร่ำลือเรื่องที่พระโอรสพระองค์โตถูกพิษร้ายยิ่งแพร่สะพัดโจษจันกันยกใหญ่
“ข้ากลุ้มจนจะเป็นบ้าแล้ว นี่ลูกข้ายังไม่ฟื้นจากฤทธิ์เจ้าพวกผีพรายนี่เลย”
ตรัสอย่างกลัดกลุ้มจนเหล่าอำมาตย์ก็อยู่ไม่เป็นสุข
“เกล้ากระหม่อมฉันก็เพียรประกาศตามหาคนฝีมือดีไปจนถึงแคว้นใกล้เคียงแล้วพะย่ะค่ะ แต่ยิ่งผู้คนรู้ว่า
ผีพรายนั้นดุร้ายยิ่งปราบเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้คนยิ่งหวาดกลัวจนไม่มีใครกล้าหาญ”
เสียงนายทหารวังเบื้องนอกตะโกนลั่นก่อนเข้ามากราบทูล
“มีโจรป่าแต่งชุดดำปิดหน้าปิดตากลุ่มหนึ่งมาขอเฝ้าเพื่อขอไปปราบผีพรายพะย่ะค่ะ”
กษัตริย์แห่งพาราณสีขมวดพระขนงจนแทบเป็นปม
“โจรป่ารึ บังอาจมาก แต่พวกมันอาจมีวิชาอาคมพอที่จะปราบไอ้พวกผีร้ายได้ ไปพาพวกมันเข้ามา”
สิ้นกระแสรับสั่งไม่นานนักร่างสูงกำยำที่แต่งกายมิดชิดปิดโพกซ่อนเร้นใบหน้าก็ก้าวเข้ามาในราชสำนัก
แต่เพียงผู้เดียว
“บังอาจนัก ใยมิถวายบังคมเจ้าแผ่นดิน”
เสียงอำมาตย์เอกเอ่ยกร้าว แต่ก็ต้องย่นคอหนีเมื่อนัยน์ตาดุหันขวับมาจ้อง
“ช่างมันเถอะ”
ผู้เป็นกษัตริย์ตรัสอย่างไม่สนใจพิธีนัก
“นี่แน่ะ เจ้าโจรยะโส มั่นใจรึว่าจะไปช่วยลูกข้าได้”
ดวงตาผยองคลายแสงลงเล็กน้อยเมื่อหันมาสบพระเนตร
“หม่อมฉันมั่นใจ”
“เจ้าอยากได้อะไรเป็นรางวัลเล่าหากลูกข้าฟื้น”
ใบหน้าที่เหลือเพียงดวงตาที่เปิดเผยคลายความดุลงไปเมื่อเอ่ยตอบ
“หากหม่อมฉันปราบผีร้ายและทำให้เจ้าชายสหัสรังสีฟื้นขึ้นมาได้ กายของเจ้าชายคือรางวัลของหม่อมฉัน”
“อะไรนะ!”
รับสั่งอย่างตกพระทัยก่อนที่จะกลับกลายเป็นกริ้วอย่างหนัก ทรงลุกขึ้นยืนประทับชี้พระหัตถ์ใส่หน้า
คนผยอง
“บังอาจนัก นี่มึงกล้าขอเจ้าชายแห่งเมืองพาราณสีไปงั้นรึ”
“แลกกับชีวิตที่กลับคืนมาของพระโอรส หม่อมฉันคิดว่าสมควรแล้ว”
“เออ ก็ลองดู ถ้ามึงทำให้สหัสรังสีฟื้นได้กูจะยกลูกให้ แต่ถ้าไม่ได้กูจะกุดหัวมึงเสียไอ้โจรป่าห้าร้อย”
กษัตริย์แห่งพาราณสีถึงกับก้าวพระบาทกลับไปกลับมารอคอยอยู่ในตำหนักพร้อมกับ
พระมเหสีทั้งแม้ว่าจะกริ้วอยู่มากโข แต่ก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เมื่อจอมโจรเดินทางเข้าสู่เขตผีร้ายเมื่อความมืดเข้า
ครอบคลุม ยิ่งวันนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ก่อให้เกิดเงารูปร่างแปลกตายิ่งทำให้ทุกคนใน
เมืองหวาดกลัว สองพระองค์รวมทั้งพระราชโอรสพระองค์เล็กและเจ้าชายจักรธรว่าที่ราชบุตรเขย
เมื่อราตรีผ่านไปค่อนคืนเสียงลมหวีดหวิวชวนขนลุกบังเกิดไปรอบเมือง ไม่นานหลังจากนั้นทุกคนก็ต้อง
สะดุ้งกับเสียงกรีดร้องโหยหวนยาวนานจนต้องขยับเบียดใกล้เข้าหากัน เจ้าชายศศลักษณ์เองยังต้องซุก
วรกายเบียดอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าชายจักรธรอย่างหวาดกลัว
นานจนเกือบย่ำรุ่งแสงประหลาดจึงบังเกิดขึ้นที่ชายป่าก่อนที่จะเรืองรองเป็นสีแดงเพลิงราวกับไฟ แสงนั้น
ปรากฏอยู่พักใหญ่จึงหายไปและแทนที่ด้วยสีทองอำไพของดวงอาทิตย์แรกขึ้น
เจ้าชายศศลักษณ์คลี่ยิ้มกว้างให้กับเจ้าชายจักรธร
“เสด็จพี่ต้องปลอดภัยแล้วเป็นแน่”
“น้องรู้ได้อย่างไร”
“แสงอาทิตย์รุ่งอรุณในวันนี้งดงามนัก ลองยลสิพะย่ะค่ะ เป็นลางดีนักเพราะนามของเสด็จพี่สหัสรังสีนั้น
หมายความถึงดวงอาทิตย์”
เจ้าชายจักรธรกระชับวงแขนแน่นเข้ามาอีก
“เสด็จพ่อของเจ้าช่างตั้งชื่อโอรสได้เหมาะยิ่งนัก สหัสรังสี ศศลักษณ์ มีทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์”
ศศลักษณ์คลี่โอษฐ์สรวลรับคำ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนประทับอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงกราบบังคมทูลความ
คืบหน้าจากทหารวังต่อพระบิดา
“บัดนี้ หัวหน้าโจรป่าได้เดินทางมาถึงพระราชวังและขอเข้าเฝ้าเจ้าชายสหัสรังสีเพื่อรักษาพระอาการ
พะย่ะค่ะ”
มีต่ออีกนิด