แรมเดือนสิบสอง
แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)
คนที่บอกว่าจะนอนที่หอพักตลอดการซ้อมบาสเกตบอลจนกว่าจะถึงวันงานกีฬาสัมพันธ์ลงท้ายก็ต้องเดินทางไปกลับบ้านกับโรงพยาบาลทุกวันเพราะทนคิดถึงธันวาไม่ไหวหลังจากได้ยินคำว่ารักในวันนั้น
ธันวาเองก็ออกจากบ้านในตอนบ่ายไปพร้อมเดือนแรมเกือบทุกวันเพื่อรอข้างสนามในตอนที่อีกฝ่ายซ้อม มีบ้างบางวันที่แยกตัวออกไปเพราะฝ่ายสวัสดิการเองก็มีนัดประชุมงานเหมือนกัน แต่เพียงไม่กี่ครั้งก็เรียบร้อยทุกอย่าง รอแค่ถึงวันงานเท่านั้น
เหลือเวลาอีกแค่สองวัน ทีมนักกีฬาทุกประเภทต่างพร้อมลงสนามจริงกันแล้วและหยุดซ้อมกันไปตั้งแต่เมื่อวาน ต่างกับทีมบาสเกตบอลที่ยังซ้อมอย่างหนักหน่วงในวันนี้เป็นวันสุดท้าย
เดือนแรมเพิ่งปล่อยให้นักกีฬาแยกย้ายกันกลับบ้านเมื่อสิบนาทีก่อน เหลือก็แต่กัปตันทีมและกองเชียร์คนสำคัญที่ยังอยู่ในสนามแม้จะค่ำมืดมากแล้วก็ตาม
“วันนี้นอนค้างที่หอดีไหมครับ พี่ดูเหนื่อยมาก” ธันวาออกความเห็นขณะใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าไล่ลงมาถึงลำคอให้อีกคนที่ยังนั่งบนพื้นสนามอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหน “เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน”
“คุณลุงไม่ว่ารึไง”
“ผมโทรไปขอตั้งแต่เย็นแล้ว”
เดือนแรมพยักหน้ารับก่อนเอนหลังลงนอนแผ่ร่างกายบนสนามอย่างคนหมดแรง และเพราะแสงไฟที่ส่องในสนามจ้าเกินไปจึงจำเป็นต้องหลับตาลงทั้งที่หวั่นกลัวว่าอาจจะเผลอหลับเข้าจริง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า แต่ในความจริงแล้วกลับรีบลืมตาขึ้นมองทันทีเมื่อรู้สึกว่าคนที่เคยนั่งอยู่ข้างกันลุกออกไป
เดือนแรมเห็นร่างสูงโปร่งเลี้ยงลูกบาสไปมาอยู่รอบกาย เสียงลูกหนังกระทบพื้นดังเป็นจังหวะไม่กี่ครั้งก็มีเสียงดังตึงจากการกระทบกันของลูกบาสกับแป้น เขาไม่เห็นว่ามันหล่นลงห่วงไปหรือไม่ แต่จากเสียงแล้ว หากกระทบดังขนาดนั้นแล้วลูกบาสยังไม่กระเด็นมาตกใส่เขาที่นอนอยู่ก็เดาได้ว่าธันวาทำแต้มเมื่อครู่ได้อย่างแน่นอน
“แข่งกันซักเกมไหม” คนนอนร้องถาม รู้ว่าน้องเล่นกีฬาประเภทนี้ได้ดีไม่แพ้เทนนิสเพราะเคยแอบมองอยู่หลายครั้งแต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้เล่นด้วยกันสักหน
“เก็บแรงไว้เดินกลับหอเถอะครับ” ธันวาเย้าขำ ๆ
เดือนแรมยกยิ้มมุมปากขณะยันตัวลุกขึ้นนั่ง “แรงน่ะมีเหลือพอทำอย่างอื่นอีกเยอะ อยากรู้ไหมล่ะว่าทำอะไรได้บ้าง”
ธันวายิ้มแฉ่ง “ผมรู้ว่าเก็บลูกบาสไปคืนหอกีฬาได้แล้วหนึ่งอย่างล่ะ” ไม่ทันขาดคำ ลูกหนังสีอิฐก็ถูกขว้างมาทางเขา แต่ดูเหมือนว่าคนขว้างจะตั้งใจให้มันลอยผ่านเขาไปเสียมากกว่า เพราะเจ้าตัวรีบเดินออกจากสนามพร้อมร้องเร่งให้เขาตามเก็บลูกหนังนั้นแล้วตามไปโดยเร็ว
เป็นธรรมดาของช่วงปิดเทอมที่หอพักนักศึกษาแพทย์จะเงียบราวกับไร้ผู้คน เพราะเวลาเกือบหนึ่งเดือนนี้จะมีแค่รุ่นพี่ปีสูงพักอาศัยอยู่ซึ่งแทบจะมีหอไว้เก็บของและนอนเพียงเท่านั้น ไม่ได้สังสรรค์หรือจับกลุ่มกันเฮฮาให้เห็นตามพื้นที่ส่วนรวมเหมือนบรรดารุ่นพรีคลินิกอย่างปีสองและสามนัก เพราะอย่างนั้นในคืนนี้ธันวาจึงรู้สึกเหมือนได้อยู่กับเดือนแรมเพียงแค่สองคนตามลำพัง
“ธันวา” เดือนแรมเกาท้ายทอยแก้เก้อในตอนที่เดินออกจากห้องอาบน้ำมาด้วยกัน ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดและดูเหมือนว่าจะคิดไตร่ตรองอยู่นานทีเดียวกว่าจะยอมพูดออกมา “คืนนี้มานอนห้องพี่นะ”
คนฟังหน้าเห่อร้อนทันทีที่ได้ยิน เชื่อว่าเดือนแรมจะไม่ทำอะไรเขาอย่างแน่นอน เพียงแต่ก็คงไม่ได้หมายความแค่ว่านอนคนละเตียงกันเป็นแน่ และที่กล้าชวนก็คงเพราะคืนนี้ไม่มีใครนอนด้วยทั้งห้องตนเองและห้องของเขา เขาจึงแกล้งย้อนกลับด้วยความหมั่นไส้กลบความเขินอายของตัวเองว่า “แทนตัวเองว่าพี่ ทีงี๊ละพูดดีเชียวนะพี่แรม”
“นะ” เดือนแรมขยับเข้าไปใกล้ สะกิดไหล่สองสามทีอีกคนก็ขยับหนีแล้ว
“อย่าอ้อน!”
“ไหนเคยบอกว่าไม่มีใครใจดีเท่าธันวาแล้วไง”
“ไม่ต้องจำเก่งไปหมดทุกอย่างก็ได้มั้งครับ” ตั้งแต่คบกันแบบมีสถานะชัดเจนพวกเขายังไม่เคยนอนเตียงเดียวกันเลยสักครั้ง ธันวาต้องขอบคุณที่พวกตนพักหอในจึงไม่สามารถแนบชิดกันในระดับนั้นได้โดยปริยาย และในความจริงแล้วพวกเขาก็แทบไม่เคยสัมผัสกันมากไปกว่าโอบกอดที่แทบนับครั้งได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องถามถึงจูบ หากไม่นับสติ้กเกอร์ที่แก้มเขาในเช้าวันแรกของการคบกันแล้ว เดือนแรมก็ไม่เคยทำรุ่มร่ามด้วยเลยสักครั้ง
คนพี่ยิ้มซื่อในความคิดของธันวา “นะ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรนอกจากนอนกอด”
ธันวาไม่ได้มีปัญหากับคำขอของเดือนแรม เพียงแค่เขินทั้งอีกฝ่ายและตัวเองจนไม่กล้าตอบรับในทันทีจึงแกล้งแสดงท่าทีตอบปัดรำคาญในตอนที่โดนอ้อนอีกครั้ง
เดือนแรมเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านอนกอดอย่างที่บอกไว้จริง ๆ
“กอดแน่นไปป่ะพี่แรม” ธันวาบ่นคนที่นอนซ้อนหลังแล้วพาดแขนกอดเขาช่วงเอวชวนให้รู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไม่เคยได้รับสัมผัสแบบนี้มาก่อน
“กูกลัวตก”
“ก็บอกแล้วว่าผู้ชายสองคนจะนอนเตียงบนด้วยกันได้ไง ต่อให้เป็นเตียงล่างผมยังไม่กล้าเบียดเลย” แม้เตียงบนจะมีราวเหล็กกั้นแต่ก็ไม่ได้สูงพอจะรับประกันได้ว่าวันดีคืนดีคนที่นอนอยู่จะไม่ตกลงไป
“เถอะหน่า นอนให้กอดนิ่ง ๆ ก็ไม่ตกแล้ว”
“ดื้อจริง ๆ เลย” ธันวาบ่นงึมงำที่แม้จะเสียงเบาแต่ก็จงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ก็อยากนอนกอดแฟนบ้างนี่หว่า อยากทำแบบนี้นานแล้วรู้ไหม แต่หอในมันลำบากมึงก็เห็น”
“นี่พี่คิดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ นึกว่าวัน ๆ คิดแต่เรื่องเรียน”
“แบบนี้คืออะไร คิดหื่นกับมึงน่ะเหรอ กูคิดอยู่ตลอดแหละ” ว่าแล้วก็แกล้งซุกหน้าลงกับหลังคอน้อง กลั้นใจไม่ให้แนบริมฝีปากลงไป เพราะเพียงแต่ลมหายใจที่รดรินก็ทำเอาอีกคนหดคอหนีจนตัวสั่นแล้ว กลัวตัวเองจะลำบากด้วยอย่างหนึ่ง
“ไหนบอกจะแค่นอนกอดไงพี่แรม”
“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย กอดอย่างเดียวเลยนี่ไง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็กระชับวงแขนอีกนิดจนแผ่นอกแนบกับหลังคนน้องให้ได้รู้สึกถึงไออุ่นจากกายของกันและกัน
เดือนแรมรู้ว่าถ้าใกล้กว่านี้อีกนิด ทั้งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผิวเนื้อและไออุ่นจากเรือนร่างอีกฝ่ายจะมอมเมาเขาให้เผลอไผลทำอะไรที่มากกว่าที่สัญญาไว้ได้ เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่แกล้งธันวาไปมากกว่านี้
“เทอมหน้าย้ายไปอยู่หอนอกด้วยกันไหม” เดือนแรมเสนอความเห็น “หรือปีหน้าก็ได้ ปีสี่พี่ต้องขึ้นวอร์ดแล้ว เราจะเจอกันน้อยลง ถ้าอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็จะเจอกันตอนเย็นและได้ใช้เวลาด้วยกันบนเตียง”
“ม...หมายถึงนอนกอดกันแบบนี้ใช่ไหมครับ”
ธันวาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอที่แม้ไม่หันกลับไปมองก็รู้สึกได้ถึงความไม่น่าไว้วางใจ
“แบบไหนก็ได้ พี่ตามใจธันวาอยู่แล้ว”
ธันวาพบว่าเดือนแรมมักจะพูดจาสุภาพกว่าปกติด้วยการใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าพี่และเรียกชื่อเขาเมื่อต้องการอ้อนเป็นพิเศษ และเขาก็แพ้ทางเสียด้วย เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้ยินชื่อตัวเองออกจากปากอีกฝ่ายในลักษณะนี้
“ครับ ปีหน้านะ”
“ขอบคุณนะ” เดือนแรมแทบไม่รู้ตัวว่าใช้น้ำเสียงออดอ้อนแค่ไหนเวลาพูดกับธันวา แต่หากเพื่อนฝูงได้ยินคงได้ล้อว่าเขาเป็นเดือนแรมเสียงสองหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำอย่างแน่นอน
“พี่แรม พี่ชอบผมตั้งแต่ตอนไหนอะ”
ไม่รู้เป็นเพราะทิ้งห่างบทสนทนาพอสมควรหรืออย่างไรถึงได้ไร้เสียงตอบรับจากคนข้างหลัง เสียงหายใจสม่ำเสมอบางเบาคือสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันว่าอีกฝ่ายยังอยู่ด้วยกัน
“พี่แรม…” ธันวาลองเรียกดูอีกครั้งด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก เพราะหากคนพี่หลับไปแล้วจริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปลุกให้ตื่นมาตอบตอนนี้อยู่แล้ว “...หลับแล้วจริง ๆ เหรอ”
คนถูกทิ้งให้หลับทีหลังระบายยิ้มบาง ๆ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงไหล่ของทั้งสองคนแล้วหลับตาลงบ้างโดยไม่ลืมเอ่ยคาดโทษอีกฝ่ายทั้งที่รู้ว่าไม่ได้รับรู้ด้วยเลย “พี่ติดค้างผมไว้หลายคำถามแล้วนะ ครั้งหน้าถ้าไม่ตอบละน่าดู”
ในเช้าวันเดียวกันกับงานกีฬาสัมพันธ์คือวันที่ประภาสเดินทางไปฮ่องกงเพื่อเจรจาธุรกิจอย่างที่เคยบอกทั้งลูกชายและหลานรักเอาไว้ ก่อนไปก็ไม่ลืมกำชับให้ลูกชายตนที่มีศักดิ์เป็นพี่ไปรับน้องกลับบ้านในเย็นนี้ด้วย ซึ่งปกป้องก็รีบรับปากทันทีไม่เปิดโอกาสให้ธันวาปฏิเสธหรือต่อรองได้เลย รวมถึงการต้องยอมให้อีกฝ่ายขับรถไปส่งที่งานกีฬาสัมพันธ์ด้วย
“เลิกกี่โมง” น้ำเสียงตวัดขุ่นมัวเหมือนไม่พอใจกันต่างกับตอนที่รับปากผู้ใหญ่ลิบลับคือประโยคแรกที่ปกป้องพูดกับธันวานับตั้งแต่ขับรถออกจากบ้านจนกระทั่งจอดในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยฝ่ายเจ้าภาพ
“ประมาณสี่ทุ่มครับ มีงานเลี้ยงช่วงเย็นต่อ”
“ให้รับที่ไหน”
“เอ่อ ความจริงแล้ว…”
“จะให้รับที่ไหน” เสียงญาติผู้พี่เข้มขึ้นจนธันวาไม่กล้าปฏิเสธอีก
“ตรงนี้ก็ได้ครับ”
“โอเค ถ้ามาแล้วจะโทรหา รับโทรศัพท์ด้วย อย่าให้ต้องเข้าไปตามถึงในงานนะ” ไม่เหมือนคำบอกเล่าแสดงความห่วงใย ธันวารู้สึกได้ว่านี่คือการขู่ ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มรับแกน ๆ ตอบรับเสียงค่อยก่อนลงจากรถ
จากจุดที่ปกป้องมาส่งไม่ไกลจากสถานที่จัดงานนัก และเพราะการแต่งกายที่คล้ายกันอย่างการสวมเสื้อที่ถูกออกแบบมาเพื่องานครั้งนี้โดยเฉพาะก็ทำให้ธันวาหาจุดหมายได้ไม่ยากนัก
คนแรก ๆ ที่ธันวาเจอก่อนถึงจุดลงทะเบียนเสียอีกคือกรองเกียรติที่เห็นมาแต่ไกลว่ายืนเคว้งหันรีหันขวางอยู่ทางเข้าโรงยิม ในมือมีสมาร์ทโฟน นัยน์ตาเรียวรีชั้นเดียวคู่นั้นก้มมองหน้าจอสลับกับทางเข้าคล้ายกำลังชั่งใจว่าจะติดต่อใครก่อนเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหรือไม่
“ไงมึง” ธันวารีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ ส่งเสียงทักทายก่อนที่เพื่อนจะทันได้กดสมาร์ทโฟนที่คงหนีไม่พ้นการติดต่อตนเป็นแน่
“จังหวะดีมากมึง แล้วนี่มาไง พี่แรมอะ”
“พี่แรมบอกจะขับรถมาเอง ส่วนกูมากับพี่ป้อง”
กรองเกียรติขมวดคิ้ว “แปลก นึกว่าลุงภาสจะมาส่งถึงหน้าโรงยิมนี่ซะอีก” ธันวานึกหมั่นไส้ที่ข้อสงสัยของเพื่อนยังแฝงไปด้วยถ้อยคำเหน็บแนมเชิงล้อตน
“ลุงภาสบินเช้านี้ ไม่อยู่อีกหลายวันเลย”
“อ้าวพวกมึง มาแล้วก็เข้ามาลงทะเบียนสิวะ” เสียงเพื่อนร่วมรุ่นจากสถาบันเดียวกันดังขัดขึ้นก่อนที่กรองเกียรติจะทันได้ถามอะไรต่อ เพราะเปลี่ยนมาบ่นถึงความประหม่าของตนก่อนหน้านี้ให้เพื่อนสนิทได้รู้ขณะพากันเดินเข้าไปภายในโรงยิมแทน
ธันวาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตที่หวาดกลัวอะไรก็ร้องหาแต่ความช่วยเหลือจากคนอื่นแทนที่จะจัดการด้วยตนเอง เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้บอกกรองเกียรติออกไปว่าเย็นนี้ตนต้องอยู่บ้านกับญาติผู้พี่ตามลำพัง
เมื่อลงทะเบียนแล้วสองหนุ่มได้ป้ายชื่อห้อยคอกันมาคนละหนึ่งใบที่บ่งบอกว่าชื่ออะไร ชั้นปีที่เท่าไหร่และมาจากมหาวิทยาลัยไหน อีกทั้งในใบลงทะเบียนยังมีข้อมูลเกี่ยวกับบัดดี้ท้ายชื่อของทุกคนตามจุดประสงค์หลักของกิจกรรมคือการสร้างความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนกันเอาไว้ด้วย โดยเบื้องต้นคือการที่เจ้าถิ่นจะดูแลบัดดี้ต่างมหาวิทยาลัยตลอดกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งสองเพื่อนซี้ต่างก็ได้บัดดี้เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ต่างกันตรงที่ธันวาได้เพื่อนรุ่นเดียวกัน ขณะที่อีกคนได้รุ่นน้องมาดูแล ทำเอากรองเกียรติบ่นอุบเพราะอดสร้างสัมพันธ์กับสาวที่นี่
ฝ่ายสวัสดิการที่มีสมาชิกเกือบสิบคนเป็นทีมงานกลุ่มแรกที่ทำงานกันอย่างแข็งขันโดยมีหัวหน้าฝ่ายซึ่งเป็นรุ่นพี่ปีสามรับหน้าที่ประสานงานกับมหาวิทยาลัยฝั่งตรงข้ามเพียงคนเดียวเพื่อการสื่อสารที่ชัดเจน
ธันวากับกรองเกียรติวิ่งวุ่นกันแต่เช้า ทั้งช่วยกันยกอาหารว่างที่ทางเจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้ ทั้งเสิร์ฟบริการให้ฝ่ายกองเชียร์เป็นอันดับแรก ทั้งนี้อากาศยังร้อนจนเสื้อยืดคอปกเริ่มชื้นเหงื่อที่หลังเช่นเดียวกับใบหน้าที่ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามไรผมบ้างแล้ว
“ธันว์วางไว้ก็พอ เดี๋ยวพวกเราช่วยกันแจกน้อง ๆ เอง” หวานเดินเข้ามาหา ธันวามองเลยเธอไปนับจำนวนพี่เลี้ยงกองเชียร์คร่าว ๆ ด้วยสายตา เห็นว่ามีแต่หญิงสาวและเพียงแค่สามคนเท่านั้นจึงยังไม่ยอมปล่อยมือจากแพคน้ำดื่ม
“ไม่เป็นไรหรอก เราขนมาหมดแล้ว เดี๋ยวช่วยแจก ช่วย ๆ กันไง”
ได้ยินอย่างนั้นเธอก็จำต้องยอมให้ธันวาและฝ่ายสวัสดิการคนอื่น ๆ ช่วยจนเสร็จ เนื่องจากกองเชียร์จะต้องถูกแบ่งแยกออกไปตามจุดการแข่งกีฬาต่าง ๆ รวมทั้งในส่วนกลางนี้ด้วย พวกเขาจึงตกลงกันว่าจะแจกอาหารว่างและน้ำให้น้องทุกคนตั้งแต่เช้าไปเลยในตอนที่ยังรวมตัวกันเพื่อป้องกันความผิดพลาด
“มีน้องคนไหนยังไม่ได้ขนมกับน้ำอีกไหมคะ” รุ่นพี่ชั้นปีที่สามที่ธันวาเดาว่าน่าจะเป็นหัวหน้าฝ่ายตะโกนถามน้องที่นั่งเรียงกันเต็มพื้นที่เกือบสิบขั้นบันได
“ธันว์เหงื่อออกเยอะมากเลย” ไม่พูดเปล่า หลังจากทักอย่างนั้นหวานก็รีบหยิบกระดาษทิชชูของตัวเองออกมาและถือวิสาสะซับเหงื่อบนใบหน้าของเขา ธันวายิ้มบางด้วยความเกรงใจพึมพำขอบคุณก่อนรับมาเช็ดเสียเอง
“ไอ้ธันว์” ธันวามองตามสายตากรองเกียรติที่เรียกชื่อเขาแล้วส่งสายตาไปด้านหลังราวกับต้องการให้มองคนมาใหม่ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะคนที่ยืนส่งสายตาคมดุมาจากชั้นล่างคือคนที่ทำให้หวานต้องรีบถอยออกไปทันทีหลังเอ่ยทักทายตามมารยาทแล้ว
“เปลี่ยนชุดเร็วจัง” ธันวาทักทายเสียงใส แสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนว่าอีกฝ่ายอาจจะเคืองที่ตนใกล้ชิดกับหวานมากเกินไปเมื่อครู่นี้
“ต้องใส่ชุดนักกีฬาเข้าร่วมพิธีเปิด” เดือนแรมเองก็ข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ หากไม่เป็นเพราะว่ารุ่นน้องสาวคนนั้นเองก็มีใจให้ธันวาเหมือนกัน เขาก็ไม่อยากหึงหวงทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายอยู่กับคนอื่นแบบนี้ ไม่ได้อยากมีความรู้สึกแย่ ๆ ให้กันนัก
“อ้อ...แล้วพี่กินอะไรมารึยังครับ เดี๋ยวผมหาให้”
ธันวายกยิ้มในใจเมื่อเห็นมุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนจากหน้าบึ้งดุให้อ่อนลง แม้ไม่ชัดนักแต่ก็รับรู้ได้ว่าเดือนแรมอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว “ทำหน้าที่สวัสดิการรึไง”
คนเด็กกว่าแนบลำตัวกับราวกั้นแล้วโน้มตัวลงไปหาคนข้างล่างที่ขยับเข้ามาใกล้เช่นกัน ไม่ต้องถึงกับตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตกลงไปก็สามารถสบตากับอีกฝ่ายในระยะประชิดได้แล้ว “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมน่ะ เป็นสวัสดิการที่จะดูแลพี่เป็นพิเศษและไม่ใช่แค่ในงานนี้ด้วยนะครับ”
กรองเกียรติหันหน้าหนีทั้งที่ไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ เขาเพียงแค่ไม่อยากจ้องมองให้คนมาดดุที่กำลังกลั้นยิ้มจนแก้มแทบแตกต้องรู้สึกขัดเขินเพราะมีคนรู้ว่าตนกำลังเสียอาการ
“เหรอ แล้วงานไหนอีก”
“จะตามไปดูแลทุกงานเลยครับ”
เดือนแรมเม้มปากก่อนยิ้มกว้างขึ้น ทั้งเขินทั้งขบขัน “แค่ดูแลอย่างเดียวเหรอ”
“จะเป็น one stop service ให้เลยครับ อยากได้อะไรอยากให้ทำอะไร ผมคนเดียวเป็นทุกอย่างให้พี่เลย”
เดือนแรมอารมณ์ดีขึ้นแล้ว “เกินเรื่องจริง ๆ เลยมึงเนี่ย”
ธันวายิ้มแป้นโดยลืมไปว่าพวกตนไม่ได้อยู่กันตามลำพังแค่สองคนแต่อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายทั้งในคณะตนเองและผู้คนต่างมหาวิทยาลัย
พิธีเปิดเรียบง่ายใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที เสียงรัวกลองอันเป็นสัญญาณของความรื่นเริงก็ดังขึ้นให้ทุกคนในที่นี้ครึกครื้นกระฉับกระเฉงขึ้นมาในทันที
นักกีฬาประเภทต่าง ๆ แยกกันไปยังสนามของตัวเองโดยการนำทีมด้วยไนท์และรุ่นพี่อีกหลายคน รวมถึงกองเชียร์ที่ถูกนำทางโดยพี่เลี้ยงด้วย แม้กีฬาแต่ละประเภทจะแข่งไม่พร้อมกัน แต่ด้วยเวลาที่ไล่เรี่ยกันมากและบางประเภทแข่งทับซ้อนกันจึงจำเป็นต้องให้แบ่งกองเชียร์ไปพร้อมนักกีฬาเลย
นอกจากกีฬาแล้วยังมีการแข่งขันทางวิชาการกันเป็นทีมภายใต้การดูแลและติวเข้มโดยโอ๊คอีกด้วย โดยใช้โรงยิมกลางเป็นสถานที่หลัก หนึ่งในเกมเหล่านั้นมีการแข่งเรื่องกายวิภาคที่กรองเกียรติคุยโวว่าหากตนไม่สมัครหน้าที่สวัสดิการเสียก่อนก็คงถูกคัดเข้าร่วมทีมแข่งขันด้วยอย่างแน่นอน
แม้จะเห็นจริงตามนั้นแต่ธันวาก็ยังรู้สึกหมั่นไส้ท่าทีมั่นใจของเพื่อนจนต้องรีบลากตัวอีกฝ่ายออกจากตรงนี้เพราะมีหน้าที่ดูแลนักกีฬาไม่ใช่ทีมแข่งวิชาการ แวบหนึ่งอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อปีก่อนอาจจะมีเดือนแรมเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันด้วยอย่างแน่นอน
ธันวาและกรองเกียรติช่วยกันยกกระติกน้ำแข็งที่มีทั้งน้ำดื่ม น้ำเกลือแร่และผ้าเย็นสำหรับนักกีฬาแช่อยู่ในนั้นออกจากกองสวัสดิการกลางไปยังสนามบาสเกตบอลในร่มซึ่งห่างออกไปไม่ไกลนัก กรองเกียรติทั้งล้อทั้งแซวตลอดทางว่าธันวาลำเอียงเพราะอยากเชียร์คนรักถึงได้รีบเสนอตัวขอหัวหน้าฝ่ายมาดูแลนักกีฬาทีมนี้
“เห้ยไอ้เก่ง ไอ้ธันวา” เสียงใครสักคนดังแทรกเสียงลูกหนังกระทบพื้นสนามจากการซ้อมของนักกีฬาทั้งสองฝั่งในตอนที่สองหนุ่มเจ้าของชื่อเพิ่งเดินเข้ามาได้เพียงไม่กี่ก้าว
“เชี่ย!” เป็นกรองเกียรติที่ทักทายกลับไปอย่างเป็นกันเอง
“คิดถึงพวกมึงฉิบหาย วันนี้ลงแข่งไหมวะ” คนพูดปลีกตัวออกจากทีมที่กำลังซ้อมบริเวณแป้นฝั่งประตูเข้ามาหาเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความยินดีเป็นอย่างมากอย่างที่พูด
“ไม่ว่ะ” ธันวายกสองมือที่เต็มไปด้วยกระติกน้ำและผ้าเย็นสำหรับนักกีฬาให้อีกฝ่ายดูว่านอกจากจะไม่ลงแข่งเองแล้วยังต้องมาคอยดูแลนักกีฬาอีกด้วย
“ได้ไงวะ กูไม่ได้เล่นบาสกับพวกมึงนานแล้วเนี่ย ไม่ลงให้หายคิดถึงหน่อยเหรอวะ…” สองหนุ่มวางกระติกลงบนพื้นเพราะเห็นท่าว่าอาจจะคุยกันนานกว่าแค่ทักทาย “...อ้าวเห้ย นั่นพี่แรมป่ะ” เพราะเขารู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ตลอดถึงได้รู้ว่าเป็นใครเมื่อสาดส่องจนเจอ
“มึงรู้จักพี่แรมด้วยเหรอ” กรองเกียรติเองก็สงสัยไม่ต่างจากคนถามนัก
“ใคร ๆ ในโรงเรียนเราก็รู้จักพี่แรมป่ะวะ” คิ้วเข้มขมวดเมื่อจับสังเกตได้จากสีหน้าเพื่อนเก่าทั้งสอง “เชี่ยยยย อย่าบอกนะว่าพวกมึงไม่รู้จัก”
สองหนุ่มสถาบันเดียวกันพร้อมใจกันพยักหน้าแทนคำตอบ “ทำไมทุกคนถึงรู้จักเขา”
“ถามว่าทำไมพวกมึงไม่รู้จักดีกว่าไหมวะ”
“...”
“ไม่ต้องเป็นนักกิจกรรมตัวยงก็รู้จักพี่แรมกันทั้งนั้นแหละ พี่แกอยู่ทุกวงการ ทำกิจกรรมแม่งเยอะมาก”
“เหรอ”
“เออดิ มีช่วงหนึ่ง โรงเรียนจัดงานอะไรก็เห็นแต่หน้าพี่แรม ตั้งแต่การแสดงไปจนกีฬา”
“พี่เขาชอบให้คนสนใจเหรอวะ” แม้เพื่อนต่างสถานศึกษาจะไม่ทันสังเกตแต่กรองเกียรติรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงของเพื่อนสนิทขุ่นกว่าปกติ
“เออแปลก ทำตัวเหมือนจะให้เป็นจุดสนใจ แต่เก็บตัวฉิบหาย ไม่ใช่คนที่ใครก็สนิทด้วยได้หรอกนะเว้ย”
“แล้วมึงสนิทไหม” คราวนี้กรองเกียรติถามบ้าง
“ระดับนึง สนิทเพราะเล่นบาสเนี่ยแหละ”
“พวกกูก็เล่น ทำไมไม่เคยเจอ”
“พวกมึงแม่งปลีกวิเวกจะตาย ถ้าพวกกูไม่เสนอหน้าไปขอเล่นด้วย คิดเหรอว่าเราจะรู้จักกัน” สองหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อคิดตาม เมื่อก่อนพวกเขาเล่นบาสเกตบอลกันทั้งกลุ่ม เล่นกันเฉพาะในกลุ่มบ้าง รวมกับเพื่อนร่วมชั้นปีเดียวกันบ้าง ไม่เคยได้รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่ธันวามีแฟนก็ยิ่งทิ้งห่างการเล่นบาสฯหลังเลิกเรียนไปเสียเลย
“เฮ้ย ใกล้แข่งแล้ว กูขอไปทักทายพี่แรมก่อนนะ ไว้เจอกันพวกมึง” คนเป็นเจ้าถิ่นตบบ่าเพื่อนทั้งสองก่อนผละไปหาหนุ่มรุ่นพี่อย่างที่บอก
“เดี๋ยวมึง” กรองเกียรติรั้งธันวาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินตามเพื่อนเก่าไปทางเดียวกัน
“มีไร”
“มึงเคยถามพี่แรมไหมว่าเขาชอบมึงตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ทำไมวะ มีอะไร”
“กูกำลังสงสัยว่าคนอย่างพี่แรมพาตัวเองออกมาเป็นจุดเด่นเพราะอยากให้มึงเห็นรึเปล่า”
“...” เขาจำได้ที่ดีนเคยบอกว่าเดือนแรมวนเวียนอยู่รอบตัวเขานานแล้ว และเดือนแรมเองก็เคยพูดเรื่องทำนองนี้ออกมาเหมือนกัน เพียงแต่เขายังไม่เคยเก็บมาคิดจริงจังมากนัก
“กูว่าใช่แน่ ๆ แต่พวกเราแม่งเสือกไม่เอากิจกรรมเลย” กรองเกียรติสรุปออกมาก่อนเดินนำไปยังที่นั่งพักนักกีฬาฝั่งตน
“ถึงปีที่แล้วผมแพ้ แต่ปีนี้ผมไม่ยอมพี่อีกแน่”
“ปีที่แล้วพวกกูชนะเพราะพวกมึงอ่อนเอง แต่ปีนี้ไม่ว่ายังไงกูก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ แน่ มึงสู้สุดตัวก็ดีแล้ว เพราะกูก็จะสู้จนคว้าชัยชนะให้ได้เหมือนกัน”
ธันวาเดินเข้ามาทันได้ยินตอนนี้พอดีกับที่คนพูดเองก็มองมาทางเขาเช่นกัน
“แหมพี่ พูดเหมือนจะชนะอวดสาวงั้นแหละ”
เดือนแรมยิ้มขำเล็กน้อย ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ “เจอกันในสนามเว้ย”
“เจอกันพี่...ไว้เจอกันพวกมึง”
สองหนุ่มฝ่ายสวัสดิการพยักหน้าตอบรับการโบกมือลาของเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยก่อนจัดแจงพื้นที่ใช้สอยบริเวณนั้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วจึงค่อยมานั่งข้างเดือนแรมที่กำลังดูคนอื่น ๆ วอร์มกันอยู่ในสนาม
(มีต่อนะคะ)