ตอนที่ 2 : รึเปล่า
ผมนั่งอยู่บนรถบีเอ็มสปอร์ตคันเดิม กับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟน นับตั้งแต่เมื่อคืนนี้
ไอ้โฟล์คใส่ชุดไปรเวทธรรมดา เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ มันสวมแตะด้วยซ้ำ พอผมถามว่าไม่ไปเรียนเหรอ มันก็ตอบว่านี่คือชุดไปเรียนของมัน ผมลืมไปด้วยซ้ำว่าพวกเด็กนิเทศฯแทบไม่มีเครื่องแบบกันอยู่แล้ว
ใต้คอนโดไอ้โฟล์คมันสตาร์บัค สมแล้วที่เป็นคอนโดคนรวย ตอนเช้ามันลงมาซื้อกาแฟให้ผม จากนั้นมันก็จับผมยัดขึ้นรถและขับพามาที่มหา'ลัย ทันสวมแว่นตากันแดด ฮัมเพลงวงอินดี้ต่างประเทศที่ผมไม่รู้จัก ผมว่าผมฟังเพลงแปลกแล้วนะ มันฟังแปลกกว่าผมอีกมั้งเนี่ย
ผมนั่งหมุนโทรศัพท์ในมือไปมา ไอโฟนของผมถูกเชื่อมอยู่กับพาวเวอร์แบงค์ที่โฟล์คมันให้ผมยืมเมื่อเช้าเพราะว่าแบตหมด เมื่อคืนหลังจากที่มันตอบกฤษฎ์ไป กฤษฎ์ก็ส่งอะไรมาอีกก็ไม่รู้ ผมไม่ทันอ่าน มันก็เอาไปอ่านแทน จากนั้นก็มีไลน์จากไอ้กายเด้งมาอีกเป็นพรืด แล้วแบตโทรศัพท์ผมก็หมด ผมที่เตรียมหนีปัญหาอยู่แล้วจึงไม่คิดชาร์จแบตเตอรีแม้แต่นิดเดียว แต่แน่นอน พอหนีปัญหาเมื่อคืน เช้านี้เลยต้องมานั่งคิดคำตอบจนแทบหัวหมุน
“ไปกินข้าวคณะกูก่อนไหม?” ไอ้โฟล์คเอ่ยถาม "เดี๋ยวเดินไปส่ง"
“อะไรนะ"
“เดี๋ยวขับรถไปก็ได้ถ้าขี้เกียจเดิน"
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวสาย กูไม่อยากมีปัญหา" ผมว่า ไม่ได้จะทำให้มันเสียน้ำใจหรือเล่นตัวนะครับ กูมีงานจริงๆ โมเดลก็ไม่เสร็จ ไม่เสร็จห่าไรสักอย่าง
“งั้นเดี๋ยวกลางวันกูไปหา" มันว่า ผมมองหน้ามันนิดหน่อย มันที่กำลังเข้าเกียร์เอ็นเมื่อรถติดไฟแดงจึงหันมามองผมบ้าง "อะไร?” มันถาม ผมถอนหายใจ
“มึงไม่ต้องมาดูแลกูมากก็ได้ กูก็ผู้ชาย ทำตัวปกติเหอะว่ะ ขนลุก" ผมว่า มันหัวเราะหึของมันอยู่คนเดียว
“กูไม่ได้ฝืน กูอยากทำ" มันว่า นั่นทำให้ผมต้องเงียบไป "แล้วกลางวันกูมีส่งงานที่อักษรฯพอดี มันติดคณะมึง สามก้าวก็ถึงและ อีกอย่าง มึงก็ต้องแดกข้าวโรงอาหารอักษรอยู่แล้วนี่หว่า"
“แล้วแต่มึง" ผมว่าไปในที่สุด มันก็ดูพออกพอใจ ไม่นานนักรถหรูของมันก็มาจอดเทียบหน้าตึกคณะผม คณะถา'ปัตย์เรียกได้ว่าเป็นแดนในหุบเขาเร้นลับครับ คือเป็นเอกเทศ ไม่ยุ่งกับคณะอื่นเท่าไหร่นัก ดังนั้นหากมีคนนอกเดินเข้าไป ก็จะถูกเพ่งเล็งทันที
มันเอื้อมมือมาปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผม ก่อนจากกันมันยังจูบอีกรอบเสียจนปากช้ำ มันโบกมือลาหน้าระรื่นก่อนเคลื่อนรถออกไป ในขณะที่ผมสวมเสื้อเชิ้ตที่ยืมมันมาโคร่งกว่าหุ่นตัวเองนิดหน่อยจนต้องพับแขนกับกางเกงยีนส์ตัวเมื่อวานเดินเก้ๆดังๆเข้าไปในคณะ
เสียงทักทายดังมาจากทุกทิศเมื่อผมก้าวเข้าไปด้านใน รุ่นน้องเองก็ยกมือไหว้ทักทาย ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่คณะปลูกฝัง ผมเองไม่ได้ชอบให้ใครมาไหว้เท่าไหร่หรอกครับ เป็นพวกไม่เอาโซตัสด้วย แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรจริงจังเพราะคนที่ยังเห็นดีเห็นงามกับระบบก็ยังมี และระบบมันก็แสดงชัดเจนว่าส่งผลที่ดีต่อคณะผม อย่างในเรื่องของเส้นสายการทำงาน แม้กระทั่งความช่วยเหลือจากสายรหัสในการเผางานโปรเจ็กต์ใหญ่ๆ ทั้งหมดนี้คือผลจากระบบโซตัสของคณะ
ผมเดินไปยังห้องสตูดิโอของภาคสถาปัตย์ของผม สตูดิโอนี่คือที่ทำงานของพวกผม ตลอดจนห้องนอน ร้านอาหาร ห้องซ้อมดนตรี และอีกมายมายเท่าที่มันจะเป็นได้ อีกยี่สิบนาทีถึงจะเริ่มเรียน เพื่อนๆบางส่วนคงนอนตายกันอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนหลังจากกลับจากร้านเหล้า แน่นอนว่าไอ้เป๊กก็คงอยู่ ผมได้แต่ภาวนาให้มันกลับคอนโดไปเมื่อคืนและยังไม่กลับมา แต่ผมคงภาวนาผิดพลาดไป เพราะไม่เพียงแค่ไอ้เป๊กเท่านั้น ไอ้กายและไอ้ปอม ก็นั่งดื่มกระทิงแดงรอต้อนรับผมอยู่ที่พื้นหน้าประตูเลยทีเดียว
“หว...หวัดดีมึง" ผมเอ่ยทักทายไป แต่สายตาพวกแม่งเย็นชาเหี้ยๆ "เฮ้ยจ้องกูไปก็เอากูเป็นเมียไม่ได้ จ้องไมวะ" ผมพยายามทำตัวตลกโปกฮาขัดกับบุคลิกสุดๆ แต่พวกแม่งก็ยังจ้องมาไม่วางตา พวกมันใส่ชุดเมื่อคืน แสดงว่าเมื่อคืนแม่งก็มานอนกันที่นี่
“ไปไหนมา?” ไอ้เป๊กเอ่ยถามคนแรก มันไม่จ้องผมแล้วแต่หยิบข้าวกล่องมาเปิดแดกแทน
“กูโทรไปก็ไม่รับไอ้ห่า" ไอ้กายตามมาเป็นคนที่สอง ผมจ้องมองไอ้ปอมอย่างขอความช่วยเหลือ แต่มันถอนหายใจแทน
“ไหนมึงบอกเพิ่งเลิกกับไอ้กฤษฎ์มัน นี่มึงกลับไปหามันเหรอวะ หรือว่ามึงไปกะใครมาอีก" ไอ้กายจ้องหน้าผมนิ่ง ผมทรุดตัวลงนั่ง พวกแม่งไม่ได้โกรธผมหรอกครับ มันก็แค่เป็นห่วง เหมือนทุกๆครั้งที่ผมทำตัวจัญไรแบบนี้ ผมควานหาน้ำเย็นๆในถุงเซเว่นแถวนั้นก่อนเปิดดื่ม
“ใจเย็นๆมึง ขอกูตั้งสติก่อน" ผมว่า พวกมันยังจ้องหน้าผมไม่เลิก "กูไม่ได้ไปหากฤษฎ์ แล้วก็ไม่ได้ไปกับใครที่ไหนด้วย" คงต้องบอกแบบนั้น เพราะตอนนี้ ไอ้โฟล์คไม่ใช่ 'ใครที่ไหน' อีกแล้ว
ไอ้เป๊กหรี่ตามองผม ส่วนไอ้กายก็เข้ามาซุกๆดมๆแถวตัวผม
“กลิ่นมึงแปลกๆนะ ไปไหนมาวะ"
“ขอโทษที่ไม่ได้บอก กูไปค้างข้างนอกมาจริง"
“ไอ้สัด" ไอ้กายด่าทันที ผมถอนหายใจเบาๆ
“แต่กูไม่ได้ไปหากฤษฎ์ ไม่ได้ไปกับใครมาจริงๆ"
“......” ทำหน้าไม่เชื่อกันอีก
“มึง...” แต่ผมจ้องหน้ามันนิ่ง ยังไงก็ต้องบอก เพราะเราสัญญากันแล้วว่าไม่ว่าจะมีอะไรก็จะไม่ปิดบังกัน ผมคบกับพวกมันมาเป็นปีที่สามแล้ว จากกลุ่มใหญ่ๆตอนแรก ก็ค่อยๆแตกกระจายไปทีละส่วนเพราะเข้ากันไม่ได้บ้าง ขัดหูขัดตากันบ้าง จนเหลือพวกผมสี่คนนี่แหละ ที่ไม่ว่าใครจะแยกไปไหน ใครจะทะเลาะกับใคร ก็ยังกลมเกลียวกันอยู่
“อะไร?” ไอ้กายกอดอกเต๊ะท่า "พูดไม่ดีกูสอยมึงร่วงแน่"
“กูมีแฟนแล้วนะ"
ผมตัดสินใจบอกออกไปในที่สุด และดูท่าว่ามันอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะทั้งไอ้เป๊กและไอ้ปอมที่มักจะเงียบๆไม่ค่อยมีความเห็นเรื่องของผมเท่าไหร่ ยังสะดุ้งเฮือกทั้งๆที่ข้าวเต็มปากกันทั้งคู่
“ใคร? กฤษฎ์เหรอ?” ไอ้ปอมถาม ทั้งๆที่ปกติมันจะไม่ค่อยมาถามเป็นเรื่องเป็นราว และส่วนใหญ่มักจะเป็นผมที่เล่าให้มันฟังเอง แต่ครั้งนี้มันเปิดปากถาม แล้วจ้องรอคำตอบนิ่ง
“เดี๋ยวมันมา พวกมึงก็รู้" ผมว่าเลี่ยงๆ แต่ให้บอกไปเลย ผมก็ไม่กล้าเท่าไหร่
“น้ำชา" มันเรียกผมอีกครั้ง ผมส่ายหัว
“กูไม่อยากพูดว่ะปอม เรื่องมันซับซ้อน แต่เดี๋ยวมันมามึงก็รู้เอง" ผมว่า ปอมนิ่งไปก่อนเลิกซักไซ้ ทั้งๆที่ปกติถ้ามันอยากรู้อะไรมันต้องรู้ให้ได้ เรียกว่ากัดไม่ปล่อย แต่คราวนี้มันมาแปลกที่ยอมปล่อยผมไป ปอมเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างใจดีครับ จะว่าใจดีก็ไม่ค่อยถูก เพราะมันให้ลุคที่ดูคุณชายจนดูใจกว้างนั่นแหละ มันคอยช่วยเหลืองานคณะ แล้วก็เป็นที่พึ่งของเพื่อนๆน้องๆ แต่มันก็เจ้าเล่ห์และฉลาดจนน่ากลัว เรื่องผู้หญิงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีเยอะเท่าไอ้กาย แต่ก็มีไม่น้อยครับ แน่นอนว่ามันอาจจะดูเป็นคนพูดน้อย แต่เอาจริงไม่ได้พูดน้อยเลยครับเวลาอยู่กับพวกผม คนที่พูดน้อยจริงคือไอ้เป๊กมากกว่า แต่พูดมาแต่ละทีก็เสียวสันหลังกันไป
ซึ่งเป๊กก็ไม่ได้พูดอะไร มันจ้องหน้าให้ผมต้องหลบสายตาพัลวัน
สุดท้ายพวกมันก็ปล่อยให้ผมคุ้ยหาของกินในถุงเซเว่นในที่สุด ไอ้กายมีเรียนเวลาเดียวกับพวกผมที่ภาคมัน ส่วนปอมไม่มีมันเลยขอตัวไปอาบน้ำแล้วกลับมาอีกทีตอนเที่ยงเพื่อมากินข้าวกลางวันด้วยกันหลังจากที่ผมหลุดปากออกไปว่า ไอ้หมอนั่นจะมาหาตอนเที่ยง
โชคดีที่ไม่ใช่คลาสของกฤษฎ์ แต่ยังไงอีกไม่นานก็คงต้องเจอ ผมงีบตลอดคาบโดยมุดตัวไปนอนใต้โต๊ะเขียนแบบ มีไอ้เป๊กที่ยินดีจะนั่งบังให้อยู่ด้านบน นอนไปได้ไม่ถึงงีบ ไอ้โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้นมา ผมรีบงัวเงียตะครุบก่อนกดปิดเสียง แล้วพยายามเหลือบตามองคนที่ขัดขวางเวลานอนของผม
Folk : มึงอยู่ไหนแล้ว
ผมขยี้ตางัวเงียแล้วล้มตัวลงนอนต่อ แม่งวุ่นวาย ยังไม่ตอบหรอก
Folk : ตอบสิวะ อยู่ไหน
จากนั้นก็ตามด้วยสติกเกอร์หมีบราวน์ตามมาอีกสิบๆตัว ผมที่พยายามจะไม่สนใจแต่แม่งก็รำคาญใจจนต้องโงหัวขึ้นมาตอบจนได้
Namcha : มึงเป็นเหี้ยไรโฟล์ค กูเรียนอยู่
Folk : เออก็แค่เนี้ย
Namcha : มึงอ่ะไม่เรียนวะ กวนประสาทกูอยู่ได้
Folk : กูเขียนบทอยู่ คิดไม่ออก มาดูดบุหรี่เนี่ย เดี๋ยวไปส่งงานแล้ว
Namcha : เป็นมะเร็งตายห่าไปซะ
แล้วผมก็เหลือบไปเห็นข้อความไลน์ที่ค้างอ่านไว้จึงกดกลับเข้าไปยังหน้าหลัก มีข้อความจากกายเกือบร้อย จากนั้นก็เป็นกฤษฎ์...ผมจ้องมองตัวเลขข้อความจำนวนสามข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่านก่อนถอนหายใจ ก่อนเลือกที่จะปิดหน้าจอลง ผมหลับตาลงอีกครั้งด้วยความสับสนและเจ็บปวด ก่อนค่อยๆหลับไปในที่สุด
“เฮ้ย! ตื่น"
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อคลาสจบลงและไอ้เป๊กนั่งยองๆลงมาเอาตีนเขี่ยผมปลุกให้ตื่น มันชวนไปหาไอ้กายที่รออยู่ใต้ถุนคณะ เพื่อไปหาอะไรกินที่โรงอาหารอักษรฯ คณะผมใช้โรงอาหารร่วมกับอักษรฯครับ เพราะคณะเราติดกัน แถมประชากรที่น้อยมากๆของสถาปัตย์ทำให้ไม่มีนโยบายสร้างโรงอาหารของคณะเอง
ไอ้กายนั่งคุยกับเพื่อนกลุ่มอื่นที่โต๊ะไม้ใต้คณะ ก่อนที่มันจะลุกแล้วเดินมาหาพวกผมที่เดินเข้าไป มันขอตัวกับพวกเพื่อนภาคมันก่อนเดินหอบโมเดลลูกรักของมันไปด้วย พวกเราเดินไปโรงอาหารที่อยู่ระหว่างคณะเรากับอักษรฯ ไอ้กายบ่นตลอดทางว่าจะกินอะไรดีระหว่างข้าวยำกับก๋วยเตี๋ยวไข่ต้ม ระหว่างที่ไอ้เป๊กก็ยินยอมฟังมันบ่นแต่โดยดี
ผมเอาชีทเรียนไปวางไว้บนโต๊ะ ไอ้เป๊กอาสาเฝ้าให้เพราะมีโมเดลไอ้กายตั้งตระหง่านโชว์อยู่บนโต๊ะ ส่วนเจ้าตัวเดินปลิวหายไปตามหาของกินเสียแล้ว เป๊กมันบอกให้ผมเดินไปซื้อข้าวก่อน ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปเลือกซื้อข้าว ซึ่งแม่งก็ซ้ำๆซากๆ ผมเป็นมนุษย์ขี้เบื่อก็จริง แต่ขี้รำคาญมากกว่า ไอ้เรื่องที่จะให้ไปเบียดเสียดกับชาวบ้านเนี่ย ผมยอมแดกของซ้ำซากได้เร็ว
ผมกลับมาเฝ้าโต๊ะแทน แปปเดียวไอ้กายก็กลับมาพร้อมกับก๋วยเตี๋ยวไข่ต้มของมัน ไล่ๆกับไอ้เป๊กที่เป็นมนุษย์แบบผมคือ แดกข้าวราดแกงประทังชีวิต สักพักไอ้ปอมก็เดินเข้ามาพร้อมกับเคเอฟซีชุดใหญ่ที่แม่งซื้อมาเผื่อ ตอนบ่ายต่างคนต่างไม่มีเรียน แต่ก็คงต้องไปนั่งทำโมเดลกันต่อ ยกเว้นไอ้ปอมที่ภาคมันช่วงนี้ยังไม่มีส่ง แต่ไปส่งอีกทีใกล้ๆมิดเทอมเลย ส่วนภาคไอ้กายกำหนดส่งวันเดียวกับภาคผม ซึ่งก็คือต้นอาทิตย์หน้าพร้อมพรีเซนต์ พวกมันตั้งใจจะนั่งทำกันที่สดูดิโอภาค ส่วนผมโมเดลยังกองอยู่บ้านอยู่เลย คงได้กลับไปทำที่นั่น ถ้าสมองไม่ลื่นคงค่อยแจ้นกลับมาหาพวกมัน เหนื่อยเกินไป ขี้เกียจไปๆกลับๆ
แม้ว่ามื้อกลางวันของพวกเราจะสงบราบเรียบตามปกติเหมือนทุกวัน แต่ผมรู้สึกได้ถึงอาการคลื่นใต้น้ำของเพื่อนผม ไอ้ปอมที่นั่งตรงข้ามกันจ้องหน้าผมเป็นระยะๆ ส่วนไอ้กายเองก็มองไปรอบตัวตลอดเวลา ผมชักเสียวสันหลัง แต่ก็เสียวได้ไม่นานนักหรอกครับ เพราะเมื่อผมนึกขึ้นได้ว่ากลางวันนี้ไอ้โฟล์คมันจะมาเปิดตัว และลุกลี้ลุกลนหยิบมือถือมาพบกับมิสคอลล์มันเป็นสิบ กล้องดีเอสแอลอาร์ราคาเหนียบแสนก็ถูกวางตึงลงบนโต๊ะแบบไม่กลัวของเสียหาย ผมเหลือบมองไปตามท่อนแขนที่จับกล้องอยู่ ใจก็เต้นตึกตักไม่เข้าท่า
“กูโทรมาทำไมไม่รับ"
มันว่าด้วยหน้าตาหงุดหงิดก่อนเบียดตัวลงนั่งข้างผมแบบไม่ถามอะไรสักคำ ไอ้กายที่กำลังงับไก่อยู่ชะงัก เช่นเดียวกับปอมและเป๊ก พวกมันมองหน้าโฟล์คเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน ผมพยายามเขยิบตัวหนีมัน แต่ก็ติดไอ้เป๊ก มันยังคงจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น
ผมอ้าปากจะตอบ แต่ไอ้กายก็สวนขึ้นมาก่อนเลยครับ
“อ้าว มึงโทรหากูเหรอ?” ไอ้กายว่า พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา "ไม่มีนี่" มันว่าหลังจากเช็คอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เปล่า" ไอ้โฟล์คตอบแล้วมองหน้าผมต่อ "กูโทรหาน้ำชา"
“อะ...อ้าว" ไอ้กายหน้าจืดลงทันที ก่อนที่มันจะนิ่งไป "แล้ว...มึงมาไมวะ ไอ้แยมกับไอ้เตอ่ะ"
“กูมาส่งงานอักษรฯ พวกมันอยู่คณะ มันนั่งว่างๆกันอยู่ แวะไปหามันดิ" มันว่า ผมได้แต่นั่งนิ่ง "นี่มึงยังไม่ได้บอกเพื่อนเหรอวะ?” ไอ้โฟล์คมันหันมาถามผม ผมส่ายหัวเบาๆ ก่อนถอนหายใจ
“ยัง"
“กูคบกับเพื่อนมึงแล้วนะ" ไอ้โฟล์คบอกไปอย่างไม่กลัวตาย ผมที่จะปิดปากมันก็ไม่ทันเสียแล้ว จากนั้นก็เงียบ...ผมเงียบ มันเงียบ เพื่อนๆก็เงียบ หน้าตามันออกจะอึ้งๆ โดยเฉพาะไอ้กาย
“คือที่กูไม่บอก เพราะกลัวพวกมึงจะ...ตกใจ" ผมพึมพำเบาๆ ก่อนทำเป็นแดกข้าวต่อ
“......”
“กาย...มึงจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอวะ?” ผมถามมัน มันได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างกะคนบ้า ไอ้โฟล์คเลยถอนหายใจ
“เฮ้ยกาย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากเว้ย เดี๋ยวสักพักมึงก็จะชิน" ไอ้โฟล์คมันเป็นผู้ชายกวนตีนครับ ไม่รู้ว่าผมเคยบอกไปหรือยัง แต่มันเป็นคนกวนตีน กวนตีนเหี้ยๆ กวนตีนแบบจัญไรเลยล่ะ
“คือกูตกใจจริงๆว่ะ ไอ้เหี้ย! เมื่อคืนมึงเพิ่งเจอกัน แล้ว...แล้วคือ...นี่พวกมึงแดกเบียร์บูดเหรอวะ" ไอ้กายแม่งคิดไปไกล ไอ้โฟล์คฟังเพื่อนสนิทมันเพ้อเจ้อก่อนหัวเราะ
“เปล่าเว้ย กูชอบน้ำชาจริงๆ" มันบอกอย่างไม่อาย ในขณะที่ผมแม้จะแกล้งเขี่ยข้าวในจานไปมา ตีนไอ้ปอมก็สะกิดป๊าบๆอยู่ใต้โต๊ะ
“แล้วมึงอ่ะชา...คือกูงงไปหมดแล้วว่ะ" ไอ้กายเกาหัวยิก ไอ้โฟล์คมองหน้าผมก่อนที่มันจะหันไปล็อคคอเพื่อนมันแทน
“เรื่องของชามึงก็ไปถามชาเหอะว่ะ แต่ตอนนี้พากูไปซื้อข้าวก่อน มีไรอร่อยๆแดกบ้างวะ" มันว่า ก่อนลากคอไอ้กายเดินออกไปด้วยกัน ผมได้ยินไอ้กายโวยวายมาตามรายทาง สลับกับเสียงหัวเราะของไอ้โฟล์คที่ดูดีใจที่ได้แกล้งไอ้กาย พอบนโต๊ะกลับสู่ความเงียบสงบ ไอ้เป๊กกับไอ้ปอมก็พร้อมใจกันมองหน้าผมทันที
“มึงรู้จักกับโฟล์คมันมาก่อนเหรอวะ?” ไอ้เป๊กถามขึ้นหลังจากเงียบมานาน
“ไม่อ่ะ...ไม่รู้"
“แล้วมึงไปคบกันมันได้ยังไง?” มันถามต่อ ผมได้แต่ส่ายหัว
“แม่งซับซ้อนว่ะ เดี๋ยวไว้กูค่อยเล่านะ กูขอเคลียร์ตัวกูก่อน" ผมตอบปัด ไอ้ปอมอ้าปากเหมือนจะซักอะไรสักอย่างแต่มันก็เงียบไป ส่วนไอ้เป๊กมันก็เหมือนจะอยากถามแต่สุดท้ายมันก็ถอนหายใจออกมา
“กูให้เวลามึงถึงมะรืนนี้ ถ้ามึงไม่เล่า มึงก็ไม่ต้องเล่าอีกเลย" ไอ้เป๊กยื่นคำขาด ผมได้แต่พยักหน้ารับอย่างจนใจ
และแล้วมื้อกลางวันนี้มันก็จบลงไปจนได้ เพื่อนๆผมมันก็ยอมที่จะไม่ถามอะไรเพิ่ม หลังจากที่พวกเราเก็บจานกันเสร็จเรียบร้อย มันทั้งสามก็ขอตัวไปดูดบุหรี่ก่อนไปทำงานต่อ ทิ้งผมกับโฟล์คให้อยู่ด้วยกัน มันยืนมองหน้าผมนิ่งๆอยู่หน้าโรงอาหารสักพัก ก่อนมันจะดึงข้อมือผมให้เดินตามมันไปที่อาคารจอดรถคณะอักษรฯ พูดตรงๆผมยังคงรู้สึกแปลกที่อยู่กับมันแบบนี้ มันไม่ใช่ว่าไม่สนิทแต่มันรู้สึกแปลกๆ แต่พอคิดว่าแค่สองอาทิตย์...ก็คิดว่าจะปล่อยมันไปก่อน...
มันปลดล็อคบีเอ็มคันเดิมก่อนดันผมขึ้นไปนั่ง ผมมองมันยืนดูดบุหรี่อยู่ด้านนอกสักพักก่อนที่มันจะตามขึ้นมา โฟล์คสตาร์ทรถก่อนหันมามองหน้าผม
“จะไปไหนกันดี?” มันเอ่ยถาม ซึ่งแทบไม่ต้องคิดเลย เพราะโมเดลผมยังไม่มีทีท่าจะเสร็จ
“กูมีโมเดลต้องทำว่ะ วันนี้ไปไหนไม่ได้จริงๆ" ผมบอกมันไปเรียบๆ ไอ้โฟล์คไม่ได้พูดอะไร มันกระชากรถออกไป
“บ้านอยู่ไหนกูไปส่ง" มันถาม "มึงอยู่คนเดียวป่ะวะ?”
“เปล่า กูอยู่กับครอบครัว แต่อยู่คอนโดนั่นแหละ" ผมบอกมัน "มึงไม่ต้องไปส่งหรอก ส่งกูที่รถไฟฟ้าเดี๋ยวกูต่อไปเอง"
“......” มันเงียบไปนิดหน่อย
“โฟล์ค มึงฟังกูอยู่หรือเปล่า?” ผมเรียกมัน
“เออ ฟังอยู่ กูกำลังคิดว่าจะเอาไงดี กูมีถ่ายหนังบ่ายนี้"
“ทำไม?”
“เปล่า กูกำลังคิดว่าจะเอาไงดี?”
“มึงก็ไปถ่ายหนังสิวะ" ผมว่า
“ก็กูอยากไปกับมึงนี่" มันเถียงกลับขณะหมุนพวงมาลัยลงจากตัวตึก
“ไปทำงานไปสัด เรื่องเยอะ" ผมไล่มันทันที "เดี๋ยวไว้ไปกินข้าวด้วยกันวันหลัง" แต่พอเห็นมันมองมาก็ต้องถอนใจแล้วพูดไปแบบนั้น
“กูอยากรู้จักมึงมากกว่านี้จริงๆนะชา" มันว่า แล้วหันมามองหน้าผมนิ่ง ผมรู้สึกหน้าเห่อร้อนจนต้องผลักหน้ามันไป
“มองถนนดีๆสิวะ"
“ถ้ามึงเบื่อ มาทำที่ห้องกูก็ได้นะ" มันเปรยขึ้นมาในที่สุด "มาค้างกับกูก็ได้ เดี๋ยวกูช่วยทำ" มันบอก นั่นทำให้ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี แต่ก็รู้สึกแอบเอ็นดูมันนิดๆ ที่ผู้ชายตัวโตแม่งบางทีก็ขี้อ้อน บางทีก็ปากไม่ตรงกับใจ
“เออน่า ไว้ก่อน" ผมบอกปัด "นี่จะไปส่งกูจริงๆเหรอ?”
“อือ มีเวลา เดี๋ยวเลื่อนกองไปสักครึ่งชั่วโมง"
“มึงอย่านะ" ผมรีบห้าม
“เลื่อนกองไม่มีใครเสียหายหรอกน่านอกจากกู อย่าดื้อมาก เดี๋ยวกูลากกลับห้องเลย"
“......”
“ไว้ถ้ากูถ่ายเสร็จไวจะไปรับ ไปกินข้าวกัน"
“อือเอาเหอะ" ผมตอบส่งๆไป พอบอกทางกลับบ้านมันเสร็จสรรพ มันก็พยักหน้าแล้วพาผมไปทันที...
ผมกลับมาที่คอนโดตอนบ่ายสองกว่าๆ ห้องยังคงเงียบสนิท จอห์นไม่อยู่แน่ๆเพราะไปติดต่อธุรกิจที่ต่างประเทศ ส่วนแม่คงกำลังไปรับน้ำมนต์ ห้องนั่งเล่นยังคงเหมือนเดิมแต่ผมไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ปกติแล้วผมก็จะหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน ดูหนังบ้าง ฟังเพลงบ้าง ทำโปรเจ็กต์บ้าง ไม่ค่อยได้ออกไปสุงสิงกับคนในครอบครัวเท่าไหร่ ผมหยิบน้ำขวดหนึ่งเดินกลับเข้าไปในห้อง เปิดแอร์แล้วนั่งมองโมเดลที่ยังค้างๆคาๆอยู่ตรงหน้า มีเวลาอีกสามวันเท่านั้นในการทำงาน ถ้าไม่เสร็จจริงๆ คงต้องหอบไปให้พวกน้องๆแม่งช่วย ซึ่งผมไม่อยากให้ทำแบบนั้นเท่าไหร่ อะไรที่ทำไหวก็อยากจะทำให้ดีที่สุดมากกว่า
ช่วงมอต้นเป็นช่วงที่แม่ของผมพบจอห์นใหม่ๆ หลังจากที่พวกเขาตกลงแต่งงานกัน พวกเขาก็ตกลงที่จะย้ายไปปักหลักที่ออสเตรเลีย ในตอนนั้นผมเป็นลูกคนเดียว เด็กผู้ชายวัยสิบสามกับการย้ายถิ่นฐานไปต่างแดนเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เอาเสียเลย แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ ผมใช้ชีวิตในซิดนีย์อยู่ห้าปีจนกระทั่งจบไฮสคูล ก่อนที่จอห์นจะได้รับตำแหน่งซีอีโอสาขาในกรุงเทพฯ พวกเราจึงย้ายกลับมา ตอนนั้นน้ำมนต์อายุแค่สามขวบเองเท่านั้น เมื่อกลับมากรุงเทพฯแล้ว ผมก็ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มๆในการเตรียมตัวสำหรับการสอบเข้าคณะสถาปัตย์ในมหาวิทยาลัยที่ผมใฝ่ฝัน และผมก็ทำสำเร็จ เป๊กคือเพื่อนคนแรกของผม ตามด้วยกายและปอม...ถ้าไม่มีพวกมันผมก็จะไม่มีใครอีกแล้ว
หลังจากเปลี่ยนชุด นั่งขัดสมาธิ และกางแบบอยู่หน้าโมเดล ผมก็ควานหาชิ้นส่วนที่ตัดไว้แล้วออกมา เวลาทำโมเดลทีไรตาล้าทุกที เพราะบางทีชิ้นมันเล็กมากๆจนต้องจดจ้องตาแทบหลุด แต่มันก็มีนะครับไอ้พวกบ้าบอคอแตกที่นั่งเก็บรายละเอียดแม้แต่ชิ้นส่วนที่เล็กเหี้ยๆในโมเดล เล็กเท่ากับอวัยวะมด แล้วแม่งก็จะมานั่งภูมิใจทีหลังว่า กูนี่โคตรเทพเลยที่ทำออกมาได้ชิ้นเล็กขนาดนั้นจนคนอื่นตื่นตะลึงว่าทำออกมาได้ยังไง คนแบบนี้มีนะครับไม่ใช่ไม่มี เอาง่ายๆเลยก็ไอ้เชี่ยปอม มันเก่งมากจริงๆครับ เทพโมเดลเลยทีเดียว
แต่ผมไม่สามารถทำได้ขนาดนั้นหรอกครับ เอาแค่ส่งได้ก็พอใจแล้ว รอบนี้มีพรีเซนต์ด้วย แถมเป็นงานของวิชากฤษฎ์ กฤษฎ์สอนวิชาออกแบบจำลองอาคาร เป็นวิชาภายในภาคบังคับเรียนปีสาม งานหนักมาก จริงๆก็หนักทุกวิชาแหละครับ รุ่นพี่เคยขู่ว่าปีสามมึงตายแน่ แต่ก็ไม่เห็นเคยมีใครตายเพราะเรียนหนัก แต่ไอ้ปางตายน่ะจริง ไอ้ถั่วเคยเผางานอดหลับอดนอนจนหยอดน้ำเกลือมาแล้ว
ผมนั่งหลังขดหลังแข็งทำโมเดลห่านี่อยู่หลายชั่วโมงจนตาแทบจะปิด แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน พอรู้ตัวอีกทีก็ขึ้นมาอยู่บนเตียงห่มผ้าสบายใจเฉิบแล้ว ผมเด้งตัวขึ้นมาดูนาฬิกา ก่อนถอนหายใจเพราะนี่แค่ทุ่มสี่สิบห้าเอง ไม่ใช่ตีสามตีสี่แบบที่กลัวไว้ และตัวการที่ทำให้ผมตื่นก็ไม่ใช่อะไร โทรศัพท์ที่วางไว้ข้างเตียง
ผมงัวเงียควานขึ้นมา ก่อนหรี่ตามองคนบนตาจอ
“ว่าไงมึง?” ผมกรอกเสียงไปตามสาย พร้อมหาววอดใหญ่
(กินข้าวยัง?) ปลายสายถามกลับมา ผมขยี้ตาอย่างง่วงงุน (เพิ่งตื่นเหรอวะ)
“เออ มึงโทรมาปลุกอ่ะ ฮ้าววว"
(ไปกินข้าวแล้วนอนต่อไป) มันว่างั้น แต่ผมส่ายหัว
“ไม่ได้หรอก มึงปลุกก็ดีแล้ว กูยังค้างโมเดลอยู่เลย" ผมบอก ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากด้านนอก สงสัยแม่กลับมาแล้ว
(ไว้ค่อยทำก็ได้ นอนเหอะ นี่ส่งวันไหน?) มันสั่งเสร็จสรรพ อย่างกะว่ากูเสกปิ๊งเดียวแล้วงานเสร็จไงงั้น
“จันทร์หน้า แต่มันงานเดี่ยวมึง กูไม่อยากเรียกใช้รุ่นน้องมาเป็นมือปืนเท่าไหร่หรอก ใกล้สอบแม่งก็ยุ่งๆกันหมด" ผมบอก
(มาทำที่ห้องกูไหม? เผื่อกูช่วยอะไรได้) มันว่า ผมชะงักไปนิด พร้อมกับเสียงปลายสายที่มีคนตะโกนเรียกไอ้โฟล์คโหวกเหวก ได้ยินงั้นพอพยายามที่จะทำเฉยๆ ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ (เออแปปนึง มึงจัดแสงไปก่อนเต เออน่า/ ...น้ำชา ฮัลโหล)
“อะไร ไปทำงานของมึงต่อไป"
(ของกูคนเยอะแล้ว ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง เพื่อกูอีก นี่แม่งมาออกกองกันเป็นยี่สิบ ไม่รู้มาแดกของฟรีหรือมาช่วยกูทำงาน) มันบ่น (ให้กูไปรับไหม?) มันยังย้ำถาม แต่ผมก็ยังคงปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวถ้าไม่ไหวจริงๆกูเรียกมึงเอง" ผมอยากให้มันไปทำงานของมันน่ะครับ ถ่ายหนังสั้นแม้จะแค่สิบนาทีก็ไม่ใช่ถ่ายกันวันเดียว
(หาข้าวกินด้วย ถ้าดึกๆหิวโทรหากู เข้าใจไหม?)
“โทรมามึงทำไม?”
(เผื่อกูยังอยู่ จะได้หาไรไปให้กิน กูคงถ่ายยันเช้าว่ะ)
“เออ นี่เดี๋ยวไปกินแล้ว แค่นี้นะโฟล์ค"
(บาย)
ผมตัดบท ดูท่ามันเองก็โดนคนในกองเร่งจนต้องรีบวางสาย ผมวางโทรศัพท์ไว้บนฟูกก่อนถอนหายใจออกมา...เอาจริงผมไม่ได้อะไรกับโฟล์คเท่าไหร่นัก หมายถึง ไม่ได้รำคาญ หรือชอบเป็นพิเศษ หรือประทับใจจนต้องซาบซึ้ง ผมอยู่ในช่วงขณะที่กำลังสับสนสุดขีด เพราะในวันที่กฤษฎ์เดินออกจากชีวิตผมไป โฟล์คก็เดินเข้ามาพอดี...