สุดขีด 8“มาอยู่นี่เอง แม่ตามหาตั้งนานแน่ะ ได้เวลาตรวจร่างกายแล้วนะจ้ะ”
“คุณแม่?”
“ไมนอสมาหาย่าสิจ้ะ”
ผมได้ยินเสียงผู้หญิงที่ค่อนข้างนุ่มนวลอ่อนโยนเข้ามาพูดกับพี่เฮดีส และเรียกตัวเองว่าแม่ด้วย ผมเงยหน้าขึ้นไปเห็นคนขายยื่นเครปที่เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ ให้กับพี่เฮดีสที่ยื่นเงินมาจ่ายแล้วหันไปตอบใครคนนั้น
“วันนี้ผมไม่ตรวจได้ไหมครับ?”
“ทำไมล่ะจ๊ะ?”
“ยุ่งยากจะตาย” พี่เฮดีสแลบยิ้มอย่างลำบากใจ
“ไม่ได้จ้ะ ใกล้วันผ่าตัดแล้วยิ่งต้องตรวจให้ละเอียด”
“เฮ้อ ตรวจทุกวันมันน่าเบื่อนี่ครับ”
ผมขมวดคิ้วแปลกใจกับบางอย่าง ไม่ได้แปลกใจกับการได้เจอคุณแม่ของพี่เฮดีสหรือเรื่องผ่าตัด แต่ที่ผมแปลกใจก็คือ ท่าทางของพี่เฮดีสกับน้ำเสียงของเขาน่ะสิ มันแปลกๆ แปลกตรงไหนผมเองก็ไม่แน่ใจแต่มันไม่เหมือนเดิม จะให้พูดยังไงดีล่ะ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
“วันนี้เขามาด้วยนะครับ แม่เห็นหรือเปล่า?”
“ไม่เห็นเลยนะ”
“เจ้าบ้านั่นคงจะหนีไปอีกแล้วละสิ”
“เขาอาจไม่อยากเจอแม่ก็ได้”
“ไม่หรอกครับ เดี๋ยวแม่ก็ได้เจอเขาแน่ๆ”
เสียงของทั้งสองคนค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาผมจึงค่อยๆ ขยับลุกขึ้นมาชะโงกหน้ามองตามพวกเขาที่เดินออกไปไกลแล้ว เห็นพี่เฮดีสยิ้มกว้างซะตาหยีดันหลังแม่เดินเลี้ยวหายไป หว่า อดเห็นหน้าของแม่พี่เฮดีส แต่ว่าเวลาพี่เฮดีสอยู่กับครอบครัวนี่อย่างกับคนละคนกับที่ผมรู้จักเลย
“ขอบคุณครับ”
เมื่อแน่ใจว่าพวกเขาไปไกลแล้วผมก็หันมาขอบคุณเจ้าของร้านเครปที่ให้ที่ซ่อนตัว ผมเดินออกมาจากร้านเพื่อกลับขึ้นไปหาพี่ยู ระหว่างรอลิฟต์เจอะเข้ากับคุณหมอคนที่ไปตรวจพี่ยูเดินออกมาจากลิฟต์พอดี สงสัยจะตรวจเสร็จแล้วล่ะมั้ง คุณหมอยิ้มให้กับผมนิดหน่อยก่อนจะเดินผ่านไปพร้อมกับคุณพยาบาลคนสวย ผมเหลียวหลังมองตามอย่างสนใจ คุณหมอคนนี้ ท่าทางเป็นคนใจดี
ผมเดินเข้าลิฟต์ ระหว่างนั้นในหัวก็มีเรื่องของพี่เฮดีสย้อนกลับไปวนกลับมา เฮ้อ ทำไมผมต้องมารู้เรื่องส่วนตัวของเขาขนาดนี้ด้วยนะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้สนิทสนมกันเลยแม้แต่น้อย ทั้งเรื่องคนชื่อซูส เรื่องลูกชายชื่อไมนอส คุณแม่ของพี่เฮดีส แถมยังเรื่องผ่าตัดอีก พี่เฮดีสป่วย? ผมขบคิดจนเหม่อลอย ขนาดเดินมานั่งบนโซฟาในห้องพักของพี่ยูตอนไหนก็ยังไม่รู้เลย
“เฮ้ย! เครป! ไอ้รัญโว้ย! ส่งเครปมาเร็วๆ นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ!”
ผมค่อยๆ หลุดออกจากห้วงความคิด พี่ยูโวยวายจะเอาเครปที่ผมถือเอาไว้ คนๆ นี้ก็คิดจะกินอย่างเดียว เฮ้อ ทั้งๆ ที่ตัวเองป่วยอยู่แท้ๆ ไม่สำเหนียกเอาซะเลย ผมยื่นเครปไปให้ตามคำเรียกร้องที่ค่อนข้างเหมือนเด็กสามขวบ พอได้ของกินรีบหุบปากนอนกลิ้งกินงับๆ ผมมองไปรอบๆ ห้อง พี่เฮดีสก็ยังไม่กลับมา ผมหันกลับมาหาเพื่อนร่วมห้องอีกคนก่อนจะตัดสินใจถามออกไปเพื่อสนองความใคร่รู้ที่ค่อยๆ เพิ่มพูนมากขึ้นทุกขณะ
“พี่ยูเป็นเพื่อนกับพี่เฮดีสมานานแล้วเหรอครับ?”
“ก็นะ ตั้งแต่ปีหนึ่งนู่นแหละมั้ง?”
“งั้นพี่ก็ต้องรู้จักครอบครัวพี่เฮดีสบ้างน่ะสิ?”
“ก็พอรู้”
“พี่เฮดีสมีพี่น้องกี่คนเหรอครับ?”
พี่ยูกินเครปหมดแล้วหันมามองผมอย่างแปลกใจวูบหนึ่งแล้วตอบ
“มีสามคน มีพี่ชายสองคนและน้องสาวหนึ่งคน พี่ชายคนโตชื่อซูส พี่ชายคนรองชื่อโพไซดอน ส่วนน้องสาวคนสุดท้องชื่ออะโฟรไดท์ จริงๆ แล้วก็เป็นน้องสาวบุญธรรมละนะ เขาว่ากันว่าเป็นสาวสวยสุดๆ ไปเลย อยากจะเจอตัวจริงๆ เหมือนกันว่าจะสมคำลือหรือเปล่า...”
ไหนบอกว่าพอรู้บ้างแต่นี่มันรู้ละเอียดเลยไม่ใช่เหรอ!? ตกลงว่าเมื่อกี้ผมชนเข้ากับพี่ชายของพี่เฮดีสจริงๆ สินะ ชื่อว่าซูส ว่าแต่ไม่มีใครแปลกใจบ้างเหรอ ว่าทำไมชื่อของครอบครัวนี้ถึงได้แปลกๆ แบบนั้นน่ะ!? ชื่อเป็นเทพเจ้ากรีกทั้งหมดเลย ไม่ทราบว่าโคตรเหง้าตระกูลชอบอ่านตำนานเทพเจ้าหรือไงกัน? พี่ยูยังคงเอ่ยเล่าเป็นคุ้งเป็นแกว สงสัยตั้งแต่นอนพักที่นี้พี่แกเหงาปากล่ะมั้ง
“รู้ละเอียดดีนะครับ”
“ก็นิดหน่อย” พี่ยูเอียงหน้าแล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นปกติ ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ที่รู้เรื่องพวกนี้ ทำหน้าเหมือนเรื่องของครอบครัวพี่เฮดีสใครๆ รู้อย่างนั่นแหละ หรือว่าเรื่องที่พี่เฮดีสมีลูกแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ด้วยหรือเปล่า? ผมเม้มปากแล้วชำเลืองมองพี่ยู
“เออ... พวกพี่ๆ คงจะแต่งงานมีครอบครัวกันแล้วใช่ไหมครับ? ก็พี่เฮดีสเป็นลูกคนที่สามอยู่ตั้งปีสามแล้วนี่น่า” ผมพยายามอ้อมสุดขอบโลกเพื่อไม่ให้พี่ยูจับพิรุธได้ และโชคดีที่พี่ยูไม่ได้เอะใจอะไรใดๆ แถมยังเล่ามาหมดเปลือก ไม่ต้องเสียเวลาถามเพิ่มแม้แต่น้อย พี่ยูทำหน้าครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก
“อืม...ก็น่าจะแต่งงานกันหมดแล้วล่ะมั้ง ที่ได้ยินมาถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ท่านพี่ซูสมีลูกชายหนึ่งลูกสาวหนึ่ง ลูกชายชื่อเพอร์ซีอุส ส่วนลูกสาวชื่อเฮเลน ส่วนท่านพี่โพไซดอนมีลูกชายหนึ่งคน ชื่อว่าเฮฟเฟสตัส”
“เอ๊ะ แล้วไมนอสล่ะครับ?”
ฟังๆ มาแล้วทำไมไม่มีชื่อไมนอสเลยล่ะ? ผมขมวดคิ้วแล้วหลุดปากถามออกไป
“หือ? ใครน่ะ ลูกของไอ้เฮดีสเหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า!” พี่ยูทำหน้างงๆ เอ่ยตามน้ำแล้วหัวเราะขบขันกับมุกตลกของตัวเอง มันไม่ใช่มุกตลกนะพี่ยู แต่นี่มันเป็นเรื่องจริง!
ขนาดพี่ยูแค่ได้ยินชื่อก็ยังบอกว่าเป็นลูกของพี่เฮดีสเลย แล้วผมที่ไปเห็นโต้งๆ จะๆ คาตาจะปฏิเสธได้ยังไงกันเล่า! จริงๆ แล้วพี่เฮดีสมีลูกแล้วสินะ แถมยังปิดเป็นความลับอีกต่างหาก แอ๊ก! แล้วทำไมผมถึงได้เสนอหน้าไปรู้เข้าล่ะเนี่ย ผมยิ่งโกหกคนไม่เป็นอยู่ด้วยคิดแล้วก็แอบกังวลใจหน่อยๆ ถ้าพี่เฮดีสรู้ว่าผมไปเห็นความลับนี้เข้า จะไม่ฆ่าปิดปากผมเลยเหรอ!?
“แต่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เจ้าบ้านั่นมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลแบบนี้น่ะ”
เอ๋? ผมมองรอยยิ้มของพี่ยูที่ดูแจ่มใสเกินควร เหมือนดีใจและมีความสุขเอามากๆ เพิ่งเคยมาโรงพยาบาลครั้งแรกงั้นเหรอ? หือ? ทำไมมันขัดแย้งกับคำพูดก่อนหน้านี้ที่พูดว่าตรวจทุกวัน? ตกลงนี่ก็เป็นความลับเหมือนกัน?
“กลับมาแล้วเหรอวะ? หายหัวไปไหนมาตั้งนาน ปล่อยให้เทพีเพอร์ซิโฟเนบ่นหาอยู่ได้”
ผมหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดตามด้วยเสียงฝีเท้า พี่ยูอ้าปากบ่นด้วยใบหน้ากวนเบื้องล่างสิ้นดี สงสัยพี่ยูกำลังหาเรื่องหยุดเรียนต่อแหงๆ แล้วไอ้เทพีเพอร์ซิโฟเนนี่หมายถึงใครกัน นั่นน่ะรู้สึกว่าจะเป็นชายาเทพฮาเดสไม่ใช่เหรอ? มันเกี่ยวอะไรกัน? พี่เฮดีสไม่ตอบเหลือบมองพี่ยูแบบเลยผ่าน เมินคำถามที่เหมือนหาเรื่อง ก้มลงมามองผมแล้วเอ่ยถามห้วนๆ เหมือนเดิม
“มีอะไร?”
“เปล่าครับ พี่ไปตั้งนานก็เลยถามหาเฉยๆ” ผมโบกมือปฏิเสธทันที พี่ยูผิวปาก หรี่ตามองพี่เฮดีสอย่างมีเลศนัย
“วู้ว! มันยอมรับด้วยโว้ย”
พี่ยูต้องการหยุดเรียนอีกสักเดือนสินะ ผมชักจะเป็นห่วงพี่ชายคนสนิทซะแล้วละครับ ปากหาเรื่องจริงๆ พี่คนนี้! โชคดีที่เฮดีสไม่สนใจอาการกวนบาทาของพี่ยู เขานั่งลงบนโซฟาข้างๆ ผมแล้วเงียบ หัวคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อยเหมือนมีเรื่องยุ่งยากให้ขบคิด ผมแอบมองคนข้างๆ รู้สึกเหลือเชื่อมาก คนแบบนี้มีลูกแล้วนะเฟ้ย ไม่อยากจะเชื่อเล๊ย เรื่องที่ผู้หญิงติดเขาตรึมก็แทบไม่อยากจะเชื่อ(แต่หลักฐานมันฟ้องเลยเชื่อ) แล้วก็ไม่เหมือนคนที่กำลังจะผ่าตัดเลยสักนิด (คนป่วยที่ไหนจะไปหาเรื่องชาวบ้านแบบนั้นบ้างล่ะ?)
“เฮ้ย มึงรู้หรือเปล่า มันเริ่มแล้วนะโว้ย ทำไมถึงออกอาการเร็วขนาดนี้วะ ปกติก็ห้าหกวันถึงจะเป็นไม่ใช่หรือไง?”
“ไม่รู้”
“หะ? มึงไม่รู้? แล้วจะทำยังไงล่ะที่นี้”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไร ก็แค่ไม่ต้องเจอกันก็พอ”
“เหอะ ถ้ามึงคิดอย่างนั้นก็ตามใจมึง”
ผมมองพี่ยูสลับพี่เฮดีส พูดอะไรกันน่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด แถมพี่ยูยังทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด อาการอะไรกัน? หรือว่าพี่ยูรู้เรื่องที่พี่เฮดีสไปตรวจร่างกายเพื่อจะผ่าตัด? เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับหรือไง? บรรยากาศมาคุแบบแปลกๆ เข้ามาปกคลุมพวกเราที่กำลังนั่งคิดเรื่องในหัวของใครของมัน
พี่เฮดีสทำหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนพี่ยูก็ใช้ความเงียบมาสู้ เหลือผมที่เริ่มอึดอัดกับบรรยากาศระหว่างเพื่อนทั้งสอง ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะแก้สถานการณ์ยังไงให้มันดีขึ้น พี่เฮดีสลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงแขนผมให้ลุกตาม พี่เฮดีสเดินออกไปไม่พูดไม่จา แถมยังไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดล่ำลาพี่ยูสักคำ
“ไอ้ขี้ขลาด”
เท่านั้นแหละ พี่เฮดีสชะงักเท้าหยุดยืนอยู่หน้าห้อง ผมสะดุ้งตัวโหยง พี่ยู!? เครปมันใส่ยาไว้หรือไง ทำไมพี่ยูถึงได้ใจกล้าบ้าบิ่นพูดแบบนั้นกับพี่เฮดีสได้! ผมอดจะหวั่นใจแทนพี่ยูไม่ได้ ถ้าพี่เฮดีสหันกลับไปกระทืบคนเจ็บ ผมจะมีปัญญาห้ามไหมเนี่ย? พี่ยูตะโกนถามเสียงดังน้ำเสียงเยาะเย้ยชัดเขน
“ทั้งชีวิตมึงจะอยู่แบบนี้หรือไงวะ!?”
“อย่างมึงจะไปเข้าใจอะไร” พี่เฮดีสเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นติดลบแฝงไปด้วยท่าทางโมโหคุกรุ่นอยู่ข้างใน ผมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ยินยังตัวสั่นเลยครับ หนาว!
“กูไม่เข้าใจหรอกโว้ย!”
“ไอ้...”
พระพุทธเจ้า...
คำหยาบคายที่เคยได้ยินมาทั้งชีวิต ถูกพี่เฮดีสรวบรวมมาสบถรวดครั้งเดียว ผมเม้มริมฝีปากมองหมัดที่กำแน่นจนสั่น หยา ต้องเกิดเรื่องแน่ๆ! ใจของผมเต้นตูมตามด้วยความกังวล พี่เฮดีสคลายหมัดคว้าแขนผมลากออกจากห้อง โอ๊ะ โชคดีจังที่พี่ยูรอดวิกฤตอย่างหวุดหวิด ผมโล่งอกอยู่แค่สามวินาที พี่เฮดีสกดลิฟต์ให้เปิดออกแล้วผลักผมเข้าไป ส่วนตัวเองยืนอยู่นอกลิฟต์
“พี่...”
“ไปรอที่รถ”
“เอ่อ...แล้วพี่ล่ะ?”
“ไปรอดีๆ”
“อ๊ะ...”
ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร ประตูลิฟต์ก็ปิดตัวลง บ้าเอ๊ย เมื่อกี้ไม่ได้แค่พูดเฉยๆ แต่มันคือคำขู่ต่างหากล่ะ! บอกกลายๆ ว่าถ้าเสนอหน้าไปยุ่งล่ะก็ผมมีหวังเละเป็นโจ๊กอีกคนแน่ๆ นิ้วจิ้มชั้นล่างสุดแล้วสวดภาวนาขอให้พี่ยูไม่เป็นอะไรมาก ขอโทษนะครับพี่ยู อย่างน้อยพวกพี่ก็เป็นเพื่อนกัน แต่ผมนี่สิไม่ได้เป็นอะไรเลย เพราะฉะนั้นเทียบกันแล้วพี่ยูน่าจะมีโอกาสรอดมากกว่าผมอีก ขอให้โชคดีนะครับพี่ยู สาธุ!
ผมเดินออกมาจากลิฟต์อย่างช้าๆ เหลียวหันไปมองข้างหลังไม่เห็นอะไรหรอกครับแต่อยากจะหันไปมอง เฮ้อ ผมเดินเอื่อยๆ ออกจากโรงพยาบาล หันมองซ้ายหันมองข้างขวาแล้วไปเจอะเข้ากับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีคุณแม่อายุค่อนข้างมากอุ้มลูกน้อยไว้แขนข้างหนึ่ง อีกข้างก็จับมือลูกอีกคน ด้านหลังมีคุณยายค่อนข้างชรามากแล้วถือตะกร้าเดินตามมา ดูแล้วคงจะเป็นคนงานมาทำงานที่โรงพยาบาลล่ะมั้ง
ผมเดินเข้าไปหาคุณยายคนนั้นแล้วขอถือของช่วย ท่านมองผมด้วยดวงตาที่ฝาดฟางอย่างคนชราทั่วไป ผมยิ้มกว้างเพื่อให้อีกฝ่ายไว้ใจ สมัยนี้นี่มันแย่จังเลยนะครับ ขนาดคนมาช่วยเหลือก็ต้องระแวงไว้ก่อนว่ามาดีจริงหรือเปล่า เจ้าพวกคนไม่ดีนี่ทำให้คนดีๆ ที่อยากทำดีต้องเดือดร้อนไปด้วย เฮ้อ หนำซ้ำยังทำให้คนที่คิดจะทำดีอีกหลายคนไม่อยากทำเพราะแบบนี้นี่แหละ ผมช่วยพยุงคุณยายข้ามฝั่งพร้อมกับโบกรถให้หยุดเพื่อให้เด็กๆ ข้ามฝั่งอย่างปลอดภัย
“นี่ครับคุณยาย”
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม”
“ไม่เป็นไรครับ”
“อ๊ะ”
“เดี๋ยวพี่ไปเอาให้นะ”
ลูกของคุณน้าคนนั้นโยนลูกบอลเล่นแล้วทำมันหล่นกลิ้งไปอีกกลางถนน กำลังจะวิ่งกลับไปเพื่อเก็บลูกบอลนั้น แต่ผมร้องห้ามก่อนแล้วอาสาเดินไปเก็บมาให้ ผมส่งลูกบอลให้กับเด็กคนนั้นพร้อมกับลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู เฮ้อ เด็กๆ นี่น่ารักจริงๆ ผมโบกมือลาพวกเขาแล้วเดินข้ามถนนเพื่อไปรอที่รถ
ถ้าเกิดพี่เฮดีสมาที่รถแล้วไม่เห็นผมรอที่รถดีๆ ล่ะก็ โอ ไม่อยากจะคิดภาพหรอกนะ ไม่แน่ ห้องข้างๆ พี่ยูอาจจะเป็นของผมก็ได้! ระหว่างที่กำลังเดินข้ามถนนผมหันไปเห็นรถขนของคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้ แต่ผมก็ไม่ใส่ใจเพราะยังไงคนขับรถก็น่าจะเห็นว่ามีคนกำลังข้ามถนนอยู่ คงจะชะลอความเร็วให้ผมข้ามไปได้นั่นแหละ
“ระวัง---!!!”
“ว้ายยยยย---!!!”
อะไร!?
ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงตะโกน ผมหันไปมองแต่ก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นรถคนนั้นแทนที่จะชะลอความเร็วกลับเร่งความเร็วพุ่งเข้ามา เสี้ยววินาทีที่ผมกลั้นหายใจเบิกตากว้างสมองว่างเปล่า เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมๆ ภาพตรงหน้าที่มืดสนิท ผมหลับตาปี๋ยกมือป้องกันตัวเอง
เอี๊ยดด---ด!!! โครมม---ม!!!
เสียงโครมดังลั่นเหมือนมีการระเบิดเกิดขึ้น แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย หรือว่าผมช็อกมากจนไม่รู้สึกเจ็บ หรือว่าผมตายทันทีเลยไม่เจ็บไม่ปวด? ผมลืมตาขึ้นกะพริบตาปริบๆ มองภาพรอบตัว เห็นผู้คนอ้าปากกว้างแทบจะยัดไข่เป็ดเข้าไปได้ทั้งฟอง แต่ละคนช็อกเหมือนกำลังเห็นเณรน้อยอิกคิวซังขี่ช็อปเปอร์แล่นผ่านไป
เดี๋ยวๆ ! เมื่อกี้นี้รถพุ่งมาชนผมไม่ใช่เหรอ!? แต่ทำไมผมถึงยังยืนไม่เจ็บไม่ปวดตรงนี้ได้ล่ะ มีคนวิ่งโร่เข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นมีคุณยายคนที่ผมเพิ่งช่วยถือของ แต่ละคนพูดอะไรไม่รู้เรื่องจับมือผมเขย่าเสียยกใหญ่ และแล้วผมก็ได้เห็นสภาพรถคันที่พุ่งเข้ามาชนคันนั้นชนเข้ากับเสาไฟฟ้าข้างถนนใกล้ๆ นี่เอง วินาทีสุดท้ายที่รถพุ่งเข้ามาหาผม มันกลับหักเลี้ยวออกไปชนเสาแทน!?
นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ!!!
“คนดีผีคุ้มลูกเอ๊ย!”
“โชคดีจริงๆ!”
คนเห็นเหตุการณ์ต่างพูดกันอย่างเหลือเชื่อที่ผมไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย เหมือนมีอะไรบางอย่างคุ้มครองผม ปัดเอารถคันนั้นออกไปชนเสาข้างถนนแทน เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากๆ เสียงผู้คนที่เข้ามารุมผมนั้นเกือบจะทำให้ผมเป็นลม ไม่รู้ว่าใครพูดอะไรบ้างมันดังสอดแทรกกันมั่วไปหมด ฟังแล้วปวดหัวเสียจริงๆ และแล้วคณะแพทย์ก็แห่กันเข้ามา นำคนขับรถออกมาจากรถวางบนเตียงผลักเข้าไปห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน ผมมองภาพตรงหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ ผมควรจะเป็นคนที่นอนบนเตียงนั้น นี่มันโชคดีสุดๆ เป็นไปได้ยังไงเนี่ย!?
ผมถูกคุณหมอคนที่ไปตรวจพี่ยูเข้ามาสอบถามอาการแต่ผมไม่เป็นไร ผมปกติสุดๆ แม้จะรู้สึกช็อกหน่อยๆ แข้งขาอ่อนแรงนิดๆ แต่ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรเลย ผมยืนยันกับคุณหมออย่างหนักแน่น ปฏิเสธไม่ขอตรวจเช็กอะไรใดๆ ทั้งสิ้น คุณหมอพยักหน้าเข้าใจแล้วเดินไปสมทบคณะแพทย์ที่เดินไปล่วงหน้า
ไม่นานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กลับมาเป็นปกติ เหล่าไทยมุงทั้งหลายทยอยออกไปจากผม เฮ้อ แต่ที่น่าหนักใจนั้นก็คือผู้เห็นเหตุการณ์เล่าขยายความโดยไม่จำเป็นให้แก่ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งสนใจฟัง แล้วหันมาทำตาโตมองผมอย่างกับพระเอกหนัง ผมยืนยึกๆ ยักๆ อยู่ไม่เป็นสุข สายตาที่มองมานั้นมันทำให้ผมอึดอัดใจ จนกระทั่งเห็นพี่เฮดีสเดินตรงเข้ามา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกดีใจที่ได้เห็นพี่เฮดีส มันเป็นอะไรที่ยอดมากครับ
พอพี่เฮดีสปรากฏตัว เสียงที่ดังหึ่งเหมือนเสียงฝูงผึ้งก็พลันเงียบกริบทันควัน พี่เฮดีสหยุดพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผมเดินตาม ผมอยากออกไปจากที่นี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็รีบเขย่งเท้าเดินตามหลังเขาไปทันที แต่เดินไปไม่ทันไรเขาก็หยุดทำให้ผมหยุดตามแล้วมองคนข้างหน้าที่หยุดยืนนิ่งอย่างแปลกใจ
“วันนี้มันวันอะไรกันวะ คนไข้ห้องฉุกเฉินพร้อมใจกันตายตั้งห้าคน แถมยังรถชนเด็กที่หน้าตึกอีก ซวยฉิบหายเลยว่ะ”
“นั่นสิ ขนาดคนไข้ห้องฉุกเฉินสองที่อาการดีจนเกือบจะย้ายออกไปอยู่ห้องปกติได้ก็อาการทรุดหนักกะทันหัน ตอนนี้พวกแพทย์วุ่นวายพยายามช่วยชีวิตกันอยู่ แล้วไหนจะคนถูกรถชนนั่นอีกล่ะ”
เอ่อ... เด็กถูกรถชนนั่นหมายถึงผมหรือเปล่านะ? แต่ผมก็ไม่เด็กขนาดนั้นหรอก แล้วคนเจ็บน่ะไม่ใช่คนถูกชนนะครับแต่เป็นคนขับรถมาชนต่างหากล่ะ! ผมมองเหล่าบุรุษพยาบาลที่ช่วยกันเข็นเตียงเปล่าๆ ผ่านหน้าไป พวกเขาบ่นกันไม่จริงจังมากนัก อึ้ย นั่นคงไม่ใช่เตียงที่เพิ่งไปส่งคนไข้ที่เสียชีวิตใช่ไหม? จู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เกือบไปแล้ว! เกือบเป็นผมแล้วที่ต้องนอนเตียงนั้น โชคช่วยแท้ๆ หรือว่านี่คือผลบุญที่ผมพยายามทำมาโดยตลอดกันนะ?
พอพูดถึงห้องฉุกเฉินก็คิดถึงพี่ยูขึ้นมาได้ ผมเพ่งสายตาไปที่หลังของคนข้างหน้าด้วยอาการอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม พวกเราเดินมาถึงรถ พี่เฮดีสปลดล็อกรถ พี่ยูถูกจัดการเรียบร้อยแล้วแหงๆ!? ผมเปิดประตูรถเข้าไปนั่งนิ่ง ชำเหลืองมองคนขับนิดหน่อยก่อนจะรีบหลบสายตาแทบไม่ทันเพราะอีกฝ่ายจ้องเขม็งอยู่ก่อนแล้ว ผะ... ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า? ทำไมพี่เฮดีสถึงได้จ้องผมเขม็งแบบนั้น? จากนิ่งๆ ตอนนี้ก็เริ่มกระวนกระวายใจ พี่เฮดีสถามเสียงห้วน
“มีอะไร?”
“เอ่อ... พรุ่งนี้พี่จะมาเยี่ยมพี่ยูอีกไหมครับ? คือ... ผม...”
“ที่เฮงซวยแบบนี้ มาแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว” เสียงลอดไรฟันฟังดูเหี้ยมเอ่ยตัดบทดังฉับ ผมกะพริบตาปริบๆ แล้วค่อยๆ ก้มหน้าลงอย่างหงอๆ เมื่อปะทะกับสายตาน่ากลัวที่เย็นยะเยือกชวนขนลุก พวกเราไม่พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งมาถึงบ้านของผม พี่เฮดีสไม่พูดอะไรนั่งเงียบ ผมเลยทำตัวไม่ถูก ตัดปัญหาด้วยการเปิดประตูก้าวออกไปจากรถ
“โชคดี”
“ครับ?”
ระหว่างที่ผมกำลังจะปิดประตูรถเหมือนได้ยินเสียงของพี่เฮดีสพูด ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยถามอะไร รถก็บึ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่มองตามตาปริบๆ จนไม่เห็นแม้แต่เงาของรถ
เมื่อกี้พี่เขาพูดว่าโชคดีหรือเปล่านะ? มันหมายความว่าอะไรกันวะ? คำพูดทิ้งท้ายของเขาทำให้ผมงุนงงสับสน ไม่ใช่ฝันดีแต่เป็นโชคดี อย่างกับเป็นคำบอกลาอย่างนั้นแหละ หรือว่าจะหมายถึงผมเป็นอิสระแล้วหรือเปล่า?
อ่า... ถ้าอย่างนั้นผมก็เป็นอิสระแล้วน่ะสิ!!!