พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]  (อ่าน 54574 ครั้ง)

ออฟไลน์ aom2529

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 885
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
 :m20: น่าร๊ากกก..เบ๊..บี๋... :jul3:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ช่างคิดได้นะ 5555

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
น่ารักจัง เบ๊ บี๊ อร๊าย 555แต่ ขำอัธหิ้วสาวแต่ไปเคาะห้องเจ555 รงจะเมาจัด คู่นี้อัธเจ สักเรื่องเถอะ คงฟินสุดๆมันๆสุดๆเลย

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

10




       “บี๋เลิกเที่ยงใช่ไหม เดี๋ยวเบ๊จะมารับนะ” โคตรไม่ชินที่ถูกเรียกแบบนี้ แต่ก็นะ สักครั้งในชีวิต ไอ้ม่านจะลองดู ผมสูดเอาอากาศเข้าปอดก่อนจะพยักหน้ารับ “บี๋น่ารักอะ แล้วเจอกันนะครับ” ไอ้เด็กที่แทนตัวเองว่าเบ๊โบกมือลาหยอยๆ ก่อนขับรถไป

   หวังว่าเรื่องคงไม่ยุ่งยากมากไปกว่านี้...

   “แหม หวานจริง” เหยด เสียงแหลมแหวกความเงียบมาจนตกใจแทบกระโดดหนี มัวแต่มองไฟท้ายรถจนลืมสังเกตผู้คนรอบข้าง ไม่รู้เลยว่าเพื่อนผมมายืนอยู่ข้างๆ นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมครบทีมซะด้วย

   ยิ่งกว่าหูฟังที่พันกันอีก (ยุ่งยากนั่นเอง)

   “มีเรียกบี๋ เรียกเบ๊ กูขนลุกสัด” ไอ้มีนทำหน้าสยอง มือก็ลูบแขนตัวเองไปมา

   “เพื่อนกูมีความเลี่ยน” นี่ไอ้เกมส์ครับ มันทำหน้าเหมือนรับไม่ได้

   “บราโว่” ปิดท้ายด้วยไอ้เจยืนปรบมือแต่หน้ามันโคตรนิ่ง

   ...จบแล้วครับ ชีวิตไอ้ม่าน โดนสี่ยอดกุมารเค้นจนไส้แห้งแน่

   ผมถูกกดดันด้วยสายตาสี่คู่มาที่โต๊ะประจำ แทบจะอ้าปากพูดไม่ได้ แค่อ้าปุ๊บก็ถูกสวนกลับทั้งที่ผมยังไม่ได้ส่งเสียงสักแอ๊ะ
 
   “พวกมึงจะฆ่ากูทางสายตาเลยไหมวะ” พูดหลังจากถูกดันให้นั่ง แต่พวกมันยังยืนล้อมไม่มีท่าทีจะนั่งตาม

   “เล่ามาๆ อะไรยังไง” ไอ้มีนเค้นคนแรก ผมเงยหน้าสบตาแต่ถูกดีดหน้าผากอย่างแรง “ไม่ต้องด่ากูด้วยสายตา เล่ามา!”

   เชี่ย ผีพี่ว๊ากเข้าสิงพวกมันหรือไงเนี่ย

   “มัน...ไม่มีอะไร” ตอบผมอ้อมแอ้ม

   “ไม่มีอะไรบ้านมึงสิ กูได้ยินเต็มสองหูตอนมันเรียกมึงว่าบี๋” อีแน่วตบหัวผมซะผมเสียทรง

   “ก็กูไม่รู้ มันเรียกของมันเอง” บอกความจริง แต่ไม่มีใครเชื่อว่ะ “จริงๆ ว่าแต่ พวกมึงได้ยินตั้งแต่ตรงไหนล่ะ” เพราะไม่รู้พวกมันได้ยินอะไรไปบ้าง

   “เมื่อกี้นี้ ไอ้เด็กนั่นมันจงใจเรียกให้พวกกูได้ยิน” หันขวับไปมองไอ้เจจนคอแทบเคล็ด
 
   “ยังไงวะ” ทำตาปริบๆ มองเพื่อนสลับกันไปมา

   “ไอ้มู่โง่ ก็มันเห็นพวกกูเดินเข้าไปหา ก็เลยจงใจพูดเสียงดังไง” มิน่า ตอนเรียกชื่อนั่น ไอ้เม่นเรียกซะดัง “สรุปได้กับมันแล้ว?”

   “เชี่ย ยังเว้ย” ปฏิเสธเสียงแข็ง “จริงๆ” ย้ำไปอีกเมื่อเพื่อนทำหน้าไม่เชื่อ

   “ยังไม่ได้แต่เรียกซะเลี่ยน กูไม่เชื่อ” แล้วพวกมันก็พากันพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของไอ้เกมส์

   “ถึงกูจะใจง่าย แต่กูก็รักตัวกูไหมละ แม่ง” ทำหน้างอเป็นปลาทูเมื่อนึกถึงการสัมผัสจับจูบลูบคลำจากเพศเดียวกัน ที่นึกถึงนั่นเพราะไอ้ทูชอบดูซีรี่ย์ต่างประเทศแล้วส่งผ่านไลน์มาแบ่งผม ตอนแรกๆ ก็ดูผ่านๆ เพราะเป็นซีรี่ย์ ดูไปก็เพลินสนุกดี

   “ดี ใจง่ายอย่างเดียวก็พอ อย่าเพิ่งเอาตูดให้มันไว เดี๋ยวได้แล้วแม่งก็ทิ้ง” เผลอขำคำคมแปลกๆ ของไอ้มีน “แต่กูข้องใจ”
   “ข้องใจอะไรวะ” อีแน่วถามแทนทุกคน นี่ผมเป็นตัวประกอบของพวกมันหรือเปล่าวะ 

   “ชื่อที่มันเรียกมึงกูก็พอจะเข้าใจ ไอ้บี๋ เบบี๋อะไรแบบนี้ แต่เบ๊นี่สิ มันมาจากคำไหนวะ เบเบ๊ก็ไม่ใช่ เบ้เบ๊ก็แปลกๆ” สายตาที่จ้องไอ้มีนเมื่อกี้ เบนมาทางผมหมด “บอกกูมา”

   “ไม่รู้” ปฏิเสธเสียงแข็งอีกรอบ ใครจะไปกล้าพูดวะ แค่นึกถึงตอนไอ้เม่นบอกผมก็ขนลุกแล้ว

   “มึงมีความลับกับพวกกูเหรอ พวกกูเพื่อนมึงนะ หรือมีผัวแล้วลืมเพื่อน นิสัยไม่ดีนี่หว่า ไอ้เหี้ยมู่” โดนไอ้เจร่ายยาว เอาซะผมสะเทือน “ใช่สิ พวกกูไม่สำคัญนี่...”

   “เออๆ” ทนความดราม่าไม่ไหว ก็ต้องบอกไป “อย่าอ้วกนะเว้ย” สูดเอาอากาศเข้าปอดก่อนจะพูดออกมา “ไอ้เม่นมันบอกกูว่า มันเป็นทาสรักของกู เลยเรียกแทนตัวเองว่าเบ๊ ที่แปลว่าทาส” กลั้นใจบอกสุดๆ
 
   พูดจบปุ๊บ ความเงียบก็เข้าปกคลุมรอบตัว ผมเงยหน้ามองบรรดาเพื่อนสนิทที่ยืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหว หรือพวกมันจะอึ้งกับความคิดเพี้ยนๆ นี่วะ ก็แน่ล่ะ ขนาดผมยังอึ้งตอนได้ยิน ไม่รู้มันเอาสมองที่ไหนมาคิด 

   “ปรบมือ” อยู่ๆ ไอ้เกมส์ก็สั่งทำเอาผมที่อยู่ในความคิดของตัวเองสะดุ้งเฮือก สิ้นคำสั่ง พวกที่ยืนนิ่งก็ปรบมือเสียงดัง เรียกสายตาคนนอกให้มองมาอย่างสงสัย “ฉลาดมาก ช่างคิดสุดๆ”

   “มึงชมกูเหรอ”

   “ไอ้เม่นเว้ย”

   กะจะหยอดเข้าตัวเองสักหน่อย โดนตะคอกใส่หน้าพร้อมกันซะได้ เจ็บปวด

   “พวกมึงไม่ขนลุกเหรอวะ กูได้ยินแม่งขนลุกสัด” ผมลูบแขนตัวเองไปมายามนึกย้อนไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

   “นิดๆ แต่มันคงจริงจังกับมึง” ไอ้เจว่า ก่อนมันจะจ้องด้วยสายตาจริงจัง “ว่าแต่มึงเถอะ จริงจังกับมันแค่ไหน” อยู่ๆ ก็ถูกถาม เอาซะผมพูดไม่ออก

   “ไอ้เจพูดก็ถูก ถ้ามึงไม่จริงจังที่จะคบ ก็ไม่ควรไปให้ความหวัง ตกลงคบ กูสงสาร” อีแน่วเสริมขึ้นมา

   “สงสารกูเหรอ” ลองแหย่อีกรอบ คราวนี้เลยถูกตบหัวเน้นๆ เต็มฝ่ามือ

   “สงสารไอ้เด็กเม่นนั่นสิ กูจะสงสารมึงทำเหี้ยอะไร มึงคิดดู ถ้ามึงคบกับคนที่ชอบแล้วมารู้ว่า ไอ้บ้านั่นไม่ได้ชอบหรือจริงจังด้วย มึงจะเสียใจไหม ใช้สมองอันน้อยนิดของมึงคิดให้ดี” 

   “ตอนนี้มึงผิด”

   “มึงควรซื่อกับความรู้สึก ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็เลิก”

   พวกพี่ว๊ากกำลังกดดันผมครับ

   “กู...”

   “ถ้าตามที่มึงบอก ไอ้เด็กนั่นมันซื่อตรงกับความรู้สึกแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่มึง คิดอะไรก็พูด ปากมีไว้พูด ไม่ได้มีไว้ให้ลากไก่ไปแดกในน้ำอย่างเดียว”


   ด่าผมว่าเหี้ยยังไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่านี้


   “เออๆ กูจะทำตามที่พวกมึงบอก” ผมต้องทำตามความรู้สึกของตัวเองสินะ “จ้องกูทำไม กูหล่อ กูรู้ตัว” แกล้งพูดติดตลกเผื่อพวกมันจะขำ แต่เปล่าเลย พวกมันยังจ้องหน้าผมอย่างไม่ลดละ

   “มันแป้ก มุกนี้ไม่ผ่าน” ความมั่นใจตกวูบเลยไอ้ม่าน “เร็วๆ พวกกูรอฟังมึงเนี่ย ว่ามึงจะเอายังไง จะเลิกหรือไปต่อ”

   “จะให้กูตอบตอนนี้เนี่ยนะ” 

   “เออ” มาพร้อมกันสี่เสียง เอาซะสะดุ้ง

   “ไอ้เม่นมันก็...เป็นคน เอ่อ คนพอใช้ได้” พยายามเรียบเรียงทำความเข้าใจความคิดของตัวเอง “คบกับมันก็คง...ไม่เลวมั้ง”
 
   “ไม่เอามั้ง” ไอ้เจตบโต๊ะจนน้ำในแก้วกระฉอกออกมา ไอ้เหี้ยนี่ชอบใช้ความรุนแรง “พูดให้มันหนักแน่นทำได้ไหม”

   “เออๆ คบกับมันก็ดี แม้จะปวดหัวแต่ก็มีความสุขดี” ผมตอบเสียงดังฟังชัดตามที่พวกมันต้องการ

   “ดี มึงคือเพื่อนกู พวกกูยังไงก็ได้” พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้เพื่อนรักทั้งสี่ ผมรู้ว่าพวกมันรักและหวังดี ไม่อยากให้ผมค้างคาไม่ว่าเรื่องอะไร “แต่พามาให้กูเต๊าะเล่นก็ดีนะ กูชอบ”

   “สรุปมึงจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชายวะ เอาให้แน่” ไอ้มีนส่ายหน้ารัวๆ

   “ได้หมดถ้าสดชื่น” ได้สดชื่นกับฝ่ามือจริงๆ คนโดนถึงกับโวยวาย

   เพื่อนดี มีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ ผมโคตรรักพวกสี่ยอดกุมารเลย พวกมันคนละสไตล์กับพวกไอ้กลอย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเรารักกัน เป็นเพื่อนยามท้อ เป็นพ่อยามหวั่นไหว ถุย ไม่ใช่ละ พวกมันเป็นเพื่อนที่ผมรัก ทั้งหมดทุกคนเลย





   การเรียนที่แสนง่วงนอนได้ผ่านไปแล้ว ผมอ้าปากหาววอดๆ หลังจากอาจารย์ออกห้องไปแล้ว โคตรง่วงให้ตายเถอะ เนื้อหาก็เดิมๆ เพิ่มเติมคืออาจารย์บ่นพนักงานร้านอาหารให้ฟังเกือบครึ่งชั่วโมง แค่ไม่อยากให้ถูกเรียกว่ามนุษย์ป้า เลยต้องอดทนด้วยความใจเย็น ตรรกะแปลกดี ทนไม่ไหวก็ลุกออกมาก็จบ ถ้าเป็นผมนะ

   “กินข้าวแล้วห้องเดิมนะเว้ย ประชุมเรื่องปิดห้องเชียร์พรุ่งนี้ ห้ามขาด ห้ามสาย” ไอ้หัวหน้ารุ่นมันตะโกน ผมลืมเรื่องนี้ไปเลยว่ามีประชุมตอนบ่าย รับปากไอ้เม่นไปแล้วว่าจะให้มันมารับ ทำไงดีวะ

   ผมรีบกดโทรศัพท์ไปหาคนที่เพิ่งตัดสินใจคบแบบงง (ในตอนแรก) รอสายไม่นาน เสียงร่าเริงก็ตอบกลับ ได้ยินเสียงเพลงคลอเบาๆ ต้องขับรถอยู่แน่นอน

   “ขับรถเหรอวะ” ผมกรอกเสียงถามไป

   (ครับ ใกล้จะถึงแล้ว เบ๊กำลังเลี้ยวเข้าหน้ามหาลัยบี๋เลย) เอาไงดีวะ ให้มันกลับไปก่อนจะดีไหม เพราะไม่รู้ว่าประชุมนั่นจะนานหรือเปล่า (บี๋มีอะไรหรือเปล่า)

   “กูลืมว่าต้องประชุมต่อ” รู้สึกผิดนิดๆ ปลายสายเงียบไป คงเพราะรถมันเลี้ยวมาหน้าคณะผมแล้วนี่ละมั้ง

   (ไม่ทันแล้ว เบ๊เห็นบี๋แล้ว)

   “เออ เห็นเหมือนกัน” ผมชี้ไปที่รถไอ้เม่น เพื่อให้พวกเพื่อนไปกินข้าวก่อน ผมเก็บมือถือแล้วเดินแยกไปหา “ทำไมเลิกเรียนไววะ” ถามออกไปหลังจากไอ้เม่นลดกระจกลง

   “ก็มันไม่มีอะไร เลยออกมา กลัวบี๋รอด้วย เป็นแฟนที่ดีป่ะ” ชูมือจะตบขู่ไปงั้น ไอ้เม่นขำที่เห็นผมถลึงตาใส่ “จะประชุมที่ไหน นานหรือเปล่า”

   “เรื่องปิดห้องเชียร์ ไม่รู้นานหรือเปล่า” ผมบอก ไอ้เม่นขมวดคิ้วทำหน้าคิดก่อนจะดับเครื่องแล้วเปิดประตูออกมา “จะไปไหน”

   “ก็ไปนั่งรอไง ไม่อยากกลับแล้วมาอีก เปลืองน้ำมัน” ก็จริงของมันนะครับ ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินนำมันไปที่โรงอาหารที่ตอนนี้พวกไอ้เจคงไปจองที่กันแล้ว “บี๋”

   “อะไร” บางทีผมก็รู้สึกแปลกๆ ที่ถูกเรียกแบบนั้น แถมยังเรียกเสียงดังจนคนที่เดินสวนทางเหลียวมอง

   “บี๋ไม่เคยเรียกเบ๊เลยอ่า ไม่ชอบเหรอ” น้ำเสียงคล้ายกับน้อยใจ ผมถึงกับต้องหยุดเดิน ไอ้คนที่เดินตามไม่ทันระวังชนเข้าเต็มๆ หน้าเกือบคว่ำ “บี๋หยุดไม่บอกวะ”

   “มึงไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอวะ ที่ต้องเรียกผู้ชายด้วยกันเองแบบนั้น” ถ้าเป็นผู้หญิงผมจะไม่ว่าเลยนะครับเนี่ย

   “แปลกสิ แต่เพราะคนที่ผมเรียกเป็นแฟนผมนี่นา” ไอ้เม่นพูดพร้อมฉีกยิ้ม เหมือนถูกความขาวของฟันมันแอคแทคต้องหรี่ตามอง “หิวแล้ว ไปหาเพื่อนบี๋กันเถอะ” พูดจบก็ยกแขนขึ้นมาพาดบ่าของผม ไอ้นี่เสี่ยวไม่พอ ยังแอบเนียนอีกด้วย ต้องมอบโล่ให้ซะแล้วแบบนี้

   และแทบไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้เม่นจะเข้าขากับเพื่อนผมได้ดีขนาดนี้ มีการชวนไปกินเหล้าที่หอด้วย วันแรกที่เจอกับวันนี้มันช่างต่างกันซะจริง คราวนั้นไอ้เม่นเกือบโดนกินหัว นี่สินะที่ไอ้มีนว่า สุราชนะทุกอย่าง

   กินข้าวอิ่มพวกผมก็ทยอยขึ้นห้องที่ใช้ประชุม ส่วนไอ้เม่นรออยู่ด้านนอกกับพี่เฟรนด์ เดี๋ยวนะ พี่รหัสผมมันโดดประชุมเพราะอยากสืบประวัติแฟนผมหรือนี่...แฟน? เชี่ย นี่ผมเรียกมันว่าแฟนเต็มปากขนาดนี้เลยเหรอ

   การประชุมแสนเครียดแต่ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่ เพราะตาต้องคอยเหล่มองคนเฝ้า ไม่รู้ป่านนี้หลับไปหรือยัง หรือว่าถูกพี่เฟรนด์รัดคอตายไปแล้ว

   “สนใจเพื่อนมึงหน่อย” ถูกอีแน่วตบหัวเน้นๆ “เด็กมึงถ้าทนไม่ได้ก็เลิก”

   “เออ”

   แม้จะรับคำแบบนั้น แต่ก็อดที่จะเหล่มองเป็นระยะไม่ได้ จากหนึ่งชั่วโมง เพิ่มไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เกือบเย็น รุ่นพี่ปีสี่ปิดการประชุมแสนเคร่งเครียดปุ๊บ ผมคนแรกที่พุ่งออกประตู ที่นั่งด้านหน้าไม่มีร่างของไอ้เม่นอยู่ หายไปไหนวะ หรือกลับไปแล้ว แต่ถ้ากลับก็ต้องโทรบอกผมก่อนสิ

   “หาเด็กมึงเหรอ” เสียงไอ้เกมส์ดังจากด้านหลัง มันอ้าปากห้าววอดๆ ทำหน้าง่วง

   “กลับไปแล้วมั้ง” ผมตอบเพื่อนเบาๆ

   “นู้นไง” ผมกับไอ้เกมส์หันหน้าไปทางที่ไอ้มีนชี้ “สนิทกันอย่างน่าใจหาย”

   เป็นอย่างที่ไอ้มีนว่าจริงๆ ไอ้เม่นดูสนิทกับพี่เฟรนด์มากกว่าผมซะอีก ถึงขนาดกอดคอกันกินขนม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่ พอทั้งคู่เดินมาถึงที่พวกผมยืนอยู่ พี่เฟรนด์เดินผ่านไปหาพี่อิน แต่ไม่วายเอาซองขนมตีหัวผมพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก อะไรของพี่เขา

   “เสร็จแล้วเหรอ” ไอ้เม่นยิ้มแป้น มือก็ยื่นขนมให้ผม แต่ถูกไอ้มีนดึงไปกินเอง

   “อืม หิว” ผมบอก แต่ตากำลังส่งเลเซอร์ฆ่าเพื่อนตัวเองที่แย่งขนมไป 

   “งั้นเดี๋ยวแวะไปกินร้านที่บี๋อยากกิน” พูดจบปุ๊บ เสียงโก่งคออ้วกก็ตามมาหลายเสียง ผมทำหน้าแทบไม่ถูก มันทั้งอายทั้งเขิน

   “เออ” กระแอมเบาๆ ก่อนตอบรับ ทำไมตรงนี้มันร้อนๆ วะ

   “แหม เรียกกันซะน้ำตาลจืดเลยนะพวกมึง” ไอ้มีนหยอก ปากยังเคี้ยวขนมของผม (ที่ไอ้เม่นซื้อ) อยู่เลย ผมรีบดันไอ้เม่นให้รีบเดินแต่คนที่ผมดันกลับถูกดึงเอาไว้ “เดี๋ยวๆ”

   “พวกกูยังไม่ได้สัมภาษณ์เลย อย่าเพิ่งไป” ไอ้เจที่เมื่อตอนประชุมยังทำหน้าเครียด ตอนนี้แม่งเหยียดยิ้มโคตรสยอง “มานี่” แล้วมันก็ล็อคคอไอ้เม่นเข้าไปในห้องตามเดิม

   ผมรีบเดินตามเข้าไป คนออกไปหมดแล้วทำให้เหลือแค่พวกผมที่เดินย้อนเข้าไป ไอ้เม่นถูกดันให้นั่งที่เก้าอี้โดยมีพวกไอ้เจยืนกอดอกล้อมเอาไว้

   “พวกพี่มีอะไรกับผมเหรอครับ” ถามแบบไม่เกรงกลัวการจ้องกดดันเลยสักนิด หรือมันอาจเจอจนชิน

   “กูรู้ว่ามึงจริงจังกับเพื่อนกูแล้ว” ไอ้เจว่า ผมก็อดที่จะตั้งใจฟังด้วยไม่ได้ “แต่มึงคงอยากฟังว่าเพื่อนกูคิดยังไงกับมึง...ใช่ไหม”

   “อ่าว” ผมถึงกับอ้าปากค้าง อยู่ดีๆ ผมก็ตกเป็นจำเลยแทนซะงั้น ไอ้เม่นทำตาวาวพยักหน้ารัวๆ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึง

   “มึงจะปล่อยให้ค้างคาเหรอวะ กูกำลังช่วยมึงอยู่นะเพื่อนมู่” กัดฟันแจกสัตว์เลื้อยคลานเพื่อนรักไป ผมจ้องหน้าไอ้เม่นไม่กล้าพูดอะไร ลำพังแค่อยู่กับมันสองคนยังไม่กล้า นี่เพิ่มเพื่อนมาอีกตั้งสี่แบบนั้นยิ่งไม่กล้าใหญ่ จะออกห้องก็ไม่ได้เพราะถูกล็อคทุกด้าน ไม่น่าเกิดมาสายเสือกแล้วสอดเข้ามาเลย

   “ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ไอ้เม่นรีบออกปากช่วยเหมือนวีระบุรุษ คงเห็นผมอึดอัดที่จะต้องพูด

   “ไม่อยากให้พวกกูได้ยินล่ะสิ” ไอ้เกมส์ว่า “เออๆ ก็เรื่องของพวกมึง กูก็ไม่ได้อยากรู้มาก”

   “แต่กูอยากรู้” ผลของการอยากรู้ของไอ้มีนทำให้ถูกฝ่ามือหวดเข้าหัวไปหลายรอบ

   ผมรู้ครับว่าต้องแสดงจุดยืนให้ไอ้เม่นได้เห็น ไม่ใช่เอาเปรียบมัน แต่บางทีผมก็ต้องการเวลาทำใจที่จะบอก ผมไม่ใช่คนเปิดเผยความรู้สึกแบบไอ้กลอยหรือไอ้ทู สองคนนั้นมันรู้สึกยังไงก็จะพูด จะทำแบบนั้นออกมาตรงๆ แม้ผมจะดูเป็นคนกวนๆ หน้าด้าน แต่จริงๆ แล้วก็ขี้อายเหมือนกันนะครับ...

   พวกไอ้เจแยกไปเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้ ส่วนผมเดินตามหลังเด็กปีหนึ่งต่างสถาบันมาที่รถ

   “รอได้จริงๆ เหรอ” ผมเอ่ยถามหลังจากขึ้นไปนั่งบนรถ ส่วนคนที่ผมถามยังยืนจับประตูรถเพื่อจะปิดให้ ไอ้เม่นยิ้มตาหยีอย่างทุกทีแล้วพยักหน้า “แล้วถ้า...”

   “ถ้า?”

   “ไม่มีอะไร” แม่ง ทำไมพูดไม่ออกวะ มันติดอยู่ที่ปากแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา ผมมองตามร่างสมส่วนเดินอ้อมมาอีกฝั่ง ไอ้เม่นหันมายิ้มให้ผมทีหนึ่งก่อนออกรถ ไอ้นี่ช่างต่างจากที่เห็นครั้งแรกมาก หรือว่านี่จะเป็นแฝดเหมือนในละครที่สลับตัวมาวะ หลอนนะเฮ้ย



   การจราจรติดอย่างทุกวัน เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงบ้านทุกครั้ง บ้านผมอยู่เชียงใหม่ซึ่งห่างจากตัวเมืองพอสมควร การจราจรแถวนั้นไม่มีติดขัดมากนัก แต่ความเจริญก็ยังมีนะครับ อย่างไฟฟ้า น้ำประปาหรือสัญญาณอินเตอร์เน็ต ก็แหม ไม่ได้อยู่ในป่าสักหน่อย

   “บี๋อยากกินอะไร...”

   “กูคิดว่า กูอยากคบกับมึงแบบจริงจัง” หลับตากลั้นใจพูดรัวๆ พอหรี่ตาขึ้นดู ไอ้เม่นก็ยังนั่งเฉย ตามันมองถนนเหมือนไม่ได้ยินที่ผมบอกเมื่อกี้จนต้องถามย้ำ “ได้ยินที่พูดป่ะ”

   “ได้ยินครับ” ตอบพร้อมรอยยิ้ม

   “แล้วไม่ตกใจเหรอวะ” โคตรแปลกใจ ไอ้เม่นส่ายหน้าก่อนจะละสายตามามองเมื่อจอดติดไฟแดง “หรือมึงไม่เชื่อ”

   “เชื่อสิ แต่เบ๊เคยได้ยินมาแล้ว ดีใจไปแล้วรอบหนึ่ง”

   “ได้ยินแล้ว? ตอนไหนวะ”
 
   เอ๋อเลยสิไอ้ม่าน นี่ผมไปเผลอพูดแบบนั้นกับมันตอนไหน หรือตอนเมาแล้วเผลอ หรือนอนละเมอวะ

   “เมื่อเช้า” เสียงพูดดังผ่านความคิดเข้ามา พอหันไปมอง เจอหน้าคนที่ฉีกยิ้มกว้าง...เมื่อเช้าเหรอวะ

   “เชี่ย อย่าบอกว่าได้ยินตอนที่พูดกับพวกไอ้เจ” ไอ้เม่นพยักหน้ารับช้าๆ “ไอ้เพื่อนชั่ว” ตะโกนลั่นรถ เมื่อเช้าเห็นไอ้เกมส์ถือมือถือ คิดว่ามันเล่นเกมส์เลยไม่สนใจที่ไหนได้ แม่งทรยศกันเฉย

   “เบ๊ดีใจนะ ที่บี๋บอกกับเบ๊เอง”

   “แต่ได้ยินมาก่อนหน้าแล้วไง เฮอะ” หงุดหงิดจริงๆ 

   “บี๋อ่า อย่าโกรธเบ๊สิ พี่เขาโทรมาไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงบี๋บอกคบก็ดี แม้จะปวดหัว แค่นั้นก็ดีใจจนต้องจอดรถลงไปกระโดดอยู่ข้างถนน”

   “ไอ้ขี้โม้”

   “ไม่ได้โม้...ขอบคุณครับ ที่ยอมเปิดใจยอมคบกันแบบจริงจัง” ไอ้เม่นพูดติดตลกแต่ผมไม่ตลก รู้สึกหงุดหงิดเพื่อนสนิทจนไม่มีอารมณ์เขินใดๆ ทั้งสิ้น “บี๋”

   “เงียบ” ยกนิ้วเป็นสัญญาณให้หุบปาก ผมแนบโทรศัพท์ไว้ข้างหู จนปลายสายกดรับปุ๊บ “ไอ้เพื่อนเหี้ย กูขอแช่งให้พวกมึงติดเอฟ” แหกปากด่าลั่นรถก่อนตัดสายทิ้ง ไม่สนใจว่าไอ้เม่นจะหูตึงหรือเปล่า ขอแค่ได้ด่าก็รู้สึกสบายใจ

   “บี๋ดีขึ้นไหม” คนถามสะดุ้งโหยงเมื่อผมหันขวับไปมอง

   “เออ หิวแล้วด้วย” เสียงโครกครากเป็นสิ่งที่ยืนยันคำพูดได้ดี

   “ครับๆ ได้ยินเสียงท้องร้องแล้ว งั้นเบ๊จะเลี้ยงมื้อใหญ่ ฉลองที่เราคบกัน”

   “โกๆ ขอปลาแซลมอนด้วยนะ”

   “บี๋ได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้”

   ความสุขที่ได้อยู่กับคนที่ชอบมันหน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง มิน่า พวกไอ้กลอยถึงได้หน้าบานยิ่งกว่ากระด้งนักเวลาอยู่กับแฟน เดี๋ยวนะ แล้วตอนนี้หน้าผมเป็นกระด้งหรือยัง...

   “บี๋หาอะไรเหรอ”

   “หากระจก”

   “กระจก? เอาไปส่องอะไร”

   “ส่องหน้าตัวเอง ไม่รู้เป็นกระด้งแบบไอ้กลอยไหม” พูดจบ ไอ้เม่นก็เบิกตาโตก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ขำอะไร”

   “น่ารักอะ”

   “อย่าชม กูเขิน”

   “ไม่กูมึงสิ บอกให้เรียกบี๋กับเบ๊”

   “ไม่เว้ย กูเขิน”

   “บี๋อย่ามาทำหน้าตาน่ารักได้ป่ะ”

   “ไอ้เหี้ยเม่น กูบอกว่ากูเขิน”







   
   เมื่อคืนเราอยู่ในสถานะที่ก่ำกึ่ง เอ่อ สำหรับผมนะ แต่คืนนี้ต่างออกไป ผมยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ปลายเตียงของตัวเอง บนเตียงมีไอ้เด็กร่างใหญ่นอนแอ่งแม้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วแบบนี้ผมจะลงไปนอนที่ของตัวเองได้ยังไงเนี่ย

   “มานอนสิบี๋” ไอ้เม่นตบที่ว่างข้างๆ ด้วยท่าทางโคตรกวน ผมยกเท้าให้มันไปที “ไม่สุภาพซะเลย”

   “เออ” ปกตินอนแบบไม่คิดอะไร ไม่ๆ ตอนนี้ก็ไม่คิดเหมือนกัน “ฟู่ว” ถอนหายใจแล้วคลานขึ้นเตียง ไม่สนสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมอง

   “ยั่วว่ะ”

   “ยั่วพ่อง”

   หน้าก็มีมันกลับไม่มอง ดันมองลอดเข้ามาที่คอเสื้อยืดเน่าๆ ของผมที่คอมันคว้านลึก

   “บี๋ขาวอะ เป็นคนเหนือใช่ป่ะ” เสียงโคตรไม่น่าไว้วางใจที่จะนอนข้าง ผมเหล่ตามองคนที่ยังนอนตะแคงใช้ข้อศอกค้ำเตียงหนุนฝ่ามือจ้องหน้า “จังหวัดอะไรเหรอ”

   “เชียงใหม่” บอกเสร็จก็หันหลังหนี แต่พอคิดอีกที หันหลังแบบนี้ไม่น่าไว้ใจมากกว่าเลยต้องรีบหันกลับไป “จ้องทำไม นอนๆ”

   “ถ้าบี๋กลับบ้านเมื่อไหร่ เบ๊ไปด้วยนะ อยากเห็นบ้าน อยากเจอพ่อกับแม่ จะได้ฝากตัวเป็นลูกเขย”
 
   “ลูกเขยพ่อง นอนสิวะ” ด่าไปงั้น กลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมดแล้วเนี่ย

   “ด่ามาก็ไม่เจ็บหรอก เพราะเขาว่า คนรักด่า แปลว่ารักมาก” เสียงลากกอไก่ยาวเหยียดอย่างน่าหมั่นไส้

   “เลิกเสี่ยวแล้วนอนได้แล้วครับ ไอ้คุณเบ๊...เชี่ย อะไรวะ” อยู่ๆ ก็ถูกดึงให้ลุกขึ้นนั่ง

   “เมื่อกี้บี๋เรียกอะไรนะ เรียกเบ๊ว่าเบ๊เหรอ นี่บี๋ยอมเรียกแล้วเหรอ” ไอ้เม่นดูตื่นเต้นจนผมขำออกมา “ไม่ตลกนะ นี่เบ๊จริงจังอยู่”

   “ก็จริงจังนี่ไง หรือไม่ต้องเรียก”

   “เรียกๆ บี๋โคตรน่ารักอะ ปลื้ม”

   “ไอ้เชี่ย กูหายใจไม่ออก”

   ถูกดึงเข้าไปรัดโคตรแน่น นี่คนหรืองูวะ รัดจนกระดูกจะแหลกอยู่แล้ว

   “ดีใจ ไอ้เม่นดีใจ เป็นเรื่องที่น่าดีใจที่สุดหลังจากอายุสิบห้า บี๋ครับ ขอบคุณนะ”

   มึงดีใจ แต่กูกำลังจะตายเพราะหายใจไม่ออก นี่ผมรักคนถูกแล้วใช่ไหม อืม ถูก (ถามเองตอบเอง) 



...TBC


 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ aom2529

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 885
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ดูๆไปแล้วเบ๊ของบี๋จะเป็นงูเหลือมซะด้วย.. :laugh:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย น่ารักเกินไปแล้วววววววววววววว :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ angelhani

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
5555 เม่นน่ารักไปอีก

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
โอ้ยอิชั้นฟินๆๆๆๆอิชั้นหลงรักเบ๊ๆ อิชั้นจะตบตีแย่งเบ๊มาจากนางบี๋ :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ก่อนอ่านเรื่องนี้ก็ไปตามอ่านเรื่องก่อนหน้านี้มาทุกเรื่องแล้ว
สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆ
ชอบค่ะ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
น่ารักมากก

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
55555 คิดได้ไงเม่น เป็นทาสรักเลยเบ๊ จัดไปเลยค่ะ เบ๊บี๋
สมหวังดั่งใจแล้วนะเม่น ทำพี่ม่านหลงหนักแน่

ตลกม่าน คนปากแข็ง สุดท้ายก็ห่วงเค้าไปหมด ทำไรก็คิดถึงตลอด
ม่านน่ารักดี เพื่อนหวงมากหรอ ถึงบอกว่าขี้เหร่อะ คิเรเนะ รึป่าว

รอติดตามเบ๊บี๋ตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

11



         ผมย่องออกจากห้องตอนตีสอง แฟนหมาดๆ ของผมยังนอนหลับน้ำลายยืดอยู่บนเตียง ไอ้นี่มันบ้ามากครับ ขนเสื้อผ้าข้าวของมากองเต็มห้องผมไปหมด มีหน้ามาโทษว่าผมไม่ยอมไปอยู่ด้วย มันเลยต้องขนของมาอยู่ห้องผมแทน นี่ผมผิดเหรอวะ

   ไอ้มีนสะดุ้งตื่นตอนผมเคาะกระจกรถ วันนี้ให้มันมารับครับ เพราะตอนกลับจะมีคนไปรับ หน้าตาเพื่อนผมดูเหมือนยังไม่ตื่นเต็มตา มันเบลอๆ มึนๆ จะขับไปหน้า ดันถอยหลังซะได้ ผมเลยอาสาขับให้แทน ขืนปล่อยไอ้มีนขับ ผมกับมันคงไปไม่ถึงที่นัดพอดี

   ท้องถนนเวลาตีสองกว่ารถก็ยังเยอะ ไม่รู้ว่าตื่นนอนหรือกำลังกลับบ้านกัน แต่ผมว่า น่าจะอย่างหลังมากกว่า ผมโทรหาเพื่อนคนอื่นๆ พวกมันก็พร้อมที่จุดนัดกันหมด โคตรตื่นเต้นเอาจริงๆ

   วันนี้เป็นวันปิดห้องเชียร์ครับ ที่เห็นไปเช้าแบบนี้เพราะต้องไปเตรียมการก่อนที่น้องๆ จะมาในช่วงเช้ามืด ผมว่า ผ่านพ้นวันนี้ไป ทุกคนคงนอนหลับเป็นตายแน่นอน อย่างปีที่แล้ว ผมนอนยาวสองวันติดจนเพื่อนสนิทคิดว่าตาย พวกมันเกือบเรียกรถร่วมมารับศพผมด้วย โคตรตลก

   ใช้เวลาบนท้องถนนไม่นานก็ถึงแปลงนาของคณะ ที่นี่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยพอสมควร เป็นสถานที่ที่ไว้ใช้ในการเรียนในหลักสูตรของคณะ แม้ตอนนี้จะมองไม่เห็นต้นข้าวในนา แต่แสงไฟก็พอทำให้เห็นกลุ่มคนหลายสิบนั่งๆ ยืนๆ อยู่ ผมจอดรถข้างรถคนอื่นๆ เรียกไอ้มีนให้ตื่น มันยังคงเบลอเดินตามไปหาคนอื่นๆ

   ไหวไหมเพื่อนผม

   “มาช้าว่ะ” ไอ้เกมส์ทัก พร้อมตบหัวเพื่อนคู่หูให้ตื่นเต็มตา

   “ถึงไหนแล้ววะ” ไม่ตอบเพื่อน แต่ถามกลับแทน ผมมองบรรดาเฮดว๊ากสองชั้นปีคุยหน้าเครียดอยู่ไม่ไกล

   “ก็เกือบเรียบร้อยแล้ว แม่ง หิวว่ะ” พอไอ้เกมส์ว่า ไอ้คนที่ตายังหลับก็รีบพยักหน้า พอเรื่องกินละรีบตื่นเลยนะไอ้เชี่ยมีน

   “แล้วอีแน่วล่ะ” ถามขณะเดินตามหลังไปคุ้ยหาของกินที่ท้ายรถพวกสวัสดิการ แต่ยังไม่ได้คำตอบ ผมก็เจอคนที่ถามถึง “กินเหลือให้พวกกูบ้าง” นั่นละครับ มันมานั่งกินบะหมี่คัพก่อนใครเพื่อน

   ทั้งกิน เดิน นั่ง นอน จนฟ้าใกล้สาง รถบัสของคณะที่พาเด็กปีหนึ่งและปีสองก็แล่นมาไกลๆ ตื่นเต้นแทนจริงๆ วันนี้น้องๆ จะได้ประสบการณ์ ได้พี่ ได้เพื่อนที่แท้จริง แต่กว่าจะได้ มันก็ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและพลังใจ

   พอรถบัสจอด ไอ้เจก็ทำหน้าที่ของมัน สั่งเรียกรวมปุ๊บ น้องๆ เกือบร้อยก็รีบวิ่งมายืนเข้าแถว หน้าแต่ละคนก็ยังดูง่วงๆ อยู่เลย เดี๋ยวได้ตื่นเต็มตาแน่นอน ไอ้ม่านฟันธง

   เสียงพูดที่ดังกว่าระดับการพูดปกติ หรือตะคอกนั่นแหละครับ ดังแข่งกับเสียงนกที่ร้อง ไอ้เจพูดเรื่องกิจกรรมของวันนี้

   “กิจกรรมวันนี้ พวกผมจะให้พวกคุณใช้ความสามารถ พลังแรงกายที่มีในการเกี่ยวข้าว แปลงฝั่งนั้น ผมจะให้เวลาพวกคุณถึงเที่ยง หากใครทำไม่เป็น ให้ถามพี่ปีสอง เข้าใจไหมครับ!” คำสั่งดูเบาๆ แต่ถ้าได้ลงมือทำจะรู้ว่า ไม่เบาเลยสักนิด ผมเห็นน้องหลายคนหน้าถอดสี คงเพราะทำไม่เป็น การเกี่ยวข้าวดูเหมือนง่าย แต่มันไม่ง่ายเลยนะครับ ไอ้ม่านขอบอก

   “ปีสอง สอนน้องใช้เคียวให้ดี หากน้องคนไหนบาดเจ็บ พวกคุณต้องรับผิดชอบ!” ไอ้เกมส์ปิดท้าย ก่อนพวกมันจะเดินหนีไปทางอื่น ปล่อยให้ปีสองได้อธิบายการเกี่ยวข้าวทุกขั้นตอนให้น้องๆ ได้ฟัง

   ผมยืนฟังรุ่นน้องแล้วก็นึกถึงตอนตัวเองอยู่ปีหนึ่ง เคียวคมๆ นั่น เกี่ยวขาผมเป็นแผลมามากจนแทบอยากกราบให้มันเลิกบาดสักที

   เสียงนกหวีดดังสนั่น ปีสองตาลีตาเหลือกสั่งปีหนึ่งลงไปในแปลงนา เหตุการณ์ชุลมุนยิ่งกว่าผู้หญิงเห็นป้ายเซลล์ในห้างซะอีก ทุกคนรุมเกี่ยวข้าวในนา บ้างก็ดี บ้างก็เสีย จนผมโคตรเสียดายข้าว

   “ไม่ผ่าน กลับมา!” เสียงดังผ่านโทรโข่งหยุดการเกี่ยวข้าว ปีหนึ่งที่อยู่ในแปลงนา รีบวิ่งกลับขึ้นมาด้านบนด้วยสภาพหอบแหก “พวกคุณปลูกเองหรือไง ถึงกล้าทำลายข้าวที่รุ่นพี่ของพวกคุณปลูก ข้าวทุกเม็ดเกิดจากหยาดเหงื่อของรุ่นพี่ พวกคุณทำเล่นๆ ได้เหรอ!” ไอ้เจตะคอกเสียงดังทำเอารุ่นน้องก้มหน้ากันหมด “ปีสอง!”

   “พวกเราผิดเองค่ะ/ครับ” เหล่าปีสองที่เข้าแถวพร้อมใจกันรับผิด

   “ใช่ พวกมึงนั่นแหละที่ผิด พวกมึงสอนน้องให้เหยียบข้าว ปาเม็ดข้าวเล่นเหรอวะ พวกกูกับเพื่อนๆ ต้องเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะได้ แต่พวกมึงไม่ช่วยดูแล กูยังหวังอะไรได้จากพวกมึงอีก!”

   “พวกเราผิดไปแล้วค่ะ/ครับ” สีหน้าปีหนึ่งแต่ละคนสลดหดหู่เมื่อปีสองถูกด่าแทน

   “กูจะให้โอกาสอีกรอบ ถ้าสอนน้องไม่ได้ พวกมึงจะโดนลงโทษหนัก!” คำคาดโทษถูกพูดออกไป ก่อนคนพูดจะเดินหน้านิ่งไปรวมกับคนอื่นๆ อีกด้าน

   “สอนใหม่ๆ” ผมพูดขึ้นเมื่อทุกคนยังยืนนิ่ง ปีหนึ่งที่บางคนทำเป็นเล่นก็ตั้งใจฟังการใช้อุปกรณ์และวิธีการเกี่ยวข้าวมากขึ้น ในช่วงที่ผมมองการตั้งใจฟังของปีหนึ่ง แขนผมก็ถูกสะกิด “ครับ?”

   “มือผมถูกเคียวบาด” เด็กคนที่สะกิดยื่นมือมาให้ผมดูครับ ท่าทางดูกล้าๆ กลัวๆ คงเพราะคำขู่ของไอ้เจที่จะทำโทษปีสองถ้าเกิดปีหนึ่งบาดเจ็บ “ไปทำแผลๆ” ตาโตสิครับ แผลแม้ไม่ลึก แต่เลือดก็ยังออกอยู่

   “เดี๋ยวครับ” เด็กนั่นรั้งแขนที่ผมดึงไว้ “ผมไม่อยากให้พี่ว๊ากรู้”

   “เออๆ” พยักหน้าเข้าใจ ผมเลยเดินไปหยิบยามาหามันเอง ไอ้เด็กปีหนึ่งสูงกว่าผมไม่มาก ใส่แว่นซะด้วย “ตัวมึงไม่เหมาะกับการเรียนเกษตรเลยนะ” ทำแผลมันไป ปากก็พูดไป

   “พี่ก็ไม่เหมาะ” ตวัดสายตามองรุ่นน้องที่กล้าย้อน “ขอโทษครับ”

   ผมเรียนเกษตรก็เพราะอยากกลับไปช่วยพ่อกับแม่ที่บ้าน หากบ้านผมไม่ทำไร่ ทำสวน ผมคงไปเรียนพวกวิศวะ ไม่ก็ครู เห็นแบบนี้ ไอ้ม่านก็รักเด็กนะครับ (แต่ขอเด็กที่คุยรู้เรื่องแล้วนะ ไม่ถนัดเด็กเล็กจริงๆ)

   แอบทำแผลเสร็จ ไอ้เด็กแว่นก็รีบวิ่งไปเกี่ยวข้าวในแปลงต่อ แล้วที่ผมเคยคุยกับเพื่อนเรื่องแปลงฝั่งนี้ว่าโหด นั่นเพราะ ระยะทางมันไกลมากหากถูกเรียกกลับขึ้นมาบ่อยๆ ยิ่งพวกปีสามที่เกี่ยวเหลือไว้ให้ท้ายแปลงอีก แรงที่มีต้องใส่ให้หมด อย่างตอนนี้ ไอ้เจก็ตะโกนเรียกอีกแล้ว มันเรียกจนน้องบางคนถึงกับจะเป็นลม ขนาดผู้ชายยังไม่ค่อยไหว ส่วนที่เรียกมาแค่คุยไม่กี่ประโยคก็สั่งให้วิ่งกลับไปใหม่ คราวนี้มีหิ้วเพื่อนที่หน้ามืด พวกกลุ่มพยาบาลก็วิ่งวุ่นสิ


   ความรู้สึกหายใจไม่ออกบอกไม่ถูกแบบนั้น ไอ้ม่านเคยผ่านมาแล้ว


   แปลงนาที่มีข้าวไม่ถึงหนึ่งในสี่ของพื้นที่ถูกเกี่ยวไปเกินครึ่ง เด็กปีหนึ่งปีนี้น่าจะไวกว่าปีที่แล้ว ตอนผมปีสอง ถูกพี่ปีสามสั่งทำโทษจนเดินไม่ไหว แต่ปีนี้กลับไม่มีการสั่งโหดๆ คงเพราะระบบรับน้องที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นในเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น ลดความเกรี้ยวกราดและรุนแรงลง

   เวลาค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ แดดก็เริ่มร้อนแรง ยิ่งใกล้เที่ยงเข้าไปแล้วยิ่งร้อน เด็กบางคนถึงกับเป็นลม ยิ่งคนหายไปเท่าไหร่ การเก็บเกี่ยวก็จะช้าไปเท่านั้น อย่างตอนนี้ใกล้ถึงเวลาที่ไอ้เจกำหนด ข้าวก็ยังเหลืออีกเยอะ จะไหวไหมเนี่ย

   “กูว่าไม่ไหวหรอกว่ะ” ผมเดินไปกระซิบไอ้มีน มันก็พยักหน้าเห็นด้วย

   “ปีนี้เด็กอ่อนแอเยอะไป” ก็จริงของมัน “สงสัย ปีสองปีนี้จะหนักซะแล้ว”

   นึกแล้วสยองแทนจริงๆ


   เวลาไม่เคยหยุดเดิน แดดก็เช่นกัน ยิ่งพอใกล้จะเที่ยง แดดยิ่งร้อนแรงชนิดแทบไหม้ ตัวผมนี่แหละจะไหม้ นึกโมโหพวกพี่ว๊ากที่ไปนั่งหลบมุมใต้ต้นไม้ โคตรเอาเปรียบ

   แล้วเวลาแสนระทึกก็มาครับ ไอ้เฮดว๊ากเดินหน้าเหมือนยักษ์ออกมายืนข้างคันนา มือที่มีโทรโข่งยกจ่ออยู่ที่ปาก

   “พอ!” คำเดียวสั้นๆ แต่น้ำเสียงเกรี้ยวกราดสุดๆ “ปีหนึ่ง ปีสอง รวม! นับหนึ่ง” ความโกลาหลเกิดขึ้นทันใด เด็กปีหนึ่ง ปีสองรีบวางของแล้ววิ่งกลับมาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ระยะทางไกลเอาเรื่องขนาดนั้น

   “ช้า!” คราวนี้เป็นบรรดาพี่ระเบียบคนอื่นๆ เริ่มกดดันบ้าง

   “ในเลือดมีเต่าอยู่หรือไง ถึงช้าขนาดนี้ หรือเสกหอยทากเข้าท้องวะ!” หันไปมองไอ้มีนที่พูด นี่มันเอาโหดหรือฮากันแน่ แต่พอเฮดว๊ากยกมือขึ้นปุ๊บ ทุกเสียงที่ตะคอกกดดันก็เงียบ

   โคตรน่ากลัว ไอ้ม่านขอบอก

   “ผมให้เวลาพวกคุณตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง แต่ทำไมพวกคุณยังทำไม่เสร็จ หรือเพราะคำสั่งของผมไม่มีความหมาย” แม้จะไม่ได้ตะคอก แต่คำพูดทุกคำสามารถสร้างความกดดันได้เป็นอย่างดี ปีหนึ่งพากันก้มหน้า คางแทบชิดอก “ส่วนพวกปีสอง พวกมึงเป็นน้อง พวกกูเลยตั้งความหวังไว้มาก แต่นี่อะไร พวกมึงกลับช่วยน้องไม่ได้ นี่เหรอวะน้องที่พวกกูไว้ใจ”

   “พวกมึงมันห่วย! ปีสองห่วย!” หลายเสียงตะโกนเกือบจะพร้อมกันในหลายๆ ครั้ง ผมแอบเห็นน้องผู้หญิงปีสองบางคนสะอื้นด้วย

   “ขอโทษครับ/ค่ะ” คำขอโทษดังกึกก้องจากบรรดาปีสอง ก่อนปีหนึ่งจะตะโกนเพิ่มอีกแรง

   “หึ สามัคคีกันจริงนะ พวกคุณเห็นหรือยัง ว่ารุ่นพี่ปีสองของพวกคุณมันห่วยแค่ไหน แล้วแบบนี้ พวกคุณยังจะปกป้องอีกหรือครับ”


   ผมโคตรเกลียดไอ้เจเลยให้ตาย


   พอถูกถามแบบนั้น เหล่าบรรดาเด็กใหม่ต่างก็พากันเงียบ มีเพียงเสียงสะอื้นคลอเบาๆ มาจากกลุ่มที่ยืนรวม แต่พอไอ้เจจะอ้าปากด่าอีก เสียงจากโทรโข่งดังขัดมาจากด้านหลัง เสียงที่ทำให้ผมขนลุก

   “พวกมึงคิดว่าแน่หรือไงวะ ปีสามรวม!” สิ้นคำสั่งของพี่อิน เฮดว๊ากปีสี่ปุ๊บ ผมกับเพื่อนๆ ต่างก็รีบวิ่งไปยืนเข้าแถวตอนลึกด้วยความเร็วแสง “พวกมึงไม่เห็นสภาพของน้องหรือไง มีตาไหม หรือมันบอดวะ” พี่อินยืนตะคอกตรงหน้าไอ้เจ ผมได้แต่เหล่ๆ มอง ไม่กล้าหันไป กลัวถูกด่าแทน

   “ไม่บอดครับ” ไอ้เจตอบ

   “ไม่บอด แต่ดูมึงสั่ง คิดว่าแน่ใช่ไหมสั่งแบบนั้น ได้ งั้นปีสาม กูขอสั่งให้พวกมึงเกี่ยวข้าวให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง ถ้าไม่เสร็จ ไม่ต้องกินข้าว เข้าใจไหม! เริ่ม!”


   เริ่มก็เริ่มครับ พวกปีสามพากันวิ่งลงแปลงนากันหมด ว่าแล้ว เมื่อวานเห็นพวกเฮดว๊ากคุยกันหน้าเครียด ไอ้มีนก็บอกให้ผมนอนเยอะๆ เก็บแรงเอาไว้ มันเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง

   “เชี่ยเอ้ย ปีสองกูก็ถูกสั่งให้เกี่ยว ปีนี้ก็ว่ารอด แต่ก็ไม่รอด” ผมเกี่ยวข้าวไปบ่นไป อีแน่วอยู่ข้างๆ มันก็พยักหน้าเห็นด้วย

   เวลาที่ให้ปีหนึ่งกับปีสองนั้น มันมากโขหากจะเอ้อระเหยบ้าง แต่นี่ชั่วโมงเดียวกับข้าวที่เหลือเกือบครึ่ง ตายแน่ไอ้ม่าน

   “ทำไมโลกโหดร้ายกับกูขนาดนี้” ไม่ใช่แค่ผมที่บ่น พวกปีสามคนอื่นๆ ก็บ่นกันระงม แต่มือก็ไม่หยุด

   แม้จะเกี่ยวข้าวบ่อยแค่ไหน ก็ยังมีบาดแผลอยู่เสมอ อย่างตอนนี้ เคียวเกี่ยวมือผมซะเลือดอาบ ความเจ็บจี๊ดจนต้องนิ่วหน้า แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะถ้าหยุด เพื่อนก็ต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะเช็ดเลือดที่มือกับกางเกงยีนส์สีดำ

   อากาศร้อนอบอ้าวกับเหงื่อที่ไหลท่วมจนเสื้อชุ่ม ดูนาฬิกาแล้วเหลือไม่ถึงยี่สิบนาทีกับข้าวที่เกือบหมด เรี่ยวแรงคึกๆ ก็เบาลง ก่อนพวกผมจะแห้งตาย เสียงวิ่งกับเสียงหอบดังเข้ามา พอหันหลังไปก็เจอบรรดาปีหนึ่ง ปีสองที่ลงมาช่วย น้องบางคนถือเคียวที่เหลือช่วยเกี่ยว

   “ผมช่วยครับพี่” ไอ้เด็กแว่นยิ้มพร้อมกับแย่งเคียวผมไปถือ

   “มึงเกี่ยวเป็นเหรอวะ” ถามขณะยกแขนเปียกๆ เช็ดหน้า

   “ไม่เป็น” ถ้าไม่ติดว่าซึ้งมัน ผมคงตบหัวมันไปแล้ว

   “กูทำเอง มึงช้า” แล้วผมก็แย่งเคียวมาถือเอง ไอ้แว่นมันจะอ้าปากเถียง แต่ความเร็วของผมมากกว่ามันแน่นอน มันเลยใช้มือพัดให้มีลมแทน “ดีๆ”

   ตอนนี้ปีหนึ่งดูจะไม่เกร็งเวลาอยู่กับปีสาม โดยเฉพาะพวกพี่ว๊ากที่ถึงแม้จะกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็พากันเข้าไปช่วย นี่สินะ ผลลัพธ์ที่ทุกคนคาดไว้

   “เลือด” มัวแต่คิดเพลินๆ ไอ้แว่นมันสะกิดผมยิกๆ “มือพี่มีเลือด” มองตามนิ้วที่ชี้มา อืม...มือผมเลือดเต็มที่จับเลย “ไปทำแผลพี่”

   “อีกแป๊บ มึงไม่เห็นเหรอ จะหมดเวลาแล้ว” ผมรีบขยิบตาแล้วบอก ไอ้แว่นมันพูดเสียงดังจนอีแน่วหันมามอง แต่ผมส่ายหัวคล้ายว่าไม่มีอะไร มันเลยก้มหน้าเกี่ยวข้าวต่อ

   “แต่บาดทะยักนะพี่” สีหน้ามันโคตรกังวล แต่ผมยังยิ้มให้

   “กูเคยฉีดยากันมันมาแล้ว ปลอดภัยๆ” พูดไปงั้น ยานั่นฉีดเมื่อตอนอายุสิบห้า ไม่รู้ยามันสลายไปหมดหรือยัง

   สปีดการเกี่ยวเพิ่มมากขึ้นเมื่อไอ้เจตะโกนว่าเหลือสิบนาที และมันสั่งให้ปีสองกับปีหนึ่งแบกข้าวที่เกี่ยวเสร็จไปกองอยู่กลางแปลง หลายร้อยแรงแข็งขัน สุดท้ายก็เสร็จ...

   “เชี่ยเอ้ย กูคิดว่าจะตายแล้ว” ผมทิ้งเคียวแล้วล้มนอนทันที โคตรเหนื่อย ไม่สนใจแดดที่แยงตาจนลืมแทบไม่ขึ้น ไม่ใช่แค่ผมที่นอนลงกับแปลงนา พวกคนอื่นๆ ต่างก็พากันนอน มันเหนื่อยจริงๆ นะครับไม่ได้โม้เลย นอนอยู่ครู่ใหญ่กว่าปีสี่จะเรียกรวม ขาผมแทบก้าวไม่ออกแต่ก็ต้องวิ่ง พอวิ่งมาถึงก็หอบลิ้นห้อยกันเลยทีเดียว         

   ความเงียบยังคงปกคลุมไปทั่ว คงปล่อยให้พวกผมได้หายใจให้ทั่วท้องก่อน ตอนนี้น่าจะบ่ายกว่าแล้ว กลิ่นข้าวกะเพราก็เริ่มโชยมาเตะจมูกจนท้องร้อง

   “ทำได้ดี” เสียงชมจากเฮดว๊ากปีสี่สร้างรอยยิ้มให้ทุกคน “แต่...” โคตรไม่ชอบคำนี้เลยให้ตาย “ปีสามห่วย ถ้าไม่มีปีสองกับปีหนึ่งไปช่วย จะทำกันเสร็จหรือเปล่า”

   “ไม่ครับ/ค่ะ”

   “แม่งห่วย” พี่อินตีหน้านิ่งกวาดคำด่าซะหน้าชาไปหมด “เอาล่ะ น้องปีหนึ่งกับปีสองคงหิวกันแล้ว ผมอนุญาตให้พวกคุณพักกินข้าวได้” เสียงเฮดังไปรอบๆ ทันที แต่พอจะก้าวขาปุ๊บ คำสั่งของพี่อินก็หยุดทุกจังหวะของทุกคน “ส่วนปีสาม ผมไม่ให้กิน”

   ความทรมานอยู่ที่ไหน ความทรมานอยู่ที่นั่นจริงๆ

   ผมเหล่ตามองพี่รหัสตัวเองที่ยืนหน้านิ่งข้างๆ พี่เฟรนด์กระพริบตาปริบๆ มอง คงทำอะไรไม่ได้ เห็นอ้าปากจะขัดหลายรอบ แม้พี่รหัสผมจะติส แต่ก็รักผมมากนะเออ

   “ไปกินข้าวสิ ปีหนึ่ง ปีสอง”

   กลิ่นหอมกับภาพคนดีใจที่จะได้กินข้าวตรงหน้าทำให้ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ท้องก็ร้องจนแสบไปหมด ไหนบอกจะทรมานปีสอง ทำไมมาทรมานปีสามแทน ไอ้ม่านไม่เข้าใจ

   ปีหนึ่ง ปีสองที่เปิดกล่องข้าวตั้งท่าจะกิน แต่ก็พากันวางกันหมด ผมเห็นไอ้เจเผลอยิ้มออกมา มันคงลองใจอยู่สินะ นั่นก็พอเข้าใจ แต่มาทรมานเพื่อนแบบนี้ มันไม่ถูกต้องนะเฟ้ย ขนาดปีสองที่ได้นัดแนะกันมา ยังหน้าเสีย

   “เรื่องนี้ปีสองไม่รู้เหรอ” แอบเอนไปกระซิบถามเพื่อนสาว มันพยักหน้าช้าๆ “อ่อแบบนี้นี่เอง” ลองใจทั้งสองชั้นปีเลยสินะ
 
   แล้วข้าวกล่องจากทุกคนก็ถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะที่เดิม ก่อนจะทยอยเดินกลับมายืนข้างพวกผมอีกรอบ

   “ทำไมพวกคุณไม่กินข้าว” เป็นไอ้เจที่ถามออกไป น้องๆ ต่างพากันส่ายหน้า “ถ้าไม่กินตอนนี้ พวกคุณอาจไม่ได้กินนะ”

   “พวกพี่ก็ไม่ได้กินเหมือนกัน” ไอ้ประธานรุ่นปีสองว่า “พวกผมก็จะไม่กินครับ”


   เยี่ยมจริง ผลลัพธ์ในรูปแบบนี้


   “แต่ปีหนึ่ง...”

   “ผมเป็นตัวแทนปีหนึ่ง พวกเราก็จะไม่กินเหมือนกันครับ หากพี่ปีสามไม่ได้กิน”

   ภาพความประทับใจคงไปกระตุกต่อมของบรรดาปีสี่ ที่ถึงกับหันไปอ้วก และพี่อินก็เดินมาด้วยใบหน้าที่อ่านไม่ออก

   “รักกันจริงนะ ทั้งที่ปีสามด่าพวกคุณขนาดนั้น...” พี่อินมองกราดมาที่เหล่าปีสามครับ สายตานิ่งมากที่สุด “ผมอนุญาตให้พวกคุณทุกคน ทุกชั้นปีกินข้าวได้ กินเสร็จแล้วก็กลับคณะ ยังมีเรื่องอีกเยอะ” ทิ้งท้ายเสร็จก็แยกย้ายครับ ส่วนพวกผมก็แตกฮือไปหยิบกล่องข้าวแล้วเปิดกินอย่างหิวโหย

   กล่องหนึ่งหมดไป กล่องสอง กล่องสามค่อยๆ หมดไป ไอ้ม่านคนนี้ไม่เคยกินเหมือนยัดขนาดนี้มาก่อน แม้จะชอบกินของฟรีก็เถอะ

   “แดกอย่างกับปอบลง” อีแน่วมันด่าผมครับ ของมันก็ไม่น้อยไปกว่าผมหรอก “มือมึงเป็นไงมั่ง”

   “มึงรู้เหรอ” เบิกตาโต ไม่คิดว่าเพื่อนจะรู้

   “ก็ไอ้เด็กแว่นนั่นพูดเบาซะเมื่อไหร่ อีกอย่าง มือมึงก็มีแต่เลือด” อีแน่วพยักพเยิดหน้ามาที่มือผมที่ตอนนี้เลือดแห้งหมดแล้ว
 
   “ปวดว่ะ กินยาคงหาย” หยุดพูดกับเพื่อนเมื่อไอ้เจตะโกนเรียกรวม ตอนนี้จะต้องกลับคณะเพื่อไปรอปิดห้องเชียร์อย่างเป็นทางการ




   รถบัสขนนักศึกษากลับมหาวิทยาลัย ในส่วนของพวกผมก็ต้องรีบกลับก่อนเพื่อเตรียมของ แม้ความเหนื่อยจะทำให้เกือบวูบอยู่หลายครั้งก็ตาม สวรรค์ยังไม่ต้องการพวกผมหรอก
 
   พอถึงมหาลัยก็เจอพวกพี่อินก่อน คำขอโทษมากมายถูกถ่ายทอดออกมา แต่พวกผมก็ไม่ได้โกรธ เพราะมันเป็นสิ่งที่จะทำให้น้องๆ ทุกคนได้แสดงออกถึงความเคารพรุ่นพี่ ว่าจะมีมากแค่ไหน

   “เล่นหนักว่ะพี่” ผมว่า พี่อินเดินมาขยี้หัวผมซะยุ่ง

   “เอาน่า พรุ่งนี้พวกมึงก็เป็นอิสระแล้ว” เป็นคำปลอบโยนที่ไม่ได้ทำให้ดีขึ้นเลยสักนิด “ว่าแต่ ของเตรียมเสร็จแล้วใช่ไหมพวกมึง”

   “ครับ”

   และเมื่อปีหนึ่งมาแล้ว ไอ้เจก็สวมบทเฮดว๊ากอีกรอบ มันตะโกนสั่งปีหนึ่งให้รีบเข้าไปในห้องประชุมเชียร์ แอบได้ยินเสียงบ่นของรุ่นน้องว่าแม่งโหดอีกแล้ว บ้างก็ว่า ไม่น่าช่วยเลย

   ตอนนี้เวลาบ่ายแก่ๆ แดดข้างนอกร้อนยังไง ด้านในห้องก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน ไอ้เจจัดเต็มทุกอย่าง มันเคลียร์ทุกเรื่อง ตั้งแต่มีปีหนึ่งหลายคนโดดห้องเชียร์ หรือไปฟ้องครูเรื่องถูกว๊าก เรื่องนี้เคยทำให้พวกไอ้เจถูกทัณฑ์บนด้วยนะครับ กว่าจะพูดเสร็จก็ค่ำพอดี

   “ผมไม่รู้ว่า ผมจำเป็นต้องรับรุ่นพวกคุณหรือเปล่า พวกคุณเหมาะจะเป็นรุ่นน้องของผมไหม” ไฟในห้องดับพรึ่บพร้อมกับเสียงตกใจของน้องๆ “แต่ผมจะลองเปิดใจดูสักครั้ง” เสียงไอ้เจนุ่มขึ้น หน้าของมันเป็นสีเหลืองเมื่อมันถือเทียนที่จุดไว้

   ความมืดมิดค่อยๆ มีแสงสว่างจากแสงเทียนหลายร้อยแท่งจนทั้งห้องเป็นสีส้ม ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือถือมาถ่ายเก็บภาพความประทับใจนี้ไว้ จากนั้นพวกเราปีสามต่างก็เอ่ยขอโทษน้องๆ ที่เคยล่วงเกินทั้งคำพูด น้ำเสียง และสายตา

   “พี่ขอโทษนะ” ผมบอกขณะผูกสายสิญจน์ให้น้องแว่น อันที่จริง เด็กนี่เป็นหลานรหัสผมครับ ผมถึงดูแลดีเป็นพิเศษ

   “โคตรประทับใจว่ะพี่” ไอ้แว่นมันพูดปนเสียงสะอื้น ไอ้นี่ขี้แยว่ะ

   “เออๆ ตั้งใจเรียนนะมึง” อวยพรส่งท้ายก่อนจะเดินแยกออกมาด้านนอก ไม่ได้มาตามไอ้เจที่ออกมาก่อนหรอกนะครับ แต่เพราะข้อความที่ส่งมาตอนผมถ่ายรูปทำให้ต้องออกมา “ไง”

   “เลิกแล้วเหรอ” ไอ้เม่นยิ้มแป้นแล้นตามสไตล์

   “อีกแป๊บ” ตอบไป มือก็ล้วงถุงขนมถุงใหญ่ที่ไอ้เม่นยื่นมา “กินข้าวแล้วเหรอ”

   “ยัง รอกินพร้อมบี๋” คำพูดธรรมดาๆ แต่ทำให้ผมเขินว่ะ “เมื่อกี้เห็นพี่เจตาแดงด้วย สงสัยร้องไห้”

   “มันอ่อนไหว” เพื่อนผมดูแข็งนอก แท้จริงแล้วอ่อนนุ่มจะตาย “หิว”

   “อ้อนป่ะเนี่ย น่ารักอ่า”

   “อ้วก” เสียงอ้วกดังขัดจนต้องหันไปมอง “เหม็นความรักเหี้ย” อีแน่วยกมือปิดจมูกจนผมต้องยกขาเตะมันไป

   “อิจฉาก็บอกมาเถอะ” ผมยักคิ้ว มือก็คว้าแขนไอ้เม่นมาคล้อง แต่พวกสามสหายกลับเดินหนีไปเฉย สรุปง่ายๆ พวกมันอิจฉาผมนั่นแหละครับ “อะไร”

   “น่ารักเกินไปอะบี๋” สายตาไอ้เม่นโคตรเป็นประกายยามผมเกาะแขน

   “อย่ามาเสี่ยวแถวนี้ กลับเถอะ หิว” ไม่รงไม่รอมันแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วด้วย ผูกข้อมือเสร็จก็กลับ ปล่อยให้ปีสองจัดการไป

   “บี๋ มือเป็นอะไร” หน้านิ่วคิ้วขมวดของมันทำเอาผมขำ “ไม่ตลกนะ ไปโดนอะไรมา” ไอ้เม่นลูบผ้าพันแผลที่พันรอบฝ่ามือผมไปมา

   “เคียวบาด” มันไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะตอนเรียนผมโดนโคตรบ่อย เกี่ยวขาจนเลือดไหลเป็นสายน้ำก็เคยมาแล้ว

   “ไปทำยังให้มันบาดวะ ใครทำแผลให้อะ ไปหาหมอกัน”

   “เดี๋ยว ไม่ต้องๆ มันไม่ได้ลึกมาก”

   “แต่มันก็อันตราย”

   “อย่าห่วงมากเลยน่า ไม่เป็นอะไรหรอก”

   “ไม่ห่วงได้ไง แฟนทั้งคน บี๋นะบี๋ ไม่ระวังเลย เบ๊เป็นห่วงนะเนี่ย”

   “ขออะไรอย่างได้ป่ะ อันนี้จริงจัง” ผมรั้งมือที่จับกันเพื่อให้ไอ้เม่นหยุดเดิน “เลิกเรียกบี๋กับเบ๊ได้ป่ะ มันจักจี้ว่ะ” พูดเสร็จ หน้าของคนที่ผมจับมือก็ถอดสี “เดี๋ยวๆ อย่าทำปากเป็ด คือหมายถึง ให้เรียกชื่อเฉยๆ เหมือนเดิมอะไรแบบนี้น่ะ”

   “แล้วบี๋กับเบ๊ไม่ดียังไง” ไอ้เด็กโข่งหน้างอแล้วครับ

   “ไม่ใช่ไม่ดี แต่มัน...ไม่ชิน ได้ไหม...นะ นะ” ทำตาใสบ้องแบ้ว (เลียนแบบไอ้กลอย) แบบโคตรลุ้นอะตอนนี้ สุดท้ายก็ได้การพยักหน้าเป็นคำตอบ “น่ารักจริง” ดึงแก้มไอ้เม่นเล่นจนถูกแขนใหญ่มันล็อกคอ

   “คิดจะแกล้ง ช่วยดูความสูงด้วยครับที่รัก” คำเรียกไม่ตกใจเท่าถูกหอมแก้ม แม่งเอ้ย คนเยอะด้วย ดีที่พวกเขาไม่สน ผมพยายามต่อยคนที่ล็อกคอผมแน่น แต่คนที่ยืนอยู่ไกลๆ กำลังดึงดูดสายตาของผม

   ไอ้เจมันกอดกับใครวะ

   “ไอ้เจ...” หรือผมตาฝาด ช่างมันเถอะ ตอนนี้ท้องประท้วงอีกแล้ว ไปกินข้าวดีกว่า กินเสร็จจะได้นอนยิงยาว เหนื่อยเหลือเกินวันนี้ เหนื่อยสายตัวแทบขาด

   “พี่ม่านครับ สนใจเม่นหน่อย พี่ม่าน”

   “ก็สนตลอดนั่นแหละ ไป หิวแล้ว”

   รู้สึกแปลกกว่าตอนถูกเรียกบี๋อีกครับ เหมือนได้ยินเรียกแบบนั้นทุกวันจนชิน แต่พอเปลี่ยนกลับมาเป็นแบบเดิมอีก ก็เลยรู้สึกแปลกๆ นี่ผมปกติดีใช่ไหม

   หรือผมจะเพี้ยนวะ เออ น่าจะเพี้ยนว่ะ



........................................

พอเรากดดันตัวเอง เราก็จะรู้สึกเครียด พอเครียดก็ปล่อยวาง พอปล่อยวางตัวเกียจคร้านก็ครอบงำ ... กราบขอประทานอภัยอย่างสูงค่า ตอนนี้ฟื้นคืนชีพแล้วววว อย่าเพิ่งลืมกันเด้อค่าเด้อ กราบขอพระคุณค่า

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
12


[Part : เม่น]



   ผมเชื่อว่า หลายคนคงจะเกลียดผม ไม่ชอบผม เพราะผมไปตามตอแยรุ่นพี่อย่างพี่กลอย ผมยอมรับครับ ว่าหลงเสน่ห์พี่เขาตั้งแต่เดินชนกันครั้งแรก นัยน์ตากลมโตเหมือนกวางจ้องขู่ในตอนนั้นยังติดตาผมอยู่เลยครับ ผมตัดสินใจตีสนิทอย่างไม่ลังเล แต่มันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด นั่นคือเพื่อนใหม่อีกสองคนก็หลงเสน่ห์ดวงตาคู่นั้นเหมือนกัน

   โคตรแย่เลย

   ผมกับไอ้ไม้ ไอ้เบียร์ตกลงกันว่าจะอยู่ในส่วนของตัวเองและไม่ก้าวก่ายหากพี่กลอยจะชอบใคร แต่แล้วความจริงที่ว่า พี่เขาเป็นรุ่นพี่ก็แดงออกมาเมื่อพวกเราไปกินของหวานเจอเพื่อนต่างคณะของพี่กลอยมาทักทาย จากการแต่งตัวดูยังไงก็ไม่ใช่ปีหนึ่ง ที่สำคัญ หน้าของคนโดนทักซีดไร้สี ผมยอมรับเลยว่าตอนนั้นโคตรรู้สึกผิดหวังที่ถูกหลอก ยิ่งไปกว่านั้น พี่เขามีคนรักอยู่แล้ว ช็อกสองเด้งเลยทีเดียว

   แต่ผมไม่ยอมหรอก

   พวกเราสามคนยังเดินหน้าจีบรุ่นพี่ ไม่สนว่าแฟนพี่เขาจะหวงแค่ไหน เพื่อนพี่เขาจะด่ายังไง ก็ในเมื่อพี่กลอยยังไม่แต่งงาน ผมก็ยังมีสิทธิ์

   ผมได้สิทธิ์การเดทที่พี่กลอยหยิบยื่นให้เป็นคนสุดท้าย โดยไม่รู้ว่าพี่กลอยจะพาเพื่อนไปเป็นก้างขวางคอด้วย แม้จะไม่พอใจ แต่ผมก็เลือกที่จะยิ้มให้เพื่อนของพี่กลอยที่ทำหน้าหงิกงอเหมือนเด็กไม่พอใจ คงเพราะรถผมเสียทำให้ต้องใช้รถของพี่เขา แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่หว่า ผมคงไม่บ้าจี้ปล่อยลมยางรถตัวเองหรอกจริงไหม

   เพื่อนของพี่กลอยชื่อม่าน ตัวขาวๆ แก้มป่องๆ ความกวนโอ๊ยคงไม่ต่างจากเพื่อนตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะหากนิสัยไม่ไปในทางเดียวกัน คงคบกันลำบาก

   และมันก็จริง ความเกรียนของพี่ที่ชื่อม่านก็ไม่น้อยหน้าสักเท่าไหร่ แม้จะไม่น่ารักเท่าพี่กลอย แต่เสียงหัวเราะกับอารมณ์ขันก็ทำให้ผมขำออกมาแทบทุกครั้งที่ฟังเรื่องตลก ผมรู้ว่าพี่กลอยจงใจเอาเพื่อนมาเป็นไม้กันผม แค่นี้ผมก็พอรู้แล้วว่าสิทธิ์ที่ผมเรียกร้องตอนแรกคงจะไม่ได้รับมัน

   วันนั้นทั้งวันผมแทบไม่ได้พูดกับพี่กลอย เพราะมัวแต่ฟังและสนใจเรื่องของเพื่อนพี่เขา มารู้ตัวอีกทีก็ต้องแยกจาก พี่ม่านขับรถวนมาส่งผมที่คอนโดที่ผมซื้อไว้ ที่จริงบ้านผมก็มีครับ แต่ไม่อยากกลับ

   ช่วงที่อยู่ภายในรถ ผมจ้องมองพี่ที่เพิ่งรู้จักจากด้านข้าง เวลาปากพี่เขาขยับก็น่ามองเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่คุยก็ไม่พ้นเรื่องพี่กลอยนั่นแหละครับ มาขู่เรื่องแฟนพี่กลอยอีก ตลกดี

   และไม่รู้อะไรดลใจให้ผมบอกพี่เขาออกไปแบบนั้นก่อนกลับ ว่าผมยอมเป็นแฟนทดลองให้พี่เขาแบบฟรีๆ นี่ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆ แต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ ไม่งั้นไม่พูดออกไปหรอก เชื่อสิ

   ขึ้นห้องไปก็ทำนู้น คิดนี่ ตาก็มองนาฬิกา ตอนนี้คนมาส่งผมคงถึงห้องตัวเอง นอนสบายบนเตียงแล้วมั้ง พอคิดแบบนั้นก็ยิ้มออกมา มือก็ควานหาโทรศัพท์ตัวเองพร้อมกดพิมพ์ข้อความไป

   ‘ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่จะมาส่ง’ ผมพิมพ์ไลน์ขอบคุณอย่างสุภาพส่งให้เพื่อนพี่กลอย ดีที่ขอไว้ก่อนกลับ ไม่งั้นก็ติดต่อไม่ได้ รอไม่นานก็มีข้อความตอบกลับ

       ‘เออ’ มาแค่คำสั้นๆ จนผมแอบหงุดหงิด ก่อนจะมีประโยคถัดมาแบบติดๆ กัน ‘ถ้ามึงรักไอ้กลอยจริง มึงจะไม่ทำให้มันเครียดจนจะเป็นบ้าแบบนี้’ พี่ม่านตอบกลับมาพร้อมสติ๊กเกอร์หมีถือมีด ‘ความรักหากมันทำให้อีกคนอึดอัด มันก็ไม่ใช่หรือเปล่าวะ’

   ‘แฟนก็ไม่เคยมี ทำไมรู้ดีจริง’ พิมพ์ไปขำไป ปากก็บอกไม่เคยมีแฟน แต่กลับมาสอนผมซะงั้น คนเรานี่นะ

   ‘กูจำในทีวีมา’

   เห็นข้อความปุ๊บ มือถือถึงกับหลุดลงเตียง ผมนอนงอหงายหัวเราะจนท้องแข็ง นี่พี่เขาบอกเป็นคนจริงจัง ไม่ใช่คนตลก


   โคตรเชื่อเลยครับพี่


   ‘แล้วพี่รักใครมากๆ บ้างหรือเปล่า’ ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามแบบนั้น รู้แค่ว่า อยากรู้เท่านั้น

   ‘มีสิวะถามแปลก’ ย่นคิ้วทันทีที่เห็น ความรู้สึกไม่พอใจนิดๆ ตีตื้นขึ้นมาหากไม่ได้ประโยคถัดมา ‘พ่อกับแม่กูนี่ไง ไอ้ก้านด้วย แม่มันทิ้งตั้งแต่เกิด กูเลี้ยงอย่างกับลูก โคตรรักอะ’ มองข้อความอธิบายถึงคนรักอย่างทึ่งๆ ไม่ใช่ทึ่งเพราะซาบซึ้งนะครับ แต่ทึ่งเพราะคาดไม่ถึงเรื่องรักในรูปแบบนั้น คือผมหวังคำตอบไว้มากเกินไปจริงๆ

   ‘พี่เป็นคนตลกจริงๆ สินะ’

   ‘เอ๊ะ ไอ้นี่ กูบอกกูเป็นคนจริงจังเว้ย’ โคตรตลกว่ะ ‘มึงเถอะ เลิกยุ่งกับไอ้กลอยได้แล้ว ก่อนที่จะถูกผัว เอ๊ย ไม่สุภาพ แฟนมันกระทืบ’ 

   ‘ผมไม่กลัวหรอก’ พิมพ์ไปยิ้มไป ที่จริงครั้งแรกที่เจอตอนงานโอเพ้นเฮาส์ ผมก็พอรู้ ว่าแฟนพี่กลอยโหดแค่ไหน สายตาที่จ้องผมนั่นเหมือนจะกินหัวผมอยู่ตลอดเวลา

   ‘โห ไอ้น้อง พี่ไม่อยากจะเล่าถึงความโหดของตีน เอ๊ย ไม่สุภาพ...’

   ‘พิมพ์ธรรมดาก็ได้ครับพี่ ไม่ต้องสุภาพหรอก’ เห็นความก่ำกึ่งแล้วมันตลกจนเหนื่อยที่จะหัวเราะจริงๆ

   ‘ก็กูไม่สนิทกับมึงไง เลยอยากสุภาพกับมึงหน่อย’ โคตรอยากเถียงเลยครับ เจอกันครั้งแรกเมื่อเช้าก็พูดกูมึงใส่แล้ว มานึกได้ว่าไม่สนิทเลยอยากสุภาพ มันไม่ช้าไปหน่อยเหรอวะ เหี้ยเอ๊ย ปวดแก้ม ปวดท้องไปหมด ‘เออๆ นั่นแหละ มึงยังเด็ก ยังมีเวลาหาเมียอีกเยอะ มหาลัยมึงคงไม่สิ้นสาวสวยงามงอนที่จะมาตอมมึงหรอก’

   ‘พี่ด่าผมเป็นขี้ยังรู้สึกดีกว่า’

   ‘มึงด่าตัวเองนะ กูไม่ได้เจาะจง’ ดูคำพูดสิครับ แหม ‘แต่กูเชื่อว่า มึงต้องเจอคนที่ทำให้มึงหลงเสน่ห์ได้แบบจริงๆ จังๆ และเขาก็หลงเสน่ห์ของมึงเหมือนกัน โชคดีไอ้น้อง’

   ‘ผมก็หวังแบบนั้น’ ยิ้มให้กับข้อความตัวเอง ‘แต่ผมไม่ลืมหรอกนะ ที่จะยอมเป็นแฟนทดลองของพี่น่ะ พี่ม่าน’ แทบโยนมือถือลงเตียงแล้วเอาหน้าหมุดหมอน มันเขินหน่อยๆ ไม่ได้มากหรอก   

   ว่าแต่ คนที่ผมหลงเสน่ห์ได้แบบจริงๆ และเขาก็หลงผมเหมือนกันเหรอ หึ กล้าพูดจริงๆ นะ ความรักก็ไม่เคยมีกับเขา แฟนก็ไม่มี ยังกล้ามาสอนอีก เชื่อเขาเลย

   พี่ม่านเงียบหายไปแล้ว คงจะอาบน้ำ ไม่ก็หลับไปแล้ว คืนนี้เป็นคืนที่ผมรู้สึกมีความสุข ได้หัวเราะทั้งวันเหมือนคนบ้า หรือว่าผมจะบ้าแล้วจริง


   หลังจากวันที่ไปเดทสามคนกลับมา พี่กลอยก็มักจะหลบหน้าผมอยู่ตลอด หรือเพราะผมก็คอยหลบด้วยก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ เพื่อนผมอีกสองคนมันเลิกสนใจพี่กลอยแล้วด้วย พวกมันบอกว่าหลงผิดชั่วขณะ ผมก็ได้แต่เออออไป เพราะผมก็ไม่รู้ว่า ตัวเองยังหลงอยู่หรือเปล่า





   “กูว่า มึงเลิกยุ่งกับพี่กลอยดีที่สุด” ไอ้ไม้มันตบหัวผมแล้วบอก พวกผมกำลังนั่งทบทวนวิชาที่จะใช้ควิสคาบบ่าย “พี่เขาดูไม่ได้สนใจมึงเลย มึงก็รู้ดี”

   “นั่นสิ ไม่แน่ มึงอาจจะหลงผิดแบบพวกกูก็ได้” ไอ้เบียร์เสริมออกมา “แต่แม่ง ผู้ชายเหี้ยอะไรโคตรน่ารัก ตาก็โต ยิ้มก็น่ารัก”

   “แต่กวนตีนมากไปหน่อย” ประโยคนี้สร้างเสียงหัวเราะได้ดี รวมถึงผมด้วย

   “มึงลองมองไปรอบๆ สิวะ ผู้หญิงตั้งมากมายที่เขาแอบมองมึง หรือถ้ามึงเบี่ยงเบนไปแล้ว ก็หัดมองหนุ่มน่ารักๆ ในมอก็ได้ มีตั้งเยอะ เชี่ย ตบหัวกูทำไม”

   “ให้มึงหุบปากยังไงไอ้เชี่ยเบียร์” นั่นแหละครับ คนที่ผมตบ มันพูดจาโคตรน่าหงุดหงิด ผมไม่ได้เบี่ยงเบนสักหน่อย ผู้หญิงผมก็ยังชอบนะ ส่วนผู้ชายก็มีแค่พี่กลอยเท่านั้นแหละที่สน

   รอยยิ้มของพี่เขา...ดวงตาฉายแววขี้เล่น...คำพูดคำจาที่ทำเป็นคนจริงจัง รู้ไปทุกเรื่อง แต่ที่จริงโคตรโง่เลย...ชอบทำตัวอวดรู้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้อะไร

   นี่ผมหมายถึงพี่กลอยอยู่ใช่ไหม

   “ยิ้มแบบนี้กูสยองนะเว้ย” เสียงที่ดังแทรกทำให้ผมหันไปมอง ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสองมันเอนหลังหนี

   “กูไม่ได้ยิ้มเว้ย” ผมเถียง

   “ไม่ยิ้มบ้านมึงสิ” พวกมันคงเห็นผมไม่เชื่อ เลยยื่นโทรศัพท์มาให้ส่อง “เห็นป่ะ ว่ามึงยิ้ม แถมยิ้มสยองด้วย” ผมยื่นมือถือคืนเพื่อนก่อนส่ายหัวตัวเอง ผมกำลังจำเรื่องใครอยู่กับแน่

   ผมเลิกเรียนแล้วยังไม่อยากกลับ ถึงกลับก็ต้องไปอยู่ห้องคนเดียว แม้จะชิน แต่บางครั้งผมก็รู้สึกกลัว ผมกลัวการอยู่คนเดียว ผมกลัวการถูกทิ้ง กลัวการถูกลืม และกลัวถูกไม่รัก ผมมันก็แค่เด็กขาดความอบอุ่นคนหนึ่งเท่านั้น

   การมาเดินห้างโดยไร้จุดหมายมันโคตรน่าเบื่อ ผมเข้าออกร้านนั้นร้านนี้จนขี้เกียจเดิน ม้านั่งด้านหน้าจึงเป็นทางเลือก แต่พอก้าวขา เสียงที่เหมือนจะคุ้นอยู่หน่อยๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง และพอหันไปก็เจอเจ้าของเสียงทำหน้าง้ำงอกับคนข้างๆ ที่คงจะเป็นเพื่อนสนิท ผมขยับไปยืนข้างเสา ไม่ได้หลบนะ แค่ไม่อยากให้เขาเห็น...ไม่รู้เหมือนกันทำไมถึงคิดและทำแบบนี้


   “มึงชิมที ไอติมกูแทบหมด” เสียงเง้างอดดูเข้ากับหน้างอๆ ดีนะครับ พี่ม่านกำลังเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ เสียงนั่นเลยได้ยินชัดเจน

   “หวงเหี้ยอะไร ไอติมนั่นก็เงินกูไอ้ห่ามู่” แทบจะขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อ มู่? หรือนี่จะเป็นแฝดพี่ม่านวะ

   “เงินมึงแต่ไอติมกู มึงแพ้กูก็ต้องเลี้ยงสิวะ” คำตอบกลับกับน้ำเสียง ฟังยังไงมันก็พี่ม่านนี่หว่า

   “แค่สอบแพ้ไปแค่คะแนนเดียว ไอ้เชี่ยนี่” เพื่อนที่สูงกว่าตบเข้าหัวคนกินไอศกรีมจนหน้าคะมำทิ่มใส่ถ้วยที่ถืออยู่ “เห้ย ไอ้มู่ลี่ กูไม่ได้ตั้งใจ” คนบอกไม่ได้ตั้งใจรีบหากระดาษทิชชู่มาเช็ด แต่ปากอ้ากว้างหัวเราะขัดกับคำพูดชัดๆ

   “ไอ้เจ มึงทำร้ายกู” จมูกรั้นเปื้อนไอศกรีมสีชมพู ดูแล้วตลก มิน่าเพื่อนเขาถึงหัวเราะไม่หยุด

   “กูก็เช็ดให้มึงนี่ไง เดี๋ยวๆ มึงมีจมูกสีชมพูเหมือนหมาเลยว่ะ”

   “หมู ไอ้เหี้ย”

   ประโยคที่ได้ยินเล่นเอาผมขำไปด้วย ส่วนคนมีจมูกเหมือนหมา เอ๊ย หมูก็หน้างอไปตามระเบียบ

   “โอ๋ๆ กูไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่” ผมมองพี่คนตัวสูงลูบหัวลูบแก้มด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันรู้สึกว่า ถ้าผมทำแบบนั้นได้ ผมจะรู้สึกยังไง

   “ดี แบบนี้สิถึงจะสมเป็นเพื่อนไอ้ม่านคนนี้หน่อย” ชื่อที่ผมได้ยินหลุดมาจากปากคนยิ้มแป้น ม่าน...พี่ม่านจริงๆ ด้วยว่ะ แต่ทำไมเพื่อนเรียกมู่วะ

   “แน่นอน กูลดตัวมาคบกับมึงได้นี่ เป็นบุญของมึงมาก” แล้วพี่ม่านก็วิ่งไล่เตะเพื่อนตัวเองจนห่างผมไป ผมมองคนสองคนวิ่งไล่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ปากยังมีรอยยิ้มอยู่ตลอด

   มันหน่วงพิกลอาจปนความอิจฉาเล็กๆ

   ผมรีบสลัดความคิดบ้าๆ ออกจากสมอง ก่อนตัดสินใจกลับห้อง ไม่สนว่ายายจะโทรตามให้กลับบ้านกี่สาย จะให้ผมกลับทำไม ในเมื่อบ้านนั้นมีหลานที่เขารักอยู่แล้วตั้งหลายคน ผมไม่ไปสักคนคงไม่มีสนเดือดร้อนหรอก


   ลานจอดรถของห้างมีรถจอดแน่นขนัด ผมยื่นรีโมทปลดล็อกรถตัวเองก่อนเข้าไปนั่ง เพราะมัวแต่มองนั่นมองนี่ในรถจนลืมมองด้านนอก พอหันกลับมาก็เจอคนยืนหน้ายักษ์อยู่หน้ากระโปรงรถ พี่ม่านยืนเท้าเอวจ้องรถผมนิ่ง ขมวดคิ้วเป็นปม ตาก็จ้องแบบไม่พอใจ มีอะไรของเขา

   “เชี่ยเอ๊ย จอดรถไม่ลงเบรกมือ แล้วกูจะออกยังไง” เสียงแว่วๆ ดังเข้ามาในรถ ผมเผลอยิ้มออกมา สายตาก็มองตามร่างผอมๆ ที่เดินวนรอบรถผม อ่า ผมจอดขวางหน้ารถพี่เขาสินะ ถึงว่า ตอนจอดแรกๆ เห็นรถกระบะคุ้นๆ

   รถของผมติดฟิล์มดำไปหน่อย คนด้านนอกเลยไม่เห็นว่ามีเจ้าของรถนั่งอยู่ พี่ม่านเดินวนไปวนมา ก่อนมาหยุดหน้ากระโปรงรถตามเดิม

   “แม่งหนัก” หลุดขำออกมาอีกแล้ว คนหน้ารถออกแรงผลักรถผมให้ขยับ แต่มันไม่ขยับหรอก ก็ผมขึ้นเบรกมือไว้ อยากแกล้งสักหน่อย “เชี่ยเอ๊ย” คราวนี้หัวเราะเลยครับ พี่ม่านเตะเข้ารถผมเสียงดัง โชคดีที่รถผมเป็นเหล็กหนามันคงไม่บุบง่ายๆ แต่ที่บุบคงจะเป็นเท้าใครบางคนที่กระโดดเหยงๆ หน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

   หัวเราะจนปวดท้องไปหมด สุดท้ายผมก็สตาร์ทรถ นั่นทำให้คนเตะรถตกใจแล้ววิ่งไปหลบหลังรถตัวเอง คงกลัวความผิดแน่ๆ นี่พี่เขาจะทำให้ผมหัวเราะจนขาดอากาศตายใช่ไหมครับเนี่ย

   พอเห็นว่าพี่ม่านคงกลัวจริงผมก็เลยขับรถออกมา แต่ตายังมองกระจกหลัง เห็นคนหลบวิ่งออกมาชูนิ้ว ชูเท้าใส่ผม ความน้อยใจเมื่อครู่ปลิวหายไปกับอากาศทันที แทบลืมด้วยซ้ำว่าใครโทรมาก่อนหน้านี้ รู้แต่เพียงว่า ผมยังหัวเราะไม่หยุดก็แค่นั้น ยามนึกถึงหน้ายักษ์ของคนอวดเก่ง


   คนนี้สินะ ภาพซ้อนของผม



   จากวันที่เจอที่ห้าง ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ปัญหาที่มันเข้ามาทำให้ผมลืมเสียงหัวเราะของตัวเองไปหลายวัน มาวันนี้ พวกไอ้เบียร์ชวนผมมากินเหล้าที่ร้านแถวหอมัน ไม่สนเหตุผลที่มันยกมาอ้างว่าสาวเยอะ แต่ที่ผมตามมาเพราะอยากเมา

   “วันนี้กูต้องได้สาวสักคนสิวะ” ไอ้เบียร์ดูกระดี๊กระด๊าอย่างน่าขำ ผมเห็นมันเที่ยวขอเบอร์สาวไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็นจะจริงจังกับใคร ต่างจากไอ้ไม้ที่ดูมีเป้าหมาย มันกำลังจีบสาวครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจีบใคร

   “ขอให้จริงเถอะ” ไอ้ไม้ก็คงหมั่นไส้ไม่แพ้ผม

   “ระวังเขาท้องนะมึง” อดไม่ได้ที่จะเตือน แม้ป้องกันอย่างดีก็อาจมีผิดพลาด

   “ไอ้พวกเชี่ย กูไม่ได้หื่นขนาดนั้น” ส่ายหน้าให้กับเพื่อนที่บอกไม่หื่น ไม่หื่นน้อยน่ะสิ “ไปๆ กูจองโต๊ะไว้แล้ว”
 
   ไอ้เบียร์โชว์ความเป็นเจ้าถิ่น มันเดินนำหน้าไปทักทายพนักงานเสิร์ฟ ก่อนพวกเราจะเดินตามไปที่โต๊ะ เอาจริงๆ ร้านนี้ก็ร้านอาหารนั่นแหละครับ มีดนตรีสดให้ฟัง ไม่ได้เป็นผับหรือร้านเหล้าหรูๆ อะไร พอนั่งโต๊ะปุ๊บ พวกเราก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งทั้งกับแกล้ม ทั้งเหล้ามาแบบจัดเต็ม วันนี้ขอเมาหนักๆ สักวัน

   “เมื่อไหร่ดนตรีเล่นวะ” ไอ้ไม้ถามขณะยกแก้วขึ้นจิบ

   “ไม่รู้” ผมกับคนถามร้องอ้าวพร้อมกัน “แต่น่าจะใกล้ละ ปกติกูมาดึกกว่านี้ไง”

   ผมเลิกสนใจหน้าเพื่อนตัวเองแล้วมองไปรอบๆ ร้าน ลูกค้าร้านนี้ค่อนข้างเยอะ สงสัยจะอร่อยจริงอย่างไอ้เบียร์โม้ไว้ มองไล่ตั้งแต่เวทีไปยังด้านนอกร้าน...หืม ผมว่า ผมเหมือนเห็นคนรู้จักว่ะ

   “เป็นอะไรวะ” ไอ้ไม้ถาม มันคงเห็นผมหันหน้าไปๆ มาๆ เพื่อจะหลบคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา

   “ไม่มีอะไร” รีบบอกปัดก่อนจะก้มหน้าลงกับโต๊ะ

   ทำไมมันบังเอิญแบบนี้วะ

   เสียงพี่ม่านพูดเจื้อยแจ้ว ร่างผอมๆ เดินไปนั่งอีกฝั่ง ผมแอบเหล่ตามอง เพื่อนที่มาด้วยเป็นเพื่อนคนเดียวกับที่เจอวันนั้น คงจะสนิทกันมาก

   “มองอะไรวะ” ชักสีหน้าใส่เพื่อนตัวเอง มันจะถามอะไรมากมายวะเนี่ย

   “เปล่า”

   ความคิดจะเมาหนักตอนแรกหายไปทันที ก็เพราะผมแทบไม่ยกแก้วขึ้นดื่ม ตาก็คอยมองแต่คนที่นั่งอีกฝั่ง พี่ม่านหัวเราะงอหงายอยู่กับเพื่อน หลายครั้งถูกเพื่อนตีหัว เจ้าตัวก็ชักหน้าบึ้งแล้วก็ยิ้มออกมาเองโดยไม่ต้องง้ออะไร แปลกดี

   บนโต๊ะฝั่งนั้นมีหมูย่างที่คงจะร้อนไปหน่อย คนกินโดยไม่เป่าเลยต้องรีบคายออกมาแล้วโวยวาย ผมหลุดขำพร้อมกับเพื่อนของพี่เขา บ้างก็กินผักแล้วทำให้ดูติดฟัน คือพี่เขาเป็นคนตลกจริงๆ สินะครับ

   เวลาผ่านไปนานจนนักดนตรีออกมาเล่นเพลงให้ฟัง เสียงเพราะๆ คลอเคล้าสร้างบรรยากาศยามค่ำคืน แต่น่าแปลก ทำไมผมถึงไม่ชอบ ไม่อยากให้นักดนตรีออกมาเล่นเลย มันทำให้ผมไม่ได้ยินเสียงพูดของอีกฝั่ง

   ผมไม่ได้ขี้เสือกหรอกนะ อย่าคิดแบบนั้นเชียว

   นั่งฟังเพลงไป จิบเหล้าไปเริ่มเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนพี่ม่านเตรียมจะกลับ มองคนที่เดินผ่านไปโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ผมมองตามจนสุดสายตาก่อนรีบลุกออกไปตาม ไม่ลืมวางเงินส่วนของตัวเองให้พวกเพื่อน และไม่สนเสียงร้องเรียกใดๆ รู้แค่ว่า ผมต้องกลับเหมือนกัน

   พี่ม่านเดินไปที่รถตัวเองที่บังเอิญจอดข้างรถของผม แอบเห็นจดๆ จ้องๆ คงจะคุ้นน่าดู

   “มีอะไรวะไอ้มู่” พี่ที่มาด้วยถาม คงเห็นเพื่อนตัวเองไม่ยอมขึ้นรถสักที

   “กูว่า กูคุ้นๆ รถคันนี้ว่ะ” พี่ม่านเดินวนไปมารอบตัวรถเก๋ง “คุ้นจริงๆ ว่ะ” ใบหน้าครุ่นคิดขมวดบึ้งตึง แต่ผมกลับชอบ...

   “คุ้นเพราะอยากได้หรือเปล่าไอ้ห่ามู่”

   “อยากได้ก็ส่วนหนึ่ง แต่ราคาแพงเกินไม่มีปัญญา ถุ้ย ไม่ใช่เว้ย กูหมายถึง กูคุ้นเหมือนเคยมีเรื่องกับคันแบบนี้ สีแบบนี้ ป้ายทะเบียน...” โคตรลุ้น ไม่รู้จะจำได้หรือเปล่า “จำไม่ได้”

   “ไอ้ห่า ไปๆ เดี๋ยวกูต้องไปคุยเรื่องรับน้องอีก” ผมว่า ถ้าเพื่อนไม่เรียก พี่ม่านคงเดินวนรอบรถผมถึงเช้าแน่

   พี่เขาทำให้ผมยิ้มเหมือนเป็นบ้า...สงสัยต้องให้รับผิดชอบซะแล้ว


   ผมตัดสินใจเดินหน้าบุกไปหาพี่เขาถึงที่มหาลัยในวันถัดมา ใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ในการหาตึกเรียน แค่ลองถามคนแถวๆ นั้นดูก็จะรู้ว่าปีสามเรียนตึกไหน เลิกประมาณกี่โมง ผมอยู่รอไม่นาน เสียงโวกเวกโวยวายก็ดัง หนึ่งในเสียงนั้นผมจำได้ดี

   พี่ม่านมาแล้ว

   สูดเอาความกล้าเพื่อเพิ่มพลังตัวเอง จังหวะที่กลุ่มพี่ม่านเดินมา ผมรีบเดินไปขวาง เห็นคนตัวเตี้ยกว่าผมเบิกตาโต ท่าทางดูงงๆ ปนตกใจ

   “ผมจะจีบพี่ครับ” โพล่งออกไป สร้างเสียงฮือฮาไปทั่ว

   “มึง...” พี่ม่านช็อกไปแล้วครับ “มึงพูดอีกทีดิ๊ กูว่า กูหูเพี้ยนว่ะ”

   “ผมบอกว่า ผมจะจีบพี่ครับ” เน้นทีละคำให้ดูหนักแน่น

   “กูว่า มึงเพี้ยนแทนหูกูแล้วล่ะ” พูดจบก็จะเดินหนี ดีที่ผมคว้าแขนไว้ทัน “อะไรของมึง กูมีเรียน” เสียงโคตรเหวี่ยง ไม่รู้อายหรือโกรธ

   “แต่ผมจริงจัง” ผมยืนยันในสิ่งที่พูดไป แต่ดูอีกคนไม่เชื่อ พี่ม่านบอกว่าผมกำลังสับสน
 
   “กูไม่ใช่ตัวแทนของเพื่อนกู จบนะ” ว่าเสร็จก็เดินหนีไปทันที ส่วนผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกหน้าชายามที่ถูกสายตาของคนที่ผมขอจีบมอง แววตาไม่ได้ตำหนิแต่ไม่พอใจ

   หรือผมจะรุกเร็วไปนะ

   โชคดีที่ผมมีนิสัยเป็นพวกไม่ยอมแพ้ หากชอบอะไรแล้วมันก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ท้ายที่สุดหากไม่ได้ อย่างน้อยก็ได้พยายาม ต้องขอบคุณอดีตที่ไม่ค่อยดี ที่สร้างให้ผมเป็นคนแบบนี้ ถ้าไม่สู้ ก็ไม่มีตัวตน

   ผมตีมึนส่งข้อความไปหาพี่ม่านอยู่ตลอด มีตอบกลับบ้าง อ่านไม่ตอบบ้าง หรือไม่อ่านเลยก็มี แต่ไอ้เม่นไม่เคยยอม ผมคิดอย่างดีแล้ว ทบทวนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่มีแต่พี่กลอย เล่น หยอกเหมือนเดิม แต่ก็ทำแค่นั้น ไม่มีอาการใจสั่นเหมือนครั้งแรกที่เจอ

   ผมคงแค่หลงพี่กลอยตามพวกไอ้ไม้ ไอ้เบียร์นั่นแหละครับ ไม่ได้รักหรอก ต้องโทษตาแป๋วๆ กับปากแดงๆ นั่นที่ทำให้หลงจนทำตัวแย่ๆ ในสายตาคนอื่นแบบนั้น 

   ไม่ปล่อยเวลาไปเปล่าๆ ผมรีบรุกเร็วอีกรอบโดยการไปดักรอพี่ม่านที่คณะ คราวนี้ผมขอจีบอีกครั้งด้วยเสียงหนักแน่นและจริงจังที่สุด ผมรู้ว่าพี่ม่านไม่ได้น่ารักเรี่ยราดแบบพี่กลอย แต่พี่ม่านก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง เวลาอยู่หรือคุยด้วย ไม่ได้รู้สึกต้องม้วนเป็นไข่หวาน แต่มันทำให้ยิ้มและหัวเราะได้ตลอด สรุปคือ มีความสุขเวลาอยู่ด้วยนั่นแหละครับ

   “มึงล้อกูเล่นอยู่แน่ ซึ่งกูไม่ตลก กลับไปคิดดูดีๆ ว่ามึงต้องการอะไรกันแน่” พี่ม่านยังคงยืนยันเหมือนคราวแรกที่ผมบอก และเดินหนีไปเหมือนเคย

   คิดว่าไอ้เม่นคนนี้จะยอมเหรอ ไม่มีทางซะหรอก

   เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงที่ผมนั่งรอ ไม่สนสายตาที่หลายคนมองมา บ้างก็ดูแปลกๆ บ้างก็ยิ้มให้ จนเห็นกลุ่มพี่ม่านเดินมาแต่ไกล

   “พี่ม่าน” ฉีกยิ้มกว้างจนเกือบถึงหู คนที่ผมเรียกทำหน้าเหวอตกใจ คงไม่คิดว่าผมจะอยู่รอเป็นชั่วโมงแบบนี้

   “มึง...มาทำอะไรตรงนี้” พี่ม่านมองผมตาพริบๆ

   “รอพี่ไง ก็เราจะไปกินข้าวกันไง พี่ไม่มีเรียนแล้วใช่ป่ะ” อาศัยจังหวะพี่ม่านงง ผมรีบยื่นมือจับแล้วออกแรงดึง หากไม่มีอีกมือมาดึงไว้ซะก่อน สายตาเจ้าของมือจ้องผมซะโหด แต่ไอ้เม่นไม่เคยกลัวนะครับ เพราะผมเคยเจอสายตาที่โหดกว่านี้มาแล้วเมื่อตอนวันงานโอเพ้นเฮาส์ที่มหาลัยตัวเอง

   “ปล่อย” เจ้าของมือนั่นกดเสียงต่ำบอก ถ้าหากไม่บอกว่าเพื่อน ผมต้องคิดว่า พี่เขาต้องเป็นคู่แข่งอีกคนของผมแน่ๆ “นี่เพื่อนกู”

   “พี่นั่นแหละที่ต้องปล่อย นี่ก็...ก็แฟนในอนาคตของผม” พูดเต็มปากเต็มคำ ไม่สนตาโตๆ ของใครทั้งนั้น

   “หรือเสียใจจากไอ้กลอยจนเพี้ยน”

   “ผมคงจะเพี้ยนจริง เพี้ยนใจมารักพี่ไง” ดูเหมือนผมจะใช้ศัพท์วัยรุ่นไป เลยไม่มีใครเข้าใจ “เพี้ยนใจมารัก ก็ผันมาจาก เปลี่ยนใจมารักไง” ยิ้มแป้นแล้นให้กับความเสี่ยวของตัวเอง ผมก็เพิ่งรู้ตัวเองนี่แหละครับว่ามีมุมนี้เหมือนกัน มัวแต่ยิ้มภูมิใจจนลืมสังเกตว่าพี่ม่านเดินไปแล้ว คงทนความน่ารักของผมไม่ไหว แน่ละ ไอ้เม่นซะอย่าง “พี่ ระวังหลุมนะ”

   “หลุมเชี่ยอะไร อย่ามาหลอกกูซะให้ยาก” ไม่บ้าจี้ด้วย แถมยังเร่งซอยขายิกๆ แต่ขาสั้นแบบนั้น จะสู้ขายาวๆ แบบผมได้ยังไง

   “ไม่ได้หลอก นั่นหลุม” ผมตะโกนพร้อมชี้ คราวนี้พี่ม่านกระโดดเลยครับ โคตรฮา

   “เชี่ย มึงหลอกกู” ทำปากยื่นเหมือนเป็ด โคตรน่ารักอะ “แล้วไหนหลุมของมึง”

   “เต็มไปหมด” ชี้ไปทั่ว “นั่นก็ใช่ นี่ด้วย นู้นด้วย” พี่ม่านขมวดคิ้วมองไปรอบตัว “พี่ไม่เห็นแบบนี้ เสี่ยงจริงๆ ด้วย”

   “เสี่ยงอะไร”

   “เสี่ยงที่จะเดินตกหลุมรักของผมไง” แม้อยากอ้วกกับมุกตัวเอง แต่ก็เอาวะ ไม่เสี่ยวก็ไม่เป็นที่สนใจ พี่ม่านหันไปโก่งคออ้วกแล้วรีบเดินหนี “พี่ ระวังหลุมรักของผม นั่นๆ จะเหยียบแล้ว ตกแล้วขึ้นไม่ได้นะ”

   “ขอร้องอย่าเสี่ยว กูจะอ้วก” ถึงแม้ปากจะด่า แต่ผมเห็นพี่ม่านยิ้มนะ ติดกับไอ้เม่นแล้วล่ะสิ
 
   “พี่ออกเสียงดีๆ นะ เดี๋ยวกำกวม” พี่ม่านหยุดเดินกึก แล้วจ้องหน้าผมด้วยความสงสัย ผมได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้พี่ม่านเป็นอะไร
 
   “ไอ้...” อยู่ๆ คนทำหน้างงก็เบิกตาโตแล้วชี้นิ้วมาที่หน้าผม สงสัยจะรู้ความหมายที่ผมบอกให้พูดดีๆ ไม่งั้นมันจะฟังอีกอย่าง... จากเสี่ยวจะกลายเป็นเสียวยังไงละครับ


   ด่านแรกตีมึนผ่านไปแล้ว ด่านอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถไอ้เม่นคนนี้หรอกครับ จะหนัก จะโหด จะต้องผ่านเพื่อนพี่เขาสักกี่คน ไอ้เม่นคนนี้ก็บ่ยั่นแน่นอน


   เพราะพี่ม่าน ต้องเป็นของไอ้เม่นครับ


.........................................................

มีแฟนเด็ก ต้องหมั่นตรวจเช็คสมอง (หือ)

ขอบพระคุณค่า  :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2017 21:29:16 โดย aiaea83 »

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ความมึนเนียนชนะเลิศ...

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
อะร๊ายเขาเรียกกันเบ๊บี๋ด้วย. แต่เอ เจกอดกับใครนะ  :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ aom2529

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 885
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
55555 เค้ามีโมเมนท์ร่วมกันนะ ไม่ใช่อยู่ๆ จะมาชอบ
เม่นก็บ้าจี้ ไปหลงรักคนจริงจังไปได้
ม่านก็ปากแข็ง กว่าจะยอมรับ

น่ารักมากค่ะ พี่ม่านกับเม่น 5555

ออฟไลน์ hyukkiemai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ความมั่นของเม่น เอาไป 100ค่ะ 55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

13



         หลังจากปิดห้องเชียร์ด้วยความประทับใจ การมาเรียนจึงเป็นอะไรที่โคตรสดชื่น ไม่มีความเครียด ความเกร็งหน้า หรือแม้แต่ทำขรึมต่อหน้าคนอื่น ตอนนี้ได้กลับมาเป็นตัวเอง แม้ผมจะไม่ได้อยู่โหมดนิ่ง แต่บางครั้งก็ต้องนิ่งเวลามีพวกไอ้เจอยู่ด้วย ต่อจากนี้ไป ความสนุกจะกลับมาเยือนผมสักที

   “มึงซั่มกับเด็กมึงหรือยัง” คำถามจัญไรออกมาจากปากไอ้เจ ทั้งที่มีขนมอยู่เต็มปาก หล่อๆ อย่างมัน ไม่รู้จักหรอกครับ คำว่า คีฟลุค

   “ซั่มพ่อง กูคบแบบบริสุทธิ์ใจเว้ย” ยื่นมือแย่งขนมไอ้เพื่อนปากหมา พอหลุดจากตำแหน่งก็ออกลายเลยไอ้ห่า

   “พวกมึงชอบคิดอกุศลกับไอ้มู่” ไอ้มีนมันออกโรงปกป้องผมครับ โคตรซึ้ง “อย่างไอ้มู่ มันอ่อนจะตาย ไม่กล้าหรอก ใจแม่งเสาะ เชี่ย” ตบเน้นๆ กลางกบาลแบบไม่ออมแรงด้วย ไม่สนว่าไอ้มีนหน้าจะพุ่งไปโดนอะไร

   “เกือบจะดีอยู่แล้ว ไอ้เชี่ยมีน” เขม่นแรงใส่เพื่อนตัวเอง “ไอ้เกมส์ ช่วยกูหน่อย กูรู้ ว่ามึงเข้าข้างกู” หันไปเขย่าแขน เอาแก้มถูเพื่อนตัวโตแต่มันกลับดันหน้าผมให้ออกห่างคล้ายรังเกียจ

   “ทำแบบนี้กูจะอ้วกไอ้ห่า ไปอ้อนเด็กมึงนู้น” แล้วทุกคนก็หัวเราะเยาะผม แม่ง ไม่มีใครเข้าข้างผมเลย “ว่าแต่ อีแน่วละวะ” ตั้งแต่มานั่ง ผมก็ไม่เห็นเพื่อนสาวใจชายเลย

   “โอย ตอนนี้มันไม่สนเพื่อนหรอก สนแต่สาวที่ได้ใหม่” ไอ้มีนว่า

   “ใครวะ” ทำไมเหมือนมีแค่ผมที่ไม่รู้เรื่อง

   “เด็กปีหนึ่งคณะเรานี่แหละ รองดาว” พยักหน้าให้คำตอบของไอ้มีน ร้ายกว่ายุงก็แน่วเพื่อนผมนี่แหละครับ แป๊บๆ ได้สาวใหม่อีกแล้ว


   แล้วแบบนี้ผู้ชายอย่างพวกผมจะมีไปทำไมเนี่ย   


   ผมเลิกสนใจเรื่องความรักของเพื่อน เพื่อมาสนใจข้อความในมือถือที่มันสั่นอย่างต่อเนื่อง ไอ้เม่นท่าจะบ้าเกินไปแล้วจริงๆ นะผมว่า ขนาดอยู่ในห้อง นอนบนเตียงข้างกัน มันยังส่งข้อความมาหา พอผมด่า มันก็ว่า คำพูดเป็นแค่ลมปาก ถ้ามีตัวอักษรด้วย หากลืมหรือคิดถึง ก็จะได้กลับมาเปิดดูอีกได้ 

   ชักอยากรู้ว่า ไอ้เด็กนี่โตมายังไงแล้วล่ะสิ

   “เอ่อ มหาลัยปิดอาทิตย์หนึ่ง ไปไหนกันดีวะ” ไอ้เจเปิดประเด็นหลังจากกินขนมหมดถุง ไอ้นี่ เรื่องกินไว้ใจได้ แต่กินหนักก็ไม่อ้วน โคตรอิจฉา

   “กูว่าจะล่องใต้ ไปว่ายน้ำดูปะการัง ดูสาวใส่ชุดบิกินนี่” อือฮือ แทบอยากมุดกระเป๋าเดินทางไปกับไอ้มีนเลยครับ “พวกมึงล่ะ”

   “กูคงไปนั่งปฏิบัติธรรมกับแม่ว่ะ” ไอ้เกมส์พูดออกมาหน้าตาย แต่พวกผมกลับแตกตื่นสุดๆ

   “เรื่องจริงเหรอวะ” ผมถามออกไปอย่างไม่เชื่อหู หน้าโหดๆ อย่างไอ้เกมส์เนี่ยนะ

   “อืม แม่กูบอกว่ากูกำลังจะมีเคราะห์ พอดีหยุดเลยสั่งให้กูไปปฏิบัติธรรม” น้ำเสียงมันโคตรโมโนโทน ผมตบบ่าเพื่อนรักตัวโตอย่างเห็นใจ “พวกมึงว่า ที่นั่นเขาจะมีไมโครเวฟหรือเปล่าวะ”

   “ฮะ มึงว่าอะไรนะ” ไอ้เจแทบยื่นหน้ามาติดกับไอ้เกมส์

   “ก็กูเห็นข้อห้ามโคตรเยอะ ถ้าแม่งมีแต่กับข้าวเจ กูจะได้แอบเอาข้าวกล่องไป เผื่อเวฟกินตอนดึกๆ” ได้บุญโคตรๆ ครับเพื่อนผม “มึงล่ะไอ้มู่ หยุดนี้ไปไหน”

   “ทำไมมึงไม่ถามไอ้เจก่อนล่ะ” ไอ้เจมันก็ยังไม่ได้พูดเลย

   “เกี่ยวอะไรกับกู คนอย่างกู ก็นอนตายอยู่ในห้องนั่นแหละ พ่อแม่กูหนีไปทะเลนู้น” ไอ้นี่ก็น่าสงสารเหมือนกัน พ่อแม่ชอบไปเที่ยวโดยไม่พาลูกไป

   “กูว่าจะกลับบ้านว่ะ” ผมบอก

   “พาผัวไปให้พ่อแม่ดูตัวเหรอวะ” แทบอยากกระโดดถีบเพื่อนตัวเองที่แหกปากหัวเราะไม่แคร์เด็กปีอื่นๆ ที่มองมา “แต่จะเรียกผัวก็ไม่เต็มปาก เพราะยังนกอยู่ จิ๊บๆๆ”

   “ไอ้พวกเหี้ย” ได้แต่โวยวาย เพราะขืนไปทำอะไรพวกมันได้รุมผมเละแน่ ถ้าคนเดียวพอเอาคืนได้ นี่สามเลยนะ คูณมือ คูณตีนเข้าไป ตายแน่นอนผมน่ะ

   จะว่าไป ผมยังไม่ได้บอกไอ้เม่นเลยว่าจะกลับบ้านที่เชียงใหม่ ไม่รู้มันจะว่าไง...







   “ไปด้วย ไม่หยุดก็จะไป นะๆๆๆ” ผมยืนเท้าเอวมองไอ้เด็กปีหนึ่งต่างมหาลัยนอนดิ้นไปมาอยู่กลางเตียง คือมึงจะปัญญาอ่อนแบบพี่คณะมึงไม่ได้ “พี่ม่าน ให้เม่นไปด้วย”

   “แต่มหาลัยมึงไม่หยุด จะไปได้ไง” พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นที่สุด ผมนั่งลงบนเตียงปุ๊บ ไอ้เม่นก็รีบไถตัวขยับหัวหนักๆ มาหนุนตัก “มึงก็อยู่เฝ้าห้องให้กูไป”

   “ไม่เอา” รีบแขม่วพุงเมื่อถูกหน้าขาวหันมาซบ แขนยาวของมันรัดรอบเอวผมจนขยับหนีไม่ได้อีก “งั้นก็ไปวันหยุดสิ นะๆ ให้เม่นไปด้วย”

   “แต่...” ไม่ชอบเด็กก็เพราะผมขัดใจไม่ได้นี่แหละครับ “เออๆ ไปวันศุกร์กลับวันอาทิตย์ โอเค๊” วันศุกร์มันไม่มีเรียนครับ ไอ้เด็กที่นอนหนุนตักผมเนี่ย

   “เย้ๆ ขอบคุณครับ รักพี่ม่านโคตรๆ จุ๊บๆ” ฉิบหาย ไอ้เม่นจูบหน้าท้องผมจนขนลุก ผมรีบดันหน้าผากมันให้ห่าง “อะไร”

   “ขนลุกไอ้ห่า แล้วอย่าพูดว่ารักกูบ่อย ฟังแล้วมันไม่ศักดิ์สิทธิ์” ที่จริงเขินหรอก

   “อะไรที่พี่บอก เม่นพร้อมทำตามทู๊กอย่าง” เกลียดสายตาแป้วๆ ของมันมาก โคตรอยากเอานิ้วทิ่มตานัก

   “เลิกเสี่ยวด้วย กูขี้เกียจอ้วก”

   “ไม่เสี่ยวไม่ได้ เดี๋ยวพี่ม่านจะเหงาหัวใจ” ไม่พูดปากเปล่าด้วยนะ มือมันยื่นมาจับหน้าอกผมด้วย ไอ้นี่แอบเนียนตลอด

   “ไอ้....” อ้าปากจะด่า แต่ก็หุบ ไม่อยากเถียงมาก ผมว่า ตั้งแต่รู้จักไอ้เม่น พลังชีวิตผมโดนสูบไปมากโข “มึงไปบ้านกู ไม่กลัวพ่อกับแม่กูเหรอ”

   “ไม่กลัวหรอก” ผมเลิกคิ้วมองคนที่ผละจากตักผมไปนอนคว่ำ ไอ้เม่นใช้ข้อศอกค้ำเตียงวางคางบนหลังมือ “พี่ม่านน่ารักแบบนี้ พ่อกับแม่ก็ต้องน่ารักเหมือนกัน”

   “มั่นใจขนาดนั้น” หลุดยิ้มให้คนมั่นหน้าที่ยักคิ้ว “พ่อกูดุมาก มีปืนโคตรเยอะ”

   “ปืน? เอาไว้ยิงนกเหรอ”

   “ยิงนกห่าอะไร บาป”

   “ขนาดนก พ่อพี่ยังไม่ยิง เม่นเป็นแฟนของลูกเขา พ่อไม่ยิงหรอก”

   “ไอ้เม่น ไอ้เสี่ยวแดก” ใช้เท้าถีบจนไอ้เสี่ยวหน้าหงายเลยครับ ไม่มีสงสารหรอกสำหรับไอ้นี่

   “พี่ม่านอ่า...”

   ผมรู้สึกดีนะ ที่เรากลับมาเรียกกันแบบครั้งแรก ผมว่ามันฟังแล้วรื่นหูมากกว่า แล้วผมก็ถนัดเรียกแบบนี้ด้วย มาให้เรียกบงเรียกเบ๊ ไอ้ม่านไม่ไหว มันทรมานปากเหลือเกิน

   “ไอ้เม่น มึงใส่กางเกงในกูอีกแล้ว” มัวแต่คิดบ้าบอ หันมาอีกที เห็นคนยืนแก้ผ้าเหลือแค่กางเกงในสีขาวลายหมีที่ก้น

   “ของพี่ก็เหมือนของผมนั่นแหละ” ว่าแล้วมันก็รูดหมีขาวลงจากเอว “แล้วผมก็ไม่ถือด้วย”

   “มึงไม่ถือ แต่กูถือ ไอ้เหี้ย” แม้อยากจะวิ่งไปหยิบกางเกงในตัวเองที่ม้วนเป็นเลขแปด แต่ดูแล้วคงต้องให้มันเอาไปซักก่อน เชี่ยเอ๊ย ขนาดผมสนิทกับพวกไอ้อัธ ไอ้กลอย ยังไม่เคยเอากางเกงในพวกมันมาใส่ แม่ง “มึงเอาไปซักมาคืนกูด้วย”

   “เม่นก็ซักให้ทั้งของตัวเองแล้วก็ของพี่นั่นแหละ นู้นไง ที่ระเบียง”

   “ฮะ?” รีบวิ่งไปเปิดประตูระเบียงดูแทบไม่ทัน ที่แขวนชั้นในมีทั้งกางเกงในของผมกับไอ้เม่นห้อยเต็มไปหมด “นี่มึงซักของกูด้วยเหรอ” ผมนี่อึ้งไปเลยครับ

   “อื่อ ไม่เห็นเป็นไร ก็เราเป็นแฟนกัน เม่นไม่ถือ” ผมมองรอยยิ้มที่ปากของมัน คือไม่อยากมองช่วงล่างที่เป็นชีเปลือย “พี่น่ะ ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ผมเปิดใจ เปิดแม่งทุกอย่างแล้ว พี่ก็ต้องเปิดบ้าง” สายตาที่มันปะทะกับผม เหมือนบังคับให้ผมมองตามมาที่ตัวเอง... “อย่างเช่น แก้ผ้า อาบน้ำด้วยกันอะไรแบบนี้”

   “ไอ้...” ไม่ทันได้ด่า มันก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมควรรับมือยังไงดีกับไอ้เด็กเม่น หรือจะถามไอ้กลอย แต่แฟนมันคงไม่เสี่ยวเหมือนไอ้เม่น หรือไอ้ทู ไม่ๆ ไอ้เพื่อนคนนี้ปากมาก “โอ๊ย กูเครียด” ขยี้ผมจนยุ่งเหยิง ขัดกับเสียงร้องเพลงในห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี

   ผมต้องรับสภาพพร้อมเปิดตัว เอ๊ย เปิดใจจริงๆ ใช่ไหม

   เฮ้อ ไหวหรือเปล่าเนี่ยกู






   เวลาช่างผ่านไปเร็วดั่งนิยาย ปุ๊บๆ ก็วันศุกร์สุดสัปดาห์แล้ว ผมแบกกระเป๋าใส่ในรถกระบะของตัวเอง ผมว่า ผมโคตรจะพร้อมแล้วนะ แต่ยังมีคนพร้อมกว่าผมอีก ไอ้เม่นพกทั้งผลไม้สด กระเช้าอีกสามสี่กระเช้า นี่ถ้าผมอยู่ตอนมันซื้อ ผมคงตบหัวมันไปแล้ว นี่ก็บ่นไปหลายรอบ แต่มันก็แบกมาใส่รถจนได้

   “มึงนี่นะ จะซื้อทำไมเยอะแยะ” ก้าวขาขึ้นรถก็เริ่มบ่นอีกรอบครับ กลับบ้านคราวนี้ผมมีโชเฟอร์ ที่จริงก็คิดว่าจะสลับกันขับนั่นแหละครับ ขืนให้มันยิงยาวอาจจะล้าแล้วพากันลงข้างทางได้

   “พี่เลิกบ่นสักทีสิ ก็ซื้อมาแล้ว อีกอย่าง เม่นไม่รู้ว่าพ่อกับแม่พี่กินอะไรได้บ้าง เลยซื้อมาหมดเลย” ได้แต่ถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ได้ คืนก็ไม่ได้ “หิว”

   “เดี๋ยวแวะซื้อหมูปิ้งตรงมุมซอย” ผมชี้นิ้วแล้วดึงสายเข็มขัดมาคาดตัว

   “มา เดี๋ยวแฟนสุดหล่อคนนี้จะทำให้” ไอ้เม่นตีมือผมจนสายมันเด้งกลับที่เดิม เกือบโดนหน้าผมแล้ว “พี่กินก็เยอะ ทำไมไม่อ้วน” ดูมันบ่นครับ “ไม่เป็นไร อยู่กับเม่น เดี๋ยวเม่นบำรุงเอง”

   “บำรุงอะไร รีบๆ เลย เดี๋ยวออกสายถึงค่ำพอดี” เกลียดนัก รอยยิ้มจนตาหยีของมันเนี่ย

   “ครับๆ”

   รถกระบะของผมล้อหมุนแล้วครับ เวลาดีหกโมงเช้าพอดี เส้นทางก็สายเอเชียยิงยาวถึงบ้าน ถ้าผมมาคนเดียวคงขึ้นรถทัวร์ เพราะง่ายและสะดวกกว่า ประหยัดกว่า ปลอดภัยกว่าด้วย ขืนขับรถกลับเองคงหลับในก่อนพอดี

   “กินข้าวเหนียวมากเดี๋ยวก็ง่วงหรอก” ผมเตือนคนขับรถที่มันอ้าปากรอข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ผมปั้นเป็นก้อนทีละคำ มันกินจนจะหมดถุงแล้วครับ สิบบาทเนี่ย

   “ถ้าเม่นง่วง พี่ก็เปลี่ยนมาขับก่อน งีบสักสิบนาที ตาก็สว่างแล้ว” เบ้ปากให้คนที่แสนมั่นใจ

   “ตาสว่าง แล้วยายไม่สว่างเหรอ” เล่นมุกกากๆ ตามสไตล์ ไอ้เม่นหันมาอ้าปากรอข้าวไม่สนว่าผมจะเล่นมุกอะไร
นี่มันยิ่งกว่าด่าว่ามุกเหี้ยอีก 

   “มุกพี่เจ๋งว่ะ” ผ่านไปสิบกว่านาที ข้าวหมดปากมันถึงพูดออกมา

   “ขอบใจ...ไอ้เหี้ย” หน้างอสิผม ไอ้เม่นหัวเราะจนน้ำตาไหล แม่ง “ขับๆ ไปเลย เอ่อ เดี๋ยวแวะซื้อปลาแดดเดียวแถวสิงห์บุรีด้วยกูอยากกิน” ไม่น่าเชื่อ ว่าผมจะมีคนให้ออกคำสั่ง แล้วมันฟังแทบทุกครั้ง เริ่มมองเห็นข้อดีของการจะมีแฟนแล้วสิ


   ถนนสายเอเชียมุ่งหน้าขึ้นภาคเหนือ รถราก็คับคั่งเป็นช่วงๆ ผมเปลี่ยนมาเป็นคนขับแถวๆ กำแพงเพชร เพื่อให้ไอ้เม่นได้นอนหลับ เห็นมันหาวหลายครั้งติด ฤทธิ์ของข้าวเหนียวคงเพิ่งจะกำเริบ ส่วนผมนั้น กำเริบตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงหลังกินอิ่มนั่นแหละครับ

   “ขับดีๆ นะครับ เม่นเป็นห่วง” แม้ปากมันจะพูด แต่ตามันปิดสนิทไปแล้ว ผมส่ายหน้าให้กับเด็กที่กล้าบุกไปขอจีบผม ทั้งที่ตอนเจอครั้งแรก ที่มันจะยอมเป็นแฟนนั่น ผมก็คิดว่ามันพูดเล่นๆ ที่ไหนได้ มันกลับเอาจริงเฉย
 
   ผมขับรถมาเรื่อยๆ ถนนก็แบ่งสร้างใหม่ทำให้เวลาที่คิดไว้พลาดไปมาก ยังไม่ถึงบ้านท้องฟ้าก็เริ่มเป็นสีส้มแล้ว แม่ก็โทรมาถามผมเป็นระยะ คงกลัวว่าจะง่วง พอเข้าเขตจังหวัดเชียงใหม่ ผมก็ยิ้มออกเลยทีเดียว ตอนนี้โคตรเมื่อย ขยับก้นไปมาเพื่อให้เหน็บที่กินเบาลงอยู่หลายรอบ แบบว่า มันชาไปหมด

   ผมเลี้ยวเข้าแยกเพื่อออกนอกตัวเมือง บ้านของผมอยู่เขตชนบท ช่วงที่รถขับลงหลุมเพราะหลบไม่พ้น แรงส่ายของรถทำให้คนนอนหลับสะดุ้งตื่น ไอ้เม่นงัวเงียมองออกนอกหน้าต่างที่มีแต่ทุ่งนา

   “ที่นี่ที่ไหนเนี่ย” มันขยี้ตาไปมา คงมึนๆ สมองทำงานไม่เต็มที่อยู่

   “เชียงใหม่” ผมบอก ไอ้คนเพิ่งตื่นรีบทำตาโตหันมามอง

   “เฮ้ย ทำไมพี่ไม่ปลุกผม ผมกะจะนอนสักสิบนาทีแล้วเปลี่ยนมาขับ” ยังมาหน้ามาพูด ไอ้เม่นกรนมาตลอดทาง เสียงกรนทำให้เพลงที่เปิดแทบฟังไม่รู้เรื่อง

   “ปลุกแล้ว แต่มึงไม่ตื่น ใกล้ถึงบ้านกูละ” พูดจบ ไอ้เม่นก็ทำหน้าตื่น ไหนใครบอกไม่ตื่นเต้นวะ ผมขำหน้าเหลอหลาของมัน จนมันค้อน “อย่าลืมนะ ว่าพ่อกูมีปืน มึงพูดไม่เข้าหู พ่อกูยิงไส้ทะลุแน่”

   “ไม่กลัวหรอก เพราะพ่อพี่จะไม่ทำร้ายคนรักของลูก”

   “มั่วตลอดมึงน่ะ”

   ท้องถนนที่แสนคุ้นเคย ต้นไม้ที่เคยปีนเล่น และบ้านที่โตมา ผมเลี้ยวรถเข้าหน้าบ้านตัวเอง มีแม่ยืนรอรับอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พอรถจอดสนิท ไอ้เม่นก็ดูเกร็งทันที เจอของจริงเข้าไป ไอ้คนกล้าหายไปเลยเว้ย

   “ตื่นเต้น” ผมขำให้กับคนข้างๆ ที่มันยังไม่กล้าเปิดประตูออกไป “ต้องลงแล้วใช่ไหม”

   “เออ” ผมโบกมือให้แม่ขณะที่ดับเครื่อง และแค่เปิดประตูลงไป หมาที่ผมเลี้ยงมาก็กระโดดโลดเต้นเกาะแข้งเกาะขาดีใจจนผมต้องอุ้มมัน ดีที่ตัวไม่ใหญ่ “แม่ ม่านมาแล้ว” ผมโยนหมาลงก่อนเพื่อไหว้แม่ อยากจะกอดเหมือนกัน แต่บังเอิญกอดหมาไปก่อนหน้า มันเลยดูไม่เหมาะเท่าไหร่ อันที่จริงไม่เหมาะกอดหมาก่อนผมรู้ดี

   “มาค่ำแต้” (มาถึงค่ำจริง) แม่ยิ้มให้ผม ก่อนหันไปรับไหว้คนที่เพิ่งลงมา ไอ้เม่นดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด “แล้วนี่...”

   “สวัสดีครับ ผมชื่อเม่นครับ” ดีที่ไม่ต้องให้ผมบอก ไอ้เม่นยิ้มตาหยีแนะนำตัวกับแม่ผมเอง ผมลองสังเกตดูท่าทางของมันแล้ว มันคงเข้าหาผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่งแน่นอน

   “มาๆ เข้าบ้านมาก่อน กินข้าวหรือยังลูก” แม่ผมเดินไปแตะแขนไอ้เม่น มันสะดุ้งแล้วยิ้มแหยๆ “ไปๆ ม่าน พาเพื่อนเข้าบ้าน แม่เตรียมข้าวไว้แล้ว” พอแม่เดินเข้าบ้านไปก่อน ผมก็รีบเดินไปประกบคนยืนเกร็งทันที
 
   “เป็นไรมึง” ใช้ข้อศอกสะกิด ไอ้เม่นส่ายหน้านิดๆ แล้วยิ้มให้ผม

   “เปล่า แค่ไม่ชิน” หรี่ตามองคนบอกไม่ชิน สงสัยปมของครอบครัวมันคงมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วทำไมผมถึงไม่ถามน่ะเหรอ ก็เพราะว่า เรื่องละเอียดอ่อนอย่างเรื่องครอบครัว ถ้าเจ้าตัวไม่เต็มใจเล่าเอง ก็ไปบังคับไม่ได้หรอก “ไปเถอะ”

   “เออ กูควรเป็นคนพูดมากกว่า นี่บ้านกู” นี่ไม่ใช่ประโยคที่น่าขำขัน แต่ไอ้คนเดินตามกลับหัวเราะเฉย

   นี่ผมไม่ใช่คนตลกนะเว้ยเฮ้ย

   เดินตามคนเพิ่งมาบ้านผมครั้งแรก ดูท่าทางจะอยากรู้อยากเห็นพอสมควร ไอ้เม่นมันหยุดเดินทุกๆ ก้าวเพื่อถามผม อะไรจะอยากรู้ขนาดนั้น

   “นี่ถ้วยรางวัลของพี่เหรอ” คำถามกับแรงดึงที่ชายเสื้อ ทำให้ผมหยุดเดิน ทั้งๆ ที่อีกแค่สองก้าวก็จะถึงห้องครัวอยู่แล้ว

   “เออ”

   “โห ถ้วยอะไร ทำไมเยอะ”

   “วิ่งควาย” ไอ้เม่นทำตาโตหลังจากได้ยิน มันเชื่อผมว่ะ

   “พี่เป็นควายใช่ไหม เฮ้ย ผมล้อเล่น”

   จัดไปเน้นๆ ที่ก้น ผมยกขาเตะจนมันเกือบล้ม พอดีกับแม่เดินออกมา ไอ้ม่านคนนี้เลยถูกฝ่ามือตีเน้นๆ

   “แม่อ่า”

   “ไม่ต้องเลยนะ ไปทำแบบนั้นกับเพื่อนได้ไง”

   “มันไม่เจ็บหรอก...ใช่ไหม” ทั้งผมกับแม่รีบหันไปหาไอ้เม่น มันกระพริบตาปริบๆ ก่อนพยักหน้า “เห็นป่ะ”

   “นิสัยไม่ดีจริงๆ ม่านนี่” แล้วก็โดนแม่บ่นรัวๆ ยังดีที่พ่อเดินเข้าบ้านมา เสียงบ่นเลยหายไป

   ผมไหว้พ่อแล้วเดินไปกอด ส่วนไอ้เม่นก็ทำเหมือนเดิมคือไหว้ แล้วก็ยืนอยู่เงียบๆ

   “คนนี้เหรอที่บอก” พ่อถามปุ๊บ ผมก็ยิ้มให้ “อืม” แล้วพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก



   มื้อค่ำของวันนี้ช่างมีความสุขซะจริงๆ แม่ทำกับข้าวของโปรดให้ผม พ่อก็คอยแกะหอยขมให้ โคตรสุขใจ เมื่อก่อนตอนผมจะไปเรียนที่อื่น ผมแอบเห็นแม่กับพ่อร้องไห้บ่อยๆ ก็นะ ลูกชายหล่อเหลาขนาดนี้ก็ต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา (มั่นหน้าสุดๆ)

   “แล้วนี่ เป็นเพื่อนม่านเขาหรือ” พ่อผมวางปลาเผาที่เอาก้างออกใส่ในจานข้าวไอ้เม่นครับ มันดูตกใจนิดๆ แล้วพยักหน้าลง ก่อนจะส่ายหน้าทำเอาทุกคนงงไปตามๆ กัน “อ่าว แล้วมันยังไงละ” พ่อผมถามไปขำไป

   “มันเป็นรุ่นน้องไอ้กลอย” เป็นผมที่ตอบแทน

   “อ๋อ รุ่นน้องกลอยเหรอ แล้วมาสนิทกันได้ยังไง” นี่แม่ครับ คำถามโคตรตอบยากเลย

   “คือผม...” ท่าทางอึกอักของไอ้เม่นมันดูขัดตาซะจริงๆ จะเกร็งอะไรนักหนา 

   “มัน...”

   “กลัวพ่อกับแม่หรือลูก เกร็งเชียว หรือข้าวไม่อร่อย” แม่ผมแย่งพูด ผมเลยต้องหุบปากลงก่อนแมลงวันจะบินเข้าปาก ส่วนไอ้เม่นก็กัดริมฝีปากล่างตัวเองอย่างลังเล

   “อร่อยครับ” กว่ามันจะตอบ ผมก็ลุ้นจนเกือบกินเปลือกหอยขมไปแล้ว

   “อร่อยก็กินเยอะๆ สิลูก ไม่ต้องเกรงใจหรอก” แม่ผมตักแกงเผ็ดหมูให้ไอ้เม่นครับ “แกงนี่ไม่เผ็ดมากหรอก เพราะพ่อเขากินเผ็ดมากไม่ได้” 

   “คือ...” แค่ไอ้เม่นพูดปั๊บ ทั้งครอบครัวผมก็หยุดทุกอย่าง “ผมไม่เคยกินข้าวพร้อมหน้าพ่อแม่แบบนี้นานแล้ว ก็เลย...”

   “อย่าดราม่าสิวะ” กระแทกข้อศอกเข้าท้องคนจุดความเศร้า “กินๆ อย่าคิดมาก” ผมส่งซิกให้พ่อกับแม่กินข้าวต่อครับ ไม่อยากให้การกินมันหมดอร่อย

   “กินเยอะๆ ลูก ตอนเช้าอยากกินอะไรบอกแม่ได้ แต่อาหารฝรั่งแม่ทำไม่เป็นนะ” เป็นไงล่า แม่ผม

   “ขอบคุณครับ” ผมยังกินไปจ้องคนเขี่ยข้าวไป พอมันตักข้าวเข้าปากก็เริ่มเงียบ “แกงนี้อร่อยครับ”

   “แกงแคหอยขมน่ะลูก ของโปรดม่านเขา” ยิ้มอ้อนแม่ทันที โคตรรักอะ ผู้หญิงคนนี้ ไอ้เม่นหันมายิ้มให้ผมแล้วตักหอยที่พ่อผมแกะให้เข้าปาก “อร่อยไหม”

   “ครับ” คำตอบกับรอยยิ้มทำเอาผมกับแม่ถอนหายใจออกมา ต่างจากพ่อที่เริ่มวางหอยขมใส่จานไอ้เม่นมากขึ้นโดยไม่พูดอะไรออกมา เดี๋ยวๆ แล้วผมล่ะ นี่แกงโปรดของเม่นนะพ่อ



   มื้อค่ำแสนอิ่มท้องและอุ่นใจผ่านไป ผมอยู่ช่วยแม่เก็บกวาด ส่วนไอ้เม่นถูกไล่ไปอาบน้ำที่บ้านเล็กก่อน บ้านเล็กของผมสร้างแยกจากเรือนไม้ของพ่อกับแม่ครับ ได้ฤกษ์เข้าอยู่ครั้งแรกพร้อมกลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่ที่ไม่อยากเสียเงินค่าโรงแรม ความคิดโคตรดีจริง

   จานชามถูกล้างและเช็ดใส่ตู้เรียบร้อย ผมกับแม่ก็ออกมานั่งรับลมที่แคร่ไม้หน้าบ้าน โดยที่ผมนอนหนุนตักแม่ เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก ตักแม่จะมีหัวผมแล้วก็หมาสุดที่รักแย่งกันนอนด้วย มิน่า ผมของผมถึงไม่มีเหา เพราะมีแต่เห็บ...ล้อเล่น

   “แม่ว่า ไอ้เม่นมันมีอดีตฝั่งใจป่ะ” ผมถามแม่ มือก็ลูบฝ่ามือกร้านเพราะทำงานหนัก

   “ทุกคนย่อมมีอดีตเสมอแหละลูก” แม่ตอบ “แต่แม่ว่า น้องเม่นเขาอาจจะไม่มีคนที่ให้คำปรึกษาที่ดี”

   “จะชมว่าตัวเองเป็นที่ปรึกษาที่ดีว่างั้น โอ๊ย แม่ ม่านเจ็บ” โดนสิครับ หยิกจนเนื้อที่แขนริ้วเลย แค่หยอกนิดเดียวเอง

   “เรานี่นะ ว่าแต่ พอรู้เรื่องไหมล่ะ” ผมส่ายหัวบนตักแม่ เพราะเรื่องที่รู้ก็เท่าหัวไม่ขีดเลยไม่อยากบอก “เหรอ ดูน้องเศร้าๆ นะ”

   “แม่ก็ให้คำปรึกษามันสิ” รีบขยับพลิกตัวมาจ้องหน้าแม่ “ม่านว่า มันต้องเป็นเด็กขาดความอบอุ่นแน่นอน” ดูจากการที่มันไม่กล้าเข้าหาผู้ใหญ่ ผมว่า มันต้องขาดสิ่งนี้ไปแน่ๆ เพราะมันเคยบอกอยู่กับตาและยายแต่ไม่สนิทกัน อืม ต้องใช่แน่ๆ

   “แม่เนี่ยนะ...” ยังไม่ทันพูดจบ ไอ้เม่นก็เดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เมื่อเห็นผมนอนคุยกับแม่ และเป็นแม่ของผมที่กวักมือเรียกมันให้มานั่งด้วยกัน “อาบน้ำแล้วสบายตัวไหมลูก”

   “ครับ” ยังคงพูดน้อยเช่นเดิม ทั้งที่อยู่กับผม ไอ้เม่นพูดเป็นต่อยหอย “นะ น้ำเย็นดีครับ” อยากจะขำให้กับมัน คงไม่รู้จะพูดอะไรนั่นแหละครับ ก็ในเมื่อแม่ผมจ้องมันอยู่

   “นั่นสิ น้ำที่นี่เป็นน้ำบาดาลที่สูบขึ้นมากรองน่ะ ไม่ใช่น้ำประปาอย่างในเมืองหรอก” แม่พูดเรียบๆ ก่อนปรายตามองผม “ม่าน ไปเอามะม่วงที่แม่ปอกมาให้น้องเขาสิ...ไป” ผมทำอิดออดเล็กๆ แต่พอเจอสายตาโหด จำเป็นต้องจรลี แต่คิดเหรอ ว่าไอ้ม่านคนนี้จะยอมเชื่อ

   ผมย่องกลับมาแอบอยู่ที่มุมประตู ก้มตัวให้ต่ำเพื่อหลบสายตาของแม่แล้วก็ไอ้เม่น ด้านในบ้าน มีเสียงของทีวีที่พ่อกำลังนั่งดูข่าวอยู่

   “ไม่ต้องเกร็งหรอกลูก แม่ไม่ได้ใจร้ายแบบม่าน” นั่นไง ขืนไปก็ไม่ได้ยินแม่นินทาตัวเอง ไอ้เม่นพอได้ยินก็ขำออกมา “เม่นมาเชียงใหม่ ได้บอกที่บ้านหรือยังลูก”

   “ยังครับ” สีหน้าของมันเวลาตอบคำถามดูอึดอัดพิกล คิ้วก็ขมวดอยู่ตลอดเวลา “คือ พวกเขาไม่ได้สนใจผมเท่าไหร่อยู่แล้ว”

   “ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะลูก พ่อกับแม่ก็รักลูกทุกคนนั่นแหละ ไม่มีใครไม่สนใจลูกตัวเองหรอก”

   “พ่อกับแม่ผม...ท่านเสียไปตั้งแต่ผมอยู่มอต้นแล้วครับ” เงียบ...ทั้งแม่และผมที่ได้ยิน “ที่จริงผมก็อยู่ในรถด้วย เจ็บไม่มาก แต่พ่อกับแม่ก็...เสีย”

   “แม่เสียใจด้วยนะลูก” แม่ผมถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เป็นผม ผมก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกันครับ มันสะเทือนใจไปด้วยกับเหตุการณ์นั้น

   “ผมออกโรงพยาบาลไปอยู่กับปู่ที่ต่างจังหวัด แต่ตากับยายไปรับผมมาอยู่ด้วย” สีหน้าและแววตามันดูเจ็บปวดยามย้อนนึกถึงอดีต

   “เม่นมีอะไร ปรึกษาแม่ได้นะลูก เม่นก็เหมือนลูกแม่อีกคนนั่นแหละ” แม่ผมยื่นมือลูบแก้มไอ้เม่น ผมเห็นหรอก น้ำตาของมันน่ะ

   “ขอบคุณครับ” ตอนมันยกมือไหว้ ผมถึงกับต้องรีบกระพริบตาตัวเอง ไม่ได้ร้องไห้ตามนะครับ แค่ลมมันพัดขี้ฝุ่นเข้ามาให้ระคายเคืองแค่นั้น “ตากับยายยังไม่เคยพูดแบบนี้กับผมเลย”

   “ตากับยายก็รักเม่นนั่นแหละ แต่ท่านคงไม่แสดงออก”

   “ผมก็ไม่รู้ว่าเขารักผมหรือเปล่า เพราะพวกเขาก็มีหลานน่ารักกว่าผมอีกตั้งหลายคน ผมคงเป็นคนเดียว ที่พวกเขาไม่สนใจ” เอาอีกแล้วครับ ไอ้เม่นร้องไห้อีกแล้ว มันยกแขนขึ้นปาดน้ำตา คงจะอัดอั้นเรื่องนี้คนเดียวมานานนม “ผมอยู่บ้านที่พ่อกับแม่สร้างไว้คนเดียวตั้งแต่ไปอยู่ที่นั้น ทั้งที่บ้านในนั้นมีหลายหลัง แต่ กลับมีผมแค่คนเดียวที่ไม่มีใครมาสนใจ”

   “โถ เม่น” แม่ผมดึงคนร้องไห้มากอดปลอบ ไอ้เม่นสะอื้นเบาๆ อย่างน่าสงสาร

   ชีวิตคนเรา มันจะเศร้าได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ยิ่งกว่าละครอีกนะ ผมว่า

   “พวกเขา...พวกเขาไม่เคยมาสนใจสักครั้ง มีแค่แม่บ้านที่มาดูแลเก็บกวาด...” เล่าพร้อมเสียงสะอื้นขึ้นจมูก “หลายครั้งที่ผมถูกตีในความผิดที่ผมไม่ได้ทำ เพราะพวกเขาเชื่อหลานรักของเขา ผมไม่ได้ทำผิดอะไรเลยนะครับ”

   “พอแล้วลูก พอแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้วนะ อดีต ยังไงมันก็แค่อดีต มันแก้ไขไม่ได้ เม่นต้องอยู่กับปัจจุบันนะ ตอนนี้เม่นมีแม่ มีอะไรก็โทรมาปรึกษาได้ คิดซะว่า แม่เป็นแม่อีกคนของเม่นก็แล้วกัน ดีไหม” ผมเห็นไอ้เม่นพยักหน้าพร้อมน้ำตาแล้วบ่อน้ำตาตัวเองจะแตก โอย ทำไมแสบจมูกขนาดนั้น

   “ขอบคุณครับ” แขนที่เคยกอดผมตอนนอน ตอนนี้มันรัดเอวแม่ผมซะแน่น หมดกัน ไอ้เด็กเสี่ยว ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็กเล็กไปเลย (ด่าตัวเอง)

   “แรกๆ มันอาจไม่ชิน เม่นต้องลองเปิดใจ เหมือนที่เม่นตามลูกชายแม่นั่นไง ถ้าไม่เปิดใจ คงไม่ใจกล้าไปขอจีบกลางมหาลัยหรอกจริงไหม” คราวนี้ผมแทบหงายหลัง แม่ไปบอกมันทำไมเล่า โว๊ะ

   พอดีผมเป็นพวกไม่มีความลับกับแม่ครับ แม่กับพ่อท่านเลี้ยงผมมาแบบเพื่อน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้หมด ด่าไหม ก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นคำปรึกษา คำเตือนหรือชี้แนะมากกว่า

   “ครับ” ไอ้เด็กขี้แยหัวเราะออกมาเฉย นี่ก็ไม่มีความอายอยู่บนหนังหน้า

   ผมแอบอยู่อีกไม่นานก็เดินกลับเข้ามาในบ้านเพื่อเอามะม่วง ที่ป่านนี้แม่คงบ่นแล้วบ่นอีกว่าผมหายออกมานานเกินไป

   “ได้เรื่องเยอะไหมล่ะ” จังหวะที่เดินผ่านพ่อ เสียงนี้ก็ลอยมาพอดี ผมหันไปมอง เห็นพ่อปรายตามาแวบหนึ่ง
 
   “พ่อจะด่าว่าม่านขี้เผือกใช่ป่ะ” ถึงกับต้องย่นคิ้วหยุดถาม

   “เออ” จบครับ คำตอบคำเดียว แต่ตอบได้ใจความ

   เพิ่งรู้ว่าพ่อตัวเองก็ปากร้ายเหมือนกัน สงสัยติดจากแม่แน่เลย



   ค่ำคืนแรกของการกลับมานอนบ้าน ผมยืนมองด้านหลังของคนที่นอนบนเตียงและดูเหมือนจะหลับไปแล้ว ไอ้เม่นที่ผมเห็นยิ้มแป้นแล้นดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเรื่องอะไรคนนั้น กับคนที่ร้องไห้เมื่อกี้ช่างดูต่างกัน มันก็เป็นแค่เด็กที่ชอบเก็บปัญหาไว้คนเดียว แล้วสร้างกำแพงขึ้นมาปกปิดเพื่อไม่ให้ใครเห็นด้านหลัง

   ความทรมานคงสาหัสน่าดู

   ผมลงไปนอนข้างๆ ตัดสินใจอยู่นานว่าจะทำยังไง สุดท้ายก็ยกแขนขึ้นพาดตัวมัน และกำลังจะหลับตา คนที่ผมโอบก็ขยับถอยมาชิดจนหลังมันชนกับอกผม มือมันก็จับมือผมไว้แน่น

   แม้ไม่หันมา ผมก็รู้ว่ามันยิ้ม...เหมือนที่ผมกำลังยิ้ม
 
   “ฝันดีไอ้เสี่ยว”


.........TBC

บางที คนที่เราเห็นเขามีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เบื้องหลังอาจกำลังเจ็บปวดจนอยากร้องไห้อยู่ก็ได้ (คมจนบาด) อิอิ

 :pig4: :pig4: :pig4:



ออฟไลน์ hyukkiemai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปมของเม่นดราม่าาาาา แต่ก็อยากรู้นะว่าที่ยายเป็นแบบนี้เพราะอะไร
ว่าแต่พ่อแม่ม่านรู้หมดแล้วเรอะ 55555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
เม่นน่าสงสารอ่ะ ม่านมาปลอบใจทีดิ

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
สงสารเม่นร้องไห้ตามเม่นเลย

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

14



         “แน่ใจว่าไหว” พ่อผมถามเป็นรอบที่สิบแล้วครับ หลังจากมีคนขยันอาสาจะยกลังมะม่วงสุกให้ ไอ้เม่นมันตื่นเช้ากว่าผมเพื่อไปช่วยแม่ในครัว และตามพ่อลงสวน กว่าผมจะตามมาก็ตอนที่ถูกแม่ไปปลุก เพราะมันทำให้ผมโดนก้านมะยมตี ไม่รู้จะรีบตื่นไปไหน ฮ้าว

   “ครับ” คนรับคำดูแข็งขัน แต่พอดึงลังขึ้นจากพื้น หน้ามันก็บู้บี้ ลังนั้นไม่รู้กี่กิโล คนไม่เคย มันจะยกขึ้นได้ไง พอมันยกไม่ขึ้นก็ได้แต่หัวเราะแห้ง แต่พ่อผมกับคนงานพากันหัวเราะ

   “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวให้กอบเขายกให้ดู” พ่อเรียกคนงานมายกให้ดูเป็นคนอย่าง ไอ้เม่นก็ดูจะสนใจ มันก้มๆ เงยๆ ดูวิธียก คือต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ “เป็นไง พอได้ไหม”

   “น่าจะไหว...ผมคิดว่างั้นครับ” ไร้ซึ่งความมั่นใจเหมือนครั้งแรก ก่อนมันจะยก มันหันมาโบกมือให้ผม มันออกแรงยกอีกรอบ คราวนี้ขึ้นจากพื้นประมาณสามสิบเซนแล้วก็วางลงพื้นใหม่

   “พอๆ ไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเส้นยึดหมด” พ่อคงสงสารนั่นแหละครับ แต่ผมนั่งขำ “เอาสมุดตามคนงานไปจดดีกว่า ตรงนี้เดี๋ยวพ่อให้คนงานยกไป”

   “ครับ” ไอ้เม่นรับคำเบาๆ มือยื่นไปรับสมุดจดรายการของที่ทางลูกค้าสั่งเข้ามา ผลผลิตของสวนผมมีลูกค้าสั่งอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง ลำไย กล้วย หรือแม้แต่ผักหลายชนิด ทุกอย่างในสวนล้วนปลอดสารพิษหมด ไอ้ม่านรับรอง

   ผมเดินตามคนสวนคนใหม่มาที่หน้าบ้าน ตอนนี้ลังมะม่วงถูกวางเรียงรายรอคนมารับ มะม่วงสีเหลืองทองหอมหวนชวนหิว ถ้าได้ข้าวเหนียวมูลหวานๆ ทานด้วยนี่คงฟินไปชาติหน้า

   “พี่ม่านๆ” ภาพข้าวเหนียวมะม่วงลอยหายวับเมื่อถูกสะกิด ผมชักสีหน้าใส่ไอ้เม่นทันที แต่ดูมันไม่สนใจ “มะม่วงลังนี้กับลังนั้นทำไมไม่เหมือนกันอะ ลูกมันไม่เท่ากัน หรือคนละเกรด”

   “ถามถูกคนแล้วไอ้น้อง” ตบอกตัวเองโชว์ความเทพ “ลังนี้เกรดเอ ลูกโต ลังนั้นเกรดบี ลูกเล็ก”

   “มันไม่เหมือนที่เม่นพูดตรงไหน ว่ามันคนละเกรด”

   “ไม่เหมือนโว๊ย” แถครับ เพิ่งมานึกออกตอนไอ้เม่นพูด นี่แหละครับ ที่เขาว่า ฟังไม่ศัพท์ “นั่นๆ เขามารับแล้ว”

   “คนแบบนี้ก็มีว่ะ” ยกนิ้วใส่ไอ้คนที่หัวเราะเยาะ ไอ้เม่นแยกไปคุยกับคนมารับมะม่วง สักพักพ่อผมก็ตามมาคุยด้วย ผมว่า ไอ้เม่นดูกล้าพูดกับพ่อผมมากขึ้น จากครั้งแรกที่ต้องถามคำตอบคำ คราวนี้เริ่มพูดเป็นต่อยหอย

   เมื่อของหมด ทุกคนก็แยกย้าย พ่อผมกลับเข้าสวนโดยมีลูกมือคนใหม่ที่ดูกระตือรือร้นซะเหลือเกิน นี่ผมหรือมันที่เป็นลูกบ้านนี้กันแน่ เริ่มสงสัยแต่ไม่เข้าใจมากๆ ผมเดินกลับเข้าบ้านกะจะไปนอนดูทีวีกลับเจอแม่ใช้ให้ไปซื้อของ พออิดออดก็ถูกหยิก ถ้าแขนผมร้องไห้ได้ น้ำตาคงท่วมโลกไปแล้ว

   จักรยานโบราณถูกเข็นมาหน้าบ้าน สภาพยังใหม่พร้อมใช้ เพราะพ่อผมเช็ดถูทุกวัน บางทีรักกว่าผมอีก เริ่มอิจฉาจักรยานแล้วนะ

   “พี่จะไปไหน” เสียงทักดังมาจากด้านข้าง ไอ้เม่นจับเสื้อกระพือไปมาคลายความร้อน

   “ไปซื้อของ” บอกปุ๊บ คนที่ยืนห่างหลายเมตรวิ่งมาควบซ้อนท้ายเฉย นี่วิ่งหรือเหาะเอาจริงๆ “อะไรของมึงเนี่ย กูหนัก” รถถึงกับเซ

   “ไปด้วย” บอกพร้อมกอดเอวแน่น เตรียมพร้อมสุดๆ

   “แต่ตัวมึงเหม็นเหงื่อ อยู่บ้านนี่แหละ” มันเหม็นจริงๆ นะครับ กอดแบบนี้กลิ่นยิ่งชัด ดีไม่มีกลิ่นเต่า

   “เหรอ” ไอ้เด็กข้างหลังดึงเสื้อแล้วก้มลงไปดม “งั้นพี่รอก่อน เม่นอาบน้ำแป๊บเดียว นะๆ อย่าเพิ่งไป”

   “เออๆ” ถูกมันกอดเอวแล้วโยกไปมาจนต้องรับปาก

   ผมจูงจักรยานกลับไปเก็บที่เดิม คราแรกคิดจะปั่นกินลมชมวิวสักหน่อย หากมีไอ้เม่นไปด้วย น่องผมคงโป่งก่อนถึงตลาดพอดี ระหว่างนั่งรอก็เล่นหมาสุดที่รักไปด้วย มันแก่มากแล้วครับ แต่ก็ยังแข็งแรงไม่มีโรคภัย คงเพราะมันกินแต่ผัก เป็นพวกมังสวิรัติ เอาหมูให้กินนี่เมินหน้าหนีเลยนะครับ หมาของผมเนี่ย

   ผ่านไปหลายนาทีกว่าคนอาบน้ำจะเดินออกมา ไอ้เม่นยิ้มแป้นมานั่งข้างผม กลิ่นสบู่นกแก้วลอยมาแตะจมูก ทั้งๆ ที่มันก็พกครีมอาบน้ำแพงๆ ของมันมา แต่กลับเลือกใช้สบู่ก้อนไม่กี่สิบบาท แต่ผมก็ชอบนะครับ หอมแบบแปลกๆ ดี โดยเฉพาะสูตรดั้งเดิม

   ผมขี่มอเตอร์ไซค์มีไอ้เม่นนั่งกอดเอวอยู่ด้านหลัง คือแค่ตัวใหญ่กว่าซ้อนก็ว่าแปลกแล้ว นี่ยังมากอดเอวซะแน่นอีก ใครเห็นเข้า คงจะคิดดีไม่ได้เลยครับ ท่าทางแบบนี้

   “มึงจะกอดทำไมเนี่ย” พูดโต้ลมที่ตีหน้าจนสั่น ไอ้เม่นยื่นคางมาวางบนบ่า เอาซะผมหันไปแล้วแก้มชนปากมัน

   “ก็พี่ขี่น่ากลัว เม่นกลัวตก” น้ำเสียงโคตรกวนตีน “เฮ้ย พี่เม่น เหี้ย”

   “มึงด่ากูทำไมเนี่ย” อยู่ดีๆ มันก็ด่าผมออกมาเฉย แถมเอะอะโวยวาย ชี้มือชี้ไม้ซะมอเตอร์ไซค์เซ

   “ไม่ได้ด่าพี่ แต่นั่น ตัวเหี้ย” สายตามองตามมือที่ชี้ เอ่อ ตัวเหี้ยจริงๆ ครับ ไม่ใหญ่มาก “ทำไมมันอยู่แถวนี้อะ”

   “ก็แถวนี้มีร่องสวน มันอาจชอบก็ได้” เอาจริงๆ ผมเพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน หรือจะมีคนเอามาเลี้ยงวะ



   กว่าจะถึงตลาด น้ำลายเกือบแห้ง ไอ้เด็กอยากรู้เล่นถามมันซะทุกอย่าง ตลาดที่ผมมาเป็นตลาดสด ของทุกอย่างส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านแถวๆ นี้นำมาขาย ผมเริ่มเดินซื้อของตามที่แม่เขียนบอก ซื้อเสร็จก็มักจะมีคนแย่งไปถือ เออ ดีเหมือนกัน ไม่หนัก

   “พี่ๆ อันนี้อะไรอะ”

   “แอปเปิ้ลเมือง”

   “อร่อยป่ะ อยากกินอะ ซื้อนะ”

   สรุปคือซื้อมากิโลหนึ่งครับ ไอ้เม่นดี๊ด๊าอยากจะกินตรงนั้น แต่ผมห้ามไว้ ลูกแอปเปิ้ลเมือง หรือสตาร์แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ลูกสีเขียว กลิ่นหอม รสชาติจะหวานอร่อย

   เมื่อซื้อของครบก็กลับครับ ขากลับไอ้เม่นอาสาขี่ให้ แต่ผมก็ต้องคอยบอกทาง บางครั้งก็ต้องบอกให้มันเพิ่มความเร็วบ้าง เพราะที่มันบิดคือสี่สิบ คืนนี้ไม่รู้จะถึงบ้านผมหรือเปล่า ขี่แค่นี้

   กว่าจะถึง กว่าจะกินข้าวมื้อเที่ยง ผมต้องคอยบ่นไอ้เด็กที่เอาแต่เม้าท์ แหม พอสนิทกับพ่อแม่ผมละคุยแตกฟองเชียวนะ เอาซะไอ้ม่านกลายเป็นธาตุอากาศ หมูที่อยู่ในแกงผักกาดจอกลายเป็นของไอ้เม่นเกือบหมด แม่ผมเริ่มลำเอียงแล้วว่ะ

   “พี่เป็นอะไร ทำไมทำหน้างอ” ผมเดินกลับมาที่บ้านหลังเล็กเพื่ออาบน้ำคลายโมโห เอ๊ย คลายร้อน แต่ดันมีปลิงเกาะตามมาด้วย ไอ้เม่นถือตะกร้าใส่ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อกี้มาด้วย

   “มึงไม่เอามีดมาด้วยวะ” เลือกที่จะถามกลับแทน ก็จะให้ผมตอบมันว่าอะไร จะบอกว่าผมงอนพ่อกับแม่ที่เอาใจไอ้เม่นเหรอ ผมไม่ใช่เด็กน้อยขนาดนั้นหรอกนะเออ

   “เอามาทำไม...แต่พี่ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยนะ” คราวนี้ผมก้มหน้าก้มตาไม่มองหน้า มือก็ทำเป็นเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ “อี๋ ไม่เห็นอร่อยเลยว่ะ” เสียงโวยวายด้านหลังทำให้ต้องหันไปมอง เจอไอ้เม่นทำหน้าบูดบี้ แลบลิ้นไปมา

   “เป็นอะไรวะ” เห็นหน้าตาแบบนั้นก็อยากหัวเราะ แต่ต้องรู้สาเหตุก่อน

   “ก็เนี่ย...ไหนพี่บอกมันหวาน หอม อร่อยไง แล้วทำไมมันทั้งขม ทั้งเฝื่อน ไม่อร่อยเลย หรือมันยังไม่สุก เขาต้องเอามาหลอกขายแน่ๆ” มาเป็นชุดกับสาเหตุการทำหน้ายับของมัน

   “เชี่ย กูขำ” ผมลงไปนั่งหัวเราะที่พื้น เมื่อเห็นของในมือมัน เปลือกสตาร์แอปเปิ้ลมีรอยฟันครูดเป็นทางยาว

   “โหย พี่ม่านแกล้งเม่นเหรอ มันกินได้จริงป่ะเนี่ย” ไอ้เม่นยังใช้หลังมือเช็ดลิ้นอยู่เลยครับ โคตรตลก

   “ใครเขาให้มึงกินแบบนั้นวะ เปลือกมันกินไม่ได้เว้ย” พยายามกลั้นขำ แต่ก็ทำไม่ได้ก็เลยต้องขำไปทำตัวอย่างวิธีการกินให้มันดูไป ในเมื่อไม่มีมีด ผมก็เลยบีบให้มันมีรอยแยกแล้วดึงออกจากกัน “เขากินข้างใน เนื้อขาวๆ เนี่ย ไม่มีใครเขากินเปลือกแบบมึงหรอก แม่งตลก”

   “ก็คนมันไม่รู้นี่หว่า” แอบเห็นหูแดงๆ ของคนไม่รู้ สงสัยจะเขิน “พี่บอกแอปเปิ้ลๆ ก็คิดว่ากินเหมือนกัน” มีทำปากยื่นเป็นเป็ดซะด้วย แต่พอมันลองกัดเนื้อผลไม้ดูก็ยิ้มออกมา “อร่อยอะ”

   “เออ นั่นแหละ ต่อไปก็ไม่ต้องกินเปลือกแล้วนะ แม่งขำเหี้ย” ผมขำไปด้วย เดินเข้าห้องน้ำไปด้วย ปล่อยให้มันอร่อยกับของใหม่ไปครับ


   คนเราก็ต้องลองอะไรใหม่ๆ ซะบ้าง ถึงแม้ครั้งแรกอาจจะลองแบบผิดๆ แต่เราก็จะรู้และหาวิธีที่ทำให้มันกลายเป็นเรื่องที่ถูกในครั้งต่อมา


   ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็ออกมาด้านนอก เจอไอ้เม่นนั่งกินผลไม้กับแม่ที่แคร่หน้าบ้าน พอเดินเข้าไปหา แม่ก็เริ่มบ่นว่าผมผอมลอง นี่แม่เห็นผมผอมเหรอ ไม่น่าเชื่อ เพราะมีแต่คนทักว่าผมอ้วน

   “เย็นนี้แม่จะทำแกงอะไร” ถามแม่หลังจากจิ้มมะม่วงสุกเข้าปาก

   “แม่ว่าจะทำขนมจีนน้ำเงี๊ยว เม่นกินได้ไหมลูก” ผมเบ้ปากทันทีที่แม่แทนไอ้เม่นว่าลูก ตอนนี้มีแต่ลูกเม่น เม่นลูก โอย ไอ้ม่านเซ็ง

   “ได้ครับ อยู่กรุงเทพฯ เม่นก็เคยไปกินตามห้างที่เขาจัดงานครับ อร่อย แต่เผ็ดมากไปหน่อย” ไอ้นี่ก็ฉอเลาะเก่งกาจ

   นี่ผมกลายเป็นคนขี้อิจฉาไปตั้งแต่เมื่อไหร่

   “แม่ทำไม่เผ็ดหรอก พ่อกินเผ็ดมากไม่ได้”

   “ดีแล้วครับ ยิ่งมีอายุ กินเผ็ดมากไม่ดี เป็นอันตราย”

   “ใช่จ้ะ ช่วงนี้ก็งดของหวานบ้าง บลาๆ”

   ผมนั่งจิ้มมะม่วงกิน ฟังแม่ตัวเองคุยกับลูกรักคนใหม่ ตั้งแต่เรื่องนู้น เรื่องนี้ ฟังจนจะหลับ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนถูกใช้ให้ไปช่วยทำขนมจีน

   “แม่ก็ใช้ไอ้เม่นบ้างสิ ลูกแม่เหมือนกันนี่” งอนครับ

   “ม่านนี่นะ” แม่จิ๊ปาก แต่พอไอ้เม่นฉอเลาะก็ยิ้มออกมา ด้วยความหมั่นไส้ ผมเลยยกขาเตะมันไป “ดูๆ ทำน้องอีก นิสัยไม่ดีติดมาจากใครล่ะ”

   “แม่ นี่ม่านลูกแม่นะ” พูดจบ ผมก็จิ้มมะม่วงหลายๆ อันขึ้นมาแล้วเดินหนีเข้าบ้าน งอนครับ พอได้คนใหม่ ก็ลืมคนเก่า ไอ้ม่านงอน

   ถึงจะงอน แต่ก็เข้าไปช่วยในครัวอยู่ดี ไอ้เม่นก็ช่วยครับ ช่วยให้มันยุ่งยากขึ้น ผมเลยใช้ให้มันเดินไปเดินมา ส่วนผมนั่งอยู่กับที่ สบายครับ

   “อร่อยไหมครับแม่” ไอ้เม่นมันเรียกแม่ผมเต็มปากเต็มคำซะเหลือเกิน ตอนนี้มันเสนอหน้าไปขอชิมน้ำแกง และดูเหมือนจะชอบ “อร่อย”

   “ฝีมือแม่ซะอย่าง”

   “ขี้โม้”

   โดนครับ ผมนี่แหละ ถูกแม่เดินมาเขกหัวซะเจ็บ มีลูกคู่หัวเราะเยาะอีก ไอ้ม่านเซ็ง





   มื้อค่ำสุดแสนอร่อยผ่านไปอย่างเชื่องช้า พวกเราสี่คนนั่งกินขนมจีนไป คุยกันไป ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องเรียน แต่จะเน้นเรื่องเรียนซะมากกว่า

   “พรุ่งนี้กลับกี่โมง” พ่อถามขณะนั่งจิ้มแตงโมเข้าปาก

   “น่าจะออกสายหน่อย ม่านขี้เกียจตื่นเช้า” บอกปุ๊บ ไอ้เม่นก็ขำออกมาจนต้องถลึงตาใส่ “ที่จริงไม่อยากกลับเลย” โหมดอ้อนก็มานะครับ

   “ก็รีบๆ เรียนให้จบ แล้วกลับมาช่วยพ่อทำงาน” จบประโยคปุ๊บ ผมถูกไอ้เม่นหันมาจ้องทันที แต่มันก็ไม่พูดอะไรออกมา คงรู้ว่าไม่เหมาะที่จะถาม

   “นี่ก็รีบเรียนแล้ว” ผมว่า

   “รีบเรียนหรือขี้เกียจ” พ่อพูดซะผมดูเป็นเด็กไม่ดีเลย

   “เขาไม่ได้เรียกขี้เกียจ เขาเรียกพักสมองบ้างบางเวลา”

   “ดูมัน...เม่นล่ะ เรียนสนุกไหม คณะอะไรนะ”

   “เม่นเรียนศิลปกรรมครับ”

   “จบมาแล้วจะทำงานอะไรล่ะ”

   “ไม่รู้ครับ” คำตอบไอ้เม่นทำเอาพ่อผมไปต่อไม่ถูก “ที่จริงผมเรียนเพราะลงคณะมั่วๆ”

   ขนาดลงมั่วๆ มันยังติด แปลว่ามันเป็นคนฉลาด

   “ไม่เสียดายเวลาเหรอวะ ถ้าเกิดมึงจบไปแล้วมารู้ตัวทีหลังว่าไม่ชอบ” ถามในสิ่งที่คิด ไอ้เม่นยิ้มบางๆ ก่อนส่ายหน้า “อนาคตไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะมึง”

   “พี่เป็นห่วงเม่นเหรอ” น้ำเสียงกับสายตาแวววับจนต้องถลึงตาโตเข้าใส่ นี่มันกล้าถามต่อหน้าพ่อผมเลยนะ ไม่กลัวปืนที่ห้อยเต็มบ้านเลยไอ้ห่า “ไม่ตอบ แปลว่าเขินอะดิ่”

   “หุบปากเลย” กัดฟันด่าไป ก่อนคว้าจานที่กินเสร็จเข้าไปล้างด้านใน ซึ่งแม่ผมก็กำลังล้างอยู่ พอมีของผมไปเพิ่มก็เหล่ตามอง

   “งอนอะไรมาอีกละ ทำหน้าบูดเชียว” แม่พูดปนขำ แต่ไอ้ม่านไม่ขำหรอกนะ

   “พ่อกับแม่สปอยไอ้เม่นเกินไป” ผมบอก มือคว้าจานที่ล้างแล้วมาเช็ดให้แห้ง

   “อิจฉาล่ะสิ ม่านกลายเป็นคนขี้อิจฉาตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “แม่อ่า” เสียงหัวเราะของแม่ กับเสียงโวยวายของผมคงดังไปด้านนอกทำให้ไอ้เม่นเดินตามเข้ามา “มาทำไม” ทำหน้างอถามคนที่เดินหน้าบานเข้ามา

   “ไม่รักก็คงไม่มา~” มันตอบเป็นเพลงใส่ทำนองซะด้วย ขนาดผมปั้นหน้านิ่งยังหลุดขำ ส่วนแม่ก็หัวเราะหนักขึ้นไปอีก

   “ปัญญาอ่อน” ด่าไปงั้น แต่ปากก็ยิ้มนั่นแหละครับ






   ผมกับไอ้เม่นอยู่ช่วยแม่ล้างจาน เก็บของจนเสร็จก็แยกย้ายกลับบ้านเล็กเพื่อเตรียมเก็บของกลับในเช้าวันอาทิตย์ วันหยุดของผมกลับบ้านมายังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย เสียดายจริงๆ

   “เป็นอะไร” มือพับเสื้อลงกระเป๋า แต่บรรยากาศในห้องดูเงียบจนต้องถามออกไป “เม่น เป็นอะไร ทำไมเงียบๆ”

   “ไม่อยากกลับ” เสียงเบามาก แต่ผมนั่งอยู่แทบชิดเลยได้ยิน

   “อะไรของมึงเนี่ย ดราม่าอีกแล้ว” ขำเบาๆ แต่หน้าคนไม่อยากกลับทำให้ต้องหยุดขำ “บ้านกู พ่อกับแม่กูไม่ได้หนีไปไหน วันหยุดก็ค่อยมาใหม่” ผมว่า คราวนี้สีหน้ามันดีขึ้นมา

   “จริงนะ พี่จะพาผมมาด้วยจริงนะ” หน้าบานเชียว

   “เออ แต่ถ้ามึงไม่อยากมา กูก็จะไม่บังคับ”

   “มาสิ ผมรักพ่อกับแม่” เบ้ปากหมั่นไส้ไอ้เด็กง้องแง้ง ก่อนจะตกใจเมื่ออยู่ๆ ถูกแรงโถมเข้าใส่ แขนยาวรัดตัวผลักให้นอนลงบนเตียง “รักพี่ม่านด้วย รักมาก” เชี่ย ดิ้นไม่หลุดไม่พอ ยังต้องส่ายหน้าหนีจูบที่มันระดมมายิ่งกว่ากระสุนในสนามรบอีก

   “ไอ้เม่น กูหนัก” ตัวมันทับผมแบบไม่มีผ่อนแรง ตัวก็ควาย

   “ทับบ่อยๆ จะได้ชิน”

   “ชินพ่อง”

   คราวนี้แรงรัดคลายลงแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนที่กอดผม ไอ้เม่นวางหน้าผากลงบนกลางอกของผม มันคงจะไม่เป็นอะไรหากมันไม่จูบหนักลงไป โคตรขนลุก

   “ขอบคุณที่พาผมมาด้วย” มันพูดจบก็เลื่อนหน้าต่ำลงไปกดจูบแนวเดียวกัน “ขอบคุณที่พี่ยอมเปิดใจให้ผม” ผมกระพริบตาปริบๆ มือสองข้างดูเงอะงะไม่รู้จะทึ้งหัวมันดีหรือดึงหูมันดี “ขอบคุณที่พี่คบกับผม”

   จบประโยคปุ๊บ มันก็กดจูบลงบนสะดือ ขนทุกส่วนของร่างมันลุกชันจนผมต้องดึงหน้ามันขึ้นมา แม่งเอ่ย ความรู้สึกเชี่ยอะไรไม่รู้ตีรวนกันไปหมด แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดที่ดึงหน้ามันขึ้นมาเสมอหน้าตัวเอง ตาแป๋วของมันคล้ายกับสะกดไม่ให้ผมหันหน้าหนี ทำให้เห็นว่า หน้ามันค่อยๆ เลื่อนลงมาต่ำเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนปากเราแตะกันเบาๆ


   เหมือนถูกไฟช็อตที่ปาก


   ทั้งที่เคยถูกมันลักจูบบ่อยๆ แต่ความรู้สึกมันต่างจากตอนนี้มากโข ยามที่ปากของมันแตะที่ริมฝีปากบนของผมพร้อมดูดเบาๆ แค่นี้ตัวก็ชาวาบ สมองดูเบลอๆ จนลืมขัดปัดป้อง ทำให้ไอ้เม่นยิ่งได้ใจ มันรุกจูบหนักขึ้น ขบไม่พอ ยังสอดลิ้นเข้ามาในปากผมอีก ความไม่เคยผมเลยดิ้น อยู่ดีๆ ก็มีลิ้นเข้ามา แต่ก็ขยับหนีไม่ได้ ส่ายหน้าหนีก็ถูกมือมันล็อคให้รับจูบ

   ไอ้ม่านจะตายแล้ว

   เคยดำน้ำนานๆ ไหมครับ ตอนนี้ผมรู้สึกแบบนั้นเลย มันต้องกลั้นหายใจ พอมีจังหวะ ก็หายใจไม่เต็มที่ การรุกล้ำมันเริ่มคืบคลานหนัก มือมันล้วงเข้ามาในเสื้อ ลูบอยู่ที่เดียวที่หน้าอก จนผมต้องใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักมันออก พอปากนั่นหลุดไป ผมก็หอบหนัก พยายามอ้าปากเอาอากาศเข้าปอด

   “มึงจะฆ่ากูหรือไง” ด่าไปหอบไปโดยที่ตัวไอ้เม่นคุกเข่าบนเตียงคร่อมช่วงเอวผมอยู่ พอมองมุมแบบนี้ ไอ้เม่นแม่งโคตรเอ็กซ์อะ

   “ใครจะกล้าฆ่าพี่ม่าน” คราวนี้มันจะโน้มตัวลงมา ผมก็รีบพลิกตัวหันหลังให้ ไอ้เม่นหัวเราะออกมาเฉย “โห หันหลังแบบนี้อันตรายกว่านะครับ”

   “ห้ามบีบตูดกูไอ้ห่า ลุกออกไป ก่อนที่กูจะถีบ” โวยวายเสียงพอประมาณ ขืนมากไปพ่อกับแม่วิ่งมาหาแน่

   “ท่านี้ถีบเม่นได้ก็ให้ถีบเลยเอา” มีท้าทายซะด้วย ผมพยายามถีบ แต่มันนอนผิดท่าเลยได้แต่ถีบอากาศ “ขำพ่อง”

   “พี่ม่านพูดไม่เพราะเลยอะ ไม่น่ารักน้า” คราวนี้มันนอนทับหลังผมเลยครับ ตัวโคตรหนัก “เรื่องนี้ผมไม่รีบหรอก ผมรู้ว่าเราต้องศึกษากันก่อน ผมไม่รีบชิงสุกก่อนห่ามแน่นอน”

   “ไอ้สุภาพบุรุษ” แขวะอย่างหมั่นไส้ แต่มิวายถูกมันฉกหอมแก้ม “ลุกเลย จะได้เก็บไหมเสื้อผ้า”

   “ครับๆ”

   พอมันลุกไปแล้ว ผมก็นั่งเก็บของต่อ อาศัยจังหวะที่มันเก็บของ ยกมือจับปากตัวเอง มันวาบวามจริงๆ นะครับเมื่อกี้ ถ้าไม่ถูกบีบเค้นหน้าอก สติผมคงไม่กลับมา อาจเตลิดจนเสร็จมันไปแล้ว เชี่ยเอ๊ยไอ้ม่าน มึงจะมีอารมณ์กับไอ้เม่นไม่ได้นะเว้ย

   “พี่ม่าน” เสียงเรียกสติที่หลุดให้กลับมา ผมรีบชักมือลง แต่คงช้าไป เพราะคนเรียกมันยิ้มกว้าง “พี่มีอารมณ์ร่วมใช่ป่ะ ผมรู้สึกว่าของพี่ก็คึกสู้ของผม”

   “คึกบ้าคึกบออะไร รีบเก็บของมึงเลยไอ้เม่น” โวยวายกลบเกลื่อน ก็โดนจูบขนาดนั้น มันก็ต้องเตลิดบ้างสิ

   “พี่จะไปไหน” พอผมลุกปุ๊บ มันก็รีบอ้าปากถาม

   “ห้องน้ำ”

   “ให้ผมช่วยไหม”

   “ช่วยเก็บศพมึงน่ะสิ กูปวดขี้”

   “โหย รู้หรอกน่า”

   “กูปวดขี้ จะดมตดกูไหมฮะ”

   “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย พี่ร้อนตัวนี่หว่า”

   “ไอ้เชี่ย” หยิบหนังสือที่ใกล้มือที่สุดเขวี้ยงใส่ แม้ไม่โดนตรงๆ แต่ก็เฉียดหัวมัน

   “รุนแรงว่ะ คนเรานี่นะ....”

   ไม่อยู่รอฟังมัน ผมเดินปึงปังเข้าห้องน้ำ ปวดขี้ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็นะ ต้องจัดการไอ้ที่มันคึกให้ลงซะก่อน ไม่รู้จะคึกทำไมตอนนี้ ต่อไปนี้คงต้องระวังการอยู่ใกล้ไอ้เม่นให้มาก เกิดถูกปลุกบ่อยๆ จะกลายเป็นผมนี่แหละที่ข่มขืนมัน


....TBC

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
สู้ๆนะพี่ม่าน 5555

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
ว๊ายๆม่านเกือบเสียตัวซะเเล้ว :katai2-1:

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

15




       ได้แต่ถอนหายใจอยู่เงียบๆ กับตัวเองหลังพวงมาลัยรถเพื่อรอไอ้เม่นบอกลาพ่อกับแม่ของผม ประหนึ่งมันเป็นลูกของบ้านนี้ ส่วนผมคือคนนอก พ่อกับแม่ผมนี่ก็โอ๋มันเกินไป กอดบ้าง จูบบ้าง หอมแก้มอีก ไอ้ม่านคนนี้เริ่มจะกลายเป็นหมาหัวเน่าโดยสมบูรณ์แล้วครับ

   “ไอ้เม่นเร็วๆ เดี๋ยวถึงค่ำ” ผมตะโกนเรียกเป็นครั้งที่สอง “อย่าช้าๆ”

   “อย่าขับเร็วนะม่าน ค่อยๆ ไป” แม่ผมกำชับ

   “ครับ” ลากเสียงยานคางเลยถูกมือยื่นเข้ามาดึงหู “ม่านไปนะครับ ไว้วันหยุดเดี๋ยวมาหาใหม่” ผมยกมือไหว้พ่อกับแม่ แต่กับไอ้เม่นมันยังยืนอยู่นอกรถทำอ้อยอิ่งไม่ขึ้นมาสักที ผมเลยสตาร์ทรถพร้อมใส่เกียร์ ไอ้เม่นได้ยินก็รีบกระโดดเข้ามานั่งด้านข้าง ในจังหวะที่เหยียบคันเร่งออกตัวอย่างช้าๆ

   “พี่จะทิ้งเม่นเลยเหรอ ใจร้าย” ไอ้เม่นขยับตัวยุกยิก ทำนั่นทำนี่จนผมเบ้ปาก

   “ก็ใครใช้ให้ช้าวะ”

   “ผมต้องบอกลาพ่อกับแม่ไง อีกนานกว่าจะได้มาอีก ไม่เหมือนพี่หรอก จะกลับก็กลับเลย”

   “อ่าว นี่กูผิดเหรอ”

   “ไม่ถูก แต่ก็ไม่ผิด”

   เอากับมันครับ ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว เดี๋ยวไม่มีสมาธิขับรถ แม้ไอ้เม่นจะทำตัววุ่นวายวอแวว เดี๋ยวเปิดเพลง เดี๋ยวบ่นร้อน บ่นหิว

   อยากเรียกร้องความสนใจจากผมล่ะสิ...ฝันไปเถอะ   





   ถนนมุ่งหน้าสู่ภาคกลางรถค่อนข้างหนาแน่น ผมสลับกับไอ้เม่นตามเดิม คราวนี้ไม่ได้กินข้าวเหนียว อีกทั้งมีมะม่วงไว้กินแก้ง่วงตลอดทาง ยาวเลยครับคราวนี้

   “ไม่อยากกลับเลยเอาจริงๆ” พอเข้าใกล้เขตกรุงเทพ ไอ้เด็กงอแงก็เริ่มบ่นอีกแล้ว

   “มึงพูดแบบนี้เป็นร้อยรอบแล้ว”

   “พี่ม่านอ่า ก็ผมชอบบ้านพี่จริงๆ นี่นา”

   “เออกูรู้ กูเห็น แล้วอย่าเสล่อเล่นมุกอับดุล” ว่าอย่างรู้ทันเมื่อเห็นมันอ้าปาก ไอ้เม่นส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจที่ถูกผมขัดคอ “แล้วนี่มึงจะเอามะม่วงไปให้ที่บ้านมึงป่ะ” พ่อผมเอามะม่วงใส่หลังรถมาสองลังครับ ทั้งสุกและดิบ

   “พวกเขามีเงิน ถ้าอยากกิน ก็ให้พวกเขาก็ซื้อกินเอง” พูดธรรมดาแต่เริ่มดึงหน้าตึงนิดๆ

   “มึงนี่นะ โกรธขนาดนั้นเลยเหรอ” แม้จะ (แอบ) ฟังเรื่องจากปากมันมาแล้ว แต่ผมก็ยังอดสงสัย ผมแค่คิดว่า ตากับยายจะเกลียดหลานแท้ๆ ตัวเองได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ

   “ถ้าพี่ได้เจอ พี่ก็จะรู้เอง” หน้ามันเลยคำว่าตึงกลายเป็นบึ้งแล้วครับ “อยากเจอป่ะล่ะ เดี๋ยวผมพาเข้าบ้าน”

   “เรื่องอะไร ไม่ไปเว้ย” ส่ายหน้าเป็นพัลวัน เรื่องอะไรจะไปให้โดนด่า “ว่าแต่ พรุ่งนี้มึงมีควิซนี่ อ่านหนังสือหรือยัง” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อรู้สึกบรรยากาศในรถมันเริ่มเงียบๆ

   “ฮึ” ไอ้เม่นปฏิเสธเสียงขึ้นจมูก “จะเอาเวลาที่ไหนอ่าน”

   “มีเวลา แต่มึงไม่อ่านเอง”

   “กลับไปค่อยอ่าน เม่นเก่งอยู่แล้ว”

   “เออ ถ้าตกนะ กูจะหัวเราะให้”

   “แล้วถ้าผ่าน พี่ม่านจะให้อะไรเม่น” สายตาที่เหล่มาโคตรเจ้าเล่ห์ “พี่จะให้อะไร ไหนว่ามาซิ”

   “มะเหงกนี่ไง” พูดพร้อมชูกำปั้น ไอ้เม่นส่ายหน้าขำพรืดออกมา

   ผมกับไอ้เม่น บ้างก็ทะเลาะ บ้างก็หัวเราะ เอาแน่เอานอนไม่ได้ มันเป็นแบบนั้นจนมาถึงทางเข้าหอพัก ไอ้เม่นเลี้ยวรถเข้าหน้าประตู แต่อยู่ๆ มันกลับเบรกจนผมหน้าทิ่ม พออ้าปากจะด่าก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นรถสีดำคันหรูวิ่งมาจอดขวางหน้าก่อนเลื่อนมาเทียบด้านข้าง กระจกด้านหลังรถคันนั้นจะเลื่อนลงเผยให้เห็นคนนั่งคอตรงด้านใน

   “ใครวะ” ผมชะเง้อคอมองลอดเข้าไปเห็นแค่ถึงคางเท่านั้น ไอ้เม่นไม่ตอบ ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลย

   “เม่น กลับบ้านกับยาย เดี๋ยวนี้!” คำสั่งดังออกมาจากด้านในรถ

   “ทำไมผมต้องกลับ” 

   “เพราะยายสั่ง”

   “ผมเคยเชื่อยายด้วยเหรอ”

   “เม่น!” ตวาดเสียงดังจนผมตกใจ “กลับบ้านตอนนี้ เดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดบอกส่งท้าย ก่อนรถคันนั้นจะเคลื่อนห่างออกไป

   “เม่น” ผมลองแตะแขนไอ้เม่นเบาๆ เพราะมันยังคงนิ่งไม่ขยับ “กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวเรื่องจะแย่นะเว้ย” พยายามหว่านล้อม ดูจากน้ำเสียงเมื่อกี้แล้ว ผมว่า ยายไอ้เม่นโคตรน่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้สักนิด

   “ครับ” เสียงรับคำของคนข้างๆ ดูจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด

   “เออดี” ผมกำลังจะดึงเปิดประตู ไอ้เม่นกลับกดล็อกเฉย “ล็อกทำไมวะ” ไม่รอเสียงตอบเป็นคำพูด เพราะมันตอบโดยใช้การกระทำ รถกระบะของผมถูกถอยหลังแล้วกลับรถเพื่อตามคันดำคันนั้นไป เดี๋ยวนะ ผมว่า มันมีอะไรกำลังผิดพลาด “ไอ้เม่น เอากูลงก่อน”

   “ก็ยายบอกให้กลับเดี๋ยวนี้ พี่ก็ได้ยิน” มันพูดออกมาหน้าตาย แต่ไม่มีแววขี้เล่นเหมือนทุกที

   “แต่มึงควรเอากูลงก่อน” ทีงี้ละเชื่อฟัง ไอ้ห่า

   “พี่อยากรู้จักยายผมไม่ใช่เหรอ งั้นก็ไปด้วยกันนี่แหละ” แล้วมันก็เงียบตลอดทาง ไม่ว่าผมจะโวยวาย จะด่า จะแหย่ยังไงมันก็นิ่ง ผมเห็นคิ้วเข้มๆ ของมันขมวดเป็นปม  แล้วอยู่ๆ มันก็พูดในสิ่งที่ทำให้ผมต้องย่นคิ้วตาม “ถ้าเกิดอะไรขึ้น พี่อย่าเข้ามาขวางนะ เม่นไม่อยากให้พี่เดือดร้อน”

   “หมายถึงอะไรวะ”

   “ก็นั่นแหละ ตามที่พูดเลย” ไอ้เม่นหันมาฉีกยิ้มให้ทีหนึ่ง ก่อนหันกลับไปสนใจท้องถนนต่อ

   มันพูดแบบนี้ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยจะดีในการไปบ้านมันครั้งนี้เลยว่ะ






   ฝ่ารถติดอย่างหนักในยามค่ำจนรถของผมจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ที่มีบริเวณโคตรกว้าง ประตูรั้วสูงตระหง่านค่อยๆ เปิดออกเผยให้เห็นสภาพอันน่าตกตะลึง จากประตูรั้วไปถึงตัวบ้านน่าจะเป็นกิโล คือมันไกลกันมาก ด้านซ้ายที่รถกำลังผ่าน มีบ้านหลังสีขาวตกแต่งสวยเปิดไฟสว่างจ้า ด้านขวาก็มีโรงรถแสนกว้าง มีรถหรูหลายคันที่ราคาบวกกันแล้วคงหลายสิบล้านบาท

   นี่ผมหลงเข้ามาในดงคนรวยใช่ไหมเนี่ย อะไรมันจะหรูขนาดนี้ 

   ไอ้เม่นขับรถเข้าไปจอดในช่องว่าง ข้างๆ รถผมคือเจ้ากระทิงดุสีแดงสดสวย ถ้าสัมผัสได้ ผมอยากกอดจูบลูบคลำสักครั้ง แต่คงได้แค่มอง เมื่อต้องเดินตามไอ้เม่น ที่จริงต้องบอกว่าถูกลากให้เดินตามมากกว่า

   “กูรออยู่ที่รถก็ได้นะ”

   “ไปด้วยกัน ผมจะแนะนำพี่ให้ทุกคนได้รู้จัก”

   ฉิบหาย คำนี้ผุดมาทันที นี่ผมยังไม่พร้อมนะเว้ย

   ผมมัวแต่ตกตะลึงกับบ้านหลังใหญ่จนลืมสังเกตว่า ประตูเข้าบ้านมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด พอเลื่อนสายตาไปเจอแทบสะดุ้งเมื่อสบสายตาสองคู่ที่จ้องมองมาทางผมกับไอ้เม่น สายตาสองคู่นั้นเต็มไปด้วยความหยามเหยียดอย่างตัวร้ายนางอิจฉาในละครมอง ไอ้เม่นดันผมให้ไปยืนซ้อนด้านหลังเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มพวกนั้น

   “มาได้แล้วเหรอ ไอ้เด็กนอกคอก” คำทักทายนี้เล่นเอาผมต้องชะโงกหน้าไปมอง คนพูดยังสวมชุดนักเรียนอยู่เลยนะ เป็นผู้หญิงแถมยังอายุน้อยกว่าแท้ๆ ทำไมปากคอเราะร้ายขนาดนี้

   “หึ ไม่ได้มาคนเดียวด้วยนะพี่ พาคู่ขามาด้วย อี๋ น่าขยะแขยง” นี่ก็เหมือนกัน หัวยังเกรียน ความคิดก็โคตรเกรียน เดี๋ยวจะเจอเกรียนวัยมหาลัยแล้วจะหนาวไอ้น้อง

   “ยายอยู่ไหน” ไอ้เม่นไม่ตอบโต้อะไร แต่เลือกที่จะถามหายายตัวเองแทน ผมไม่รู้หรอกว่าสายตามันตอนนี้เป็นยังไง เพราะมัวแต่ส่งรังสีทางสายตาไปฆ่าพวกตัวอิจฉาอยู่ แต่จากที่ได้ยิน น้ำเสียงมันโคตรจะนิ่งเกือบเย็นเป็นน้ำแข็ง

   “ทำไม จนตรอกแล้วเหรอ ถึงจะกลับมาขออะไรยาย”

   “หึ ฉันไม่เคยขออะไร ไม่เคยประจบสอพลอเอาดีเข้าตัว โยนชั่วให้คนอื่น” ไอ้เม่นตอบกลับ จุดเสียงกรี๊ดเป็นบ้าเป็นหลัง

   เออ เป็นไบโพล่าหรือเปล่าวะ

   “อย่ายอมมัน” ไอ้เด็กเกรียนข้างๆ มียุด้วยนะ ส่วนพวกที่ยืนมุงดูข้างๆ พวกนั้นคงเป็นคนใช้ของบ้าน หน้าตาแต่ละคนก็ดูเด๋อด๋า คงไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อนั้นก็เจ้านาย นี่ก็เจ้านาย

   “ฉันไม่มีเวลามาคุยกับพวกไร้สาระ ยายอยู่ไหน” ไอ้เม่นถามโดยไม่สนเสียงกรีดร้อง หากไม่มีเสียงกระแอมดังมาจากด้านหลังหยุดเสียงกรี๊ดให้เงียบลง

   การปรากฏตัวของเจ้าของบ้าน เล่นเอาผมขนลุก คุณยายที่ยังดูสาวสวยไม่ได้แก่ผมขาวเหมือนที่คิดไว้ ท่าทางนิ่งคอตั้งวางอำนาจอย่างเต็มที่ ยายไอ้เม่นปรายตามองพวกตัวอิจฉาปุ๊บ พวกนั้นก็รีบก้มหน้าถอยหลังกรูจนน่าขำ

   “ไม่มีมารยาท” อยู่ๆ ป้าที่ยืนด้านหลังยายไอ้เม่นก็ตวาดผม คงเพราะผมขำเสียงดังมากไปหน่อย

   “ขอโทษครับ” โค้งศีรษะเชิงโทษ ก่อนขยับซ้อนหลังไอ้เม่นตามเดิม

   ทำไมต้องดุด้วยวะ

   “พามาด้วยทำไม ยายไม่ได้สั่ง” ผมเบ้ปากอยู่หลังไอ้เม่นเมื่อได้ยินเสียงห้วนๆ ถามขึ้นมา นี่ถ้าชะโงกหน้าไปดู อาจโดนสายตาจิกด้วย ผมเห็นในละครบ่อย

   “ผมไม่เคยฟังคำสั่งยายอยู่แล้ว” ไอ้เม่นก็คนจริงครับ ตอบกลับอย่างไม่กลัวเหมือนพวกตัวอิจฉาเมื่อกี้

   “ทำไมถึงย้ายไปอยู่ที่นั้น คอนโดตัวเองก็มี” ได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนยายจะพูดออกมา “หรือเพราะอยากประชดยาย”

   “ไม่มีเหตุผลว่าทำไมผมถึงจะต้องประชด แล้วที่ผมย้ายไป ก็ไม่เห็นมีใครเดือดร้อนสักคน หรือยายเดือดร้อนล่ะครับ” แทบอยากเห็นหน้าไอ้เม่น ไม่ได้จะชมนะ จะด่ามันครับ นี่มันกล้าต่อปากต่อคำยายมันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ

   “เมื่อไหร่จะเลิกพูดจาแบบนี้กับยายของแกฮะ” เสียงทุ้มของคนมาใหม่ ผมแอบเอนหัวออกไปดู เห็นผู้ชายผมขาวที่น่าจะเป็นคุณตา มีผู้ชายตาขวางเดินเคียงข้างมาด้วย คงเป็นญาติไอ้เม่นอีกคน “แล้วก็เลิกทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เลิกทำตัวแปลกแยกกับลูกหลานบ้านนี้สักที”

   “ตากับยายยังเห็นผมเป็นลูกหลานบ้านนี้อยู่หรือครับ นึกว่าเห็นเป็นอากาศซะอีก” ไอ้เม่นตอบพร้อมเสียงขำในลำคอ แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันเป็นเสียงหัวเราะที่น่าขื่นขมซะจริงๆ

   “ไอ้เม่น” ไม่ใช่แค่เสียงที่กระชากนะครับ แต่ลุงตาขวางนั่นพุ่งเข้ามาดึงคอเสื้อไอ้เม่นจนขาแทบลอย ผมตาโตมือก็คว้าแขนไอ้เม่นโดยอัตโนมัติ “ปล่อย!” คงเพราะเห็นผมดึงแขนไว้ เลยหันมาตะคอกให้ใส่

   “พี่ม่าน ปล่อยผมก่อน” ไอ้เม่นเห็นผมยังยื้อไว้เลยหันมาบอกพร้อมรอยยิ้มบางๆ และพอผมปล่อยปุ๊บ ร่างมันก็ถูกเหวี่ยงลงไปกองกับพื้น

   เชี่ย!!

   “แกชักจะปากดีเหมือนพ่อเหมือนแม่แกซะจริงๆ เชื้อไม่ทิ้งแถว” เสียงนี้ดังมาจากคนที่ยืนข้างยายมันครับ สีหน้าป้านี่รู้เลย ว่าตัวอิจฉาแน่นอน

   นี่บ้านนี้มีแต่ตัวร้ายเหรอเนี่ย

   “อย่ามาว่าพ่อกับแม่ของผม ป้าควรสอนลูกตัวเองให้ดีก่อน แล้วค่อยว่าคนอื่น” บราโว่ แทบอยากปรบมือให้ แต่สถานการณ์คงยังไม่ใช่ตอนนี้

   “แก ไอ้เด็กเหลือขอ” ป้านั่นเกือบพุ่งมาแล้ว หากไม่ติดมือของยายที่ยกมาขวางไว้

   “ขอโทษป้าแกเดี๋ยวนี้ ไอ้เม่น”

   “งั้นลุงก็ให้เมียลุงขอโทษผมก่อนสิ เมียลุงว่าพ่อกับแม่ของผม” แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาผมตกใจจนอ้าปากค้าง เมื่อลุงมันต่อยหน้าไอ้เม่นจนหน้าขาวหันตามแรง พอไอ้เม่นหันกลับมา สายตามันโคตรกร้าวยามจ้องหน้าคนต่อย “หึ”

   “ทำไมแกนิสัยแบบนี้ฮะ พ่อกับแม่แกสั่งสอนให้เป็นแบบนี้หรือไง” ลุงมันตวาด มือก็ขย้ำคอเสื้อไอ้เม่นแล้วเขย่าจนหัวสั่น “พ่อกับแม่ฉันไปเอาแกมาเพราะเห็นแก่อนาคตของแก ไม่อย่างนั้น ตอนนี้แกคงไปนอนบ้านเช่าแคบๆ นั่นกับปู่แกไปแล้ว หัดจำใส่หัวไว้บ้าง”

   “ผมขอหรือไง ผมขอให้ตากับยายไปเอาผมมาหรือไง ผมอยู่ที่นั่นอาจจะดีกว่านี้” ไอ้เม่นหันไปมองตากับยายที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน สีหน้าและแววตามันเต็มไปด้วยความตัดพ้อ ท่าทางแบบนั้นทำเอาน้ำตาผมรื้นขึ้นมา

       “ไอ้เม่น” อีกแล้วครับ โดนต่อยอีกแล้ว ทำไมพวกเขาถึงต้องทำกับหลานตัวเองได้ ทำไมต้องใช้กำลังความรุนแรง แถมยังทำต่อหน้าเด็กอีก ผมมองซ้ายมองขวา รู้สึกอยากเข้าไปกระชากไอ้เด็กที่นอนอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น อยากตะโกนใส่หน้าว่ายอมให้เขาทำร้ายทั้งคำพูดและร่างกายทำไม “จ้องหน้าทำไมวะ!!”

   “พอแล้วครับ พอแล้ว” สุดท้ายผมก็ทนดูเฉยๆ ไม่ได้เลยเข้าไปผลักลุงมันออกก่อนที่หมัดนั่นจะพุ่งมาอีกรอบ พอลุงมันขยับไป ผมก็รีบพยุงไอ้เม่นให้ลุกขึ้นนั่ง เลือดกำเดามันไหลออกมาแต่เจ้าตัวดูไม่ใส่ใจ “เจ็บไหม” ผมดึงชายเสื้อตัวเองขึ้นเช็ดให้ ก่อนหันไปจ้องตำหนิทุกคน “ทำไมแบบนี้ มันไม่เกินไปหน่อยหรือไงครับ”

   “คนนอกอย่ายุ่ง” เสียงแจ๋นจากเด็กผู้หญิงที่เจอครั้งแรก ผมตวัดสายตาไปมองด้วยความไม่พอใจ

   “ผมเป็นแฟนมัน ทำไมจะยุ่งไม่ได้” ตะคอกอย่างเหลืออด

   “พวกประหลาด สกปรก โสโครก”

   “ถึงจะประหลาด สกปรกโสโครก แต่ไม่เคยเหยียดคนอื่น คุณคงเป็นพวกคนปกติแต่ชอบเหยียดคนอื่น โรงเรียนไม่สอนเหรอ คำว่าสมบัติผู้ดีและมารยาท” ตอบโต้อย่างไม่กลัว เด็กผู้หญิงนั่นถึงกับร้องกรี๊ดๆ

   “ปากดี ไอ้เด็กบ้า กล้าด่าลูกฉันเหรอ” หันมาอีกด้าน (เริ่มเมื่อยคอแล้วนะเว้ย) “คิดว่าตัวเองเป็นใครฮะ ไอ้เด็กบ้านนอก”

   “บ้านนอกแล้วไง ไม่ได้ขอเงินป้ากินนี่ครับ” ไม่กลัวแล้วโว้ยตอนนี้ “ด้วยความเคารพนะครับ อย่าหาว่าสอนเลย ป้าควรสอนลูกตัวเองบ้าง ไม่ใช่ให้สืบสายพันธุกรรมตัวอิจฉามา”

   “ไอ้ๆๆ” มาครับ ด่ามา ไอ้ม่านพร้อมด่ากลับเสมอ รู้ว่าไม่ดี แต่มันเกินไป นี่ไม่ใช่ละครที่ตัวเอกต้องยอมตัวร้ายเสมอไป “คุณแม่คะ ดูไอ้เด็กนี่สิคะ” พอหาคำด่าไม่ได้ก็เริ่มฟ้องครับ ผมเหล่ไปมองยายและตาของไอ้เม่น ดูทั้งคู่จะยืนนิ่ง ไม่ด่าหรือโวยวายอะไร “คุณแม่”

   “เลิกโวยวายสักที ฉันปวดหูจะแย่” ยายไอ้เม่นตวาด ป้านั่นถึงกับเงียบ สมน้ำหน้า ก่อนยายมันจะเดินลงมายืนข้างๆ คนที่ทำร้ายไอ้เม่น “เธอคิดว่า เธอเป็นใครถึงได้กล้ามาด่าคนของบ้านฉัน”

   “ผมไม่ได้กล้านะครับ แค่พูดตามสิ่งที่เห็น” จ้องกลับอย่างไม่กลัวสายตากดดัน “ผมไม่รู้ว่า ไอ้เม่นโตมายังไง แต่ที่อยากรู้คือ ตากับยาย เคยรักมันบ้างไหมครับ เคยเห็นมันเป็นหลานบ้างไหม เคยอยากกอดปลอบตอนมันทุกข์ใจ เคยอยากถามความรู้สึก ความคิดของมันบ้างไหม เคยถามไหมว่ามันชอบกินอะไร เกลียดสัตว์อะไรที่สุด นอนคนเดียวได้ไหม กลัวผีหรือเปล่า แค่นี้ที่อยากรู้ครับ” 

   “กล้าถามฉันขนาดนี้เชียวรึ” ผมเหยียดยิ้มให้เมื่อได้ยิน

   “ผมรู้ ว่าผมเป็นคนนอกไม่ควรก้าวก่าย แต่ยายไม่สงสารหลานตัวเองบ้างหรือครับ”

   “รู้ตัวว่าเป็นคนนอกแต่ก็ยังกล้ามาถามเรื่องเม่นกับฉันอีกหรือไง”

   “ที่จริงก็ไม่ได้กล้า แต่เพราะผมเป็นห่วง แม้มันจะกวนตีนบ้าง เสี่ยวบ้าง แต่ผมก็ห่วง ผมห่วงความรู้สึกของมัน แล้วตากับยายเคยห่วงความรู้สึกมันเหมือนคนนอกแบบผมหรือเปล่าครับ”

   “พี่ม่าน” ผมก้มลงไปยิ้มให้ไอ้เม่นที่มันมองผมอย่างอึ้งๆ

   “เห็นกูบ้าบอแบบนั้น แต่กูก็จริงจัง เป็นคนจริงสองพันสิบเจ็ดนะเว้ย” ว่าอย่างขำๆ และไอ้เม่นก็ขำออกมาจริงๆ

   “ขอบคุณครับ” แขนสองข้างมันกอดเอวผมพร้อมกับหน้าซบที่อก ผมเงยหน้ามองหน้าตากับยายของมันอีกรอบเพราะอยากรู้คำตอบ

   “กลับไปได้แล้ว” อ่าว...เฮ้ย นี่เหมือนไม่ใช่คำตอบที่ผมอยากได้นะครับ แต่ก็เท่านั้น เมื่อพวกเขาไม่อยู่ให้ถามต่อเพราะพากันเดินพาเหรดกลับเข้าไปในบ้านหมดแล้ว

   แล้วคำตอบผมละเฮ้ย เดี๋ยว!!

   ผมดึงไอ้เม่นให้ลุกขึ้นยืน และเพิ่งเห็นว่าป้ากับลูกสองคนเดินย้อนกลับออกมาตั้งท่าหาเรื่อง แต่พอเจอไอ้เม่นตวัดสายตามองก็รีบวิ่งกลับเข้าบ้าน โธ่ ไม่แน่จริงนี่หว่า

   “กลับเถอะ หิวแล้วเนี่ย กี่โมงกี่ยามแล้วก็ไม่รู้” จะว่าไป มัวแต่โมโหจนลืมดูว่านาฬิกา



   ผมขับรถกลับมาที่หอพัก ไอ้เม่นนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา มันคงเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผมๆ ก็เสียใจ แถมยังน้อยใจด้วย ตายายจริงๆ หรือเปล่าวะ ไม่ห้ามเลย เห็นอยู่ว่าไอ้เม่นถูกต่อยแบบนั้น พอคิดแล้วก็โมโห

   ไอ้เด็กต่างสถาบันมันกินข้าวที่ผมเวฟเสร็จก็อาบน้ำแล้วเข้านอน นี่มันจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอวะ ก็ช่างเถอะ มันอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ผมนี่สิ มันรู้สึกอึดอัดเหมือนกินเยอะจนลมในท้องมันตีขึ้นมาจุกอกจนอยากเรอ เอ๊ย ระบาย ผมคว้ามือถือเดินปึงปังออกไปนอกระเบียง กดสายตรงถึงคนที่คิดถึง รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ ผมรีบกรอกเสียงเล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง รู้ว่ามันดึกมาก แต่ผมต้องระบาย ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับ เพราะมันเครียด


   ไอ้ม่านเครียด


   ระบายให้แม่ฟังเสร็จก็รู้สึกโล่งทันที ผมเดินกลับเข้ามา เจอไอ้เม่นนอนบนเตียงมองตาแป๋วจนผมต้องย่นคิ้ว

   “เมื่อกี้มึงหลับไปแล้วไม่ใช่หรือไง” ถามพร้อมกับขึ้นไปนอนบนเตียง พอหลังผมแตะเตียงปุ๊บ ไอ้เม่นก็พาแขนกับขาหนักๆ มาทับ “หนักเว้ย”

   “เม่นโคตรตกใจที่เห็นพี่เถียงยาย” แรงดิ้นของผมหยุดลงเมื่อไอ้เม่นพูด “ปกติไม่ค่อยมีใครกล้าถามแบบนั้นกับยายหรอกนะครับ ถึงจะมี แต่ยายก็จะถามกลับจนอีกฝ่ายต้องถอยหนีแทบทุกครั้ง”

   “ยายมึงมีสายตาและท่าทางเย็นชาเป็นอาวุธ” ผมว่า ไอ้เม่นมันขำออกมา สงสัยจะเห็นด้วย “กูโคตรบ้าจริงๆ ตอนนั้น แต่พอเห็นมึงถูกต่อยแล้วมันทนดูเฉยๆ ไม่ได้ กูเป็นคนดีป่ะล่ะ”

   “เพราะพี่ม่านรักเม่นแล้วไงถึงกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้น” หันหน้าไปโก่งคออ้วกเมื่อได้ยิน ไอ้เม่นมันเอาแก้มถูเข้าที่ไหล่ของผมอย่างน่าหมั่นไส้

   “กูถามจริงๆ มึงถูกทำร้ายร่างกายบ่อยหรือเปล่าวะ” ผมถามไป ไอ้เม่นก็เงียบเลยครับ “มึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวกูแล้ว แต่กูยังไม่รู้เรื่องของมึงนะ คนรักกันไม่ควรมีความลับต่อกันหรือเปล่าวะ” ขยับตัวนอนตะแคงเพื่อจ้องหน้ากดดัน ไอ้เม่นมันขยับไปนอนหงาย วางแขนพาดหน้าผากอย่างคนกำลังใช้ความคิด

   “เรื่องเม่นไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าไหร่หรอก”

   “แต่กูอยากฟัง”

   ไอ้เม่นหันมายิ้มให้ผม ก่อนมันจะหันกลับไปมองเพดานตามเดิม

   “แม่มีผมตอนเรียนมหาลัยปีหนึ่ง ตากับยายโมโหสั่งให้ไปเอาผมออกแต่แม่ไม่ยอม” แค่เริ่มแรก ผมก็อ้าปากค้างแล้วครับ น้ำเสียงมันนิ่งมาก ขนาดคำแทนตัวเองยังไม่มีท่าทางเล่นๆ อย่างทุกที “แม่บอกพ่อว่ามีผมแต่ยายให้ทำแท้ง พ่อเลยพาแม่กลับไปที่บ้านต่างจังหวัด ตากับยายสั่งให้แม่กลับ แต่แม่ไม่ยอม จนเกิดผมออกมา ตอนนั้นผมก็เป็นแค่เด็กธรรมดาอยู่กับพ่อแม่แล้วก็ปู่ย่า ทุกอย่างน่าจะปกติหากตากับยายไม่ไปหาพวกเราอีก”

   “เม่น มึงโอเคใช่ไหม” ที่ถามเพราะน้ำเสียงมันมีร่องรอยของเสียงสะอื้นเบาๆ

   “ยายบอกกับทุกคนว่าสร้างบ้านให้กับผม และไม่ถือโทษโกรธอะไรอีก ยายยกเหตุผลเรื่องเรียนของผมมาอ้าง จนทุกคนเริ่มคล้อยตามสุดท้ายก็ยอมตกลงจะกลับ ตอนนั้นผมอยู่มอสาม พี่เข้าใจไหม ว่าเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง พอรู้ว่าจะได้ไปอยู่กรุงเทพฯ มันดีใจแค่ไหน จังหวัดที่เพื่อนๆ อยากไป แต่ผมได้ไป ผมดีใจจนนอนไม่หลับ วันเดินทาง พ่อกับแม่นั่งเงียบตลอด ไม่มีใครดีใจเหมือนผม ผมมันโคตรโง่ ไม่รู้เลยว่าเพราะอนาคตของผม ทำให้พ่อกับแม่ต้องตาย”

   “เม่น” คราวนี้น้ำตามันไหลออกมาจากหางตา ผมยื่นมือไปแตะแขนมันเบาๆ “ไม่ต้องเล่าแล้วก็ได้”

   “มีรถตัดหน้ารถของเรา พ่อหักหลบจนพลิกคว่ำลงข้างทาง ผมควรตายไปพร้อมพ่อกับแม่ใช่ไหม เพราะผมอยากไปกรุงเทพฯ พ่อกับแม่ถึงต้องตาย ถ้าไม่ใช่เพราะผม พ่อกับแม่ก็ไม่ต้อง...ตาย”

   “เม่น ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะมึง” ผมลุกขึ้นนั่งพร้อมกับดึงไอ้เม่นมากอด มันซบหน้าที่บ่าจนเสื้อตรงนั้นผมชุ่มด้วยน้ำตา “อย่าโทษตัวเองสิวะ”

   “ถ้าตอนนั้นผมบอกแม่ว่าไม่อยากมา พ่อกับแม่ก็คงไม่มา” เสียงพูดปนสะอื้นอย่างเจ็บปวด “พอผมหาย ยายก็ไปรับผมและทิ้งให้ผมอยู่ในบ้านที่เขาสร้างให้ ตลอดเวลาที่อยู่บ้านหลังนั้น พวกเขาไม่เคยสนใจ พวกเขาปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว ผมกลัว ผมนอนคนเดียว ร้องไห้คนเดียว ไม่มีพ่อกับแม่อีกแล้ว ตอนนั้นผม...”

   “ชู่ว ไม่ต้องกลัวนะ ตอนนี้มึงมีกูแล้ว เม่นมีพี่อยู่นี่ไง” ผมลูบหัวมันเบาๆ เพื่อปลอบ

   “ผมนอนฝันร้ายทุกคืนที่อยู่ที่นั่น ฝันถึงแม่ ฝันถึงพ่อ เหตุการณ์วันนั้นตามหลอกหลอนผมมาตลอด พอบอกยาย พวกเขาก็ด่า ผมโดนหลานของเขาแกล้ง และพวกเขาก็เข้าข้าง ผมถูกตีทุกวัน ผม...”

   “พอแล้วๆ ไม่ต้องเล่าแล้ว แค่นี้กูก็ร้องไห้แล้วเนี่ย” พยายามสร้างบรรยากาศไม่ให้เศร้าไปกว่านี้ ผมแกล้งบีบน้ำตาตัวเอง ที่จริงไม่ต้องบีบมันก็ไหล แต่เพื่อให้มันตลกดู เลยทำหน้าบูดเบี้ยว

   “พี่เป็นคนเดียวที่ปกป้องผม” นี่มันพูดให้ซึ้งใช่ไหม

   “กูคนดีสองพันสิบเจ็ดไง ต่อไปน้องเม่นไม่ต้องกลัว พี่ม่านจะปกป้องเอง” ตบหลังไอ้เม่นหลังป๊าบๆ จนมันขำทั้งน้ำตา

   “เลือกคนไม่ผิดจริงๆ” ไอ้เด็กขี้แยเช็ดน้ำตาจนเหลือแต่คราบติดแก้ม

   “กูว่า ตากับยายมึงก็รักมึงเหมือนกัน แค่ไม่แสดงออก หรือไม่ก็ เป็นคนแสดงออกไม่เก่ง” ผมเริ่มออกความคิดเห็น “เขาไม่ได้เลี้ยงมึงมาตั้งแต่แรก ไม่ได้ผูกพันเหมือนหลานตัวอิจฉานั่นที่เกิดปุ๊บก็ได้อุ้มเลย อีกอย่าง มึงก็เห็นว่าพวกนั้นตอแหล เอ๊ย ฉอเลาะเก่งแค่ไหน คนแก่น่ะ ชอบลูกหลานที่เข้าหามากกว่าเสมอ แต่มึงติสไง ไม่ยอมไปหา”

   “โห พี่คิดดีมากอะ คิดบวกสุดๆ” ไอ้เม่นขำออกมา

   “ต้องดีสิ ก็กูเอาประโยคจากแม่มาทั้งดุ้นเลย” ว่าแล้วก็หัวเราะ

   “นั่นไง ว่าแล้วเชียว พี่ม่านไม่น่าจะพูดมีเหตุ มีผลขนาดนี้”

   “ดูถูกกูนี่หว่า”

   “ก็ไม่เคยดูผิดสักครั้ง ไม่ใช่เหรอ”

   “เออ ถูก”

   ผมอมยิ้มเมื่อเห็นไอ้เม่นมีสีหน้าดีขึ้น ชีวิตคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากหรอกครับ เงินทองมีร้อยล้านพันล้าน ตายไปก็พกติดตัวไปด้วยไม่ได้ ความรักและความดีต่างหากที่จะติดตัวเราไป...คำคมของไอ้ม่านคนจริงสองพันสิบเจ็ด (ที่จริงเอามาจากคำพูดของแม่ครับ จุ๊ๆ)


...TBC


โอย แต่งดราม่ายากเหลือเกินค่า กินพลังชีวิตพอสมควร  :sad4:

หากผิดพลาดก็ขอประทานอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่า จะพยายามพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ

ขอบพระคุณมากๆ ค่า  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
สงสารเม่นจัง แต่แต่งดราม่าเบาๆได้แบบนี้ก็ถือว่าสุดยอดเเล้วค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด