Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร
ตอนที่9 เรือสำราญ
ตั้งแต่กลับมาจากเกาะนางเงือกบ้านเกิดของตัวเอง คามิซาวะไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับที่นั่นเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งผมถามจี้ เขาก็ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่อยากพูดถึง เอาเหอะ อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้ขัดขวางผมเรื่องการจัดดินเนอร์บนเรือสำราญ แถมยังจัดการเชิญแขกซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทเครือพันธมิตรต่างๆ ให้เสร็จสรรพ ทำหน้าที่ได้ดีสมกับเป็นเลขาปากกาทองที่ผมจ่ายค่าจ้างแสนแพงจริงๆ
วันหนึ่ง ขณะนั่งรถกลับ ผมได้ยินเสียงเขาฮัมเพลง เลยนึกอะไรขึ้นมาได้ “คามิซาวะซัง”
“ครับ?” เขาหันหน้ามาหาผมด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ?”
ผมหันกลับไปมองเขา “ไปร้องคาราโอเกะกัน”
คามิซาวะทำหน้าเหมือนจะสำลักน้ำ “วะ... ว่าไงนะครับ?!”
“ผมบอกว่าไปร้องคาราโอเกะกัน” ผมพูดพลางจ้องตาเขาผ่านแว่นไม่มีเลนส์อันนั้น ก่อนจะหันไปบอกคนขับรถ “ชิรุ แวะร้านคาราโอเกะตรงหัวมุมนี้หน่อยสิ ผมอยากร้องเพลง”
เลขาตัวดีของผมอ้าปากพะงาบๆ ด้วยพูดไม่ออก กว่าที่เขาจะเค้นเสียงออกมาได้ รถก็จอดหน้าร้านคาราโอเกะแล้ว ผมหันมองเขา ก่อนจะเปิดประตูรถ “เป็นอะไร ไม่ต้องกังวลหรอก มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
“ตะ... แต่...” คามิซาวะทำท่าจะปฏิเสธ แต่ถูกผมชิงพูดตัดหน้าเสียก่อน “หรือต้องให้ผมทำหนังสือเชิญคุณร้องคาราโอเกะล่ะ”
นั่นแหละ เขาถึงยอมเดินตามผมเข้ามาในร้าน ผมให้ชิรุรออยู่ที่รถ เพราะตั้งใจจะแวะที่นี่ไม่นาน แค่อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้นเอง
ผมสั่งเปิดห้องคาราโอเกะแบบส่วนตัวห้องหนึ่ง ก่อนจะหยิบไมค์ส่งให้เลขาหนุ่ม “ร้องเพลงให้ผมฟังสักเพลงสิ ผมอยากฟัง”
คามิซาวะรับไมค์อย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ร้องในทันที “ทำไมจู่ๆ นึกอยากฟังผมร้องเพลงล่ะครับ”
“ก็ได้ยินมาว่าคุณร้องคาราโอเกะเก่ง ผมกำลังคิดว่าถ้าเสียงคุณเยี่ยม ผมจะให้คุณร้องเพลงกล่อมแขกบนเรือที่เราจัดเลี้ยง เผื่อหลายคนจะยอมตกลงอะไรได้ง่ายๆ บ้าง”
ดวงตาของคามิซาวะเป็นประกายขึ้นมาทันที “อ๋อ เรื่องนี้เอง งั้นก็ไม่มีปัญหาครับ”
“อืม... ร้องให้ผมฟังสักเพลงสิ เอาเพลงที่คุณฮัมตะกี้ก็ได้”
คามิซาวะรีบปฏิเสธทันที “เพลงนั้นไม่มีทำนองหรอกครับ ผมฮัมมั่วๆ เอาเฉยๆ”
“งั้นเหรอ ผมว่ามันฟังเพราะดีออก มั่วอีกทีไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้ครับ” เขาตอบเสียงหนักแน่น ก่อนจะหยิบรีโมตขึ้นมา กดเลือกเพลง “เอาเพลงนี้แล้วกัน ผมว่าคุณต้องชอบแน่”
เสียงไวโอลินทำนองเพลง Sekai ni Hitotsu Dake no Hana ของวง SMAP ดังขึ้น ขณะที่คามิซาวะถือไมค์ประหนึ่งว่าเป็นสมาชิกวงคนใดคนหนึ่งอย่างนั้น
‘Hanaya no misesakini naranda
Iron na hana wo miteita
Hitosorezorekonomi wa arukedo
Doremo minna kirei dane
ชั้นมองเห็นดอกไม้หลากสีหลายพันธุ์
ตั้งเรียงรายอยู่ที่หน้าร้านขายดอกไม้
ทุกคนต่างก็มีความชอบที่แตกต่างกัน
แต่ว่าดอกไม้แต่ละดอกต่างก็งดงามทั้งนั้น
Kono naka de dare ga ichiban da nante
Arasou koto mo shinaide
Bucket no naka hogorashigeni
Jyanto mune wo hatteiru
ดอกไม้เหล่านั้น ไม่มีการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกัน
ว่าใครเป็นดอกที่งดงามที่สุด
แต่ละดอก แต่ละดอก ต่างก็ยืดอก
ภาคภูมิใจในตัวเองอยู่ในตะกร้าใส่ดอกไม้ของตน
Sorenanoni bokura ningen wa
Doushite koumokurabetagaru?
Hitori hitori chigaunoni sononakade
Ichiban ni naritagaru?
ทั้ง ๆ อย่างนั้นแท้ ๆ ทำไมมนุษย์อย่างพวกเรา
ถึงได้ชอบประกวดประขันเปรียบเทียบกันอย่างนี้
ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนก็แตกต่างกันอยู่แล้ว
แต่ทำไมถึงยังได้อยากเป็นที่ 1 กันนัก?
Sousa bokura wa
Sekai ni hitotsu dake no hana
Hitori hitori chigautane wo motsu
Sonohana wo sakaserukotodakeni
Isshougenmei ni narebaii
ใช่แล้วล่ะ พวกเราน่ะ
ต่างก็เป็นดอกไม้เพียงดอกเดียวในโลกนี้
ทุกคนต่างมีเมล็ดพันธุ์ของตัวเอง
จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ดอกไม้นั้นเติบโตอย่างงดงาม
พยายามเพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
Komattayouni warainagara
Zutto mayotteru hito ga iru
Ganbattesaita hana wa doremo
Kireidakara shikatanaine
ชั้นเห็นคนคนนึง หัวเราะพลางทำท่าทางลำบากใจอยู่หน้าร้านขายดอกไม้
ก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ เพราะดอกไม้แต่ละดอกที่ต่างพยายามบานอย่างเต็มที่มันช่างงดงามจริง ๆ
Yatto mise kara dete kita
Sono hito ga kakaeteita
Irotoridori no hanataba to
Ureshisouna yokogao
ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากร้านขายดอกไม้ซะที
และสิ่งที่ในมือเขาคนนั้นโอบกอดเอาไว้
ก็คือช่อดอกไม้หลากสีสัน
รวมทั้งใบหน้าด้านข้างที่ยิ้มแย้มอย่างเต็มที่
Namae mo shiranakattakeredo
Anohi boku ni egao wo kureta
Dare mo kitzukanaiyouna basho de
Saiteta hana no youni
ทั้งๆ ที่ชั้นไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขา
แต่เพียงแค่นั้นเขาก็นำรอยยิ้มมาให้ชั้นได้ทั้งวันแล้ว
เหมือนกับดอกไม้ที่บานอยู่ในที่ที่ไม่มีคนสนใจนั่นแหละ
Sousa bokura mo
Sekai ni hitotsu dake no hana
Hitori hitori chigautane wo motsu
Sonohana wo sakaserukoto dake ni
Isshougenmei ni narebaii
ใช่แล้วล่ะ พวกเราเองก็
ต่างก็เป็นดอกไม้เพียงดอกเดียวในโลกนี้
ทุกคนต่างมีเมล็ดพันธุ์ของตัวเอง
จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ดอกไม้นั้นเติบโตอย่างงดงามกันเถอะ
พยายามเพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
Chisaihana ya ookinahana
Hitotsutoshite onajimono wa naikara
NO.1 ni naranakutemo ii
Moto moto tokubetsu na Only one
ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ดอกเล็กหรือดอกใหญ่
แต่ก็ไม่มีดอกไหนที่เป็นแบบเดียวกันหรอก
ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นหมายเลข 1
จงมาเป็นดอกไม้ที่พิเศษสุดเพียงดอกเดียวในโลกนี้กันเถอะ’ (* คำแปลโดยคุณ อ้วนเต้ย จากบล็อกแก๊ง
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mypace&month=05-2007&date=15&group=6&gblog=94)
ผมปรบมือให้เขาหลังเพลงจบ พลางพูดชม “เสียงคุณดีมาก มิน่า หลายคนในบริษัทถึงชอบไปร้องคาราโอเกะกับคุณ ไม่ลองไปสมัครเป็นนักร้องล่ะ?”
คามิซาวะหัวเราะเขินๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก “แหม... ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่ชอบร้องเพลงเป็นงานอดิเรกเฉยๆ ไม่ได้คิดจะเอาดีเอาเด่นอะไรด้านนี้หรอก”
ผมกวาดตามองเขา ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วยกมือลูบคางอย่างครุ่นคิด “นี่ถ้าคุณไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ แต่ขอผมกลับไปตั้งแต่หลังพระอาทิตย์ตก ผมต้องคิดว่าคุณเป็นเงือกแน่ๆ”
คามิซาวะทำท่าเหมือนจะสำลักไมค์ เขาถลึงตาจ้องผมเหมือนเห็นของแปลก “วะ... ว่าไงนะครับ!”
“เสียงคุณกับงินคล้ายกันมาก” ผมตั้งข้อสังเกตต่อ “ถ้าผมฟังแบบไม่ลำเอียง เสียงคุณยังดีกว่าเขาอีก ยังดีนะที่คุณมีขาเดินได้ปกติตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนคนทั่วไป”
เลขาหนุ่มของผมมีสีหน้าเหมือนมีอะไรติดคอ เขาถลึงตาจ้องผมอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็แค่นเสียงตอบผมออกมาได้เสียที “ละ... ล้อเล่นหนักไปแล้วทาซากิซัง ผะ... ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ไงครับ”
ผมหรี่ตามองเขาอยู่อีกครู่หนึ่ง คราวนี้คามิซาวะทำท่าเหมือนทำอะไรไม่ถูก เขาเริ่มมองซ้ายมองขวา ประหนึ่งว่ากำลังหาทางหนีจากผมอย่างไรอย่างนั้น
“นี่ เป็นอะไรไป คามิซาวะซัง แค่ผมทักว่าเหมือนเงือก คุณถึงขั้นไปไม่เป็นเลยเหรอ? ถามจริงเถอะ คุณมีความเกี่ยวข้องยังไงกับเงือกกันแน่ มีบรรพบุรุษเป็นเงือก หรือว่าเป็นเงือกพันธุ์พิเศษยิ่งกว่างิน?”
คามิซาวะรีบยกมือให้ผมหยุดพูด “ช้าก่อนครับ ทาซากิซัง คุณละลาบละล้วงเรื่องผมมากไปแล้ว”
ผมเลิกคิ้วกับสำนวนการพูดของเขา ด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินสำนวนโบราณแบบนี้จากปากคนอายุสามสิบห้า “คามิซาวะ ผมแค่ถาม”
“ถามก็ไม่ได้ครับ” เขาตอบผม และเปลี่ยนท่าทางมาเป็นเรียบเฉยเหมือนปกติอย่างรวดเร็ว “ห้ามพูดถึงเรื่องเงือกกับผมอีกนะครับ ไว้ถึงเวลา ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง”
พอถูกเขาใช้ดวงตาสีดำสนิทหลังแว่นไร้กรอบคันนั้นจ้อง ผมก็อ้าปากไม่ออกดื้อๆ ไม่รู้สึกมาก่อนเลยว่าคามิซาวะจะมีแววตาน่ากลัวขนาดนี้
“อืม... ก็ได้”
“ขอบคุณครับ... แล้ว เราจะกลับกันรึยังครับ ผมเรียกพนักงานมาปิดห้องเลยดีกว่า ยังไงคุณเองคงไม่คิดจะร้องคาราโอเกะอยู่แล้ว”
“อืม...”
-------------------------------------------
คามิซาวะมาส่งผมถึงบ้านเช่นเคย ก่อนกลับผมไม่วายบอกเขา “คามิซาวะซัง ยังไงวันงานบนเรือ คุณต้องขึ้นร้องเพลงนะ ผมตัดสินใจแล้ว เอาเพลงที่คุณร้องวันนี้แหละ ความหมายดีมาก”
คามิซาวะมองผมแล้วยิ้ม “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอกครับ ผมรู้ คุณชอบSMAP” เขาพูดพลางโค้งให้ผม ก่อนจะกลับขึ้นรถไป ผมมองไล่หลัง ก่อนจะถอนหายใจดังเฮือก
----------------------------------------
วันเวลาอันวุ่นวายไหลผ่านผมไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายน้ำ รู้ตัวอีกทีก็ถึงกำหนดดินเนอร์บนเรือสำราญแล้ว คามิซาวะและทาคุโบะช่วยกันตรวจรายชื่อแขกที่เชิญขึ้นเรือ ส่วนเรื่องอาหารและดนตรี ทางบริษัทให้เช่าเรือเป็นผู้จัดหา แม้จะยุ่งแสนยุ่ง แต่ผมไม่ลืมโน้ตไปในรายละเอียดว่า ให้เตรียมเปียโนให้ผมหลังหนึ่ง แต่ไม่ต้องวางในห้อง ให้วางเอาไว้ในร่ม ใกล้กับท้ายเรือ ในส่วนที่มีบันไดทอดลงไปได้ ส่วนเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น ผมคงไม่สามารถอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้หรอก
“ทาซากิซังครับ หล่อแล้วล่ะครับ ถ้าคุณยังดูกระจกต่ออีกสามนาที ผมว่าเราคงต้องยกเลิกนัด” คามิซาวะส่งเสียงเตือนผม ระหว่างที่ผมกำลังตรวจเช็กความเรียบร้อยของตัวเองก่อนนั่งรถไปยังท่าเรือ ให้ตายเหอะ ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่ายังอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาจริง แต่ก็นั่นแหละ ผมใช้เวลาหน้ากระจกนานกว่าปกติอย่างที่ตัวเองไม่คิดว่าชีวิตนี้จะทำได้ พอเห็นเขาทำท่าจะเหน็บอีก ผมจึงต้องรีบย้ายตัวเองออกมา “ไปกันเถอะ”
คามิซาวะกวาดตามองผม ก่อนจะหยุดที่แหวนมุกบนนิ้ว “ทาซากิซัง แหวนวงนี้น่ะ... ถอดไว้บ้านเถอะ”
ผมหรี่ตามองเขาทันที “ทำไม คุณเห็นว่ามันไม่สวยหรือ?”
คามิซาวะทำหน้าปั้นยาก “มันก็สวยดีหรอกครับ อันที่จริงผมก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าชีวิตนี้จะได้เห็นผู้ชายใส่แหวนมุกแล้วดูดีแบบคุณ แต่มันอาจจะดูไม่ดีเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น”
ผมยักไหล่ “ถ้าคุณยังบอกว่าผมดูดี ต่อหน้าคนอื่นก็ช่างมันเถอะ”
ได้ยินเสียงคามิซาวะจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ให้ตายเถอะทาซากิซัง ผมรู้นะว่าคุณจงใจใส่แหวนนั่นไปอวดงิน ไม่ต้องเลยนะครับ ถอดออกเลย”
ผมชักรู้สึกรำคาญคามิซาวะขึ้นมา “ผมจะใส่ไปให้ใครดูมันก็เรื่องของผม คุณนี่อะไรนัก”
เลขาตัวดีของผมทำท่าหงุดหงิด “ก็ได้ครับก็ได้ ครั้งนี้ถือว่าผมยอมให้ก่อนแล้วกัน”
ผมเหลือบตามองเขา ก่อนจะเดินผ่านออกไปขึ้นรถ
---------------------------------------