-22-
-อิฐ-
พอลงจากเครื่องที่เชียงใหม่ พวกเราก็เดินออกมาเจอแคนดี้พี่สาวซูกัสที่นั่งรถตู้ส่วนตัวมารอรับพวกเราอยู่แล้ว คณะเดินทางอันประกอบด้วยแคนดี้ หมอ ซูกัส ลูกสองคน แม็กม่า และผมก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปด้วยรถตู้อีกครั้ง แต่เนื่องด้วยมีแต่คนกันเองจึงเป็นทัวร์ที่ครื้นเครงพอสมควร ได้ยินเสียงซูกัสชี้ชวนชมนั่นนี่ไปตลอดทางและไม่ได้รีบร้อนอะไรด้วย ระหว่างทางเราจึงแวะร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่มีเอกลักษณ์คือร้านกาแฟหมุนได้...
หมอ ซูกัส แคนดี้เข้าไปในนั่งในบ้านหมุน ส่วนผมนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านล่างกับแม็กม่าสองคน เพราะแม็กม่ากลัวว่าถ้าเข้าไปในนั้นอาจจะเวียนหัวจนอาเจียน
“คุณบีทรู้ไหมครับว่าคุณมาเที่ยวกับผม” เขาเอ่ยถาม
“ที่ถามเพราะอยากให้มาด้วยหรือไง?”
“เปล่าครับ แค่สงสัยว่าเขายอมให้มา หรือคุณโกหกเขาเฉยๆ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญนิดหน่อย เพราะคำพูดเขาค่อนข้างแทงใจดำ ผมไม่ได้บอกบีทหรอกว่าจะมา แต่ตอนนี้เขาอยู่ญี่ปุ่น กว่าเขาจะกลับมาผมก็คงกลับไปถึงกรุงเทพแล้ว
คนฟังหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยค่อยเบนหน้าไปด้านบน ดูเหมือนซูกัสจะดูตื่นเต้นมาก หลังจากสั่งอาหารแล้วจึงลากหมอว่านและแคนดี้เดินถ่ายรูปไปหลายมุม แม็กลุกขึ้นตามไป
“เอามือถือมานี่มา เดี๋ยวถ่ายให้” แม็กม่าบอก เมื่อเห็นสภาพการถ่ายรูปแบบยัดหัวรวมกันให้เข้าเฟรมของครอบครัวนี้แล้วก็ทนนิ่งดูดายไม่ได้ เขาถ่ายไปสองสามรูป ผมก็เดินไปยืนข้างๆ
“พี่อิฐถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมครับ แม็กจะได้มาถ่ายรูปด้วยกัน” ซูกัสเอ่ยขึ้น
“ได้สิครับ” ผมตอบรับ
“ไม่เป็นไร ถ่ายกันแต่ในครอบครัวเถอะ” แม็กม่าปฏิเสธน้ำเสียงเกรงใจ
“มาเหอะน่า... แกเป็นในครอบครัวของฉันเสมอนะ” คำพูดและรอยยิ้มของซูกัสทำให้ผมซึ้งใจแทน แม็กม่าไม่มีคำโต้เถียงอีก เขายื่นมือถือส่งให้ผมแล้วเดินไปเข้าเฟรมตามคำชวน
“ยิ้มหน่อย” ผมส่งเสียง และทุกคนคลี่ริมฝีปากออกยกเว้นคนที่เดินเข้าไปคนสุดท้าย ไม่ว่าเมื่อไรก็เป็นคนยิ้มยากแบบนั้นเสมอๆ แต่ผมขี้เกียจร้องทักให้เสียเวลา “หนึ่ง สอง สาม”
หลังจากเสียงชัตเตอร์ลั่นแชะ ซูกัสยื่นทารกในอ้อมแขนส่งให้แคนดี้แล้วจูงมือแม็กม่ากลับมา ผมจึงยื่นมือถือคืนเขา
“ส่งมือถือของพี่มาสิครับ ผมจะถ่ายรูปคู่ให้” ซูกัสเสนอตัว ผมและแม็กม่าหันไปมองหน้ากัน ต่างคนต่างทำหน้าไม่ถูก แค่ไม่กี่วินาทีต่อมาที่เขามองผมก็หันไปบอกเพื่อน
“ไม่ต้องหรอกซูกัส เราไม่ชอบถ่ายรูป”
“ไม่ได้นะแม็ก ความทรงจำดีๆ อ่ะมันอาจจะไม่ได้ลืมกันง่ายๆ ก็จริง แต่มันจะดีกว่านะถ้ามีอะไรช่วยเตือนไว้ แค่ถ่ายไว้รูปสองรูปไม่เห็นเป็นไรเลย” ซูกัสคะยั้นคะยอ แต่อีกฝ่ายเอาแต่เงียบผมจึงเป็นคนยุติทุกอย่างด้วยการยื่นมือถือของตัวเองให้เขาเป็นฝ่ายจูงมือแม็กม่าให้เดินไปหามุมที่เหมาะแก่การถ่ายรูป
“ขยับเข้าไปอีก... ถ่ายรูปคู่ไม่ใช่รูปเดี่ยว ห่างขนาดนั้นเดี๋ยวก็หลุดเฟรมไปคนละซีกหรอก” ซูกัสแซวซะเวอร์ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ยืนห่างกันขนาดนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ถกเถียงอะไรขยับตัวจนตัวซ้อนแม็กม่าไปนิดหนึ่ง
“มือไม่เกะกะเหรอครับ โอบเลยๆ” ซูกัสยังจัดท่าต่อไม่ยอมถ่ายซะที จนคนที่ยืนข้างๆ ผมทักท้วงเสียงขุ่น
“ถ่ายๆ ไปเถอะซูกัส เรื่องมากไปได้ ถ่ายรูปคู่เฉยๆ ไม่ใช่พรีเวดดิ้งป่ะ?”
“เอ้า! นี่มันยิ่งกว่าพรีเวดอีกนะ ภาพถ่ายครอบครัว พ่อแม่ลูกไงแก” เขาตอบกลับมาล้อๆ ทำให้คนที่ทำหน้าอื่นนอกจากหน้านิ่งไม่ค่อยจะเป็นเกิดมีสีหน้าอายจนแก้มขึ้นสี
ดูแล้ว...น่ารักดี
เอ๊ยๆ ไม่ใช่สิ แปลกดี
ผมรีบวาดแขนโอบไหล่เขาเอาไว้แล้วรั้งเข้ามาจนชิดมากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้การถ่ายรูปครอบครัวของเราจบสิ้นไปโดยไว ทำเป็นไม่สนใจสายตาแปลกประหลาดที่หันขวับมามองแทบจะทันที ก่อนจะหันกลับไปมองกล้องเมื่อซูกัสเรียก
“เอ้าๆ มองกล้องครับ ยิ้มด้วย... จิ๊! บอกให้ยิ้มไงแม็ก!!” ได้ยินเสียงดุของซูกัสแล้วผมแทบจะอยากจะปล่อยก๊าก ออกมาเลยเพราะพอจะเดาได้ว่าคนข้างๆ จะมีสีหน้าประมาณไหน กว่าเราจะถ่ายรูปเสร็จผมก็ยิ้มจนเหงือกแห้ง!
หลังจากกาแฟมาเสิร์ฟ ผมนั่งจิบกาแฟสด ระหว่างมองแม็กม่านั่งกินขนมปังอยู่คนเดียว เขาไม่ได้สั่งกาแฟหรือโกโก้ ผมรู้ว่าทำไม... นั่นเพราะเขาห่วงใยดูแลสุขภาพตัวเองและลูกของผมอยู่เสมอ
ผมรู้ดี... ว่าเขาเลิกดื่มกาแฟทั้งๆ ที่ติดมาก ไม่ชอบทานอาหารนอกบ้านเพราะกลัวอาหารจะใส่ผงชูรส กินข้าวมันไก่ไม่ซดน้ำซุบ เขายอมป่วยเป็นอาทิตย์ เพราะกินยาบางอย่างไม่ได้
เพราะเขาเป็นแบบนั้น... ผมถึงอยากดูแลเขาเหมือนอย่างที่เคยสัญญาไว้ว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุด ทั้งๆ ที่มันยากเหลือเกินกับการชีวิตร่วมกันแต่ละวัน
ทั้งๆ ที่เขาเคยเป็นคนดีมากในสายตาของผม แต่ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้แม็กม่าเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้...
เพราะเงินงั้นเหรอ? หรือเพราะว่าผมทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ หรือเพราะว่าเขาถูกใครบางคนหลอกใช้ เขาถึงทำเรื่องเลวร้ายมากมายขนาดนี้ และมันไม่มีเลยสักทางหรือไง ที่จะให้เขากลับไปเป็นเหมือนเดิม...
เราขึ้นไปชมวิวที่ดอยอินทนนท์ และแวะเที่ยวน้ำตกระหว่างทางด้วย เพราะการเดินทางชิลมากจนเย็นเราก็ยังไม่ถึงที่พัก จบท้ายด้วยแคนดี้พาเราไปนั่งกินขันโตกโดยคุณชัชวาลมาสมทบเอาตอนนี้เอง
“ทำไมกินน้อยจังเลยล่ะ อิ่มไหมเนี่ย?”ผมหันไปกระซิบถามคนท้องข้างกายที่แทบไม่แตะอะไรเลย
“ไม่ค่อยหิวครับ” เขาตอบกลับเรียบๆ
“ไม่หิวก็ต้องกิน ถ้าหิวขึ้นมาดึกๆ ไม่รู้จะมีอะไรกินหรือเปล่านะ”
“จะให้กินอะไรล่ะ มีแต่ผักน้ำพริกกับแกงอะไรไม่รู้ กินไม่เป็น”
“ข้าวเหนียวกับไก่ไง กินๆ ไปเถอะ แคบหมูด้วย” ผมบังคับวางไก่ใส่จานเขา
“ครับๆ” เขารับคำอย่างขอไปที แต่ก็ยังกินเหมือนแมวดมอยู่ดี จนขากลับ ผมต้องขอให้จอดเซเว่นเพื่อซื้อขนมปังกลับไปด้วยเผื่อหิว
กว่าเราจะมาถึงที่หมาย ซึ่งคือบ้านพักของสามีแคนดี้ก็เกือบสองทุ่มแล้ว แคนดี้จัดแจงพาเรามาส่งที่ห้องพักที่เตรียมไว้ให้ ก่อนจะเดินออกไปโดยทิ้งผมไว้กับแม่ของลูกแค่สองคน ผมมองดูเตียงคู่ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องนั่นพลางถอนใจเฮือก... ต้องนอนเตียงเดียวกันอีกแล้วเหรอเนี่ย! ช่วงเวลาหฤโหดพวกนั้นกำลังจะย้อนคืนมาอีกแล้วสินะ!
“ขอฉันอาบน้ำก่อนได้ไหม?” ผมรีบบอก
“ได้ครับ” อีกฝ่ายรับคำ และผมรีบจ้ำอ้าวเข้าไปในห้องน้ำ
ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานมากและพันเอวไว้ด้วยผ้าขนหนู พอเดินออกจากห้องน้ำก็พบว่ากระเป๋าเสื้อผ้าถูกรื้อออกมาหมดแล้ว มีชุดนอนชุดหนึ่งวางพาดไว้บนเตียง
บางครั้งเขาก็เจ้ากี้เจ้าการทำตัวเหมือนเมียมากเกินไป ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่หน้าที่เขาเลยสักนิด... เขาคิดว่าการทำแบบนี้จะทำให้ผมลบลืมสิ่งร้ายๆ ที่เขาทำไว้ได้หรือไงกัน!
“ขอบใจนะ แต่คราวหลังไม่ต้องก็ได้...” ผมเอ่ยอย่างเฉยชา
“ครับ... ขอโทษที่วุ่นวาย” เขาตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่ดีนัก เดินสวนเข้าไปในห้องน้ำ
ผมรอจนประตูปิดลงแล้วจึงใส่เสื้อผ้าที่เขาเตรียมไว้ให้ แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงหันตะแคงหันหลังให้ห้องน้ำ พยายามบังคับข่มตาให้ตัวเองหลับลงไปก่อน ก่อนที่เขาจะออกมา ไม่อย่างงั้นมันคงจะเข้าอีหรอบเดิมแน่ๆ
อีหรอบที่ว่า... คือมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นอะไรกับผมเลย เขาเป็นคนตัวเล็กมาก มีนิสัยแปลกประหลาดคือไม่ชอบนอนบนหมอน กลิ่นตัวของเขาหอมละมุนด้วยกลิ่นแป้งเด็ก เขาชวนให้ผมนอนบนเตียงเดียวกับเขาทั้งๆ ที่ผมพยายามที่จะปฏิเสธโดยบอกว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมไม่ข่มขืนคุณหรอก”
ผมค่อนข้างติดใจความหมายของประโยคนั้นมากจนครุ่นคะนึงอยู่นานเป็นสิบนาทีว่าเป็นคำพูดประชดหรือเปล่า แต่ในระหว่างที่ผมยังไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น อีกฝ่ายก็หลับสนิทจนได้ยินเสียงกรนเบาๆ แล้วไม่นานร่างของคนที่เพิ่งจะบอกว่า “ผมไม่นอนดิ้น” ก็กลิ้งหลุนๆ มากระทบอกผมซะอย่างนั้น จนผมต้องขยับตัวถอยร่นไปจนสุดเตียง แล้วได้แต่นอนมองใบหน้ายามหลับของเขาท่ามกลางความมืดนับชั่วโมง ถึงจะหลับตายังไงก็นอนไม่หลับ ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองที่เต้นโครมครามอยู่อย่างนั้น
แล้วมันก็เป็นแบบนั้นอยู่นานหลายวัน ที่ผมต้องทนทรมานกับการต่อสู้กับไฟราคะในใจตัวเองอย่างทุกข์ทรมานมาตลอด แค่อยากจะดึงเขามากอดก็ยังทำไม่ได้ ผมไม่อยากให้เขามองผมเป็นตาเฒ่าลามกที่จ้องจะหาเศษหาเลยกับเด็กที่อายุห่างกันเป็นสิบปี จนลงท้ายผมไม่กลับบ้านเลยหลายวันทั้งๆ ที่บีทก็ไม่อยู่
ผมพยายามเฟดตัวห่างออกไป เฝ้าย้ำเฝ้าเตือนตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่ามันไม่ควร เขาเป็นแค่คุณแม่อุ้มบุญที่ผมจ้างมา แล้วผมก็บอกกับเขาไปแล้วด้วยว่างานของเขาไม่รวมเรื่องนั้นเข้าไปด้วย ผมไม่ควรผิดคำพูด และยิ่งไม่ควรผิดต่อบีท...
ท้ายที่สุดห้วงความคิดอันฟุ้งซ่านทำให้ผมไม่สามารถหลับไปก่อนที่เขาจะได้ออกมา ในที่สุดเขาก็เปิดห้องน้ำออกมา กลิ่นสบู่ กลิ่นแป้งที่ลอยอวล ทำให้ผมหายใจติดขัด
นาทีต่อมาฟูกนอนก็ยวบลง ผ้าห่มผืนเดียวกับถูกเขาดึงเบาๆ ราวกลับกลัวจะปลุกผมให้ตื่น ผมแกล้งหลับ กำลังรอให้อีกฝ่ายหลับลงไปก่อน คงไม่นานหรอก ปกติแล้วเขาก็คนที่หลับง่ายมาก ไม่ทันไรก็กรนเบาๆ แล้ว แต่วันนี้กลับแปลกมากที่รอเท่าไรก็ไม่ได้ยินเสียงกรนเลย...
ผมพยายามนับแกะ นับแพะ กล่อมตัวเองให้นอนหลับให้จงได้ แต่ยังไม่ทันสำเร็จ ร่างที่นอนข้างๆ ก็ขยับมาใกล้ ผมรู้สึกได้ว่าเขาพลิกกายมากอด เขายังคงเหมือนเดิมที่ไม่ชอบนอนบนหมอน ศีรษะกลมซุกอยู่ที่กระดูกช่วงคอเบียดร่างเล็กเข้ากับแผ่นหลังของผม
ก่งแกะอะไรกระเจิดกระเจิงไปจากความคิดจนหมด ผมรีบจับมือเล็กที่เผลอวาดมากอดเอวผมไว้ออกวางเบาๆ แล้วกระถดตัวเองลงจากเตียงให้ไวที่สุด หยิบมือถือ เปิดประตูห้องแล้วเดินออกไปข้างนอก
ข้างนอกไม่สว่างมากนัก ผมเดินจากห้องเดินออกไปที่ระเบียงบ้านมีประตูกระจกบานใหญ่ล็อกจากด้านใน ผมเดินออกไปตรงนั้น ความมืดทำให้ไม่สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้ถนัดตา มีแต่ท้องฟ้า ดวงจันทร์และดวงดาวพราวแสง... ผมปลดล็อกโทรศัพท์ ตอนนี้ยังไม่สี่ทุ่มเลย เปิดโปรแกรมไลน์แล้วส่งข้อความหาบีท
คิดถึงนะครับ... คิดถึงที่สุด
ผมรอนานเป็นครู่ แต่หน้าจอก็ยังคงเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บีทยังไม่ได้อ่านข้อความเหล่านั้น ตอนนี้เขาอยู่ญี่ปุ่น และผมคงไม่สามารถติดต่อเขาได้ ผมถอนใจให้กับตัวเอง พยายามหาเหตุผลมาหักล้าง
ถ้าหากหัวใจผมเต้นดังมากกว่าปกติเวลาที่อยู่ใกล้เขา มันคงเกิดขึ้นเพราะบรรยากาศพาไป ความใกล้ชิดจนเกินพอดี ความแปลกใหม่ และความเย้ายวนของเด็กก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ผมเรียกว่ามันว่า “ความเผลอใจ”
ถ้าหากจะมีใครบางคนที่หลงเดินเข้ามาในทางของเราแล้วทำให้หัวใจของผมไขว้เขว นั่นคงเป็นแค่ความหลงผิดชั่ววูบเท่านั้น ไม่ได้เรียกว่าความรัก...
ความรักมันคืออะไร มันคือความซื่อสัตย์และจริงใจต่อกันใช่ไหม?
ไม่ต้องกังวลหรอกบีท...
ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่... ผมจะไม่มีวันทรยศคุณ
ในที่สุดผมก็นอนขดตัวอยู่ที่โซฟากลางบ้าน เดาเอาว่ามันคงดีกว่ากลับไปนอนในห้องเหมือนเดิม ผมข่มตาลงนอนอีกครั้งท่ามกลางความมืด ครู่ใหญ่ๆ แสงไฟก็สาดผ่านร่างของผม ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ผมขมวดคิ้วแล้วค่อยๆ กระพริบตาขึ้นเหลือบมองเจ้าของร่างเล็กที่ผมอุตส่าห์หนีเขาออกมายืนเบ้หน้ามองผมอยู่
ใบหน้าเขาดูไม่จืดเลย... เหมือนกับผ่านมรสุมน้ำตาไม่รู้กี่ลูก
“เธอออกมาทำไม” ผมลุกขึ้นนั่งถามเสียงเรียบ ทำฟอร์มเป็นเคร่งขรึม
“ออกมาตามคุณ”
“กลับไปเถอะ ฉันจะนอนนี่แหละ”
เขามองตอบ พลางหายใจเข้าลึกเหมือนคนสูดน้ำมูก แววตาไหวระริกอย่างอดกลั้น...
“ถ้าคุณรังเกียจผมมากขนาดนั้น ฮึก... ไล่ผมไปเลยซะยังจะดีกว่า” ในน้ำเสียงที่สั่นระริกพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอขึ้นมาในที่สุด ทำให้ผมทำตัวไม่ถูก ความปากดีที่อยากจะจิกกัดทำร้ายอีกฝ่ายค่อยมลายไปจนกลายเป็นอารมณ์สงสารปนสับสน
“มันไม่ใช่อย่างงั้น...”
“คุณกลับไปนอนในห้องเถอะ ผมจะไปนอนกับซูกัส”
“ไม่ได้นะ! ถ้าเธอไปทั้งสภาพนี้ ซูกัสอาละวาดตายเลย” ผมลุกขึ้นห้าม
“ผมไม่สน!” เขาตอบแล้วหมุนตัวเดินหนี ผมรีบเดินไปถึงตัวเขา
“เดี๋ยว...” ผมรีบเดินไปตามแล้ววาดแขนรัดคอเขาไว้เพื่อหยุดฝีเท้าเขาก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินต่อ เขาชะงักเท้าพลันยืนนิ่งในระหว่างที่ผมกระซิบวอนข้างหูเบาๆ “อย่าไปเลยนะ ฉันไม่อยากให้เธอไปรบกวนหมอ”
เห็นวันๆ เอาแต่ยิ้ม แต่ถ้าโมโหขึ้นมาเมื่อไร หมอก็ไม่ได้ขี้บ่นน้อยไปกว่าซูกัสหรอก!
เขาหมุนตัวกลับมามองหน้าผม ยังมีร่องรอยน้ำตาติดอยู่ ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าเขาเสียใจอะไร กะอีแค่ผมหนีออกมาก็ต้องร้องไห้เป็นเผาเต่าขนาดนี้เลยเหรอ?
“ครับ ผมไม่ไปก็ได้ แต่คุณต้องเข้าไปนอนข้างในนะ” คำต่อรองทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตัวเองออกมาทำไมแต่ก็ต้องตอบรับไปอย่างไม่มีทางเลือก
“อือ...” อีกฝ่ายฝืนยิ้มพยายามป้ายน้ำตาออกจากใบหน้า ผมจึงจับข้อมือเขาดึงพากลับไปที่ห้อง ไม่วายนึกหาเหตุผลของน้ำตาพวกนั้น...
ก่อนออกมาผมทำอะไรผิดล่ะ? ผมก็แค่ดึงมือที่เขาบังเอิญวาดมากอดออกจากเอวเท่านั้นเอง แต่เขาก็หลับแล้วนี่นา หรือเพิ่งตื่นขึ้นมา ไม่สิ เมื่อกี้ตอนที่เขากอดผม ผมไม่ได้ยินเสียงกรน
“ถ้าคุณรังเกียจผมมากขนาดนั้น ฮึก... ไล่ผมไปเลยซะยังจะดีกว่า”
++++++++++