Chapter 2: In which the Woods family are all together.
โรเวนติดรถของเซเลสต์กลับบ้านหลังจากเลิกเรียนอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะเขาขึ้นรถบัสกลับบ้านไม่ทัน แต่เป็นเพราะเดเมียนรบเร้าให้เขาอยู่รอพี่สาวเป็นเพื่อนด้วยแววตาลูกหมาถูกทิ้งนั้น
“โรเวน นายคิดอะไรอยู่หรือ?” เดเมียนเอียงคอถามเมื่อเห็นเขานั่งเงียบไม่พูดไม่จามาตลอดทาง โรเวนส่ายหน้า
“แค่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้อเท้าของดีแลน นายว่ามันไม่แปลกหรือที่จู่ๆข้อเท้าของหมอนั่นก็หักบิดขนาดนั้น”
“คงสะดุดผิดท่าล่ะมั้ง”
ร่างสูงไหวไหล่ กระโดดลงจากรถของพี่สาวตามหลังโรเวนที่เปิดประตูก้าวลงมา แม้จะรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยที่เห็นเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายร่างสูงใหญ่ออดอ้อนขอพี่สาวมา ‘เล่น’ ที่บ้านเขา แต่โรเวนต้องยอมรับว่าท่าทีที่คุ้นเคยทำให้เขาเชื่อมโยงเพื่อนสนิทในความทรงจำเข้ากับคนแปลกหน้าที่เดินตามเขาต้อยๆในตอนนี้
“นาย…เปลี่ยนไปมากนะ”
คนถูกทักจ้องเขาตาแป๋วราวกับจะบอกว่าไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ เด็กหนุ่มผมแดงเปิดประตูบ้านให้เพื่อนสนิท สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือมารดาของเขาในชุดผ้ากันเปื้อนที่โผล่หน้าออกมาจากในครัวเมื่อได้ยินเสียงประตู
“คุ้กกี้บนตะแกรงยังร้อนอยู่ อย่าเพิ่งกินนะจ๊ะ… เอ๊ะ หนุ่มน้อยรูปหล่อนี่ใครกัน โรเวน”
“จำที่แม่บอกว่ามีคนย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังบ้านเราได้มั้ยครับ?”
“อ๋อ ยินดีต้อนรับจ้ะหนุ่มน้อย ฉันชื่อซาราห์ เรียกน้าซาราห์ก็ได้นะจ๊ะ” หญิงสาวเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนของตัวเองแล้วก้าวมาหาพวกเขา โรเวนเกาศีรษะ ไม่รู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับมารดาอย่างไร
“แม่ครับ…บ้านหลังนั้นไม่มีเจ้าของใหม่ เดเมียนแค่…ย้ายกลับมาบ้านเดิมของตัวเอง”
มือของหญิงสาวที่ยื่นให้เด็กหนุ่มผมบลอนด์ชะงักค้าง เดเมียนยิ้มให้หญิงสาวที่ตัวแข็งทื่อไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ก่อนที่ซาราห์จะโถมเข้ากอดเด็กหนุ่มร่างสูงจนคนตัวใหญ่กว่าถึงกับเซวูบ เดเมียนตัวแข็งทื่อ แม้จะไม่กอดตอบแต่ก็ไม่ได้สะบัด
หญิงสาวออกแต่อย่างใด
“โอ เดเมียน น้าคิดถึงเธอเหลือเกิน” หญิงสาวซุกหน้ากับไหล่กว้าง “น้าสวดภาวนาให้เธอทุกคืน ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเธออีก”
“ผมก็คิดถึงน้าเหมือนกันครับ” เดเมียนพึมพำตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แขนทั้งสองข้างแนบข้างลำตัว ไม่ยอมโอบกอดมารดาของเพื่อนสนิทตอบ
ซึ่งเป็นสิ่งที่โรเวนเห็นเป็นประจำในความทรงจำวัยเด็กของตัวเอง
เด็กหนุ่มเดินนำคนตัวสูงกว่าที่ต้องคอยก้มหลบขอบประตูขึ้นไปบนห้อง มารดาของเขายืนกรานว่าถึงอย่างไรก็จะให้เดเมียนร่วมโต๊ะอาหารเย็น ซึ่งแขกของบ้านนั้นยิ่งกว่าเต็มใจที่จะอยู่
“ห้องนายเปลี่ยนไปเยอะเลย…”นั่นคือสิ่งแรกที่ร่างสูงทัก โรเวนทรุดตัวลงบนเตียง ดวงตาสีเขียวสว่างไล่ตามร่างที่เดินสำรวจห้องนอนเล็กๆของเขาอย่างตื่นเต้น
“ก็ฉันไม่ใช่เด็กเจ็ดขวบแล้วนี่”
“นั่นสินะ…” เดเมียนพึมพำ หันกลับมายิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เหล่าเชียร์ลีดเดอร์ทีมโรงเรียนเข่าอ่อนเพียงได้เหลือบมอง “ฉันก็ไม่ใช่เหมือนกัน”
โรเวนถือเอาสิ่งนั้นเป็นคำตอบของสิ่งที่เขาทักอีกฝ่ายก่อนหน้านี้
‘นาย…เปลี่ยนไปมากนะ’
หากเป็นเมื่อก่อน อย่าว่าแต่คนกระดูกหักเลย ต่อให้มีนกตกลงมาตายในสวน เดเมียนก็มักจะร้องไห้สะอึกสะอื้น พึมพำซ้ำไปซ้ำมาว่าตนเป็นคนฆ่า หรือแม้กระทั่งน้องสาวของเขาที่ซุ่มซ่ามหกล้มจนเข่าถลอกตามประสาเด็กก็ยังสามารถทำให้เดเมียนกล่าวขอโทษเด็กหญิงน้ำตานองหน้า ทั้งที่ตนอยู่ห่างออกไปอีกมุมห้องตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้น
สำหรับเดเมียน เด็กชายมักจะคิดว่าเรื่องเลวร้ายทุกอย่างในรัศมีการมองเห็นเกิดขึ้นเพราะตัวเอง
เด็กชายปฏิเสธที่จะลูบขนสุนัขที่พวกเขาเลี้ยงไว้ ไม่เคยจับมือใคร และมีสีหน้าเหมือนเห็นผีทุกครั้งที่ถูกมารดาของเขากอด
สิ่งเดียวที่เดเมียนยอมสัมผัสคือเขา และนั่นเกิดขึ้นหลังจากโรเวนพิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็นหลายต่อหลายครั้งว่าตนยังคงแข็งแรงดีหลังจากถูก’สัมผัมมรณะ’จากเด็กชายผมบลอนด์
นั่นสินะ…เวลาผ่านไป คนจะเปลี่ยนไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“แต่นายก็ยังไม่ยอมให้แม่ฉันกอดอยู่ดีนี่” โรเวนเลิกคิ้ว
“จะให้เปลี่ยนหมดคงยาก” เดเมียนไหวไหล่ ก่อนจะกระโดดแผล็วขึ้นมาบนเตียงเดี่ยวเล็กๆของเขาโดยไม่ได้สนใจขนาดของตัวเอง เล่นเอาเจ้าไม้อัดประกอบโครงเตียงส่งเสียงประท้วงลั่น “แต่ถ้าเป็นนาย ฉันกอดก็ได้นะ”
“เหอะ ต่างจากเมื่อก่อนตรงไหน” โรเวนกลอกตา ดูเหมือนว่าในหัวของเดเมียน เขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่อีกฝ่ายสามารถสัมผัสได้โดยที่ยังมีชีวิตปกติสุข แม้ในครั้งแรกที่อีกฝ่ายเผลอจับตัวเขา เดเมียนจะร้องไห้จ้าออกมาจนเขาตกใจก็ตาม
“ต่างสิ…” เด็กหนุ่มผมบลอนด์ขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาของอีกฝ่ายไม่เคยละไปจากใบหน้าของเขา “ต่างมากด้วย”
“ลงไปนั่งพื้น นายจะทำเตียงฉันพังแล้ว” โรเวนผลักศีรษะเพื่อนสนิทอย่างไม่จริงจัง เขารู้ว่าเด็กวัยรุ่นชายสองคนไม่ควรสนิทกันอย่างที่พวกเขาเป็น แต่ภาพของเดเมียนในหัวของเขายังคงหยุดอยู่ที่เด็กชายขี้แยวัยสิบขวบที่มีเพียงเขาเป็นเพื่อนคนเดียวบนโลก
เดเมียนไถตัวลงไปนั่งบนพื้นอย่างว่าง่าย เอนตัวพิงกับข้างเตียงของเขา เงยหน้ามองเพดานห้องขณะที่โรเวนหยิบคอมพิวเตอร์มาวางบนตัก เดเมียนมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่มาบ้านของเขา พอใจแค่ได้นั่งบนพื้นมองโรเวนทำกิจวัตรต่างๆ เด็กชายผมบลอนด์คนนั้นยอมทำทุกอย่างเพียงแค่ได้อยู่นอกบ้านของตัวเองนานขึ้นสักวินาที
“นี่…” เด็กหนุ่มผมสีเพลิงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “…นายโอเคที่จะอยู่บ้านหลังนั้นจริงๆเหรอ”
เดเมียนไหวไหล่ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำถาม แต่ก่อนที่โรเวนจะได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น เสียงเคาะประตูและเสียงแหลมเล็กของน้องสาวของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน
“พี่โรเวน! อาหารเย็นเสร็จแล้ว!”
“นั่นคงเป็นโรซี่สินะ” เดเมียนทักแล้วลุกขึ้นจากพื้นแล้วบิดตัวอย่างเมื่อยขบ “ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ยังฟันหน้ายังหลอทั้งสอง
ซี่…”
“อย่าพูดให้ยัยนั่นได้ยินเชียวนะ” โรเวนเตือน น้องสาวเขาที่เคยโดนล้อเรื่องฟันน้ำนมที่หลุดพร้อมกันสองซี่ต่อยหน้าเพื่อนร่วมชั้นไปหลายคนจนพ่อกับแม่เขาถูกเรียกเข้าห้องปกครองและถูกพักการเรียนไปหลายครั้ง โรซี่ หรือ โรส น้องสาวของเขาตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นร่างสูงที่เดินตามหลังเขาออกมาจากห้องนอน เดเมียนยิ้มให้เด็กหญิงอย่างเป็นมิตร ซึ่งส่งผลให้พวงแก้มของเด็กหญิงนั้นเปลี่ยนสีจนแทบกลืนไปกับสีผม
พวกเขาลงมาถึงชั้นล่างพร้อมกับเสียงปิดประตูหน้าบ้าน แสดงถึงการกลับมาของหัวหน้าครอบครัว
โทมัส พ่อของเขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่ อาชีพที่ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดทำให้กล้ามเนื้อภายใต้เสื้อโค้ทตัวใหญ่ที่ชายหนุ่มกำลังถอดออกแขวนดันให้ดูใหญ่ขึ้นไปอีก โทมัสฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นเดเมียน ดูท่าว่าแม่ของเขาคงจะโทรไปบอกข่าวการกลับมาของเด็กหนุ่มแล้ว
“เดเมียน มานี่ซิไอ้ลูกชาย”
เด็กหนุ่มร่างสูงท่วมศีรษะโรเวนที่แม้จะไม่ได้มีมัดกล้ามน่าเกรงขามเหมือนบิดาของเขาแต่ก็ไม่ใช่คนผอมเก้งก้างถูกอุ้มจนตัวลอย สีหน้าเหวอรับประทานของอีกฝ่ายทำให้โรเวนหลุดยิ้มออกมาอย่างขบขัน
เดเมียนอาจไม่เคยรับรู้ แต่การจากไปของเด็กหนุ่มเมื่อเจ็ดปีก่อนไม่ได้เพียงทิ้งบาดแผลไว้ในความทรงจำของโรเวน แต่เป็นทั้งครอบครัวของเขาที่สูญเสียบางอย่างไปในวันนั้น
และการกลับมาของเดเมียนดูเหมือนจะเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปนั้นอย่างง่ายดาย
“คุณคะ พอเถอะ เดี๋ยวเดเมียนขาดอากาศหายใจตายพอดี”
ซาราห์ปรามด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก เดเมียนที่ถูกปล่อยเป็นอิสระในที่สุดเซวูบ ก่อนจะตั้งหลักยืนได้อีกครั้งแล้วส่งยิ้มให้กับชาวหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวแทนของบิดาที่เขาไม่เคยรู้จัก
“สวัสดีครับ น้าเนธาน”
“โตเป็นหนุ่มหล่อเชียวนะ สอนเจ้าโรเวนบ้างสิ จะได้มีสาวกับเขาบ้าง” เนธานหยอกเสียงกลั้วหัวเราะ โรเวนเพียงแค่กลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ใช่สิ เขาไม่ได้มีกล้ามเป็นลูกโบว์ลิ่งเหมือนสิงคนนี้นี่
“อย่าเลยครับ ผมไม่อยากมีคู่แข่ง” เดเมียนยิ้ม
เหอะ…คนอย่างเขา ตายแล้วเกิดใหม่ยังไม่ได้แข่งในสนามเดียวกับเจ้ายีราฟติดสเตียรอยด์นี่เลย
“ไว้ไปคุยต่อที่โต๊ะอาหารดีกว่านะจ๊ะ เดี๋ยวเดเมียนจะกลับบ้านค่ำเอา” ซาราห์ทักเมื่อเห็นคนในบ้านไม่มีท่าทีจะขยับ ชายทั้ง
สามเดินตามมารดาของโรเวนไปที่โต๊ะอาหารอย่างว่าง่าย แม้ว่าบทสนทนาระหว่างเนธานกับเดเมียนจะไม่เคยหยุดลงก็ตาม
“โรซี่ จำพี่เดเมียนได้มั้ย ที่เล่นตุ๊กตากับลูกตอนเด็กๆ…”
“พ่อคะ!!” เด็กหญิงร้องเสียงสูง พวงแก้มใสแดงก่ำด้วยความอับอาย โรเวนยิ้มขำเมื่อนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็ก ที่พวกเขารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลน้องสาวตัวน้อยที่ชื่นชอบปาร์ตี้น้ำชากับตุ๊กตาของตนเป็นชีวิตจิตใจ เดเมียนในตอนนั้นก็ดูมีความสุขกับการสวมบทบาทเป็นลูกค้าร้านน้ำชาที่รายล้อมไปด้วยสิงห์สาราสัตว์เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะมาก
…อย่างน้อยก็จนกระทั่งโรซี่ถูกขอบโต๊ะของเล่นของตนบาดเป็นแผล ซึ่งทำให้เดเมียนกลับสู่โหมดทำลายตัวเองร้องไห้จ้ายิ่งกว่าคนโดน เล่นเอาคนเจ็บอย่างโรซี่ไม่กล้าร้องไห้เลยทีเดียว
“โตแล้วน่ารักเหมือนโรเวนเลย” เดเมียนชมด้วยสีหน้าจริงใจ แต่คำชมของอีกฝ่ายนั้นดูคล้ายคลึงกับคำด่ามากกว่าในสายตาของพี่ชายคนโต
“เดเมียน เจ็ดปีมานี้เป็นยังไงบ้าง เล่าให้น้าฟังได้มั้ย น้าอยากรู้ทุกอย่างเลย” ซาราห์ถามหลังจากพวกเขาสวดภาวนาก่อนมื้ออาหารเสร็จ
“ก็…ดีครับ พ่อผมทำธุรกิจระหว่างประเทศ ต้องเดินทางบ่อยๆ พ่อจ้างครูมาสอนผมที่บ้าน ผมอยู่กับพี่สาวคนละแม่ จนถึงปีนี้ที่พ่อให้ผมตัดสินใจว่าอยากเรียนต่อที่ไหน…” โรเวนรู้สึกถึงสายตาของเดเมียนที่เหลือบมองมาที่เขา “…ผมเลยขอกลับมาที่นี่ พี่สาวผมทำงานอยู่ไม่ไกลจากเมืองนี้เลยอาสาเป็นผู้ปกครองให้”
“อย่าหาว่าน้าก้าวก่ายเลยนะจ๊ะ…” ซาราห์เอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่ทำไมถึงได้อยากกลับมาที่นี่ล่ะ”
“แม่ครับ…” โรเวนปราม แต่คนถูกถามยิ้มอย่างไม่ถือสา
“ชีวิตของผมอยู่ที่นี่…” เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกถึงสายตาของเดเมียนที่จับจ้องอย่างไม่วางตา “ต่อให้ความทรงจำบางเรื่องจะเลวร้ายแค่ไหน ที่นี่ก็ยังมีสิ่งที่ผมอยากกลับมาหา…”
“อุปสรรคทำให้เราเข้มแข็งขึ้น น้าดีใจนะที่เธอคิดแบบนั้น” ซาราห์เอ่ยเสียงเบา ดวงตาสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับลูกทุกคนฉายแววอ่อนลงเมื่อมองเด็กหนุ่มตรงหน้า “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ เดเมียน”
“ผมก็ดีใจครับที่ได้กลับมา”
เดเมียนยิ้ม ถึงแม้บรรยากาศในตอนนี้ควรจะดูอบอุ่นและเต็มไปด้วยความสุข แต่อะไรบางอย่างในภาพอันสมบูรณ์แบบนี้ดูผิดที่ผิดทางในความคิดของโรเวน แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ความอยากอาหารของเขาหมดลงแม้ว่าบนโต๊ะจะเป็นอาหารจานโปรดของตัวเองก็ตาม
“แม่ครับ…แม่!!”
“อย่าเข้าไปนะเดเมียน!!”
“แม่ครับ!!!”
“เดเมียน!!”
โรเวนผุดลุกขึ้นจากเตียง หอบหายใจอย่างรุนแรงจนตัวโยน เหงื่อกาฬที่เปียกชุ่มชุดนอนตัวบางของตนรวมไปถึงผ้าปูที่นอน เด็กหนุ่มกระชากเสื้อนอนออกแล้วโยนลงบนพื้นแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงที่ชื้นไปด้วยเหงื่ออย่างหงุดหงิด
มันเป็นแค่ฝัน…โรเวน มันเป็นแค่ฝัน…
เขาต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ให้ได้ก่อนที่ความฝันนี้จะจุดประกายให้อาการต่างๆของเขากลับมาอีกครั้ง และจบด้วยการกินยาต่อเนื่องห้าถึงสิบปีตามคำเตือนของจิตแพทย์ในวันที่อีกฝ่ายหยุดสั่งยาให้เขา
โรเวนหันไปทางหน้าต่างห้อง คาดว่าจะได้เห็นหน้าต่างห้องนอนของเพื่อนสนิทสมัยเด็กมืดสนิทอย่างที่ควรเป็นในยามวิกาล แต่แสงสลัวสีส้มที่ลอดผ่านผ้าม่านออกมาทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ขยับเข้าไปใกล้หน้าต่างห้องของตัวเองอย่างประหลาดใจ
แสงสีส้มที่เขาเห็นเมื่อครู่ดับลง เหลือเพียงความมืดมิดราวกับภาพเมื่อครู่เป็นเพียงสิ่งที่เด็กหนุ่มคิดขึ้นเอง แต่ก่อนที่โรเวนจะไปถึงข้อสรุปนั้น ผ้าม่านสีทึบของห้องนอนเดเมียนก็ถูกกระชากเปิดออก เผยให้เห็นเจ้าของห้องในสภาพที่ไม่ได้ดีไปกว่าคนมองนัก เดเมียนเปิดหน้าต่างออกรับลมหนาวทั้งที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ดวงตาสีซีดเรืองแสงในเงามืดแบบที่คนที่ยืนดูจากบ้านอีกหลังที่อยู่ห่างออกไปพอสมควรไม่ควรสังเกตเห็น
โรเวนรีบก้มหลบลงใต้หน้าต่างห้องเมื่อดวงตาคู่นั้นตวัดมาทางเขาราวกับรู้ว่าตนกำลังถูกจับตามอง ให้เหตุผลกับตัวเองว่าฝันร้ายเมื่อครู่ทำให้ตนเห็นอะไรผิดแปลกไปจากความเป็นจริง
เมื่อเด็กหนุ่มยืนขึ้นอีกครั้งหน้าต่างห้องนอนของเดเมียนและผ้าม่านถูกปิดสนิทราวกับว่าภาพเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา
บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ก่อนที่เขาจะได้สงสัยการทำงานของสารเคมีในสมองของตนมากไปกว่านี้ โรเวนตัดสินใจกลับไปยังเตียงของตน ฝืนข่มเปลือกตาปิดและภาวนาให้ห้วงนิทรากลับมาหาเขาก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะดัง
------------
.