┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 29
เรื่องงานศพของธเนศ ภาคีจัดการได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ส่วนภูเมศช่วยเหลือในส่วนที่ทำได้ และยังไปร่วมรดน้ำศพ นำพวงหรีดไปวาง ฟังสวดพระอภิธรรมด้วยอีกหลายวัน
หนึ่งในหลายวันนั้น ยังได้เจอกับเพียงขวัญ อดีตภรรยาซึ่งมาร่วมงานด้วยครั้งหนึ่ง
หญิงสาวอยู่ในชุดดำสุภาพ ท่าทางยังตกใจกับการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของคนที่บอกว่าเป็นสหาย พึมพำว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนยังไปเยี่ยมบ้านภูเมศด้วยกันอยู่เลย คนเราตายง่ายเหลือเกิน ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เมื่อได้พูดคุยยาว ๆ หลังจบงานคืนนั้น ก็พบว่าเธอไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างธเนศกับธัญญ์แม้แต่น้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นพ่อลูก—หรือกระทั่งพ่อลูกบุญธรรม เข้าใจว่าทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องใดต่อกันทั้งสิ้น แต่เท่าที่ฟังแล้ว ประเมินลำบากว่าเธอสนิทสนมกับธเนศอย่างคนคุยถูกคอกันจริง ๆ หรือกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายนั้นในการเข้าหาธัญญ์โดยไม่รู้ตัว
แต่อย่างน้อย ดูเหมือนธเนศเองก็ไม่ได้นำปัญหามาสู่อดีตภรรยาและลูกสาวเขา รู้อย่างนั้นค่อยเบาใจลงบ้าง
เขาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเธอและลูกซึ่งไม่ได้มาด้วย บอกว่าฝากคุณยายดูแลไว้วันหนึ่ง เห็นว่ามีความสุขดีก็โล่งไปอีกอย่าง บางเรื่องไม่รู้อาจสบายใจกว่าก็ได้
แต่บางอย่าง บอกให้รู้เลยก็อาจดีเหมือนกัน
จึงได้ตัดสินใจเอ่ยปากในที่สุด
“ผมมีคนรักแล้วนะ”
เธอชะงักไป เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ผ่านไปหลายวินาที จากนั้นรอยยิ้มก็วาดขึ้นบนริมฝีปาก ถอนหายใจเฮือกออกมายาวเหยียดอย่างกับหมดห่วง
คำถามแรกไม่ใช่
‘คนคนนั้นเป็นใคร’ หรือ
‘ไปเจอกันตอนไหน’ อะไรเทือกนั้น
“มีความสุขดีไหมคะ”
เธอถามพร้อมรอยยิ้ม
ถึงคราวเป็นฝ่ายเขาเองที่ชะงัก เตรียมคำตอบชัดเจนไว้แล้วแท้ ๆ แต่คำถามนี้เกินความคาดหมายไปหน่อย
มือข้างหนึ่งยกขึ้นถูจมูกเบา ๆ แก้มร้อนขึ้นมาเมื่อนึกถึงคนคนนั้น คนที่นอนรออยู่ในห้องพิเศษของโรงพยาบาล ดูเข้มแข็งจนเกือบเหมือนปกติ แต่บางครั้งก็ยังบอกด้วยหน้านิ่ง ๆ ว่ากอดหน่อยได้หรือเปล่า...คงเป็นวิธีอ้อนของเจ้าตัว
ท่าทางเขาชัดเจนจนอ่านง่ายเกินไปหรืออย่างไรไม่ทราบได้ เธอกล่าวสรุปตั้งแต่ยังไม่ทันตอบสักคำ
“รู้ว่ามีความสุขอย่างนี้ค่อยโล่งใจหน่อยค่ะ”
เล่นเอาต้องขยับตัวหยุกหยิกอย่างขัดเขิน ฟังเธอว่าต่อกลั้วหัวเราะ
“ไม่ได้เห็นท่าเขินอย่างนี้มานานเท่าไรแล้วน้า ที่จริงก่อนหน้านี้ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน ว่าตาทึ่มคนนั้นจะไหวหรือเปล่านะ หรือจะขอเจ้าภูมิมาเลี้ยงเองซะเลยดีกว่า ถ้ายังสนแต่งาน ขาดความเอาใจใส่คนรอบข้าง ทำอะไรก็ละล้าละลัง ปล่อยลูกชายโตมาแบบเด็กขาดความอบอุ่นจะทำไงดี”
โดนวิจารณ์ตรง ๆ เป็นชุด ได้แต่ถามเสียงอ่อย “...ผมดูแย่ขนาดนั้นเชียว”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ใช่ละนะคะ”
“...อ้อ”
“แต่ตอนนี้ดูดีขึ้นนะ” เธอยักไหล่ “ไม่รู้สิ...เป็นความรู้สึก”
ไม่รู้ควรดีใจหรือเปล่า ได้แต่พึมพำว่า “งั้นหรือ”
“เจ้าภูมิก็ดูมีความสุขดี ร่าเริงจนตกใจ ถึงกับแอบคิดอยู่เหมือนกันว่าผู้ชายโหลยโท่ยนั่นเลี้ยงลูกใช้ได้อยู่นะเนี่ย”
คราวนี้ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาด้วยอีกคน “ยังไงก็โหลยโท่ยน่าดูสินะ...เมื่อก่อนนี้”
เพียงขวัญพยักหน้าแบบไม่เสียเวลาคิด อดีตภรรยาผู้แสนตรงไปตรงมาไม่เปิดช่องให้ตั้งตัวเลยจริง ๆ
“ว่าแต่คนนั้นน่ะ..” เธอว่า ทำหน้ายิ้มกริ่ม มาถึงเรื่องนี้ในที่สุด “บอกได้ไหมคะว่าใคร”
ภูเมศพยักหน้า ตั้งใจจะบอกแต่แรกอยู่แล้ว
“ขวัญจำคนที่มาเป็นพี่เลี้ยงเจ้าภูมิได้ไหม”
เธอผงกศีรษะรับ “พี่ธัญญ์ ๆ ที่น้องภูมิติดแจคนนั้นสินะคะ ว่าแต่มีอะไรหรือ—”
คำพูดสะดุดลง ปากอ้าค้างโดยยังกล่าวไม่จบประโยค
เพียงขวัญเป็นคนฉลาด ทั้งคำพูดและสีหน้าของเขา คงทำให้เธอสามารถปะติดปะต่อบางอย่างขึ้นได้เองในหัว แต่เหมือนว่ายังไม่แน่ใจนัก เบิกตากว้างมองเขาคล้ายรอคอยคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้
ภูเมศพยักหน้ายืนยันว่าเธอเข้าใจถูกต้องแล้ว
“ธัญญ์คนนั้นแหละ”
เธอทำตาปริบ ๆ
“เดี๋ยวนะคะ ว่าไปแล้ว ถึงจะเรียกหล่อมากกว่า แต่มองให้สวยก็ได้อยู่เหมือนกัน ...แต่เขาเป็น..ผู้ชาย? ฉันไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหมคะ?”
ภูเมศหัวเราะ “ผู้ชาย” พยักหน้าอีกหน “เป็นเกย์น่ะ”
เงียบกันไปอีกอึดใจใหญ่ ระหว่างนั้นเพียงขวัญเหมือนกำลังใช้เวลาทำความเข้าใจกับตัวเอง ส่วนเขายืนรอโดยไม่เร่งร้อน
ทั้งที่ดูตกใจเอาการ แต่สุดท้ายก็ตั้งสติได้ในที่สุด ยิ้มอย่างปลง ๆ
“คุณก็เป็นเกย์เหมือนกันสิเนี่ย ไม่เคยรู้เลย”
เขายกมือขึ้นลูบคางตัวเอง ว่าไปก็ไม่เคยคิดเรื่องนั้นจริงจังมาก่อน ตกลงเขาเป็นเกย์อย่างนั้นหรือ? ถ้าตอนนี้รู้สึกว่ารักธัญญ์มาก ๆ งั้นอาจเป็นเกย์จริง ๆ ก็ได้
“เมื่อก่อนตอนที่แต่งงานกับคุณ ผมก็รู้สึกดี ๆ กับคุณจริงนะ ไม่ได้หลอกแต่งด้วยแน่นอน” เขาสารภาพตรงไปตรงมา รู้สึกเหมือนกำลังก้าวขาออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง “แต่ตอนนี้รักเขามาก จนคิดว่าถ้ารักอีกฝ่ายที่เป็นผู้ชายได้ขนาดนี้ ก็คงจะเป็นเกย์แหละมั้ง”
ก้าวออกมาจนได้
จะไม่หนีความจริงอีกแล้ว
เพียงขวัญเม้มปาก พยักหน้าช้า ๆ อย่างพยายามตั้งสติ ไม่มีคำพูดว่าร้ายหรือด่าทอ สีหน้าปราศจากความโกรธแค้นหรือเศร้าหมอง มีเพียงความประหลาดใจ จากนั้นค่อยคลี่คลายกลายเป็นรอยยิ้ม
“เป็นตาทึ่มที่เหลือเชื่อจริง ๆ”
“นั่นสินะ”
เธอมองเขาอย่างพินิจพิจารณา ครู่หนึ่งก็แสดงความเห็น “..แต่ถ้าพูดถึงว่าได้ทั้งผู้ชายหรือหญิง ก็เรียกไบสินะคะ เวลามองคนสวย ๆ หรือเห็นสาวตรงสเปคยังรู้สึกอะไรหรือเปล่า”
เขายักไหล่ “ไม่รู้สิ”
“เห?”
“จะว่าไงดีล่ะ...” ภูเมศข่มความรู้สึกเขิน พยายามเรียบเรียงคำพูด “ผู้ชายหรือผู้หญิง ก็คิดว่าคงรักคนอื่นนอกจากเขาไม่ได้อีกแล้ว”
“โอ้โห”
“เวลาเห็นเขายิ้มก็จะมีความสุข ถ้าเห็นเขาร้องไห้ก็เหมือนจะเจ็บไปด้วยจนทนไม่ไหว...อยากดูแล อยากอยู่เคียงข้างไปทั้งชีวิตจนกว่าจะแก่ไปด้วยกัน..”
เพียงขวัญยกมือขึ้นปิดปาก
“ให้ตายเถอะ!” จากนั้นเอามือตบต้นขาตัวเองอย่างอดไม่อยู่ “คุณพูดอะไรโรแมนติกแบบนี้ได้ด้วย ไม่อยากเชื่อเลย ฉันตกใจจริง ๆ นะ”
“..อะ...อะไรเล่า..”
พอโดนทักก็เริ่มจะเขินหนักเข้าแล้ว มือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน
“นี่รู้หรือเปล่า ตั้งหลายปีก่อนเราจะหย่ากัน ไม่สิ ตั้งแต่สมัยรู้จักกัน ยันตอนจีบ ยันแต่งแล้วหย่าแล้ว คุณงี้อย่างกับท่อนไม้ คำพูดคำจาแห้งเหี่ยวเสียไม่มี แล้วดูตอนนี้...”
โดนจ้องด้วยสายตาทึ่ง ๆ จนไม่กล้าสบตาคู่สนทนาแล้วสิ
“..ก็แค่พูดอะไรที่รู้สึก” เขาอุบอิบ
เพียงขวัญทำเสียงว้าวเบา ๆ ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถึงกับผิวปากแซว
“นั่นละถึงได้ตกใจสุด ๆ” เธอว่า ริมฝีปากระบายยิ้มอ่อนโยน “..สีหน้า แววตา ไปหมดเลย”
เขาเผลอยกมือจับแก้มตัวเองโดยอัตโนมัติ ขณะที่อดีตภรรยาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มยังค้างอยู่บนนั้นคล้ายอ่อนใจกับเขาเหลือเกิน
“เขาก็รักคุณใช่ไหมคะ”
นึกไปถึงคำบอกรักซ้ำไปซ้ำมาในจูบคืนนั้น ทั้งหน้าก็เห่อร้อน แต่ยังผงกศีรษะรับตามตรง
“หลงตัวเองชะมัด” เธอค่อนขอดทีเล่นทีจริงพลางทำจมูกย่น แต่แล้วก็หัวเราะออกมา
“ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ถึงจะช็อคไปหน่อย แต่ยินดีด้วยจริง ๆ”
เขาก้มลงมองหน้าเธอ รอยยิ้มจริงใจปรากฏอยู่บนนั้น
เขายิ้มรับความปรารถนาดี
“ขอบคุณครับ”
เขาเทียวไปเทียวกลับ ช่วยงานศพของธเนศแล้วกลับมาเฝ้าธัญญ์ที่โรงพยาบาล รวมแล้วก็ไปเกือบทุกวัน แต่เจอเพียงขวัญแค่วันเดียว หลังจากนั้นเธอก็ไม่มาปรากฏตัวที่นั่นอีก
ทางด้านภาคี เจ้านายของเขาที่วิ่งวุ่นหลายเรื่อง ดูเหนื่อยล้าเอาการ นึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย โอกาสนี้จึงได้พูดคุยกันมากกว่าที่เคย รู้ในระหว่างนั้นเช่นกัน ว่าธเนศไม่มีลูกหลานคนอื่นอีกนอกจากธัญญ์และตัวคนเล่าเอง
“ลำบากหน่อย แต่จะค่อย ๆ จัดการไป” ภาคีว่าอย่างนั้น “ตอนแรกก็คิดว่าอาจมีปัญหาเรื่องมรดก ทรัพย์สินของเขาเยอะแยะไปหมด แต่ไม่เห็นมีญาติที่ไหนที่ยังติดต่อกันอีก ผมเอง ถึงเป็นลูกก็ใช่ว่าจะมีอำนาจมากมาย ส่วนคุณธัญญ์เป็นลูกบุญธรรมซึ่งได้รับการจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย แต่เจ้าตัวก็ดูไม่สนใจอยากรับช่วงต่อธุรกิจของคุณธเนศสักนิด”
ภูเมศพยักหน้า พอจะเข้าใจความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่าย
“แต่เรื่องนั้นตกไป เขาเขียนพินัยกรรมไว้แล้ว” ชายหนุ่มถอนใจเฮือก “ผู้จัดการมรดกก็เตรียมไว้พร้อม เหมือนเขารู้ว่าสักวันอาจตายไปโดยไม่ทันได้สั่งเสีย แถมรายละเอียดในนั้นก็...จะว่าไงดี..”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ อีกฝ่ายก็ทำตาแดง ๆ พูดเสียงขึ้นจมูก
“...ไม่เห็นเคยรู้เลย ว่าเขาเห็นผมเป็นลูกคนหนึ่งอยู่เหมือนกัน เขาไม่เคยแสดงให้เห็นสักนิดจนวันที่ตัวเองไม่อยู่แล้ว ไม่ได้อยากได้อะไรขนาดนั้น แต่ทำไมถึงยกให้มากกว่าคุณธัญญ์ที่เขาทั้งรักทั้งหวงอีกล่ะ”
ภูเมศเพียงแต่รับฟังเงียบ ๆ ถ้าจะถามเขาละก็ คงไม่มีทางได้คำตอบไม่ใช่หรือ แต่เพราะฝ่ายนั้นเหมือนแค่รำพึงกับตัวเองมากกว่า จึงได้ปล่อยให้พูดต่อไป
“ส่วนของคุณธัญญ์ มีคฤหาสน์ใหญ่หลังนั้นที่เขาเคยอยู่มาตั้งแต่เด็ก อสังหาริมทรัพย์อีกสองแห่ง กับหุ้นในบริษัทเล็กก่อตั้งไม่นานนักในเครือ เจ้าตัวเคยไปลองงานที่นั่นมาระยะหนึ่ง ดูเหมือนจะชอบอยู่เหมือนกัน เขาคงคุ้นมืออยู่แล้ว แต่หากจะปล่อยทิ้งก็ไม่มีปัญหา คงรู้ว่าเขาไม่ชอบบริหารอะไรเยอะแยะ”
ภาคีทอดสายตาไปไกล นับนิ้วไล่เรียง พลางพูดต่อช้า ๆ
“..ทรัพย์สินอีกส่วนหนึ่งเข้ามูลนิธิที่เขาตั้ง นอกนั้นกลายเป็นของผมทั้งหมด หลัก ๆ ที่น่าหนักใจเป็นธุรกิจส่งออกอัญมณีของเขา เคยถูกสั่งให้ลองศึกษาอยู่ระยะหนึ่ง เหนื่อยจะแย่ แต่ตอนอยู่ในมือเขาก็ไปได้สวย ไม่รู้ว่าจะถูกโยนมาไม่ทันตั้งตัว อย่างอื่นที่รอง ๆ ลงไปก็เป็นหุ้นของที่ต่าง ๆ กับงานบริหารทั้งนั้น เหมือนจะยกเก้าอี้ตัวเองให้ผมเป็นตัวตายตัวแทนดื้อ ๆ”
“ลำบากหน่อยนะครับ” เขาพึมพำให้กำลังใจ แต่ไม่รู้ว่าเหมาะแก่สถานการณ์หรือเปล่า
“ตลกดี ที่จริงน่าจะดีใจ แต่แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว จากนี้จะต้องมีชีวิตแบบไหนกันนะ” ชายหนุ่มถอนใจเฮือก ร่ายออกมายาวเหยียด “อย่างกับจะได้ยินเสียงระอาของคนคนนั้น ว่าใครจะไปสั่งธัญญ์ให้นั่งเก้าอี้บริหารได้ มีหวังคงปล่อยล่มจมแบบมุมปากไม่กระดิกสักนิดด้วยซ้ำ เพราะงั้นเธอช่วยรับไปหน่อยแล้วกัน ระหว่างนั้นก็ตามดูเขาให้ดีด้วย เหมือนตอนถูกสั่งให้นั่งเก้าอี้ประธานของบริษัทปัจจุบันที่คุณกับผมทำงานอยู่นั่นละ”
“เหนื่อยหน่อยนะ” เขาพูดคล้ายเดิม คราวนี้เริ่มเห็นอกเห็นใจขึ้นมาจริง ๆ นัยน์ตาฝ่ายนั้นแดงก่ำอย่างคนอดหลับอดนอนมาหลายวันจนใกล้สติหลุดแล้ว
“จริงสิ พรุ่งนี้คุณหมออนุญาตให้ธัญญ์กลับบ้านได้แล้วนะครับ” เขาพาคุยเรื่องอื่นให้หายเครียดลงบ้าง
“งั้นหรือ?” สีหน้าคนฟังดีขึ้นนิดหน่อย ดูเป็นห่วงธัญญ์จริง ๆ “ไม่ค่อยมีเวลาไปเยี่ยมเลย”
“เรื่องนั้นเขาเข้าใจดี ไม่งอแงหรอก”
ภาคีแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ได้ยินภูเมศใช้คำว่างอแงกับธัญญ์ ปกติคนคนนั้นเคยงอแงกับใครที่ไหน ไม่ได้ใกล้เคียงธัญญ์ที่ตัวเองรู้จักสักนิด
ขณะที่ภูเมศลืมสนใจสีหน้าคู่สนทนาไปสนิท ระบายลมหายใจยาว คิดไปถึงคนที่นอนแกร่วอยู่ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลมาหลายวัน
ช่วงสามสี่วันแรก ทั้งซึมทั้งหงอยจนน่าสงสาร ปลอบกันทั้งวันจนแทบจะจับอุ้มนั่งตัก ดึกดื่นบางทียังสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งร้องไห้ ลืมตาเห็นเพดานขาวเหนือขึ้นไปก็พลิกตัวตะแคงอยู่ไม่สุข เกิดเสียงกุกกักจนเขาตื่นมาหลายหน กว่าจะสงบลงได้ก็นานทีเดียว บางครั้งมองเห็นเงาที่ทอดลงบนผนังจากแสงภายนอกก็บอกไม่ชอบ นอนไม่หลับ อ้อนให้ช่วยปิดม่านให้หน่อย หนักเข้าก็บอกขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันได้ไหม
เรื่องแบบนั้นทำได้ที่ไหน พยาบาลเข้ามาวัดสัญญาณชีพทุกสี่ชั่วโมงเห็นจะได้ เกิดเผลอลืมตัวทำอะไรเหมือนตอนอยู่บ้านไปแล้วถูกเจอเข้า คงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากแน่ ๆ
พอเขาส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ฝืนทำใจแข็งเต็มที่ ลูบผมฝ่ายนั้นจนหลับไป ตื่นมาอีกทีตอนเช้า ปรากฏเจ้าตัวลงมานอนเบียดบนที่นอนสำหรับญาติเสียอย่างนั้น หน้าซบอยู่กับอก เปลือกตาหลับพริ้มอย่างสุดแสนสบายใจ แขนกอดรอบเอวเขาไว้แน่น แถมเขาก็กอดตอบเสียแน่นหนาไม่แพ้กัน แต่โชคดีตื่นทันหวุดหวิดก่อนคุณพยาบาลเข้ามา ใจหายใจคว่ำไปอีกพักใหญ่
คนที่หลับยาวไม่ตื่นระหว่างคืนเลย เห็นจะมีแต่เจ้าลูกชายที่นอนอุตุอยู่อีกฝั่งพร้อมหมอนผ้าห่มผืนโปรดของเจ้าตัวนั่นละ
เมื่อผ่านไปเกือบสัปดาห์ ดูเหมือนสภาพจิตใจจะดีขึ้นพอกับร่างกาย ไม่ค่อยมีอาการไอหรือหอบเหนื่อยแล้ว สายให้ออกซิเจนทางจมูกก็ไม่จำเป็นต้องใช้อีก เสียงกลับมาทุ้มต่ำนุ่มหูเหมือนเก่า แต่ท่าทางจะเริ่มเบื่อ และดูเหมือนวิธีแก้เบื่อของเด็กเจ้าเล่ห์คนนั้นคือแกล้งเขาเล่น บางทีก็ชวนพร้อมภูมิมาเป็นเครื่องมือร่วมรังแกพ่อตัวเองด้วย ให้ตายเถอะ
เขายกนิ้วขึ้นถูปลายจมูกตัวเองเบา ๆ เมื่อคิดไปถึงว่าตอนเช้าโดนอะไรมาอีก
เพราะรู้ว่าทำอะไรเกินเลยในโรงพยาบาลไม่ได้ คราวนี้เลยเหมือนยิ่งสนุกใหญ่ ตอนเช้าบางทีนึกขี้เกียจจับช้อนกินข้าวขึ้นมา บอกให้ป้อนหน่อยได้หรือเปล่า เรียกเสียเสียงนุ่มว่า “คุณภู...คุณภู...” ฟังแล้วหัวใจจะวาย ยังไม่นับสายตาวาววับที่เวลาแบบนี้เหมือนจะเปลี่ยนจากลูกแมวเซื่อง ๆ เป็นเสือจ้องเหยื่อนั่นอีก
พอตักอาหารส่งเข้าปาก แทนที่จะงับช้อน ก็งับนิ้วคนป้อนแทน ทั้งที่ห่างกันตั้งโยชน์ ปลายลิ้นร้อนผ่าวเฉี่ยวเบา ๆ บนผิวเนื้อ โดนเข้าไปรอบแรกถึงกับต้องขอตัวไปสงบจิตสงบใจในห้องน้ำ ฟังเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของพร้อมภูมิกับพี่เลี้ยงที่ชวนกันเล่นอย่างอื่นระหว่างรอเขาออกไป
“สีหน้าคุณก็ดูดีขึ้นนะ” ภาคีทัก กระชากเขากลับจากภวังค์หอมหวาน “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
เขารีบยกมือตะปบหน้าตัวเอง นึกสงสัยว่ากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้
“คุณธัญญ์เป็นไงบ้างแล้วล่ะ”
“ดีขึ้นเยอะ” เขาว่า ตั้งสติกลับมาสู่บทสนทนาได้ในที่สุด “เขาพูดถึงคุณด้วย บอกว่าพี่ภาคีลำบากแย่”
“หือ?” คนฟังทำสีหน้าแปลกใจ “เขาเรียกผมอย่างนั้นหรือ”
ภูเมศก็ทำหน้าแปลกใจกลับไปเช่นกัน “เรียกอย่างนั้นที่ว่า หมายถึง
‘พี่ภาคี’ น่ะหรือครับ”
อีกฝ่ายได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
“ตั้งแต่ได้ยินเขาพูดถึงคุณมา ก็เห็นเรียกแบบนี้ตลอดนี่?”
ภาคีถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่ ยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง จากนั้นค่อยหัวเราะออกมาด้วยท่าทางเหมือนยอมใจ “เชื่อเขาเลย”
เห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้ “มีอะไรหรือครับ”
ชายหนุ่มมองเขา รอยยิ้มอ่อนอกอ่อนใจยังอยู่บนริมฝีปาก ไม่ตอบแต่ถามกลับมาแทน
“กลายเป็นเด็กน่ารักไปแล้วหรือนี่ คุณทำอะไรกับเขาน่ะ”
“ผมเนี่ยนะ” เขาเลิกคิ้ว แต่เมื่อใคร่ครวญให้ดี ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงจริงเสียด้วย “...เขาก็น่ารักขึ้นจริงนั่นละ น่ารักจนคิดว่าให้ตายเถอะ คนคนนี้จะยังน่ารักขึ้นกว่าเดิมได้อีกเรอะ?”
ภาคีหัวเราะ ไม่คัดค้านอะไร ขยายความให้ฟังถึงความงุนงงเมื่อครู่
“คุณรู้ไหม ก่อนหน้านี้ เขาเรียกผม
‘พี่’ แบบนับคำได้ ยิ่ง
‘พี่ภาคี’ เนี่ย มีไว้ใช้ตอนตั้งใจประชดเท่านั้นละ”
“ดูร้ายกาจอยู่เหมือนกันนะครับ”
“ใช่ไหมล่ะ” อีกฝ่ายเออออ “ปกติก็มีแต่
‘คุณ ๆ’ มากหน่อยก็มี
‘คุณภาคี’ ห่างเหินสุด ๆ จนใครรู้ว่าเป็นพี่น้องก็ต้องสงสัยทั้งนั้นว่าเป็นพี่น้องประเภทไหนกัน”
ภูเมศไม่ขัดว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่สงสัยเหล่านั้น
“ไหนจะสถานะที่อย่างกับเจ้านายลูกน้องตลอดเวลาอีก คุณก็เห็นใช่ไหม แปลกใจใช่ไหมล่ะ”
เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“เพราะคุณธัญญ์มีบุญคุณกับผมมากน่ะ”
“ผมว่าเขาอาจจะอยากให้คุณเรียกเขาว่าธัญญ์เฉย ๆ ก็ได้นะ” เขาพูดแทรกเบา ๆ
“หือ?”
“ไว้ตอนเจอกันครั้งหน้า ลองดูไหมล่ะครับ” ชายหนุ่มเสนออย่างตรงไปตรงมา “เหมือนอย่างพี่น้องทั่วไปเขาทำกัน”
ฝ่ายนั้นเหมือนจะอึ้งไปอีกอึดใจหนึ่ง จากนั้นหัวเราะเสียงแผ่วอีกหน ดูลำบากใจอยู่เล็กน้อย “นั่นสินะ”
“เป็นน้องชายที่เอาแต่ใจสินะครับ”
“มากเลยล่ะ” ข้อนี้ภาคีตอบแทบไม่ต้องคิด “จะว่าไงดี อินดี้สุด ๆ นึกอยากทำอะไรก็ทำ เหมือนจะมีเหตุผล แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีจริง ๆ หรือแค่ทำเหมือนว่ามีเหตุผลที่คนอื่นไม่รู้ คุณนึกภาพแมวสักตัว เวลาเราเห็นมันทำอะไรแปลก ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม เรียกก็ไม่มา แต่พอไม่เรียกก็มาด้อม ๆ มอง ๆ”
“อืม เข้าใจเลย”
“แต่ก็เป็นน้องชายที่น่ารักนะ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา
เขาพยักหน้ารับ
“เป็นพี่เลี้ยงที่น่ารัก เป็นคนรักที่น่ารักด้วย”
อีกฝ่ายหันมาทำสีหน้าคลื่นเหียนใส่ จากนั้นยิ้มบางทั้งที่ยังโคลงศีรษะไปมา
“พวกคุณนี่ก็จริง ๆ เลย”
เขาทำหน้าเขิน ๆ ชวนเปลี่ยนเรื่อง
“พรุ่งนี้เขาจะมาฟังสวดวันสุดท้ายด้วยนะครับ”
ภาคีพยักหน้ารับช้า ๆ
“ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
“แข็งแรงขึ้นแล้ว”
“จิตใจก็ด้วยรึเปล่า?”
ภูเมศชะงักไปครู่หนึ่ง
“จิตใจก็ด้วยครับ” จากนั้นคลี่ยิ้มกว้าง “เข้มแข็งกว่าที่คิดเสียอีก”
ภาคีพยักหน้า เป็นเชิงบอกว่าดีแล้ว สายตาเหมือนจะบอกว่าฝากหน่อยล่ะ แต่ไม่ได้พูดออกมา
เขาเองก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่ท่าทางคงอ่านได้ไม่ยาก
น้องชายคุณ จะดูแลให้อย่างดีด้วยชีวิตเลยชัดเจนถึงเพียงนี้ ต้องอ่านออกแน่นอน
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v