ผมที่ยังลอบเดินตามคนทั้งสองคนนั้นไปเรื่อยๆ เสียงเรียกเข้ามือถือของผมก็ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวและรีบกดรับสายโทรศัพท์ทันทีซึ่งคนที่โทรศัพท์มาหาผมนั่นก็คือสหายของผมที่ทำกิจกรรมอยู่ที่คณะครับ
“เชี่ยกร...หายหัวไปไหนครับ รีบกลับมาทำหน้าที่สันทนาการน้องได้แล้วเว้ย แม่มกรูยังไม่ได้บอกให้มรึงกลับเลยนะครับ” ปลายสายกระแทกเสียงใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ซึ่งมันมาสั่งในตอนตอนนี้ผมโคตรจะไม่มีอารมณ์ทำอะไรเลยครับ หนำซ้ำผมก็หงุดหงิดไม่แพ้พวกมันผมเลยพูดกระแทกเสียงกลับไปให้อีกฝ่ายฟังและน้ำเสียงนั้นแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมหงุดหงิดกว่าพวกมันครับ “มรึงก็ทำกันไปเองสิวะ อย่ามาโยนให้กรูทำ ไม่ใช่อะไรๆก็กรู ถ้าทำไม่ได้ก็ไปหาคนอื่นมาทำแทนกรูซะ ตอนนี้กรูไม่ว่าง ต่อให้กรูว่างก็ไม่ไป”
ผมที่ตอบกลับไปแบบนี้ปลายสายก็เริ่มสงสัยแล้วครับว่าผมมีความผิดปกติไป (ในเวลาปกติผมไม่ใช่คนที่จะแสดงอาการหงุดหงิดใส่คนอื่นได้ง่าย ๆ ครับ ต่อให้ผมหงุดหงิดอยู่ ผมก็แยกแยะเรื่องสองเรื่องออกจากกันได้)
“กร ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” ปลายสายที่ได้ยินประโยคพวกนั้นของผมแทนที่พวกมันจะโกรธผม มันกับกล่าวถามผมด้วยความเป็นห่วงแทน…นี่สินะที่เขาเรียกว่าเพื่อน น้ำตาผมเอ่อล้นขึ้นมาน้อยๆ ก่อนผมจะใช้ปลายนิ้วของตนเกลี่ยน้ำจากออกจากดวงตา
“กรูเห็นพี่ศิ” พูดเอ่ยขึ้นแม้มันจะแผ่วเบาแต่ปลายสายนั้นก็ได้ยิน
“เออ มรึงเห็นพี่ศิ แล้วพี่ศิเขาทำอะไรวะ” คู่สนทนาของผมเอ่ยถามกลับน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ผมคิดว่าอีกฝ่ายคงสงสัยน่าดูว่าผมเห็นพี่ศิแล้วมีปัญหาอะไรล่ะ
“อยู่กับน้ำฟ้า...” ประโยคนี้ผมยิ่งเอ่ยออกไปแผ่วเบาจนทำให้คู่สายของผมนั้นไม่ค่อยได้ยินจนทางนั้นต้องเอ่ยถามซ้ำอีกครับ “เอาใหม่สิกร กรูไม่ได้ยินมรึงพูด” ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์และความเสียใจเอาไว้ แต่พอคำถามนี้ลอยเข้าใส่หูผมอีกครั้งและผมต้องเอ่ยคำถามที่แสนเจ็บปวดออกไปอีกครั้งนั่นจึงทำให้น้ำตาที่ผมสะกดกลั้นเอาไว้มันไหลรินออกมา
“กรูเห็นพี่ศิ…อยู่กับน้ำฟ้า ได้ยินไหม” ประโยคที่ปนเสียงสะอื้นของผมทำให้เพื่อนๆนั้นตกใจ ซ้ำไอประโยคที่ผมเอ่ยออกไป มันยิ่งทำให้พวกเพื่อน ๆ ของผมตกใจมากว่าไอเสียงสะอื้นของผมเสียอีก
“เฮ้ยยย! เป็นงั้นได้ไงวะกร พี่ศิหลงมรึงยิ่งกว่าอะไรอีกนะ แล้วทำไมตอนนี้พี่แกถึงไปอยู่กับน้ำฟ้าได้ไงวะ แล้วน้ำฟ้าแม่มมีจุดประสงค์อะไรที่เข้าใกล้พี่ศิของมรึงวะ แต่จากที่กรูฟังมรึงเล่าตอนงานโอเพ่นเฮาส์แล้ว กรูรู้สึกว่าเธอน่าจะสนใจพี่ศิเอาเรื่องเลยนะครับนะมรึง” เสียงของไอเจมส์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้น แต่ในใจผมไม่อยากให้มันเดาสถานการณ์อะไรออกมาเลยครับ เพราะยิ่งมันวิเคราะห์มันก็ยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหลมากขึ้นกว่าเก่า
พวกเพื่อน ๆ ของผมพูดปลอบผมอยู่นานสองนาน ในที่สุดไอเจมส์มันก็คิดอะไรขึ้นมาได้พร้อมกับบอกว่าให้ผมยืนอยู่กับที่และรอตัวช่วยที่พวกมันเรียกให้ไปหาผมซะ
ผมยืนร้องไห้รอตัวช่วยที่พวกเพื่อนๆ ส่งมาให้และไม่เกินสิบนาที ตัวช่วยตัวนั้นก็มาถึงหาผมครับคนๆนั้นหายใจหอบออกมาเสียงดังก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “กร…ร้องไห้ทำไมบอกไฮซ์สิครับ” น้ำเสียงทุ้มนั้นเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง ซ้ำมือข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้นมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา
มันเป็นการกระทำที่ไฮซ์ทำใส่ผมบ่อยๆเมื่อตอนผมยังเป็นเด็กครับ เมื่อผมร้องไห้หรือแสดงสีหน้าที่เป็นกังวล ยังไงเขาก็คอยวิ่งมาปลอบผมเสมอ ซึ่งเหมือนกับครั้งนี้ที่ไฮซ์วิ่งมาหาผมทันทีที่ผมต้องการให้ใครอยู่เป็นเพื่อน
“…พี่ศิเขา...พี่ศิเขา...ฮึก” ผมพูดออกมาแทบไม่เป็นภาษา ร่างสูงนั้นค่อยๆประคองผมอย่างเบามือพร้อมกับพาร่างของผมให้เดินไปยังร้านขนมที่อยู่ใกล้ ๆ
ไฮซ์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้างและรอให้ผมสงบสติอารมณ์ เมื่อน้ำตาของผมเริ่มที่จะหยุดไหล ไฮซ์ก็ยื่นทิชชู่แผ่นใหม่มาให้กับผมพร้อมกับเอ่ยถามผมออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนจะอ่อนโยนที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงว่า “พี่ศิเขาทำอะไรกรครับ แต่ว่าถ้ากรไม่อยากเล่าให้ไฮซ์ฟังก็ไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ ไฮซ์ไม่อยากทำให้กรร้องไห้อีก”
“ไม่ๆ กรเล่าได้แต่ไม่รับปากน้ำนะว่าจะร้องไห้อีกหรือเปล่า” ผมเอ่ยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูยังไงก็รู้ว่าฝืนยิ้มแต่ไฮซ์ก็ไม่คิดจะบอกปัดน้ำใจของผมครับเขานั่งนิ่งๆ ให้ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไปพร้อมกับคอยยื่นทิชชู่ให้ผมเรื่อย ๆ (ผมไม่ได้ขี้แยนะครับ แค่น้ำตามันไหลออกมาเองก็เท่านั้น)
“เมื่อกี้กรเห็นพี่ศิกับน้ำฟ้าอยู่ด้วยกัน…” แค่ประโยคสั้น ๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ไฮซ์รับรู้ได้ถึงเรื่องแทบจะทั้งหมด เมื่อสิ้นประโยคของผม ไฮซ์ก็แทบจะลุกขึ้นและออกวิ่งไปหาพี่ศิทันที แต่ผมกลับเอื้อมมือไปรั้งเขาเอาไว้เสียก่อน ผมส่ายหัวไปมาเพื่อเป็นการบอกว่าไม่ต้องไป การกระทำแค่นั้นทำให้ไฮซ์ทรุดตัวนั่งลงไปอย่างเดิม
“สงสัยพี่ศิอย่างนั้นเหรอ” เสียงของไฮซ์เอ่ยถาม ซึ่งผมส่ายหัวปฏิเสธไฮซ์ไปครับ ช่วงแวบหนึ่งที่ผมเห็นสายตาของคนตรงหน้าผมกระตุกวูบก่อนมันจะกลับไปเป็นแววตาที่อ่อนโยนเช่นเดิม
“กรสงสัย...น้ำฟ้าต่างหาก” ผมพูดเสียงเบามือทั้งสองข้างนั้นถูกถูกไปมา… “เพราะน้ำฟ้าทำให้เราทะเลาะกันได้มาแล้วกรเลยกลัว…กลัวว่าเขาจะทำให้กรทะเลาะกับพี่ศิเหมือนตอนกับตอนที่กรทะเลาะกับไฮซ์ กรไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น” ผมก้มหน้าก้มพูดออกไปและที่ผมก้มหน้านั้นนั่นก็เป็นเพราะดูเหมือนว่าน้ำตาของผมมันจะไหลออกมาอีกแล้วครับ น่าอายชะมัดที่ต้องร้องไห้ให้คนที่ไม่รู้จักเห็นแบบนี้
แต่เมื่อไฮซ์เห็นผมร้องไห้หนักขนาดนี้ เขาก็เอามือเชยคางให้ผมเงยหน้าพร้อมกับเอาทิชชู่ที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาผม ร่างสูงเบื้องนั้นผมคลี่รอยยิ้มพร้อมกับเอ่ยขอให้ผมทำขนมให้กิน “กร ไฮซ์อยากกินขนมฝีมือกรครับ ช่วยทำให้ไฮซ์กินได้ไหมครับ ถือว่าทำแก้เครียดด้วยไง” คำขอที่หน้าประหลาดใจนั่นทำให้ผมตกใจเล็กน้อย แต่ผมก็พยักหน้าตกลงว่าจะทำขนมให้ไฮซ์กิน
เราทั้งสองคนลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกจากร้านขนมแห่งนี้และค่อย ๆ สาวเท้าไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมเลือกซื้อแป้งแพนเค้กสำเร็จรูปมาครับพร้อมกับหยิบแยมรสสตรอเบอร์รี่มาหนึ่งกระปุก พร้อมกับเครื่องทำขนมเค้ก อย่างเช่น ช็อกโกแลตเหลวที่ไว้สำหรับการแต่งหน้าเค้ก
“กรไม่รู้จะทำอะไรนะ ขอทำง่ายๆแทนแล้วกันนะ ไฮซ์” ผมหันไปพูดกับไฮซ์ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา มือทั้งสองข้างนั้นพลางเลือกเครื่องทำขนมต่อไป ผมรู้สึกว่าคนที่เดินเข็นรถเข็นตาม ผมจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดแล้วล่ะมั้งครับ เพราะว่าผมพูดพร้อมกับยิ้มออกมาได้โดยที่ไม่ฝืน แต่กระนั้นภายในใจของผมก็ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลอยู่ดี
และเมื่อผมเลือกวัตถุดิบทั้งหมดเสร็จ ผมก็บอกให้ไฮซ์เข็นรถเข็นเพื่อไปจ่ายเงิน ซึ่งการซื้อของในห้างดังแบบนี้ทำให้ราคาแพงกว่าการไปซื้อเครื่องทำขนมจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ แต่ก็นะ ผมก็ไม่ได้จ่ายอยู่ดีนั่นล่ะ เพราะคนไหนอยากกินคนนั้นต้องจ่ายครับ ผมเดินออกไปยืนรอนอกเคาท์เตอร์จ่ายเงินและทิ้งหน้าที่ที่ต้องจ่ายเงินให้ไฮซ์ไป
ทำไมภาพแบบนี้มันเหมือนกับตอนที่ผมกับพี่ศิออกมาซื้อของตุนในตู้เย็น…เลยล่ะ…
ภาพ ๆ นี้ทำให้น้ำตาของผมออกมาคลอที่ดวงตา ผมพยายามแหงนหน้าขึ้นเพื่อให้น้ำตาไหลย้อนกลับแต่ก็นะ…มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด ภาพน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาแบบนี้ทำให้ไฮซ์ชักสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อพนักงานคิดเงินเสร็จ ไฮซ์ก็รีบพาผมออกจากที่นี้แล้วหยิบกุญแจรถของผมไป และราวกับเขารู้นิสัยผมว่าผมชอบจอดรถไว้ชั้นไหน เพราะไฮซ์ใช้เวลาแค่ช่วงครู่เดียว เขาก็หารถของผมเจอครับ (ท่าทางไฮซ์จะรีบเดินมาหาผมนะครับ เดินมาจากหอในของมหาลัยและวิ่งมาหาผม) และหลังจากที่ของในมือไฮซ์ถูกเก็บใส่ท้ายรถ เขาก็เดินวนไปยังประตูด้านขนขับและขึ้นไปส่วนผมที่คุ้นชินกับการที่มีคนมาเปิดประตูให้ก็เลิกลั่กเปิดประตูรถแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งด้านใน
ไฮซ์มองผมด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาเขาค่อย ๆ สตาร์ทรถและขับออกจากลานจอดรถ เพื่อมุ่งหน้าไปยังคอนโดของผมและไฮซ์ใช้เวลาขับรถราวๆ 15 นาที ตอนนี้รถของผมก็อยู่ในลานจอดรถของคอนโดและกำลังเตรียมตัวที่จะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นชั้นที่พำนักของผม
เมื่อเราทั้งสองคนขึ้นมาถึง ผมก็เดินสาวเท้าไปยังห้องของผมทันที ผมปลดล็อคบานประตูห้อง 1403 และก็เชื้อเชิญให้แขกของผมเข้าไปด้านใน ผมบอกให้ไฮซ์ไปนั่งรอที่โซฟา ส่วนเรื่องในครัวเดี๋ยวผมนั้นจะจัดการเอง ซึ่งไฮซ์เขาก็ว่าง่ายนะครับเมื่อผมพูดจบเขาไปนั่งรอเงียบ ๆ บนโซฟาในห้องนั่งเล่นทันที
ส่วนผมก็เตรียมทำขนมตามที่ไฮซ์รีเควสแล้วครับ ผมเริ่มจากหยิบแป้งแพนเค้กสำเร็จรูปมาร่อน พร้อมกับตอกไข่ใส่ไปตามสูตรที่กล่องเขาให้ไว้ ตามด้วยใส่เนยและนมลงไป แล้วก็ตีให้เข้ากันนี่เป็นขนมง่ายๆครับผม ความจริงแทบจะไม่ต้องใช้สมองเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ผมปรับสูตรนิดหน่อยให้อร่อยสมกับเป็นสูตรขนมที่ผมทำครับ เมื่อเนื้อแป้งเข้าที่แล้วผมก็หยิบกระทะเทปล่อนขึ้นมาแล้วก็ตักเนยใส่ลงกระทะ ซึ่งที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะมันจะช่วยให้หน้าของแพนเค้กมีรสชาติมากขึ้นและกันติดกระทะด้วยครับ ผมทำแพนเค้กแผ่นแรก…ผลสรุป มันไหม้ไปข้างหนึ่งเพราะผมมัวแต่เหม่อลอยไม่สนใจ ตามด้วยแผ่นที่สองคราวนี้ผมตั้งใจมากและมันก็ออกมาสีสวยครับ แต่…ด้านในไม่สุกก็เลยต้องนำลงมาทอดใหม่ และไอแพนเค้กที่ผมทำมันสลับกันไปกันมาแบบนี้เรื่อย ๆ จนในที่สุดตัวแพนเค้กที่กินได้…มีไม่ถือ 10 แผ่นครับ เอาเป็นว่าเหลือกินแค่ 6-7 แผ่นเองครับ (จากสูตรเขาบอกทำได้ราว ๆ 15-16 แผ่น)
เมื่อผมทอดแพนเค้กเสร็จ ผมก็เดินถือจานแพนเค้กที่ทำเสร็จแล้วไปให้ไฮซ์ โดยในแต่ละจานมีแพนเค้กสองแผ่นและราดด้วยน้ำซอสสตอเบอร์รี่
“ไฮซ์อ่ะ...กรทำเสร็จแล้ว” ผู้เป็นเจ้าของชื่อแหงนหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับรับจานในมือผมไปนั่งทาน ผมเดินอ้อมโซฟามาอีกด้านหนึ่งและค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงไป
คำแรกที่ผมตักแพนเค้กเข้าปากผมรับรู้ได้ถึงความขมที่ซึมซาบเข้ามา…การทำขนมเวลาเศร้า...มันทำให้รสชาติขนมเสียจริงๆสินะ ตามที่คุณม๊ากับคุณป๊าได้บอกไว้ ผมวางจานแพนเค้กลงกับโต๊ะและเลือกที่จะเปิดทีวีดูแทนการกินขนม ส่วนไฮซ์ยังคงนั่งตักแพนเค้กทานไปเรื่อยๆราวกับว่ามันอร่อยมากจนผมทนมองเขากินไม่ได้เลยเอ่ยพูดออกไป “ถ้ามันไม่อร่อย…ไฮซ์ก็อย่ากินเลย กรไม่ว่าหรอก เพราะมันไม่อร่อยจริงๆ” ทว่าไฮซ์ส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับตักแพนเค้กในจานเข้าปากต่อ ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมพร้อมกับยื่นมือไปแย่งจานแพนเค้กในมือของไฮซ์ แต่แขนทั้งสองข้างของผมก็ต้องชะงัก เมื่อเสียงของไฮซ์เอ่ยตอบกลับมา
“ขนมของกร…ไม่ว่ากรจะทำด้วยอารมณ์ไหน ไฮซ์ก็คิดว่ามันอร่อยทั้งหมดนั่นล่ะ ต่อให้กรทำมันตอนที่กรเศร้ามาก ๆ แบบตอนนี้ก็ตาม” สิ้นเสียงนั้น มันทำให้ผมชะงักมือและยอมนั่งลงไปกับโซฟาเช่นเดิม
“…ขอบคุณนะ…ไฮซ์” ผมเอ่ยขอบคุณไฮซ์ออกไปเสียงแผ่ว ซึ่งการที่ผมพูดออกไปแบบนั้นทำให้ไฮซ์เอื้อมมือมากอดคอผมพร้อมกับดึงให้ผมก้มลงไปซบที่บ่าของมัน
“กรเชื่อใจพี่ศิเขานะ…แต่สำหรับอีกคน…กรไม่รู้ว่าน้ำฟ้าจะทำอะไรกับพี่ศิเขา” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นขอบตาทั้งสองข้างนั้นร้อนผ่าวและเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาผมก้มหน้าซบบ่าของไฮซ์มันไปสักพัก เสียงปลดล็อคประตูห้องของผมก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของร่างสูงผู้มีนามว่าศิรวิทย์
ผมสะดุ้งตัวทันทีเพื่อจะหันไปมองว่าคน ๆ นั้นคือใคร ทว่าไฮซ์กับจับหัวของผมให้ซุกลงไปบนบ่าของเขาอยู่แบบนั้น ผมพยายามดิ้นไปให้ผมหลุดพ้นออกจากอ้อมกอดของไฮซ์ และในที่สุดผมก็ดิ้นหลุดครับ แต่การดิ้นหลุดครั้งนี้มันทำให้ผมอยากจะซุกลงไปที่บ่าของไฮซ์ใหม่อีกครั้งนั่นก็เป็นเพราะสายตาของพี่ศิที่มองมายังพวกเราทั้งสองคน
“พะ…พี่ศิ” ผมเอ่ยเรียกชื่อชองพี่เขาเสียงแผ่วและเมื่อเสียงเรียกชื่อของผมจบลง ร่างของผมก็โดนพี่ศิอุ้มลอยข้ามโซฟาไป
“กรครับ…จำสัญญาที่เราให้ไว้กับพี่ไม่ได้หรือไงครับ” ร่างสูงนั้นเอ่ยทวงสัญญากับผม แต่ทว่าผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้หันมามองยังผมเลยสักนิดเดียว ดวงตาสีเข้มของพี่ศินั้นจ้องไปยังร่างของไฮซ์ที่ยังคงนั่นอยู่บนโซฟา
“พี่ศิ ปล่อยกรลงสิ” ผมบอกพี่ศิให้เขาปล่อยร่างของผมลง แต่กระนั้นพี่ศิก็ไม่ยอมฟังเสียงของผม ซ้ำยังคงกอดตัวผมไว้แน่นซะอีก จนในที่สุดผมก็ต้องห้ามทัพนี้ด้วยการ…ให้ไฮซ์มันกลับหอไปก่อน ส่วนผมจะเคลียร์กับพี่ศิเอง
ซึ่งไฮซ์เขาก็ยอมทำตามที่ผมบอกนะครับ ไฮซ์ก้มลงหยิบกระเป๋าพร้อมกับเดินออกจากห้องไป แต่สายตาของไฮซ์ยังคงมีเหลียวหลังมามองผมอยู่ และเมื่อบานประตูห้องของผมถูกปิดลงภายในห้องนั้นก็เงียบสงัดทันที
ผมถูกอุ้มไปวางไว้ที่โซฟาเช่นเดิม ส่วนพี่ศิเขาก็ก้าวอ้อมมานั่งข้างๆ ผม “กรครับ เราสัญญากันไว้แล้วไงว่า เวลากรมีเรื่องทุกข์ใจหรือปัญหาอะไร กรจะบอกพี่เป็นคนแรก” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามออกมานั้นแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยโทสะ เขาพยายามใช้สายตาบีบคั้นให้ผมตอบกลับ แต่ผมนั้นเลือกที่จะเงียบและไม่เอ่ยอะไรออกไป เราสองคนนิ่งเงียบใส่กันสักพัก จนในที่สุดพี่ศิเขาก็เอ่ยถามผมออกมาอีก
“กรครับ…กรร้องไห้เพราะอะไร ไหนบอกพี่มาสิ” เสียงทุ้มนั้นฟังดูอ่อนโยนมากกว่าเก่า ท่าทางโทสะในจิตใจของพี่ศินั้นจะเริ่มหายไปบ้างแล้วล่ะมั้งครับ มือกร้านถูกยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมอย่างแผ่วเบา ซ้ำยังเป็นสัมผัสที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“วันนี้...พี่ศิไปไหนมา” สัมผัสอันแสนอ่อนโยนนั้นทำให้ผมยอมเอ่ยปากพูดออกมา ซึ่งคำถามที่ผมเอ่ยถามออกไปนั้นทำให้พี่ศิถึงกับสะดุ้งออกมาเฮือกใหญ่ ท่าทางพี่ศิจะรู้แล้วล่ะครับว่าผมนั้นร้องไห้ด้วยเรื่องอะไร แต่ท่าทางอมพะนำแบบนั้นมันไม่เหมือนพี่ศิที่ผมรู้จักเลย คนอย่างพี่ศิไม่ใช่คนชอบปิดบังอะไรและเขาก็ไม่เคยปิดบังอะไรกับผมด้วย
“…มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังเหรอครับ ถ้าพี่ศิไม่บอกว่าไปไหนมาและเอาของที่ซื้อทุกอย่างในวันนี้มาให้กร กรก็ไม่บอกหรอกครับว่ากรร้องไห้เพราะอะไร” ผมรู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าพี่ศิแล้วครับ ซ้ำผมยังรู้สึกสะใจเล็กๆที่ไล่ต้อนพี่ศิได้ และทุกๆคนก็คงสงสัยกันอีกสินะครับว่าทำไมผมถึงฟื้นตัวไว…นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิแกยังกลัวที่จะบอกความจริงกับผมยังไงล่ะครับ ถ้าพี่ศิกลัวแบบนี้นั่นก็หมายความว่าเขายังแคร์ความรู้สึกผมมาก ๆ อยู่
และยิ่งท่าทางแบบนี้ยิ่งทำให้ผมเดาออกเลยครับว่าบังเอิญเจอกันแล้ว น้ำฟ้าไปพูดอะไรใส่พี่ศิจนพี่ศิต้องพาไปเลี้ยงข้าวนั้นล่ะครับ “…ถ้าไม่เล่า…ก็ปล่อยให้กรเข้าใจผิดต่อไปแล้วกันนะครับ คุณพี่ศิรวิทย์” ผมพูดออกมาพร้อมคลี่รอยยิ้มร้ายให้กับพี่ศิ หลังจากผมพูดจบ ผมก็ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบจานแพนเค้กทั้งสองจานเข้าไปเก็บในห้องครัวและจัดการโยนเจ้าแพนเค้กแสนขมนี่ลงถัง เมื่อผมเคลียร์ห้องครัวเสร็จ ผมก็สาวเท้าเดินมาหาพี่ศิที่นั่งอยู่บนโซฟา ตอนนี้คนที่เป็นฝ่ายหนักใจคือพี่ศิแล้วล่ะครับ ผมเห็นพี่ศิกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่พร้อมกับยอมเล่าเรื่องราวออก
“พี่ไปเจอน้ำฟ้าบนสถานีรถไฟฟ้าน่ะ ตอนแรกพี่ก็จำเขาไม่ได้หรอกครับ แต่เขามาทักพอคุยไปคุยมา พี่ก็จำได้ แล้วเขาบอกว่าเห็นพี่น่าจะ…กรอยู่ น้ำฟ้าก็เลยเสนอว่าถ้าเลี้ยงข้าวเธอ เขาจะเล่าเรื่องของกรให้พี่ฟัง…เอ่อ พี่ก็เลย” พี่ศิค่อย ๆ สารภาพ(?)ความผิดของตัวเองออกมา ซึ่งผมก็พยักหน้ารับฟังนะครับและเป็นไปตามอย่างที่ผมคาดเดาครับว่าพี่ศิแกโดนน้ำฟ้าหลอกล่อด้วยเรื่องของผมจริง ๆ ด้วย
ผมทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วตบบ่าพี่ศิเบา ๆ “…ถ้าอยากรู้เรื่องของกร ทำไมไม่ถามกรเอง...กรไม่ใช่พวกปิดบังอะไรต่อมิอะไรหรอกนะ พี่ศิ” ผมพูดตอบพี่ศิด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะพอใจ ซึ่งพี่ศิแกก็รู้ตัวดีครับว่าเขาทำให้ผมไม่พอใจมากๆที่ไปเจอกับผู้หญิงคนนั้น พี่แกเลยพูดขอโทษขอโพยผมเสียยกใหญ่ แต่มันก็ยังไม่ทำให้ผมหายงอนได้หรอกนะครับ ก็พี่ศิทั้งๆที่รู้ฤทธิ์ของเธอดีแล้วแท้ๆ ยังจะไปยุ่งกับเธออีก…แบบนี้มันไม่ไหวเลยนะ…
แต่จุดที่สำคัญจริงๆที่ผมไม่พอใจพี่ศินั่นก็คือการที่พี่แกไปหัวร่อต่อกระซิกกับน้ำฟ้าต่างหาก ผมไม่พอใจตรงจุด ๆ นั้นและที่สำคัญ…ผมน่ะอิจฉาคนสองคนที่ดูเข้าคู่กันเสียเหลือเกิน ริมฝีปากของผมเม้มแน่นส่วนใบหน้าของผมนั้นหันหนีไปอีกทาง
เมื่อพี่ศิเห็นใบหน้าผมเป็นแบบนั้น เขาก็ทำเหมือนกับที่ไฮซ์ทำกับผมเมื่อสักครู่ นั่นคือการดันหัวของผมให้ลงไปซุกที่บ่าของผมพร้อมกับใช้ท่อนแขนแกร่งอีกข้างของตนโอบกอดผมไว้
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันต่างจากตอนที่ที่ไฮซ์มันกอดผม เพราะความรู้สึกในขณะที่ไฮซ์กอดผมมันทำให้ผมเหมือนมีเพื่อนคนหนึ่งคอยนั่งอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือผมในยามที่ผมอ่อนแอ…แต่สำหรับพี่ศิ เมื่อผมอยู่ในอ้อมกอดของพี่เขามันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจและมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเผชิญมาทั้งหมดมันหายออกไปจากสมอง (เรียกง่ายๆว่าพี่ศิเป็นที่พักพิงหัวใจผมครับ)
ซึ่งความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้มันก็ทำให้ผมได้เข้าใจครับว่าผมรู้สึกกับพี่ศิแตกต่างกับที่ผมรู้สึกกับคนอื่น ความรู้สึกที่ผมมอบให้พี่ศิมันคงเกินคำว่าคนสำคัญหรือคนพิเศษ และมันก็คงมากกว่าคำว่าแฟนกันแล้วล่ะมั้งครับ
ผมซุกตัวพร้อมกับหลับตาในอ้อมกอดของพี่ศิ แต่ความคิดความคิดหนึ่งของผมมันก็แวบขึ้นมาในสมองของผม ‘แล้วไอของที่พี่ศิไปซื้อกับน้ำฟ้ามันคืออะไร และที่สำคัญหลังจากผมไม่ได้แอบตามพี่ศิแล้วมันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น’ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็ดันตัวเองให้ออกมาจากอ้อมกอดของพี่ศิ มือทั้งสองข้างที่ตอนแรกโอบกอดพี่ศิตอบ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นขย้ำคอเสื้อของพี่ศิแล้วเขย่าไปมาเพื่อถามคำถามที่มันคั่งค้างอยู่ภายในใจของผม “พี่ศิ ไอที่พี่ศิซื้อกับน้ำฟ้ามันคืออะไร แล้วหลังจากออกจากร้านเสื้อผ้านั้นแล้วพี่ศิไปไหนกับน้ำฟ้าต่อหรือเปล่า” ผมเขย่าคอพี่ศิแกอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งการกระทำของผมทำให้พี่แกหัวเราะออกมาเสียงดังเลยครับ มือกร้านทั้งสองข้างค่อยๆแกะมือของผมออกจากคอเสื้อของเขา หลังจากนั้นมือกร้านคู่นั้นก็จับมือของผมให้ไปอยู่ตำแหน่งที่หัวใจ
“ของที่พี่กับน้ำฟ้าซื้อน่ะ เป็นของไอเต๋อครับ ส่วนหลังจากออกจากร้านเสื้อผ้านั้นพี่ก็ขอตัวกลับไปก่อนครับ เพราะพี่ใช้เวลาพักช่วงกลางวันแวะมาซื้อของให้มันก็เท่านั้นเอง” พี่ศิตอบพร้อมกับหัวเราะแห้งๆใส่ผม ซึ่งผมก็หรี่ตามองพี่เขาเพื่อจับโกหกครับ แต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะไม่ได้พูดโกหกผม ผมจึงเลิกมองพี่เขาด้วยสายตาแบบนั้น (แบบนี้เขาเรียกว่าใช้สายตากดดันครับผม)
“อ่า...สบายใจแล้วล่ะ พอสบายใจ กรก็หิวข้าวทันที พี่ศิทำอะไรให้กรกินหน่อยสิ” เมื่อความรู้สึกที่หนักอึ้งในหัวใจหมดไป ท้องที่มันว่างเปล่าก็เกิดอาการหิวขึ้นมาทันที ผมกระแซะตัวเข้าไปใกล้พี่ศิพร้อมกับพูดอ้อนให้พี่ศิทำข้าวเย็นให้ทาน และเมื่อผมอ้อนแบบนี้ มีหรือคนอย่างพี่ศิแกจะไม่ตกลง พี่ศิแกก็ตกลงน่ะสิครับ ร่างสูงนั้นค่อย ๆ ยันกายขึ้นพร้อมกับเดินไปยังห้องครัว แต่ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะเริ่มทำอาหาร เสียงทุ้มนั้นก็เอ่ยดังขึ้นซึ่งประโยคที่เขาเอ่ยออกมานั้น ทำให้ผมรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ความจริงพี่คิดว่าน้ำฟ้าก็ไม่ได้นิสัยแย่เท่าไหร่นะครับ กร ตอนนี้เธออาจจะโตขึ้นจากตอนนั้นแล้ว และคงเข้าใจโลกขึ้นมามากแล้วล่ะครับกร ไว้เจอกันรอบหน้าก็ลองคุยดูนะครับ พี่ว่าเขานิสัยน่ารักกว่าตอนที่เขาโทรมาหากรตอนนั้นแล้วล่ะครับ”
นั้นก็เป็นเพราะผมรู้สึกว่าประโยค ๆ นี้…มันจะเป็นประโยคเริ่มต้นที่อาจจะทำให้ผมกับพี่ศิไม่เข้าใจกันครับ…
_____________________________________________
อีกสามตอนจบค่ะ .... และไม่จบแบบแบดเอ็นแน่นอนค่ะ
ปล. พลอยขอแปะรายละเอียดเล็กน้อยหน่อยนะคะ เชิญกดเข้าไปในลิ้งค์เพื่อนทราบข่าวสารเลยค่ะ หวังว่าจะไม่ผิดกฏนะคะ... โค้ง
http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1060523&chapter=34