- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 242549 ครั้ง)

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
เห็นนนนด้วยพี่ศิใจร้ายมากทำให้น้องกรเสียน้ำตาได้ยังไง ชิ

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้ง 1 อาทิตย์ตอนนี้โผล่มาแล้วค่ะ ช่วงนี้พลอยจะหายหัวไปนานหน่อยนะคะแต่พยายามจะมาลงให้ทุก ๆ ท่านได้อ่านกันค่า










Chapter 31



วันแห่งความซวย (บัดซบ) ของผมได้ผ่านพ้นไปและเช้าวันใหม่ก็ผ่านเข้ามา ร่างของผมที่เมื่อวานใช้งานอย่างหนักโดยการเดินมาราธอนกลับมาที่บ้านพักสามชั่วโมงติด ซ้ำยังมีบาดแผลจากการโดนเศษแก้วบาดบริเวณฝ่าเท้า ทำให้วันนี้ผมสภาพโทรมเหมือนศพเดินได้นิด ๆ ครับ วันนี้พี่ศิก็นึกคึกอะไรก็ไม่รู้ แกเดินเข้ามาปลุกผมตอนตีห้ากว่า ๆ พร้อมกับย่อตัวให้ผมปีนขึ้นหลังครับ
ไอตัวผมที่เบลอ ๆ อยู่ก็ทำตามนะครับ ผมกอดคอพี่ศิแน่นหลังจากนั้นร่างสูงก็พาผมเดินออกไปทางประตูที่เชื่อมกับชายหาดครับ


 
“พี่ศิ ปลุกกรทำไมเช้า ๆ เนี่ย” ผมอ้าปากหาววอด ๆ พร้อมกับเอ่ยคำถามออกไป ทว่าร่างสูงนั้นไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกับมา ซ้ำยังย่อตัวให้ผมลงจากหลังของเขาเพื่อให้ผมนั่งลงบนชายหาด ซึ่งผมก็ว่าง่ายครับผมทำตามอย่างที่พี่ศิให้ทำนั่นก็คือค่อยๆ ลงจากหลังของพี่ศิและนั่งลงบนพื้นทราย



“พี่แค่อยากให้กรเห็นอะไรบางอย่างเองครับ” ร่างสูงนั้นเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ผม “ดูนั่นสิ ที่ทะเลน่ะพี่อยากให้กรมาเห็นสิ่งนั่นแหละ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาต่อพร้อมกับชี้นิ้วตนไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเล ผมปรายตามองตามไปและสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาของผมก็คือพระอาทิตย์ยามเช้าที่ค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้น แสงสีแสดยามสนธยาแผ่กระจายไปทั่วพื้นทะเล



ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าผม มันเป็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยมากเลยครับ มันสวยมากจนตราตรึงเข้าไปในจิตใจขอองผมเลยล่ะครับ ผมเบือนหน้าหันไปมองพี่ศิพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ร่างสูงที่นั่งข้างๆผม เขาดูภาคภูมิใจกับภาพตรงหน้านี้มาก ท่าทางพี่ศิเขาคงเตรียมการเอาไว้นานแล้วมั้งครับกับการที่จะทำให้ผมเห็นภาพๆนี้ (แหม โปรเจคนี้เกือบจะล่มเพราะเรื่องไร้สาระเมื่อวานแล้วนะครับนี่) มือกร้านของพี่ศิยกกล้องขึ้นมาพร้อมกับรัวชัตเตอร์ไม่ยั้งเลยครับ ผมหัวเราะพี่ศิเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปมองภาพที่ปรากฏตรงหน้าต่อ เสียงชัตเตอร์ยังคงดังไม่หยุด ไอผมก็คิดว่าพี่ศิจะถ่ายชัตเตอร์ซ้ำๆไปถึงเมื่อไหร่ ผมตวัดสายตาหันไปมองพี่ศิพลันเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นพร้อมกับดวงตาของผมที่หลับตาปี๋



ไอเสียงชัตเตอร์ที่ผมได้ยินนั้นไม่ใช่เสียงชัตเตอร์ที่พี่ศิแกถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้น แต่มันเป็นเสียงชัตเตอร์ที่ถ่ายภาพผมเองครับ ผมนี่ถึงกับคิ้วกระตุกพร้อมกับเอามือไปจับเลนส์กล้องเอาไว้ “พี่ศิทำอะไร…” ผมเอ่ยถามเสียงเย็นพร้อมกับใช้มือดึงกล้องออกจากใบหน้าของพี่ศิ ซึ่งใบหน้าที่อยู่หลังกล้องนั้นได้แต่ยิ้มแห้งๆแล้วเอากล้องสุดรักสุดหวงวางลงบนตัก



“พี่แค่อยากถ่ายภาพเอง” คำถามนั้นใครก็รู้ครับ แต่ไอการรัวชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพผมมันคืออะไร…แล้วนี่พี่ศิเป็นสตอล์คเกอร์หรือไงครับ



“…เรื่องนั้นรู้อยู่แล้ว แต่ไอการที่หันกล้องใส่กรนี่มันหมายความว่ายังไง” ผมทำเสียงเข้มเพื่อข่มพี่ศิ ทว่าร่างสูงนั้นกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแถมยังหัวเราะร่าออกมาเสียอีก



“ก็พี่อยากถ่ายสีหน้ากรนี่นา” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยตอบออกมาตรงๆ ถ้อยคำพูดที่พี่ศิเอ่ยออกมานั้นทำให้ผมเขินจัดจนหน้าขึ้นสี แต่พี่ศิก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขายังกระเถิบมาใกล้ๆ ผมพร้อมกับกดปุ่มให้ผมดูภาพถ่ายที่เขาถ่ายไว้ก่อนหน้านี้เสียด้วยและภาพทั้งหมดที่พี่ศิแกถ่าย มันเป็นภาพของผมทั้งนั้นเลยครับ มันเป็นภาพถ่ายเกี่ยวกับท่าทางของผมแทบจะทุกๆอิริยาบถเลยครับ



ภาพแต่ละภาพเหมือนกับภาพของมือโปรเขาถ่ายกันเลยล่ะครับ ฝีมือของพี่ศินั้นเข้าขั้นระดับเทพ เพราะภาพที่ผมไล่ดู (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพของผม) ภาพของผมที่ปรากฏบนจอนั้นมันเหมือนกับว่าผมที่อยู่ในภาพถ่ายนั้นมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม แววตา สีหน้าและการแสดงออกของผมมันดูเป็นธรรมชาติครับและเป็นภาพที่ผมคิดว่ามันสวยมากๆเลยล่ะครับ เมื่อผมไล่ดูภาพพวกนั้นไปได้สักพัก พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงจัด



‘นี่ พี่ศิ! แอบถ่ายภาพของกรตอนหลับไว้ด้วยเหรอครับ!’ ผมนี่ถลาไปเขย่าคอพี่ศิเต็มแรงเลยครับ ไอถ่ายตอนผมเผลอมันไม่เท่าไหร่ แต่แอบถ่ายตอนผมหลับนี่มันอาชญากรรมชัด ๆ เลยครับ



“พี่ศิ ไอตอนกรเผลอกรไม่ว่า แต่...ไอตอนหลับนี่ถ่ายตอนไหนถ่ายมาได้ยังไง!!” พี่ศิตัวโงนเงนไปมาตามแรงเขย่า  ริมฝีปากหนานั้นก็ยังคงหัวเราะออกมาเสียงดัง



“ถ้าถามว่าพี่ถ่ายตอนไหน พี่ก็ถ่ายตอนกรหลับในห้องพี่ไงครับ แล้วได้มาได้ยังไง พี่ก็แค่หยิบกล้องจากในห้องออกมาแล้วก็เอามาถ่ายรูปไงครับ” คำตอบกวนประสาทที่สมกับเป็นพี่ศิ (ที่ผมรู้จัก) ดีนะครับ คิ้วของผมนี่ขมวดแน่นเป็นปมแน่นพร้อมกับใช้มือมะเหงกไปที่หัวพี่ศิหนึ่งที



“แอบถ่ายกันแบบนี้ มันเป็นอาชญากรรมแล้วนะครับ!” ผมพูดพร้อมกับหวดมือใส่พี่ศิไปอีกหลายที จนกระทั่งผมก็ (เจือกพลาด) อีกแล้วล่ะครับ มือที่ผมหวดไปดันไปหวดลมเข้าร่างของผมก็เลยถลาเข้าไปซุกที่แผ่นอกของพี่ศิ และเมื่อสภาพผมเป็นแบบนั้น พี่ศิก็ใช้แขนทั้งสองข้างรวบกอดผมแน่นและหัวเราะออกมาด้วยใบหน้าระรื่น



“แค่นี้เอง อาชญากรรมอะไรครับกร...พี่แค่ถ่ายภาพคนสำคัญและพิเศษที่สุดในชีวิตของพี่ก็เท่านั้นเองนะ” พี่ศิพูดออกมาได้อย่างไม่อายฟ้าอายดิน ส่วนผมที่ซุกหน้าอยู่บนแผ่นอกของเขานี่หน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ ไอผมนี่อยากจะเอามือไปตีที่ปากพี่ศินักเชียว ทว่าตัวผมนั้นดันโดนรวบกอดเอาไว้แน่น แม้แต่แขนทั้งสองข้างยังขยับไม่ได้เลยครับ ผมก็เลยได้แต่ดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมกอดของพี่ศิเขาอย่างเดียว ‘คนสำคัญและพิเศษที่สุดในโลกอย่างงั้นเหรอ’ พี่ศิเขาให้ความสำคัญกับผมมากเกินไปแล้วนะ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบดีใจลึกๆนะครับ ไม่สิ...ผมนี่ดีใจมากๆเลยต่างหากที่พี่ศิแกให้ความสำคัญกับผมมากขนาดนั้น



พอผมดิ้นไปได้สักพัก ฤทธิ์ของผมก็เริ่มหมดครับ ผมก็เลยซุกหน้าลงไปบนอ้อมกอดของพี่ศิและปล่อยให้พี่เขาโอบกอดผมไปแบบนั้น (รู้สึกเหมือนว่าพี่ศิแกจะพาผมรับวิตามิน D นะครับเนี่ย แต่พอนั่งตากแดดไปนานๆ มันก็ร้อนเหมือนกันนะ) แต่พอเวลาผ่านไปไม่นาน พี่ศิแกก็คลายวงแขนออกจากตัวผมพร้อมกับอุ้มผมขึ้นในท่าอุ้มท่าเจ้าสาวแล้วค่อยๆเดินกลับเข้าไปในบ้านพักครับ


 
“กรครับ ไปอาบน้ำนะ ถ้าเสร็จแล้วเรียกพี่ด้วย เดี๋ยวพี่ไปทำความสะอาดแผลที่เท้าให้” เสียงทุ้มเอ่ยกับผม ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบรับในคำพูดนั้นผมค่อย ๆ เดินเขย่งไปที่ห้องน้ำพร้อมกับถอดเสื้อผ้าที่สวมออกเพื่อที่จะชำระล้างร่างกาย ส่วนเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยนพี่ศิแกเตรียมไว้ให้บนเตียงแล้วครับ



ผมใช้เวลาราว ๆ 20 นาทีในการชำระล้างร่างกาย และที่ต้องใช้เวลานานขนาดนี้นั่นก็เป็น เพราะไอแผลที่ฝ่าเท้าของผมนี่แหละครับเพราะว่ามันห้ามโดนน้ำ…ผมเลยต้องยืนขาเดียวอาบน้ำครับ ซึ่งหวิดจะล้มหัวฟาดพื้นไปหลายต่อหลายรอบ แต่ก็นะ ผมก็ผ่านมันมาได้โดยใช้ถุงพลาสติกเข้าช่วยครับ ทุกคนก็คงคิดนะครับว่าถุงพลาสติกมันช่วยได้ยังไง…มันช่วยได้ครับ โดยการเอาถุงมัดขามันซะเลย



และเมื่อผมอาบน้ำเสร็จผมก็เดินเขย่งออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับสวมเสื้อผ้าที่พี่ศิแกเตรียมไว้ให้ ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อวานครับ เพียงแค่เสื้อมีฮู้ดเป็นเสื้อแขนกุดแล้วผมมีเสื้อยืดแขนสั้นทับด้านในอีกชั้นเท่านั้นเอง ส่วนกางเกงก็เป็นกางเกงขาสามส่วนแบบเดิมครับ  ผมค่อยๆเดินเขย่งออกมาจากห้องพร้อมกับเดินไปที่ส่วนของห้องนั่งเล่นและทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับที่ผมนั่งเมื่อคืน ผมนั่งแกว่งขาไปมารอพี่ศิที่กำลังทำข้าวเช้าอยู่ และในที่สุดพี่ศิก็ทำกับข้าวเสร็จครับ เพียงแต่พวกเราสองคนยังกินไม่ได้เท่านั้นเอง เพราะก่อนจะกินผมต้องทำความสะอาดแผลก่อนครับ



และผู้ที่รับผิดชอบทำความสะอาดแผลให้ผมนั่นก็คือว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คนเดิมครับ ในมือพี่ศิถือชุดปฐมพยาบาลมาพร้อมกับส่งรอยยิ้มเย็นเหยือกให้ผม



‘ไอผมไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้ของพี่ศิเล๊ย...มันเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า หรือไม่ก็เหมือนสิงโตที่กำลังจะขย้ำเสือครับ’ ผมจึงได้แต่จำใจยื่นเท้าให้พี่ศิแกะผ้าพันแผลพร้อมกับทำแผลใหม่ ขั้นตอนการทำแผลมันก็เหมือนๆกับการทำแผลทั่วไปครับ ผมขอไม่อธิบายนะครับเพราะในท้ายที่สุดผลที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ครับ ก็แค่ผ้าพันแผลถูกเปลี่ยนใหม่ เมื่อเท้าของผมทำความสะอาดแผลเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปนั่นก็คือการทานข้าวเช้าครับ ซึ่งผมคิดว่าผมจะลุกไปนั่งกินที่โต๊ะทานข้าวแทน แต่พี่ศิเขามือไวกว่าครับ ท่อนแขนแกร่งนั้นอุ้มช้อนตัวผมขึ้นมาพร้อมกับเดินพาผมไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ที่โต๊ะทานข้าว



ผมนี่งอนพี่ศิจนแก้มป่องเลยครับ เพราะว่าถ้าให้ผมเดินมันก็เดินได้อยู่หรอก แต่พี่ศิเขาไม่ให้เดิมแถมใช้เหตุผลไร้สาระสิ้นดีจนทำให้ผมยอมให้พี่ศิอุ้มไปไหนมาไหนเลยครับ (แต่พี่ศิก็แข็งแรงจริงๆนะครับเนี่ย ผมหนักราวๆ 60 กลางๆถึงปลายๆครับ ส่วนพี่ศิเท่าที่เค้นถามและคำนวณแรง F แล้ว พี่ศิน่าจะหนักราว ๆ 74-75 กิโลกรัมครับ)



“พี่ศิ วันนี้ข้าวเช้าเป็นอะไรเหรอ” ผมนั่งเท้าคางรอบนโต๊ะราวกับว่าตนเป็นเด็กประถม มือทั้งสองข้างนั้นถูกยื่นไปด้านหน้าแล้วขยับขึ้นลงเบาๆ ท่าทางของผมเหมือนเด็กน้อยที่กำลังร้องขออาหารเลยครับ แต่ทำไงได้ล่ะ ผมหิวนี่นา ผมขยับมือไปมาบนโต๊ะเพื่อเร่งพี่ศิให้เอาข้าวเช้ามาให้ผมทานได้แล้ว ซึ่งพี่เขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังครับ เพราะว่าไม่กี่อึดใจพี่ศิก็เอาจานข้าวผัดปูมาวางตรงหน้าของผมพร้อมกับจานยำปลาหมึกยัดไส้หมูสับที่เหลือจากเมื่อวานครับ เมื่อจานข้าวผัดวางตรงหน้าผมผมก็ดันจานจานนั้นเข้ามาหาตัวผมพร้อมกับโรยพริกไทยบีบมะนาวลงไปเต็มที่พร้อมกับคลุกเคล้าให้เข้ากัน  หลังจากนั้นผมก็ตักข้าวผัดเข้าปากพร้อมกับตักปลาหมึกตัวจิ๋วใส่ปากครับ



‘อาหารฝีมือพี่ศินี่อร่อยทุกอย่างเลยน้า’ ผมพึมพำในใจเบา ๆ พร้อมกับตักข้าวผัดและยำปลาหมึกยัดไส้ใส่ปากจนทั้งสองอย่างหมดจาน (ไอจานยำปลาหมึกยัดไส้หมูสับ พี่ศิแกก็กินด้วยนะครับ ไม่ใช่ผมกินคนเดียวนะ) แต่ผมรู้สึกว่าท้องของผมยังไม่อิ่มเลยครับ ผมเลยถือจานข้าวขึ้นพร้อมกับส่งจานไปหาพี่ศิ ในตอนแรกพี่ศิก็ทำหน้างงๆนะครับ แต่ผมใช้ช้อนเคาะจานเบาๆทำให้พี่ศิแกนึกออกครับ การแสดงท่าทางแบบนั้นของผมนั่นหมายความว่าผมขอเติมข้าวอีก



ซึ่งคุณพี่ศิรวิทย์ก็ตามใจผมนะครับ พี่ศิตักข้าวผัดปูใส่จานผมเพิ่มพร้อมกับเอายำปลาหมึกยัดไส้หมูสับมาใส่จานเพิ่มด้วยและที่น่าตกใจไปว่านั้นพี่ศิแกก็เติมข้าวมานั่งกินกับผมด้วยครับ (น่าแปลกใจจริง ๆ เพราะปกติพี่ศิไม่ค่อยจะเติมข้าว ดันเติมข้าวตามผมซะงั้น แต่ก็ช่างเถอะครับ ผมมีเพื่อกินข้าวก็ดีแล้ว) ซึ่งอาหารเข้าเราก็ยังคงนำเดินต่อไป ในที่สุดทั้งจานข้าวของผมและพี่ศิ รวมถึงไอจานยำปลาหมึกนั่นก็หมดเกลี้ยงครับ ส่วนสภาพของผมนี่ ถ้าจับผมยัดข้าวอีกเม็ดเดียว ผมก็คงกินไม่ไหวแล้วครับ คาดว่าถ้าโดนยัดน่าจะอ้วกออกมาได้



ผมนอนฟุบไปกับโต๊ะ ส่วนพี่ศิก็เจ็บจานต่างๆเพื่อเอาไปทำความสะอาด คุณพี่ศิรวิทย์ใช้เวลาราวๆ 10 นาทีเท่านั้นเองครับ ในการทำความสะอาด จานชามทุกใบก็สะอาดเอี่ยมอ่องราวกับว่ามันไม่เคยได้ใช้มาก่อน ผมนี่ทึ่งในสกิลการทำงานบ้านงานเรือนของพี่ศิจริงๆ ถ้าพี่ศิเป็นผู้หญิงนี่ผมจะเลือกมาเป็นแม่ของลูกผมในอนาคตเลยครับ แต่นี่พี่ศิแกเป็นผู้ชาย…และที่สำคัญเพื่อนๆทุกคนคิดว่าผมจะกลายเป็นภรรยาของพี่ศิแกซะอีก…นี่ผมจะต้องตกเป็นภรรยาชาวบ้านมากกว่าสามีชาวบ้านเหรอครับนี่…รู้สึกเจ็บปวดเล็กๆแฮะที่โดนเพื่อนๆ (รวมไปถึงพี่สาวและน้องสาวที่บ้าน) หมายหัวไว้ว่าคนอย่างผมเป็นสามีใครไม่ได้นี่แหละครับ



แต่ก็ให้พวกมันมโนกันไปนะครับ ก็ผมบอกแล้วไงว่าพี่ศิยังไม่ได้ก้าวข้ามความสัมพันธ์ที่เรียกว่าคนสำคัญที่พิเศษที่สุดของผมหรอกครับ



หลังจากเก็บกวาดบ้านพักหลังนี้เสร็จ คุณพี่ศิรวิทย์ก็ขอตัวไปอาบน้ำครับเพราะว่าเหงื่อและกลิ่นคาวของอาหารทะเลที่โชยมา ทำให้พี่ศิเขารู้สึกค่อยไม่ดีเท่าไหร่นัก (และผมก็รู้สึกไม่ดีด้วยเพราะว่าพี่ศิแกต้องแบกผมไปเดินเล่นที่ชายหาดครับ) ซึ่งผมก็ปล่อยพี่ศิเขาไปนะครับ ส่วนผมก็นั่งรอพี่ศิอยู่ในห้องนั่งเล่นดื่มน้ำบลูฮาวายที่พี่ศิเขาทำไว้ให้ (และที่ผมมานั่งตรงโซฟาในห้องนั่งเล่นนี้ได้ก็เป็นอภินันทนาการจากพี่ศินั่นเองครับ)



ผมนั่งเตะขากอดเข่าดูทีวีดูดน้ำบลูฮาวายเล่นไปรอ จนแล้วจนรอดพี่ศิรวิทย์ก็ยังไม่ออกมาสักที ไอผมก็คิดว่าพี่ศิจะลื่นล้มตายในห้องหรือเปล่า เอ้ย ไม่ใช่ครับ ผมแค่ห่วงว่าพี่ศิจะเป็นอะไรมากไหม จะลุกไปดูพี่ศิก็ห้ามเอาไว้ ผมก็เลยได้แต่นั่งรอนิ่งๆ แต่การที่เราพูดถึงหมา หมาก็จะมา งั้นผมขอใช้เป็นเมื่อผมนึกถึงพี่ศิ พี่ศิก็จะโผล่มาแทนครับ เสียงของบานประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินออกมาด้วยชุดไปรเวทแบบเดียวกับผมเป๊ะๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อมีฮู้ด เสื้อยืด และกางเกง ผมได้แต่กระตุกยิ้มมองพี่ศิ ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่พี่แกช้า ๆ



v
v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



‘ไอคนเจ้าเล่ห์เอ้ย เตรียมเสื้อให้เราเพราะแบบนี้เอง...แหม เล่นจับให้เราสวมซะเหมือนกันตั้งแต่หัวจรดเท้าเชียวนะ คุณพี่ศิรวิทย์ ตาบ้าจอมวางแผน’ ผมได้แต่บ่นพึมพำออกมาเบาๆ แต่ก็ที่รู้ๆกันนะครับว่าพี่ศิแกมีหูนรก…เพราะหูของพี่แกสามารถจับเสียงที่เบามากๆได้โดยเฉพาะเสียงที่นินทาตัวเขา



“ครับ พี่เจ้าเล่ห์แต่ก็ไม่ได้เจ้าเล่ห์ธรรมดา เพราะพี่เป็นคนเจ้าเล่ห์มากๆ และที่เตรียมเสื้อให้กรและสวมเสื้อเหมือนกรพี่ก็มีเหตุผลครับ...นั่นก็เป็นเพราะพี่อยากสวมเสื้อคู่กับกรเลยตัดสินใจซื้อและตัดสินใจใส่เสื้อตัวนี้ออกมา เอาล่ะ ไปได้แล้วครับถ้าไม่ออกไปตอนนี้ เดี๋ยวแดดจะแรงเกินไปนะครับกร” รณกรคนนี้อยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ พี่แกยอมรับว่าตัวเองเป็นคนยังไงออกมาได้หน้าตายนัก ซ้ำยังเนียนเปลี่ยนเรื่องได้แบบ…หน้าด้านๆเลยครับ



เมื่อเสียงของร่างสูงนั้นพูดจบ เขาก็เดินมาทรุดตัวนั่งหันหลังให้ผม ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพี่เขาจะให้ผมขี่หลังของเขานั่นเอง มือทั้งสองข้างของผม ผมเอื้อมมือไปกอดคอพี่ศิ ส่วนมือของพี่ศินั้นถูกยกมาช้อนก้นผมไว้เพื่อไม่ให้ร่างของผมร่วงลงไปที่พื้น



เมื่อร่างสูงจัดอะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาก็เดินออกไปจากตัวบ้านตรงไปยังหาดทรายสีขาวสะอาดตาและวางผมลงบนเสื่อผืนกว้างที่พี่ศิแกมาแอบเตรียมไว้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมปล่อยมือออกจากคอของพี่ศิพร้อมกับทรุดตัวลงไปนั่ง ส่วนร่างสูงนั้นเดินไปขยับร่มให้บังแสงแดดที่สาดส่องมาเข้าตาของผม และเมื่อร่างสูงนั้นจัดร่มที่ปักอยู่ในพื้นทรายเสร็จ เขาก็ทรุดตัวลงมานั่งข้างๆ ผมพร้อมกับเอนตัวลงนอนบนตักผมเสียด้วย (คือผมกำลังนั่งพับเพียบอยู่ครับ พี่ศิแกเลยเนียนมานอนบนตักของผมได้ผู้ชายคนนี้…เจ้าเล่ห์จริงๆ)



“พี่ศิ มานอนอะไรบนตักของคนเจ็บกันครับ ลุกไปเลย” ผมพูดไล่พี่ศิแต่ร่างสูงนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาสักนิด ซึ่งความเงียบพวกนั้นทำให้ผมตัดสินใจก้มหน้าลงไปมองใบหน้าคมที่เปลือกตายังคงปิดสนิท ใบหน้าของเราห่างกับไม่ถึงคืบ ผมพินิจพิเคราะห์ใบหน้านั่นอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจอ้าปากตัวเองและกัดลงไปที่จมูกของพี่ศิอย่างแรง (ล่ะมั้งครับ แรงไม่แรงไม่รู้ครับ แค่เป็นรอยฟันเด่นชัดมากๆเท่านั้นเอง) ซึ่งการกระทำแบบนี้ของผมทำให้ร่างสูงที่ลืมตาขึ้นมาทันที แถมยังเด้งตัวลุกขึ้นไปนั่งกุมจมูกของตัวเองไว้อีกด้วย



ท่าทางที่แสดงออกมาของพี่ศินั้นทำให้ผมหัวเราะจนตัวงอ น้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมาหมดเลยครับ ผมพยายามเอามือปิดปากเพื่อให้ตัวเองหยุดหัวเราะแต่มันก็หยุดไม่ได้สักที…ก็มันน่าขำนี่ครับ พี่ศิผู้ที่เนียนแกล้งทำเป็นนอนหลับ ซึ่งแกล้งหลับได้เนียนมากๆกลับโดนผมเอาคืนโดยการกัดไปที่จมูกเต็มแรง (ล่ะมั้ง) จนแอ๊บเนียนไม่ไหวเลยต้องลุกขึ้นมากุมจมูกตัวเองแบบนี้



ดวงตาคมของพี่ศินี่จ้องผมเขม็งเลยครับ ท่าทางภายในสมองอันปราดเปรื่องของเขากำลังหาทางเอาคืนผมอยู่แน่นอนครับ แต่พี่ศิจะเอาคืนยังไงก็เอาเถอะ เพราะถ้าเกิดพี่แกทำอะไรผมรุนแรง ผมจะแกล้งสำออยทรุดตัวลงไปแสร้งทำเป็นเจ็บเท้าเลย คอยดูสิ (บางทีการเป็นคนป่วยมันก็ดีแบบนี้นี่เองแหละครับ)



ผมที่หยุดหัวเราะแล้วนั่งมองพี่ศิที่ยังคงกุมจมูก แววตานั้นดูเศร้าลงเล็กน้อย สายตาที่พี่ศิส่งมาให้ผมนั้นทำเอาผมทำอะไรไม่ถูก ซ้ำยังทำให้ผมเกิดอาการรู้สึกผิดอีกครับ ผมรีบกุลีกุจอเอาน้ำแข็งในกระติกที่พี่ศิแบบมาใส่ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเพื่อจะเอาไปประคบให้พี่ศิ แต่ทันทีที่ผมหันกลับไปหาพี่ศิร่างของพี่ศิก็ถลาเข้ามารวบมือของผมไว้จนทำให้ผมนอนแผ่หลาไปบนเสื่อผืนกว้าง มือทั้งสองข้างโดนกอบกุมไว้แน่น ใบหน้าคมนั้นก้มลงมองมาที่ผมด้วยสายตาชั่วร้าย (นี่พี่ศิแกหลอกผมอีกแล้วครับ แกล้งทำเป็นสำออยใส่ผม นี่เอามุกที่ผมคิดมาเล่นด้วย!)



“กรเด็กดื้อ…แกล้งพี่แบบนี้ได้ยังไงครับ มันเจ็บนะ รู้ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยนิ่งพร้อมกับใบหน้าคมที่ก้มลงมาเรื่อยๆ ตัวผมนี่ก็พยายามจะเบือนหน้าหนีหันไปทางอื่นนะครับ ทว่าสายตาคมคู่นั้นของพี่ศิ มันเหมือนกับสะกดผมให้ต้องมองหน้าของเขาอยู่แบบนั้น



“…ก็ไม่รู้สิ กรไม่ใช่คนโดนกัดนี่นา” ผมพยายามเฉไฉตอบเบี่ยงประเด็น แต่ไม่ว่าผมจะสรรหาคำพูดมามากขนาดไหนพี่ศิแกก็ยังไม่หยุดที่จะเคลื่อนตัวมาใกล้ๆผม ใบหน้าคมนั้นก้มลงมาเรื่อยๆ และในท้ายที่สุดปลายจมูกของเราก็ชนกัน ริมฝีปากนั้นห่างกันแค่ผิวสัมผัส



ผมไม่อยากจะบอกเลยนะครับว่าสภาพในตอนนี้ของผมเป็นยังไง ขนาดหายใจเข้าออกผมยังไม่กล้าเลย นั่นก็เป็นเพราะผมกลัวว่าริมฝีปากของผมจะไปประกบกับพี่ศิแกเข้า ซึ่งเราทั้งสองคนจ้องตากันอยู่แบบนี้ไปสักพัก และไอสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดมันก็เกิดขึ้นครับ ริมฝีปากคมนั้นเคลื่อนลงมาทาบทับที่ริมฝีปากของผมพร้อมกับมอบรสจูบที่หวานละมุนมาให้



ผมไม่รู้ว่าริมฝีปากของเรานั้นสัมผัสกันไปนานเท่าไหร่แต่เท่าที่ผมรู้ ตอนนี้ผมกำลังเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่พี่ศิมอบให้ ริมปากของผมเผยอ ออกเพื่อให้ลิ้นเรียวเข้ามาดูดกลืนความหวานทั้งหมดของผมออกไป แต่เพียงช่วงอึดใจรสชาติหวานละมุนก็เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดนั่นก็เป็นเพราะพี่ศิจอมวายร้ายแกกัดปากของผมครับ ‘ให้ตายสิ คนกำลังเคลิ้ม ๆ …เอ้ย ไม่ใช่แล้วครับแบบนั้น’



เมื่อริมฝีปากของผมโดนพี่ศิกัด ไอผมก็ประเคนเท้ายันไปที่ท้องของพี่ศิแกแทบจะไม่ทัน เมื่อตัวของผมเป็นอิสระจากพี่ศิ ผมก็รีบผุดลุกขึ้นพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดปากของตัวเองแทบจะไม่ทัน และผมขอใช้คำพูดเดิมนะครับว่าผมไม่ได้เขินอายอะไรที่โดนจูบ แต่ผมเจ็บปากครับ เล่นกัดมาได้ ดีนะปากไม่แตก



“พี่ศิเล่นบ้าอะไรอ่ะ มันเจ็บนะ” ผมขึ้นเสียงใส่ร่างสูงที่นั่งกุมท้องตัวเองอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับกระเถิบร่างของตัวเองเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างตัวผมกับพี่ศิ



“มันก็เหมือนกับกรที่แกล้งพี่ตอนเคลิ้มๆนั่นแหละครับ เป็นไงเจ็บไหม ถ้าเจ็บ พี่ก็รู้สึกเจ็บเหมือนกันนั่นแหละ” พี่ศิพูดสอนผม ไอการสอนผม ผมไม่ว่าหรอกครับ แต่จุดที่พี่เขากัดกับที่ผมกัดมันคนละจุดกันครับ ไอผมกัดที่ปลายจมูกส่วนพี่เขากัดที่ปาก และที่สำคัญก่อนที่พี่ศิจะกัดที่ริมฝีปากของผม พี่เขาจูบพร้อมกับสอดลิ้นเข้ามาในริมฝีปากผมด้วย



ความจริงมันกัดตรงอื่นก็ได้แล้วทำไมต้องเป็นปาก! ที่สำคัญทำไมต้องจูบแล้วสอดลิ้นเข้ามาในปากผมด้วย!



“มันคนละเรื่องกันเลยพี่ศิ! ไอเจ็บน่ะมันเจ็บ แต่ไอเรื่องเคลิ้มนั่นมันคืออะไร” ผมพูดเถียงพี่ศิด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ มือข้างหนึ่งของผมละออกจากปากและฟาดไปบ่าของพี่ศิเต็มแรง



“เคลิ้ม…มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับกร พี่กำลังมีความสุขกับการได้นอนบนตักกร มันก็คล้ายๆกับกรที่มีความสุขกับการโดนพี่จูบนั่นแหละครับ” ตาย…กล้าพูดนะครับพี่ศิ ใครเขาจะไปมีความสุขกัน  แค่…ก็แค่เคลิ้มนิดหน่อยเท่านั้นแหละ  แล้วทำไมพี่ศิที่เป็นคนพูดออกมาแบบนั้นต้องหน้าแดงด้วย ที่สำคัญทำไมผมต้องหน้าแดงเป็นเพื่อนพี่เขาด้วยล่ะเนี่ย รณกร นายมันบ้าไปแล้ว!



“ไม่ได้เคลิ้ม ไม่ได้มีความสุขนะ! พี่ศิบ้า ชอบฉวยโอกาส หื่นและที่สำคัญลามกด้วย!” ผมนี่ด่าพี่ศิไปหลายยกเลยครับ แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิแกไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรกับคำด่าของผมเลยสักนิด แถมพี่แกหัวเราะชอบใจออกมาเสียอีก ประสาทไปแล้วหรือไงครับคุณพี่ศิรวิทย์ และเมื่อผมได้ด่าได้ว่าพี่ศิจนพอใจแล้ว ผมก็ทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินหนีเข้าบ้านพัก แต่ทุกๆคนก็คงรู้ว่าตอนนี้ผมเดี้ยงอยู่ การที่จะหนีเข้าบ้านเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้ครับ ผมจึงได้แต่นั่งเมินพี่ศิอยู่กับที่แทน



ซึ่งการที่ผมนั่งพับเพียบแบบนั้นทำให้พี่ศิแกได้โอกาสที่จะมาเนียนนอนบนตักผมอีกครั้งครับ ร่างสูงค่อยๆเขยิบมาใกล้ๆ ผมพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนตักของผมอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็ไม่กล้าที่จะแกล้งหรือทำอะไรพี่ศิอีกแล้วครับ ด้วยเหตุผลที่พวกคุณก็น่าจะรู้ดีนะครับว่าทำไมผมไม่อยากทำแบบนั้น



ร่างสูงที่นอนบนตักของผมนั้นหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ไอใบหน้าแบบนี้มันคืออะไรกัน ผมได้แต่นั่งหงุดหงิดไปแต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะละความสนใจจากพี่ศิเปลี่ยนไปเหม่อมองที่ทะเลแทน น่าเสียดายที่วันนี้ผมลงไปเล่นน้ำทะเลไม่ได้ ไม่งั้นผมคงลงไปว่ายน้ำในทะเลอย่างบ้าคลั่งแล้วครับ พูดถึงก็ทำให้ผมทอดถอนลมหายใจออกมาและมันก็เป็นช่วงเดียวกันกับดวงเนตรคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นสีดำสนิทนั้นลืมตาตื่นขึ้นมา



“เป็นอะไรไปเหรอครับ กร” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง มือกร้านที่ก่อนหน้านี้ทิ้งไว้อยู่ข้างกายถูกยกขึ้นมาแตะเบาที่ใบหน้าของผม สัมผัสนั่นทำให้ใบหน้าของผมขึ้นสีแดงเข้มขึ้นมาอีกครั้งครับ ผมสะบัดหน้าหนีฝ่ามืออุ่นของพี่ศิพร้อมกับเอ่ยตอบคำถามนั่นออกไป



“ก็กรอยากเล่นน้ำทะเล แต่ใครก็ไม่รู้ทำให้เราอดเล่น เสียใจชะมัด” ผมพูดพร้อมกับกอดอก ส่วนใบหน้าของผมสะบัดหันหนีไปอีกทาง ซึ่งท่าทางเหล่านั้นของผมทำให้พี่ศิแกหลุดขำออกมาน้อย ๆ



เมื่อเสียงหัวเราะของพี่ศิเงียบลง ร่างของเขาก็ผุดลุกขึ้นพร้อมๆกับย่อตัวลงตรงหน้าผม ไอผมก็สงสัยสิครับว่าพี่ศิแกต้องการจะทำอะไรถึงหันหลังมาให้ผมขึ้นไปขี่ ผมนั่งมองพี่ศิที่ทำน่าแบบนั้นอยู่นาน จนในที่สุดคุณพี่ศิรวิทย์ก็เปลี่ยนจากให้ผมขี่หลังเป็นช้อนตัวผมขึ้นไปอุ้มแทน



ไอผมที่ถลึงตาใส่พี่ศิแกเลยครับว่าพี่เขาคิดจะทำอะไร แต่ไอความสงสัยนั่นมันก็หมดไปครับเมื่อพี่ศิแกเดินลงทะเลไปพร้อมกับตัวของผมที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่ศิเขา



“อย่าเอาเท้าโดนน้ำทะเลนะครับกร เดี๋ยวแสบจนน้ำตาไหลพี่ไม่รู้ด้วยนะ” สิ้นเสียงนั่น พี่ศิแกก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดทันทีนั่นก็คือพี่แกย่อตัวเองลงไปในทะเลการกระทำแบบนั้นทำให้ร่างของผมก็เปียกน้ำทะเลด้วย แต่ด้วยคำพูดที่พี่ศิพูดใส่ผมเรื่องไม่ให้แผลของผมโดนน้ำทะเลนั่น จึงทำให้ผมใช้มือทั้งสองข้างโอบรอบคอพี่ศิแน่นและไม่ใช่แค่โอบคอเท่านั้นผมยังคงเกร็งตัวทำให้ร่างของผมเข้าไปแนบชิดกับพี่ศิขึ้นไปอีก



การกลัวเกินเหตุของผมทำให้พี่ศิหัวเราะออกเสียงดัง ก่อนจะเดินขึ้นชายหาดไปและเปลี่ยนให้ผมขึ้นขี่หลังของพี่เขาแทน
“แบบนี้โอเคแล้วนะครับกร” พี่ศิเอ่ยถามผมในขณะที่เขาค่อยๆก้าวลงไปในทะเล ซึ่งผมก็ส่งเสียงตอบพี่เขาไปเบา ๆ ครับ “อื้อ โอเค” แล้วทำไมผมถึงส่งเสียงตอบกลับไปเบาๆแบบนั้นงั้นเหรอ นั่นก็เป็นเพราะ…บ้านพักหลังอื่น ๆ เริ่มตื่นลงมาเล่นน้ำทะเลแล้วครับ แล้วสภาพของผมแบบนี้ใครมันจะไปกล้าส่งเสียงดังให้เป็นจุดสนใจกันล่ะครับ เมื่อพี่ศิก้าวลงไปได้ครึ่งตัว (และบางส่วนของผมเริ่มแตะน้ำทะเลแล้ว) ผมก็ตัดสินใจกระซิบเบาๆที่ข้างหูพี่ศิเพื่อให้พี่เขาพาผมกลับเข้าบ้านพัก



“พี่ศิ...พากรกลับเข้าบ้านพักเถอะ คนอื่นมองเยอะแยะแล้ว...กรเขิน” ผมเขินที่โดนผู้ชายด้วยกันแบกลงมาเล่นน้ำแบบนี้ครับ ให้ตายเถอะ เป็นผู้ชายมาดแมนต้องโดนผู้ชายด้วยกันจับอุ้มจับขี่หลังลงทะเล



“กรไม่อยากเล่นน้ำทะเลแล้วเหรอครับ พี่ไม่เขินนะยังเล่นต่อได้” พี่ศิเอ่ยตอบผมไอคำพูดนั้นทำเอาผมวักน้ำเข้าหน้าพี่ศิแกไปหนึ่งที “แต่กรเขิน ขึ้นได้แล้ว กรจะเข้าไปอาบน้ำแล้วนั่งกินข้าวกลางวันในบ้านแล้ว” ผมพูดซ้ำพร้อมกับเอามือรั้งคอพี่ศิเพื่อเป็นการบังคับให้เขาพาผมกลับเข้าไปในบ้าน ร่างสูงนั้นหัวเราะร่าพร้อมกับหันกายกลับและเดินกลับขึ้นไปยังชายหาดและพาผมเข้าตัวบ้านพักไป ชายร่างสูงคนนี้พาผมไปยังห้องพักของผมพร้อมกับปล่อยให้ผมลงจากแผ่นหลังของเขา



“ถ้ากรอาบน้ำเสร็จแล้วนั่งรอพี่อยู่ในห้องนั่งเล่นนะครับ เดี๋ยวพี่เข้าเปลี่ยนผ้าพันแผลที่เปียกน้ำให้นะครับ” เมื่อเท้าทั้งสองข้างของผมแตะลงบนพื้น พี่ศิสั่งผมทันทีเลยครับว่าเขาจะทำแผลให้ใหม่ถึงผมจะตอบปฏิเสธยังไง พี่ศิแกก็ไม่ยอมครับ นั่นก็เป็นเพราะว่าตอนนี้ผ้าพันแผลที่พันแผลของผมอยู่มันเปียกน้ำทะเลอยู่ครับ ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบตกลงและหยิบผ้าขนหนูเข้าไปในห้องอาบน้ำและเริ่มชำระล้างร่างกายอีกครั้ง ซึ่งเวลาที่ใช้ก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อเช้าสักเท่าไหร่ครับ แต่มันไวขึ้นนิดหน่อยเพราะผมรู้วิธีที่ทำให้แผลของผมไม่เปียกน้ำได้แล้ว เวลาผ่านไปราว ๆ 15 นาทีผมก็ออกมาจากห้องน้ำและอยู่ในชุดไปรเวทชุดใหม่ ซึ่งมันก็ไม่ค่อยต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ครับ เพราะเสื้อที่ผมชอบใส่มันก็แนว ๆ นี้นั่นแหละ



ผมเดินเขย่งไปที่โซฟาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับนั่งจุ้มปุ๊กดูทีวีรอพี่ศิตามที่พี่ศิเขาสั่งไว้ แต่นั่งไปนั่งมาไอผมก็เกิดอาการง่วงขึ้นมาทันที (ไอผมมันเป็นพวกนิ่งเป็นหลับขยับเป็นเกรียนนี่แหละครับ เวลาที่ไม่ได้เกรียนผมเลยง่วงง่ายกว่าคนปกติทั่วไป) ผมยกมือป้องปากหาวน้อยๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนบนโซฟายาวและหลับสนิท จนไม่รู้ว่าพี่ศิแกกลับเข้ามาในบ้านพักตอนไหน ไม่รู้ว่าไอผ้าพันแผลที่เท้าของผมเปลี่ยนไปหรือยัง และรวมไปถึงข้าวกลางวันของวันนี้ที่ผมก็ยังไม่ได้กินครับ



ผมนอนดิ้นขลุกขลักไปมาบนโซฟาพลันผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมพี่ศิที่ก้มหน้าลงมามองที่ผม ร่างสูงนั้นส่งยิ้มมาให้พร้อมกับลูบหัวของผมอย่างเบามือ



“ตื่นแล้วเหรอครับ...กรนี่นอนหลับไปนานน่าดูเลยนะเนี่ย พี่ขยับตัวเราให้มานอนบนตักพี่เรายังไม่ตื่นเลย” เสียงทุ้มเอ่ยเบาพร้อมพร้อมละมือออกจากศีรษะของผมและปล่อยให้ผมลุกขึ้นมานั่งครับ



“กี่โมงแล้วอ่ะพี่ศิ” ผมเอ่ยถามพี่ศิพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจ แต่ไม่ต้องเวลาจากพี่ศิก็น่าจะรู้ล่ะครับว่าตอนนี้กี่โมงแล้วพระอาทิตย์นี่กำลังจะตกดินครับ เพราะแสงยามอัสดงนั่นสาดส่งเข้ามาเต็มหน้าต่างเลยครับ



“เกือบจะได้เวลาทานข้าวเย็นแล้วครับกร แต่ถ้าหิวก็ทานก่อนได้เลยนะครับ เพราะกรยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลยนี่” ร่างสูงเอ่ยพร้อมกับยันกายลุกขึ้นพร้อมกับช้อนตัวผมขึ้นและพาไปนั่งที่โต๊ะทานข้าวครับ ผมยังคงยกมือตนขึ้นมาป้องปากหาวอยู่น้อยๆ แต่ช่วงครู่เดียวดวงตาทั้งสองข้างของผมก็ลืมตื่นอย่างเต็มที่เพราะชามข้าวและกับข้าวถูกวางไว้เบื้องหน้าผม จานแรกเป็นปูผัดผงกะหรี่ครับ จานต่อไปเป็นกุ้งทอดกระเทียมพริกไทยครับและจานสุดท้ายเป็นไข่เจียวหอยนางรมครับ กลิ่นกับข้าวนี่หอมโชยจนทำเอาท้องผมร้องดังขึ้นมาเลยล่ะครับ



และเมื่อพี่ศิแกนั่งลงผมก็หยิบช้อนซ้อมขึ้นมาตักข้าวและใส่ปากทันทีเลยล่ะครับ แต่ละจานนี่รสชาติอร่อยมากครับสมแล้วที่พี่ศิแกลงมือทำเอง รสชาติของปูผัดผงกะหรี่นี่โดนใจผมมากครับ มันกุ้งที่เอามาผัดด้วยนี่มันอร่อยได้ใจจริงๆ ส่วนกุ้งทอดกระเทียมพริกไทยนี่กลิ่นกระเทียมหอมมาเชียวแถมกุ้งนี่ทอดได้เหลืองด้านนอก ด้านในนี่นุ่มมากเลยล่ะครับ สมกับเป็นของสดจริงๆ ส่วนไข่เจียวหอยนางรม ผมไม่รู้ว่าพี่ศิแกทอดยังไงถึงไม่มีน้ำของหองนางรมอมไว้อยู่เลยเนี่ย



ผมกินไปพูดชมพี่ศิไป ร่างสูงที่ถูกผมชมนี่ยิ้มจนแก้มปริเลยครับ “อร่อย…มากเลยอ่ะพี่ศิ ฮืออ อร่อยจนน้ำตาไหล ถ้าพี่ศิเป็นผู้หญิงนะ กรจะขอมาเป็นแม่ของลูกกรเลยล่ะ” แต่ในประโยคสุดท้ายที่ผมพูดทำให้พี่ศิหุบยิ้มทันทีดูเหมือนว่าผมจะพูดแทงใจดำของพี่ศิแกเข้า…แต่จริงๆมันก็แทงใจของผมเช่นกัน



เพราะถ้าเราทั้งสองคนมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้หญิง…เราทั้งสองคนคงคบกันไปนานแล้วครับ ผมได้แต่ยิ้มจางๆกับความจริงข้อนั้นและก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อไป เราทั้งสองคนนั่งทานข้าวภายใต้ความเงียบกันสักพัก ในที่สุดข้าวและกับข้าวก็หมดจานครับ
การทำกิจกรรมต่อของพวกเราทั้งสองคนทำกันในความเงียบครับ พี่ศิค่อยๆเก็บจานทั้งหมดบนโต๊ะเพื่อเอาไปล้างส่วนผมก็โดนอุ้มไปนั่งบนโซฟาครับ ผมเดินโทรศัพท์ดูไปเรื่อยๆ สักพักพี่ศิก็เดินมานั่งข้าง ๆ ผม



“นี่พี่ศิ...” ผมเอ่ยเรียกพี่ศิเสียงแผ่ว ซึ่งใบหน้าคมนั้นก็หันมามองผมตามเสียงเรียง ริมฝีปากหนานั้นพยายามยิ้มจาง ๆ มาให้



“กรขอโทษนะที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา” สิ้นเสียงของผม พี่ศิก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย พี่แกคงคิดนะครับว่าผมเอ่ยคำขอโทษออกมาทำไม



“กรขอโทษพี่ทำไมครับ” ร่างสูงนั้นเอ่ยถาม แต่ผมรู้นะครับว่าพี่ศิแกรู้อยู่แล้วว่าผมขอโทษพี่แกเรื่องอะไร…



เพราะเหตุผลที่ผมขอโทษพี่เขามันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่พี่ศิแกอยากขอโทษผม…นั่นก็คือการที่เราคนใดคนหนึ่งถึงไม่เกิดมาเป็นผู้หญิงกันนะ ทางพี่ศิ ผมรู้ครับว่าพี่แกไม่ได้กังวลอะไรที่ผมเป็นผู้ชายและถ้าหากเราทั้งสองคนจะคบกัน ถ้าผมเอ่ยออกไปว่าผมอยากคบกับพี่ศิเขาคงรับปากตกลงทันที แต่มันติดที่ผม…ติดที่ผมไม่กล้าจะยอมรับว่าตัวเองนั้นหลงรักพี่ศิเข้าไปซะแล้ว แต่เรื่องนี้…ช่างมันเถอะครับ เพราะต่อให้พูดไป ผมก็คิดว่าความรู้สึกทั้งสองทางของผมก็ยังตีกันอยู่ดี ผมสะกิดแขนพี่ศิเบาๆ เพื่อบอกให้พี่ศิพาผมไปที่ห้องนอน



“พี่ศิ พากรไปที่ห้องนอนที กรอยากอาบน้ำนอนแล้ว” พี่ศิก็พยักหน้าตอบรับพร้อมช้อนตัวผมขึ้นเพื่ออุ้มไปส่งที่ห้อง ร่างสูงนั้นค่อยๆเดินอย่างช้าๆราวกับว่าไม่อยากให้เวลาที่เราทั้งสองคนอยู่ด้วยกันหมดลง แต่สิ่งที่พี่ศิหวังมันก็เป็นได้แค่ความหวังเท่านั้น เพราะอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมง พวกเราทั้งสองคนก็ต้องกลับกรุงเทพกันแล้วครับ



เมื่อร่างของผมเข้ามาในห้องและนั่งลงบนโซฟา พี่ศิเขาก็เอ่ยขอตัวเพื่อที่จะไปพักผ่อนเช่นกัน ร่างสูงค่อยๆหันหลังกลับและก้าวเดินออกไป แต่ไม่รู้ทำไมมือของผมมันไวกว่าความคิดชั่วแวบเดียว มือข้างหนึ่งของผมก็เอื้อมไปจับชายเสื้อของพี่ศิไว้ การกระทำแบบนั้นของผมทำให้การเดินของพี่ศิชะงัก ใบหน้าคมค่อยๆหันหลังกลับมามองหน้าผม มือกร้านทั้งสองข้างนั้นเอื้อมมือมาหมายจะแกะมือของผมออกจากชายเสื้อ ทว่าผมกับกำมันแน่นยิ่งกว่าเก่าแต่เมื่อความนึกคิดของผมคืนกลับมา ผมก็รีบปล่อยชายเสื้อของพี่ศิและเอ่ยถ้อยคำขอโทษออกมา



“ขอโทษนะครับพี่ศิ กรไม่รู้เป็นอะไรไปถึงไปจับชายเสื้อพี่ศิเข้า” ผมหัวเราะแห้งๆพร้อมกับเอามือข้างที่จับเสื้อพี่ศิมาเกาแก้มตัวเองเบาๆ แต่คำพูดพวกนั้นมันทำให้พี่ศิแกหันหลังกลับมาพร้อมกับนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าของผม ใบหน้าคมนั้นค่อย ๆ เขยิบมาใกล้ พร้อมกับริมฝีปากที่ประกบที่แก้มของผมเบา ๆ



“ราตรีสวัสดิ์นะครับ กร” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาพร้อมกับสาวเท้าออกไปจากห้องพักของผม ก่อนที่พี่ศิจะปิดประตูลงรอยยิ้มจางๆนั้นถูกเผยออกมาจากริมฝีปากและแววตาคมที่ร่างสูงนั้นส่งมานั้นเต็มไปด้วยความยินดีอยู่ลึกๆ



สัมผัสแผ่วเบาพร้อมกับเสียงที่ดังมาพร้อมกับสายลมทำให้ผมหน้าขึ้นสี ถ้อยคำและสัมผัสนั้นไม่ได้มอบให้ผมในฐานะน้องชายหรืออะไร แต่มันเป็นสัมผัส…ที่ผู้ชายคนหนึ่งมอบให้แก่คนรัก…



เมื่อความคิดพวกนี้แล่นเข้าใส่สมอง ผมนี่ล้มตัวลงไปดิ้นบนเตียงพร้อมกับเอามือทุบไปที่เตียงอย่างแรง ริมฝีปากผมก็พลางพึมพำว่าพี่ศิด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ‘พี่ศิเป็นคนบ้าที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ’



‘แต่ว่าท่าทางที่แสดงออกมาแบบนั้นของพี่ศิ...เขาคงจะรับรู้ความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของผมแล้วล่ะมั้งครับ...ความรู้สึกที่ต่อต้านกันภายในจิตใจ นั่นก็เป็นเพราะว่าแววตากับรอยยิ้มที่พี่ศิส่งมาให้ผมนั้นมันเป็นแววตาและรอยยิ้มที่มีความหมายสื่ออยู่ และความหมายของรอยยิ้มและแววตานั้นมันก็คือ เขาจะทำให้ผมยอมรับกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม’




______________________



เจอกันตอนต่อไปค่า



ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ดูแลกันดีตลอด
เมื่อไรนะที่กรจะเปิดใจให้พี่ศิก้าวข้ามไป
ทั้งที่การกระทำมันไปไกลแล้ว ชักสงสารพี่ศิขึ้นมา

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
กรต้องก้าวผ่านไปให้ได้น่ะ
เมื่อรู้ว่ารักก็ต้องยอมรับมัน รับรักพี่ศิซะ อิอิ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
กรื้ดด กัดหมอน เขิน >////////<
เมื่อไหร่กรจะยอมเป็นแฟนกับพี่ศิน้อ
แต่จริงๆเราก็เข้าใจแหละว่าเพราะสังคม เหอะๆๆๆ เกลียดคำนี้จริ๊งงงง

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
เมื่อไรจะเป็นแฟนกันน้าาาาา

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
สู้ๆน้าพี่ศิ  :m1:

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
กรทำตัวยังกับเป็นแฟนพี่ศิแล้ว เหลือแค่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง
รีบๆ รู้ตัวแล้วจะได้เป็นแฟนพี่ศิสักที

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
พี่ศิสู้ๆนะคะ
น้องกรเอ๋ยเมื่อไหร่จะยอมรับเป็นแฟนพี่ศิซะที สงสารพี่ศิจะแย่แล้ว  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ shikyu3211

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1
อะไรจะคิดยากขนาดน้านนนนนนนน

ออฟไลน์ Jinn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พี่ศิกับน้องกรน่ารักมาก

รักคู่นี้ที่สุด

แต่มีที่สงสัยนิดนึงว่า แสงสีแสดยามสนธยา

สนธยา นี่มันตอนเย็น แต่พี่ศิกับน้องกรเขาดูพระอาทิตย์ขึ้นนา สนธยา นี่มาได้ไง น่าจะเป็นอรุณรุ่ง หรือ รุ่งอรุณ ก็ว่ากันไป

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
พี่ศิกับน้องกรน่ารักมาก

รักคู่นี้ที่สุด

แต่มีที่สงสัยนิดนึงว่า แสงสีแสดยามสนธยา

สนธยา นี่มันตอนเย็น แต่พี่ศิกับน้องกรเขาดูพระอาทิตย์ขึ้นนา สนธยา นี่มาได้ไง น่าจะเป็นอรุณรุ่ง หรือ รุ่งอรุณ ก็ว่ากันไป


สวัสดีค่ะพลอยนะคะ พอดีพลอยอยากจะชี้แจงคำว่า "แสงสีแสดยามสนธยา" ค่ะ เนื่องจากคำ ๆ นี้มีคนสงสัยอยู่โดยส่วนมากทุกคนอาจจะคิดว่าคำว่า "สนธยา" นั้นแปลว่าแสงแดดยามพระอาทิตย์ตกดินนะคะ แต่ความจริงแล้วคำว่า "สนธยา" นั้นสามารถแปลได้ทั้งแสงแดดยามพระอาทิตย์ตกดิน และ แสงแดดยามรุ่งอรุณก็ได้ค่ะ ซึ่งคำศัพท์มันมาจากคำว่า Twilight ที่แปลว่าโพล้เพล้ หรือความหมายเต็ม ๆ ก็คือ "ช่วงเวลาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น หรือ หลังจากดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว" ค่ะ ขอบคุณพื้นที่ที่ให้พลอยอธิบายนะคะ

ออฟไลน์ Elizabeth_TonnY

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ประทับใจอ่ะ :monkeysad: อ่านตั้งเเต่
ตอนเเรกมา รักพี่ศิ รักน้องกร  :katai2-1:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
สวัสดีก่ะ// ไมไ่ด้พบเจอกันนานเลย..วันนี้ขอเอานิยายมาอัพนะก่ะ ตอน 32 ค่ะ




__________________________





Chapter 32



ก็ไม่รู้สินะว่าผมมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ หรือ ณ ตรงนี้ด้วยเหตุผลอะไร (ตอนนี้ผมยืนอยู่ใต้คณะพร้อมกับโทรโข่งครับ) ซึ่งถ้าให้ผมเท้าความไปถึงตอนเช้าที่เช้ากว่านี้สักหน่อยนะครับ ผมคลับคล้ายคลับคราว่าเพื่อนสนิทนามว่าเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาสนั้นเข้ามาในคอนโดของผมด้วยกุญแจสำรองที่ผมให้ไป ซึ่งถ้ามานั่งเล่นในห้องผม ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่ที่พวกมันเข้ามาหาผมมันไม่ใช่เหตุผลนั้นครับ ผมโดนพวกมันสองคนปลุกด้วยการขย่มเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มของผมออกจากตัว และเมื่อผมลืมตาลุกขึ้นมาเตรียมด่า ไอบาสก็ยื่นผ้าเช็ดตัวมาให้ผม แถมมันยังสั่งให้ผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อนิสิตและขับรถไปคณะเดี๋ยวนี้ ซึ่งมันไม่บอกเหตุผลนะครับว่าผมต้องไปคณะเพราะอะไร เพราะมันพูดแค่เพียง ‘มันจะไม่ทันแล้วนะเฮ้ย ไอเชี่ยกร รีบแต่งตัวไวๆเลยครับมรึง’ ไอผมที่ได้ยินแค่นั้นก็นึกว่าเป็นเรื่องสำคงสำคัญอะไร ผมจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็วและขับรถตามสหายทั้งสองคนที่แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ล่วงหน้าไปก่อนเมื่อสักครู่ และเมื่อผมถึงคณะผมก็เดินโซเซไปที่โต๊ะม้าหินอ่อนโต๊ะประจำของผมและพวกสหาย ซึ่งสหายทุกคนของผมก็นั่งอยู่บนโต๊ะนี้ด้วยและที่สำคัญแต่ละคนนี่สภาพไม่แตกต่างจากผมเลยครับ ตาปรือเหม่อลอย บางคนฟุบหน้าหลับลงไปกับโต๊ะด้วยครับ มองแบบนี้แล้วท่าทางทุกคนจะโดนไอสองเกลอที่ดี๊ด๊ากันอยู่สองคนตามไปปลุกหรือโทรปลุกแน่นอนเลยครับ


ไอผมก็คันปากอยากจะถามนะว่ามันเรียกพวกผมออกมาทำไม แต่ไอคำถามพวกนั้นก็ถูกกลืนลงคอไปจนหมดนั่นก็เป็นเพราะว่าไอเจมส์มันยื่นโทรโข่งสีขาวแดงมาให้ ไอเจมส์ยิ้มกว้างพร้อมกับบอกให้ผมไปเรียกรุ่นน้องที่นั่งรออยู่มารวมตัวกันที่ใต้คณะ เอาล่ะครับ ปริศนากระจ่างแล้ว การที่ผมต้องมาแหกตาอยู่ใต้คณะก็เพราะไอเจมส์กับไอบาสมันเรียกพวกผมออกมาเป็นเจเนอรัลเบ้นี่เอง และจุดๆนี้ผมก็ปฏิเสธจะไม่ช่วยพวกมันก็ไม่ได้แล้วครับ ผมจึงได้แต่เดินลากขาถือโทรโข่งไปเรียกรุ่นน้องให้มารวมตัวกันที่ใต้คณะ



ผมยกโทรโข่งขึ้นมาจ่อที่ปากพร้อมกับพูดตะโกนออกไป “น้องๆที่น่ารักของพี่อย่ามัวนั่งง่วงครับ ถ้าใครมาถึงแล้ว ช่วยมาเข้าแถวเรียงตามสาขาวิชาที่ใต้คณะด้วยครับ” ด้วยความง่วงของผม ทำให้ผมพูดเล่นมุกไม่ได้มากนัก แต่มันก็ทำให้รุ่นน้องหลายๆคนลุกขึ้นและเดินตามผมมาใต้คณะครับ ผมเดินนำน้องๆไปยังจุดที่ไอเจมส์กับไอบาสฟิกซ์ให้พวกน้องๆนั่ง และเมื่อผมเดินไปถึงเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาสก็เอาโต๊ะมาวางไว้ด้านหน้าแถว และสั่งให้ผมปีนขึ้นไปพูดสร้างความบันเทิงให้กับพวกน้องๆครับ ไอผมนี่อยากจะสวนมันไปจริงๆ ว่า ‘กรูไม่ใช่ตลกคาเฟ่ จะให้กรูเล่นมุกอะไรให้น้องๆฟังวะ’ แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ครับเพราะตอนนี้สหายทุกคนต่างพากันดันและยันผมให้ขึ้นไปอยู่บนโต๊ะ ผมจึงได้แต่ยืนถือโทรโข่งด้วยความงุนงงและถือโทรโข่งจ่อปากพร้อมกับพูดรัวใส่น้อง ๆ แบบนอนสต็อป



และทั้งหมดนั่นก็คือการย้อนความทั้งหมดของผมครับ ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังคงทำหน้าที่สันทนาการให้กับพวกน้อง ๆ อยู่ โดยที่ไม่มีใครคิดจะมารับช่วงต่อหรือเปลี่ยนตัวกับผมเลยครับ แต่ผมก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีนะครับ แม้จะง่วงมากและหิวข้าวมากก็ตาม



“น้องๆครับ น้องที่มาใหม่ตรงนั้นน่ะครับ มาเข้าแถวตรงนี้เร็ว มาๆอย่าชักช้านะครับ เพื่อนๆทุกคนอยากรู้จักน้องๆ อยู่” ผมยังคงเดี่ยวไมโครโฟนไปเรื่อยๆ แต่ผมยังไม่ได้บอกทุกๆคนใช่ไหมครับว่ากิจกรรมที่ผมโดนลากมาทำอยู่คือกิจกรรมอะไร ถ้าให้พูดตามภาษานิสิตนักศึกษามันก็คือ การรับน้อง แต่ถ้าเรียกเป็นตามฉบับที่คณะของผมเรียกมันก็คือเฟิร์สเดท หรือ วันแรกพบครับ กิจกรรมนี้พวกรุ่นน้องหรือพวกรุ่นพี่ไม่ต้องมากันก็ได้ครับ (แต่ไอเพื่อนเวรมันดันลากผมมา) มันไม่ใช่กิจกรรมบังคับ (ซึ่งปีที่แล้วผมก็ไม่มา) มันเป็นแค่กิจกรรมที่ทำให้น้องๆนั้นได้รู้จักรุ่นพี่ และที่สำคัญคือการทำให้รุ่นน้องรู้จักกันในคณะในสาขาวิชาครับ



“น้อง น้องครับ! อย่าทำให้เพื่อนๆรอสิครับ มามะๆมานั่งรวมกลุ่มกันตรงนี้ ถ้ามาช้ากว่านี้ เดี๋ยวไม่มีที่นั่งนะครับ เห็นไหม คนเริ่มเต็มคณะแล้วครับ” ผมพูดออกโทรโข่งอีกครั้งเพื่อเรียกให้รุ่นน้องที่เพิ่งมากันมานั่งรวมกลุ่มกัน และทุกคนก็น่าจะทราบใช่ไหมล่ะครับว่าในกลุ่มรุ่นน้องมันมักจะมีพวกเกรียนๆ (แบบผมตอนเป็นเฟรชชี่) หรือ พวกลุ่มรุ่นน้องที่รู้จักกันในโรงเรียนเก่ารวมอยู่ในกลุ่มรุ่นน้อง ใช่ครับ ผมเจอรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าของผมเยอะเลยครับ และที่สำคัญมันนั่งเรียงกันหน้าสลอนพร้อมส่งรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจมาให้ (ผมรู้แล้วล่ะครับว่าไอบาสกับไอเจมส์แม่มลากผมมาทำไม…มันลากผมมาเพื่อให้ผมเกรียนต่อกรกับไอพวกนี้นั่นแหละครับ)



“เฮียกร!! เฮียกรครับ! เฮียกรมีแฟนยังครับ สาวๆแถวนี้เค้าอยากรู้” ดอกแรกกระแทกใจถามมาได้เรื่องแฟน! จะบอกว่ามีมันก็เหมือนไม่มี ถ้าจะบอกว่าไม่มีมันก็เหมือนโกหก เพราะอันตัวผมนั้นยังไม่รู้เลยว่าสภาพของเราสองคนคืออะไร ผมขมวดคิ้วเป็นปมแน่นกับคำถามนั้น จนพวกน้องๆเขาหัวเราะและเสียงหัวเราะนั่นทำให้ผมสะดุ้งตัวพร้อมกับยกโทรโข่งพูดตอบน้อง ๆ ไป



“เฮียกร…มีคนที่ดูๆกันไว้อยู่ครับ แต่เฮียยังบอกสถานะไม่ได้” คำตอบนี้เรียกเสียโห่แซวของพวกน้อง ๆ ได้เป็นอย่างดีแต่ว่ามันไม่ได้มีแต่เสียงน้อง ๆ ที่โห่แซวครับ เพราะว่ามันมีเสียงของกลุ่มคนที่สามโห่ดังมาด้วย ผมนี่ยกเท้าขึ้นพร้อมกับคว้ารองเท้าตัวเองปากไปกลางวงทันที ทุกคนในวงแตกฮือพร้อมกับลุกขึ้นมาชี้นิ้วเตรียมที่จะออกเสียงด่าผม แต่ว่าผมไม่ยอมให้มันพูดหรอกครับ ผมเลยชิงพูดก่อนผ่านโทรโข่งซะเลย “อย่ามัวแต่นั่งคุยครับพวกคุณเพื่อนๆ ช่วยมาดูแลน้องๆด้วยครับ และถ้าพวกคุณเพื่อนๆ ลุกมาแล้วเอารองเท้ามาคืนผมด้วยนะครับ” สิ้นเสียง ผมก็เอียงคอพร้อมส่งรอยยิ้มให้พวกเพื่อนๆ และไอเพื่อนๆ แต่ละคนนี่แทบจะยกนิ้วกลางประเคนให้ผมเรียงคนเลยครับ แต่ก็ยังมีสาวน้อยน่ารักอย่างพรีมที่ไม่ติดใจถือสาอะไรกับการกระทำของผมพร้อมกับเอารองเท้ามาคืนให้ผมอีกด้วย…แต่รู้สึกว่าผมคิดผิดครับ พรีมมาแรงแซงทางโค้ง เธอใช้ช่วงเวลาที่ผมสวมรองเท้าแย่งโทรโข่งผมไปพร้อมกับประกาศเสียงดังลั่นว่า “เฮียกรของน้องๆ มีคนที่ดูใจกันไว้มาปีหนึ่งแล้วจ้า แต่ไม่รู้ว่าจะยอมรับว่าเป็นแฟนกันเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้พี่พรีมขอฟันธงเลยนะว่าเฮียกรไม่โสด จีบไม่ได้จ้ะ อ่อๆๆๆ ที่สำคัญคนๆนั้นของเฮียกรหวงเฮียกรมากนะจ้ะ” เมื่อพรีมพูดจบ เธอก็ส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ผมครับ ซึ่งผมแปลได้ความว่า ‘แทนรองเท้าบินเมื่อครู่นี้นะจ๊ะ กร’ ตอบแทนกันมากไปแล้ว! ผมได้ฟังนี่แทบจะกัดลิ้นตาย พรีมเธอเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจมาก! เธอทำร้ายชายหนุ่มตาดำๆ อย่างรณกรคนนี้ได้เยี่ยงไร



แต่ก่อนผมจะตายเพราะเสียงโห่แซวของพวกรุ่นน้อง รุ่นเพื่อน และรุ่นพี่ กิจกรรมของวันเฟิร์สเดทก็ได้เริ่มขึ้นครับกิจกรรมส่วนใหญ่จัดเป็นซุ้มครับให้น้องๆเล่นเวียนแต่ละซุ้มเอา และที่สำคัญกลุ่มรุ่นน้องที่อยู่ด้วยกันต้องคละๆ สาขากันไปครับ และเมื่อน้อง ๆ จัดกลุ่มได้ หน้าที่สันทนาการของผมก็จบลงครับ ผมนี่แทบไหลลงไปนอนกับโต๊ะเลย ข้าวก็ไม่ได้ กินน้ำก็ไม่ได้กิน ง่วงก็ง่วงอยากนอนจะตาย-beep- ก็ไม่ได้นอน โทรมจนจะเป็นศพอยู่แล้วล่ะครับ ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าผมนี่ต้องยืนพูดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ายันเก้าโมงครึ่งร่วมสิบโมง! พูดแบบนอนสต๊อปไม่มีหยุดเลยครับ ดังนั้นผมจึงคิดเองเออเองว่างานและหน้าที่วันนี้ของผมเสร็จแล้ว ผมจึงย้ายก้นตัวเองออกจากโต๊ะม้าหินอ่อนพร้อมกับก้าวขึ้นรถยนต์ (ที่ไม่ค่อยได้ใช้) ของตัวเองไป ตอนนี้ใครจะวิ่งตามมาให้ผมไปช่วยงาน หรือห้ามให้ผมไปไหนไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะว่า ‘ผมจะไปหาข้าวกินครับ!’



ผมเหยียบคันเร่งเกือบ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อออกจากตึกคณะและออกจากมหาวิทยาลัย ผมเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดเลยล่ะครับ เพื่อหาที่กลับรถไปฝั่งตรงข้ามครับ นั่นก็เพราะผมจะไปหาอะไรกินที่ห้างสรรพสินค้าพารากอนที่มันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยของผมครับ ผมใช้เวลาขับรถรวมถึงกลับรถด้วยราว ๆ 15 นาที ในที่สุดผมก็อยู่ในห้างสรรพสินค้าที่เค้าว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในประเทศหรือใหญ่ที่สุดในอะไรเนี่ยแหละ ช่างมันเถอะครับเรื่องนั้น ตอนนี้ผมขอเดินหาร้านกินข้าวก่อนแล้วกันนะครับ



ผมเดินลงจากรถยนต์ของตัวเองพร้อมกับเดินเข้าประตูของห้างสรรพสินค้า เป้าหมายที่ผมมาสถานที่แห่งนี้ก็คือการหาข้าวเช้ากินตอนเกือบจะสิบโมงครับ ซึ่งบริเวณร้านอาหารของห้างพารากอนนั้นอยู่ชั้นล่างครับ นั่นก็คือชั้นจี ผมเลยเดินร่อนไปมาในหาร้านข้าวกินครับ ซึ่งร้านที่ผมเลือกกิน ไม่สิ เรียกว่าร้านไม่ได้เพราะผมเลือกไปนั่งกินที่ฟู้ดคอร์ดเพื่อประหยัดเงินครับ ผมซื้อราดหน้าทะเลมานั่งทานพร้อมกับน้ำส้มคั้นที่ผมชอบ ผมนั่งทานไปเรื่อยๆจนกระทั่งหมดจาน ไออารมณ์หงุดหงิดเพราะความหิวของผมก็เริ่มหายไปพร้อมกับท้องที่เคยปวดตอนนี้เริ่มหายปวดแล้วล่ะครับ



ผมนั่งดื่มน้ำไปเรื่อยๆจนกระทั่งน้ำส้มแก้วนั้นหมดแก้ว พลันสายตาผมก็เหลือบไปเห็นร่างบางของหญิงสาวที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ร่างของหญิงสาวนามว่าน้ำฟ้า ในตอนแรกผมก็เลือกที่จะไม่สนใจอะไรเธอครับ ทว่าไอคนที่ตามมาทางด้านหลังของเธอทำให้ผมต้องหันกลับไปสนใจเธอ เพราะคนที่เดินตามมาด้วยนั่นก็คือคุณพี่ศิรวิทย์ที่ผมคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าหญิงสาวคนนั้น และที่สำคัญยิ่งกว่าคำว่าคุ้นเคยนั่นก็เป็นเพราะ…พี่ศิเขาเป็นคนสำคัญที่สุดของผมด้วยครับ



‘พี่ศิมาทำอะไรที่นี่ แล้วตอนนี้พี่ศิต้องเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ’ ประโยคเหล่านี้ดังก้องในใจผมด้วยความสงสัย พร้อมกับยันตัวลุกขึ้นแล้วลอบเดินตามคนสองคนนั้นไปเงียบ ๆ



จุดเริ่มต้นของคนทั้งสองคือร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสครับ ผมยืนมองทั้งสองคนที่เข้าไปนั่งในร้านพร้อมกับตัดสินใจเดินตามเข้าไป แต่ผมไม่ได้เดินไปที่โต๊ะของคนทั้งสองคนหรอกครับ เพราะผมเลือกที่จะเดินไปที่มุมร้านและนั่งมันตรงนั้นครับ ไม่ใช่เพราะผมไม่พอใจหรือหึงหวงอะไรหรอกนะครับ…ผมแค่อยากรู้ว่าพี่ศิแกมีธุระอะไรกับน้ำฟ้าและที่สำคัญกว่านั้น นั่นก็คือน้ำฟ้าเธอต้องการอะไรจากพี่ศิ



ผมที่เฝ้าจับตามองคนทั้งสองคนสั่งของหวานมาทานหนึ่งอย่างพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้วเพื่อให้ตัวเองนั่งอยู่ในร้านนี้ได้ แม้ผมจะสั่งขนมและน้ำมา ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมันครับ เพราะสายตาของผมยังคบจับจ้องไปยังสองคนนั้น ทั้งสองคนนั้นเอ่ยพูดคุยพลางหัวร่อต่อกระซิกกันราวกับความโลกใบนี้มีเขาอยู่กับเพียงแค่สองคน พอผมเห็นภาพพวกนั้นพลันหัวใจของผมก็เหมือนถูกมีดนับร้อยนับพันพุ่งเข้ามาทิ่มแทงที่หัวใจ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นเรื่องจริง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าสิ่งที่ผมเห็นมันเป็นเพียงแต่ภาพลวงตา



‘พี่ศิ…ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าผู้หญิงคนนี้เขาเคยทำร้ายผม เคยทำให้มิตรภาพของผมกับเพื่อนสนิทพังทลาย...แล้วทำไมตอนนี้พี่ศิมานั่งคุยมานั่งหัวเราะกับเธอได้ล่ะ’ ผมยังคงทอดสายตามองไปยังสองคนนั่นด้วยสายตาที่เหม่อลอย แม้สีหน้าผมจะไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลยก็ตาม แต่ภายในใจของผมในตอนนี้มันเหมือนกับว่าถูกทำร้ายอยู่



‘ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ...ทำไมพี่ศิถึงมาอยู่กับผู้หญิงคนนี้ได้’ ริมฝีปากผมเม้นแน่นพร้อมกับเรียกให้พนักงานมาเช็คบิล (ที่ผมเรียกให้พนักงานมาคิดเงินนั่นก็เป็นเพราะว่าทั้งสองคนนั้นก็เริ่มจะกินข้าวกันเสร็จแล้วล่ะครับ ผมเลยคิดว่าผมเช็คบิลก่อนพวกเขาสักหน่อยดีกว่าแล้วไปยืนรอทั้งสองคนนั้นหน้าร้านแล้วค่อยแอบตามไป) เมื่อพนักงานนั้นทอนเงินให้กับผมแล้ว ผมก็ยันตัวลุกขึ้นและเดินออกจากร้านไปโดยผมพยายามเลี่ยงที่จะเดินผ่านโต๊ะของพวกเขาครับ เมื่อผมออกมาอยู่หน้าร้านได้แล้ว ผมยืนกอดอกพิงกำแพงรอสองคนนั้น และไม่นานพี่ศิและน้ำฟ้าก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ระบายไปทั่วใบหน้า



ยิ่งเห็นแบบนั้นผมยิ่งรู้สึกเจ็บ…ผู้หญิงคนนี้จะทำร้ายผมไปขนาดไหนแล้วทำไมพี่ศิถึงทำแบบนี้ล่ะ พี่ศิ…ทำอย่างนี้ทำไม



ผมยังคงสาวเท้าเดินตามคนทั้งสองคนไปเรื่อยๆแต่ก็เว้นระยะห่างไว้นิดหน่อย เพื่อไม่ให้ทั้งสองคนนั้นจับได้ว่าผมแอบตามคนทั้งคู่อยู่ และเมื่อผมสาวเท้าเดินตามคนทั้งคู่ไปสักพัก ทั้งสองคนนั้นก็เลี้ยวเข้าร้านเสื้อผ้าบุรุษ ซึ่งเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นเสื้อผ้าสไตล์ที่พี่ศิชอบครับ ผมยืนมองอยู่หน้าร้านและไม่คิดที่จะก้าวเท้าเข้าไป ผมยังคงยืนรออยู่หน้าร้านแบบนั้น หลายๆคนต่างมองผมด้วยความสงสัย แต่ผมก็ไม่คิดที่จะแคร์สายตาพวกนั้นครับ ร่างของผมสั่นไหวเบาๆ ดวงตาทั้งสองข้างของผมร้อนผ่าวราวกับว่าน้ำตามันจะไหล ภาพเบื้องหน้านี่มันช่างเหมือนคู่รักที่มาซื้อของด้วยกันจริงๆ…และยิ่งกว่านั้นคนทั้งสองที่ยืนคู่กันมันเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก ผมเม้มปากแน่นพร้อมกับฝืนกลั้นน้ำตาของตนและสาวเท้าหาที่หลบ เมื่อคนทั้งคู่ออกมาจากร้าน



ในมือของพี่ศิมีถุงหนึ่งใบห้อยอยู่ดูเหมือนว่าพี่เขาจะซื้ออะไรจากในร้านนั้นออกมาสินะ ผมมองตามคนทั้งคู่จนสุดสายตาก่อนจะออกจากที่หลบแล้ววิ่งตามออกไป



‘ไม่ใช่ ไม่อยากเชื่อใจพี่ศิ…แต่คนที่อยู่ข้างกายพี่ศิตอนนี้นั่นแหละที่ทำให้ผมต้องระแวง’




v
v
v
v
v


ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ผมที่ยังลอบเดินตามคนทั้งสองคนนั้นไปเรื่อยๆ เสียงเรียกเข้ามือถือของผมก็ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวและรีบกดรับสายโทรศัพท์ทันทีซึ่งคนที่โทรศัพท์มาหาผมนั่นก็คือสหายของผมที่ทำกิจกรรมอยู่ที่คณะครับ



“เชี่ยกร...หายหัวไปไหนครับ รีบกลับมาทำหน้าที่สันทนาการน้องได้แล้วเว้ย แม่มกรูยังไม่ได้บอกให้มรึงกลับเลยนะครับ” ปลายสายกระแทกเสียงใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ซึ่งมันมาสั่งในตอนตอนนี้ผมโคตรจะไม่มีอารมณ์ทำอะไรเลยครับ หนำซ้ำผมก็หงุดหงิดไม่แพ้พวกมันผมเลยพูดกระแทกเสียงกลับไปให้อีกฝ่ายฟังและน้ำเสียงนั้นแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมหงุดหงิดกว่าพวกมันครับ “มรึงก็ทำกันไปเองสิวะ อย่ามาโยนให้กรูทำ ไม่ใช่อะไรๆก็กรู ถ้าทำไม่ได้ก็ไปหาคนอื่นมาทำแทนกรูซะ ตอนนี้กรูไม่ว่าง ต่อให้กรูว่างก็ไม่ไป”



ผมที่ตอบกลับไปแบบนี้ปลายสายก็เริ่มสงสัยแล้วครับว่าผมมีความผิดปกติไป (ในเวลาปกติผมไม่ใช่คนที่จะแสดงอาการหงุดหงิดใส่คนอื่นได้ง่าย ๆ ครับ ต่อให้ผมหงุดหงิดอยู่ ผมก็แยกแยะเรื่องสองเรื่องออกจากกันได้)



“กร ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” ปลายสายที่ได้ยินประโยคพวกนั้นของผมแทนที่พวกมันจะโกรธผม มันกับกล่าวถามผมด้วยความเป็นห่วงแทน…นี่สินะที่เขาเรียกว่าเพื่อน น้ำตาผมเอ่อล้นขึ้นมาน้อยๆ ก่อนผมจะใช้ปลายนิ้วของตนเกลี่ยน้ำจากออกจากดวงตา



“กรูเห็นพี่ศิ” พูดเอ่ยขึ้นแม้มันจะแผ่วเบาแต่ปลายสายนั้นก็ได้ยิน



“เออ มรึงเห็นพี่ศิ แล้วพี่ศิเขาทำอะไรวะ” คู่สนทนาของผมเอ่ยถามกลับน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ผมคิดว่าอีกฝ่ายคงสงสัยน่าดูว่าผมเห็นพี่ศิแล้วมีปัญหาอะไรล่ะ



“อยู่กับน้ำฟ้า...” ประโยคนี้ผมยิ่งเอ่ยออกไปแผ่วเบาจนทำให้คู่สายของผมนั้นไม่ค่อยได้ยินจนทางนั้นต้องเอ่ยถามซ้ำอีกครับ “เอาใหม่สิกร กรูไม่ได้ยินมรึงพูด” ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์และความเสียใจเอาไว้ แต่พอคำถามนี้ลอยเข้าใส่หูผมอีกครั้งและผมต้องเอ่ยคำถามที่แสนเจ็บปวดออกไปอีกครั้งนั่นจึงทำให้น้ำตาที่ผมสะกดกลั้นเอาไว้มันไหลรินออกมา



“กรูเห็นพี่ศิ…อยู่กับน้ำฟ้า ได้ยินไหม” ประโยคที่ปนเสียงสะอื้นของผมทำให้เพื่อนๆนั้นตกใจ ซ้ำไอประโยคที่ผมเอ่ยออกไป มันยิ่งทำให้พวกเพื่อน ๆ ของผมตกใจมากว่าไอเสียงสะอื้นของผมเสียอีก



“เฮ้ยยย! เป็นงั้นได้ไงวะกร พี่ศิหลงมรึงยิ่งกว่าอะไรอีกนะ แล้วทำไมตอนนี้พี่แกถึงไปอยู่กับน้ำฟ้าได้ไงวะ แล้วน้ำฟ้าแม่มมีจุดประสงค์อะไรที่เข้าใกล้พี่ศิของมรึงวะ แต่จากที่กรูฟังมรึงเล่าตอนงานโอเพ่นเฮาส์แล้ว กรูรู้สึกว่าเธอน่าจะสนใจพี่ศิเอาเรื่องเลยนะครับนะมรึง” เสียงของไอเจมส์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้น แต่ในใจผมไม่อยากให้มันเดาสถานการณ์อะไรออกมาเลยครับ เพราะยิ่งมันวิเคราะห์มันก็ยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหลมากขึ้นกว่าเก่า



พวกเพื่อน ๆ ของผมพูดปลอบผมอยู่นานสองนาน ในที่สุดไอเจมส์มันก็คิดอะไรขึ้นมาได้พร้อมกับบอกว่าให้ผมยืนอยู่กับที่และรอตัวช่วยที่พวกมันเรียกให้ไปหาผมซะ



ผมยืนร้องไห้รอตัวช่วยที่พวกเพื่อนๆ ส่งมาให้และไม่เกินสิบนาที ตัวช่วยตัวนั้นก็มาถึงหาผมครับคนๆนั้นหายใจหอบออกมาเสียงดังก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “กร…ร้องไห้ทำไมบอกไฮซ์สิครับ” น้ำเสียงทุ้มนั้นเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง ซ้ำมือข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้นมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา



มันเป็นการกระทำที่ไฮซ์ทำใส่ผมบ่อยๆเมื่อตอนผมยังเป็นเด็กครับ เมื่อผมร้องไห้หรือแสดงสีหน้าที่เป็นกังวล ยังไงเขาก็คอยวิ่งมาปลอบผมเสมอ ซึ่งเหมือนกับครั้งนี้ที่ไฮซ์วิ่งมาหาผมทันทีที่ผมต้องการให้ใครอยู่เป็นเพื่อน



“…พี่ศิเขา...พี่ศิเขา...ฮึก” ผมพูดออกมาแทบไม่เป็นภาษา ร่างสูงนั้นค่อยๆประคองผมอย่างเบามือพร้อมกับพาร่างของผมให้เดินไปยังร้านขนมที่อยู่ใกล้ ๆ



ไฮซ์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้างและรอให้ผมสงบสติอารมณ์ เมื่อน้ำตาของผมเริ่มที่จะหยุดไหล ไฮซ์ก็ยื่นทิชชู่แผ่นใหม่มาให้กับผมพร้อมกับเอ่ยถามผมออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนจะอ่อนโยนที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงว่า “พี่ศิเขาทำอะไรกรครับ แต่ว่าถ้ากรไม่อยากเล่าให้ไฮซ์ฟังก็ไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ ไฮซ์ไม่อยากทำให้กรร้องไห้อีก”



“ไม่ๆ กรเล่าได้แต่ไม่รับปากน้ำนะว่าจะร้องไห้อีกหรือเปล่า” ผมเอ่ยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูยังไงก็รู้ว่าฝืนยิ้มแต่ไฮซ์ก็ไม่คิดจะบอกปัดน้ำใจของผมครับเขานั่งนิ่งๆ ให้ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไปพร้อมกับคอยยื่นทิชชู่ให้ผมเรื่อย ๆ (ผมไม่ได้ขี้แยนะครับ แค่น้ำตามันไหลออกมาเองก็เท่านั้น)



“เมื่อกี้กรเห็นพี่ศิกับน้ำฟ้าอยู่ด้วยกัน…” แค่ประโยคสั้น ๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ไฮซ์รับรู้ได้ถึงเรื่องแทบจะทั้งหมด เมื่อสิ้นประโยคของผม ไฮซ์ก็แทบจะลุกขึ้นและออกวิ่งไปหาพี่ศิทันที แต่ผมกลับเอื้อมมือไปรั้งเขาเอาไว้เสียก่อน ผมส่ายหัวไปมาเพื่อเป็นการบอกว่าไม่ต้องไป การกระทำแค่นั้นทำให้ไฮซ์ทรุดตัวนั่งลงไปอย่างเดิม



“สงสัยพี่ศิอย่างนั้นเหรอ” เสียงของไฮซ์เอ่ยถาม ซึ่งผมส่ายหัวปฏิเสธไฮซ์ไปครับ ช่วงแวบหนึ่งที่ผมเห็นสายตาของคนตรงหน้าผมกระตุกวูบก่อนมันจะกลับไปเป็นแววตาที่อ่อนโยนเช่นเดิม



“กรสงสัย...น้ำฟ้าต่างหาก” ผมพูดเสียงเบามือทั้งสองข้างนั้นถูกถูกไปมา… “เพราะน้ำฟ้าทำให้เราทะเลาะกันได้มาแล้วกรเลยกลัว…กลัวว่าเขาจะทำให้กรทะเลาะกับพี่ศิเหมือนตอนกับตอนที่กรทะเลาะกับไฮซ์ กรไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น” ผมก้มหน้าก้มพูดออกไปและที่ผมก้มหน้านั้นนั่นก็เป็นเพราะดูเหมือนว่าน้ำตาของผมมันจะไหลออกมาอีกแล้วครับ น่าอายชะมัดที่ต้องร้องไห้ให้คนที่ไม่รู้จักเห็นแบบนี้



แต่เมื่อไฮซ์เห็นผมร้องไห้หนักขนาดนี้ เขาก็เอามือเชยคางให้ผมเงยหน้าพร้อมกับเอาทิชชู่ที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาผม ร่างสูงเบื้องนั้นผมคลี่รอยยิ้มพร้อมกับเอ่ยขอให้ผมทำขนมให้กิน “กร ไฮซ์อยากกินขนมฝีมือกรครับ ช่วยทำให้ไฮซ์กินได้ไหมครับ ถือว่าทำแก้เครียดด้วยไง” คำขอที่หน้าประหลาดใจนั่นทำให้ผมตกใจเล็กน้อย แต่ผมก็พยักหน้าตกลงว่าจะทำขนมให้ไฮซ์กิน



เราทั้งสองคนลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกจากร้านขนมแห่งนี้และค่อย ๆ สาวเท้าไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมเลือกซื้อแป้งแพนเค้กสำเร็จรูปมาครับพร้อมกับหยิบแยมรสสตรอเบอร์รี่มาหนึ่งกระปุก พร้อมกับเครื่องทำขนมเค้ก อย่างเช่น ช็อกโกแลตเหลวที่ไว้สำหรับการแต่งหน้าเค้ก



“กรไม่รู้จะทำอะไรนะ ขอทำง่ายๆแทนแล้วกันนะ ไฮซ์” ผมหันไปพูดกับไฮซ์ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา มือทั้งสองข้างนั้นพลางเลือกเครื่องทำขนมต่อไป ผมรู้สึกว่าคนที่เดินเข็นรถเข็นตาม ผมจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดแล้วล่ะมั้งครับ เพราะว่าผมพูดพร้อมกับยิ้มออกมาได้โดยที่ไม่ฝืน แต่กระนั้นภายในใจของผมก็ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลอยู่ดี



และเมื่อผมเลือกวัตถุดิบทั้งหมดเสร็จ ผมก็บอกให้ไฮซ์เข็นรถเข็นเพื่อไปจ่ายเงิน ซึ่งการซื้อของในห้างดังแบบนี้ทำให้ราคาแพงกว่าการไปซื้อเครื่องทำขนมจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ แต่ก็นะ ผมก็ไม่ได้จ่ายอยู่ดีนั่นล่ะ เพราะคนไหนอยากกินคนนั้นต้องจ่ายครับ ผมเดินออกไปยืนรอนอกเคาท์เตอร์จ่ายเงินและทิ้งหน้าที่ที่ต้องจ่ายเงินให้ไฮซ์ไป



ทำไมภาพแบบนี้มันเหมือนกับตอนที่ผมกับพี่ศิออกมาซื้อของตุนในตู้เย็น…เลยล่ะ…



ภาพ ๆ นี้ทำให้น้ำตาของผมออกมาคลอที่ดวงตา ผมพยายามแหงนหน้าขึ้นเพื่อให้น้ำตาไหลย้อนกลับแต่ก็นะ…มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด ภาพน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาแบบนี้ทำให้ไฮซ์ชักสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อพนักงานคิดเงินเสร็จ ไฮซ์ก็รีบพาผมออกจากที่นี้แล้วหยิบกุญแจรถของผมไป และราวกับเขารู้นิสัยผมว่าผมชอบจอดรถไว้ชั้นไหน เพราะไฮซ์ใช้เวลาแค่ช่วงครู่เดียว เขาก็หารถของผมเจอครับ (ท่าทางไฮซ์จะรีบเดินมาหาผมนะครับ เดินมาจากหอในของมหาลัยและวิ่งมาหาผม) และหลังจากที่ของในมือไฮซ์ถูกเก็บใส่ท้ายรถ เขาก็เดินวนไปยังประตูด้านขนขับและขึ้นไปส่วนผมที่คุ้นชินกับการที่มีคนมาเปิดประตูให้ก็เลิกลั่กเปิดประตูรถแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งด้านใน



ไฮซ์มองผมด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาเขาค่อย ๆ สตาร์ทรถและขับออกจากลานจอดรถ เพื่อมุ่งหน้าไปยังคอนโดของผมและไฮซ์ใช้เวลาขับรถราวๆ 15 นาที ตอนนี้รถของผมก็อยู่ในลานจอดรถของคอนโดและกำลังเตรียมตัวที่จะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นชั้นที่พำนักของผม



เมื่อเราทั้งสองคนขึ้นมาถึง ผมก็เดินสาวเท้าไปยังห้องของผมทันที ผมปลดล็อคบานประตูห้อง 1403 และก็เชื้อเชิญให้แขกของผมเข้าไปด้านใน ผมบอกให้ไฮซ์ไปนั่งรอที่โซฟา ส่วนเรื่องในครัวเดี๋ยวผมนั้นจะจัดการเอง ซึ่งไฮซ์เขาก็ว่าง่ายนะครับเมื่อผมพูดจบเขาไปนั่งรอเงียบ ๆ บนโซฟาในห้องนั่งเล่นทันที



ส่วนผมก็เตรียมทำขนมตามที่ไฮซ์รีเควสแล้วครับ ผมเริ่มจากหยิบแป้งแพนเค้กสำเร็จรูปมาร่อน พร้อมกับตอกไข่ใส่ไปตามสูตรที่กล่องเขาให้ไว้ ตามด้วยใส่เนยและนมลงไป แล้วก็ตีให้เข้ากันนี่เป็นขนมง่ายๆครับผม ความจริงแทบจะไม่ต้องใช้สมองเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ผมปรับสูตรนิดหน่อยให้อร่อยสมกับเป็นสูตรขนมที่ผมทำครับ เมื่อเนื้อแป้งเข้าที่แล้วผมก็หยิบกระทะเทปล่อนขึ้นมาแล้วก็ตักเนยใส่ลงกระทะ ซึ่งที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะมันจะช่วยให้หน้าของแพนเค้กมีรสชาติมากขึ้นและกันติดกระทะด้วยครับ ผมทำแพนเค้กแผ่นแรก…ผลสรุป มันไหม้ไปข้างหนึ่งเพราะผมมัวแต่เหม่อลอยไม่สนใจ ตามด้วยแผ่นที่สองคราวนี้ผมตั้งใจมากและมันก็ออกมาสีสวยครับ แต่…ด้านในไม่สุกก็เลยต้องนำลงมาทอดใหม่ และไอแพนเค้กที่ผมทำมันสลับกันไปกันมาแบบนี้เรื่อย ๆ จนในที่สุดตัวแพนเค้กที่กินได้…มีไม่ถือ 10 แผ่นครับ เอาเป็นว่าเหลือกินแค่ 6-7 แผ่นเองครับ (จากสูตรเขาบอกทำได้ราว ๆ 15-16 แผ่น)



เมื่อผมทอดแพนเค้กเสร็จ ผมก็เดินถือจานแพนเค้กที่ทำเสร็จแล้วไปให้ไฮซ์ โดยในแต่ละจานมีแพนเค้กสองแผ่นและราดด้วยน้ำซอสสตอเบอร์รี่



“ไฮซ์อ่ะ...กรทำเสร็จแล้ว” ผู้เป็นเจ้าของชื่อแหงนหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับรับจานในมือผมไปนั่งทาน ผมเดินอ้อมโซฟามาอีกด้านหนึ่งและค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงไป



คำแรกที่ผมตักแพนเค้กเข้าปากผมรับรู้ได้ถึงความขมที่ซึมซาบเข้ามา…การทำขนมเวลาเศร้า...มันทำให้รสชาติขนมเสียจริงๆสินะ ตามที่คุณม๊ากับคุณป๊าได้บอกไว้ ผมวางจานแพนเค้กลงกับโต๊ะและเลือกที่จะเปิดทีวีดูแทนการกินขนม ส่วนไฮซ์ยังคงนั่งตักแพนเค้กทานไปเรื่อยๆราวกับว่ามันอร่อยมากจนผมทนมองเขากินไม่ได้เลยเอ่ยพูดออกไป “ถ้ามันไม่อร่อย…ไฮซ์ก็อย่ากินเลย กรไม่ว่าหรอก เพราะมันไม่อร่อยจริงๆ” ทว่าไฮซ์ส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับตักแพนเค้กในจานเข้าปากต่อ ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมพร้อมกับยื่นมือไปแย่งจานแพนเค้กในมือของไฮซ์ แต่แขนทั้งสองข้างของผมก็ต้องชะงัก เมื่อเสียงของไฮซ์เอ่ยตอบกลับมา



“ขนมของกร…ไม่ว่ากรจะทำด้วยอารมณ์ไหน ไฮซ์ก็คิดว่ามันอร่อยทั้งหมดนั่นล่ะ ต่อให้กรทำมันตอนที่กรเศร้ามาก ๆ แบบตอนนี้ก็ตาม” สิ้นเสียงนั้น มันทำให้ผมชะงักมือและยอมนั่งลงไปกับโซฟาเช่นเดิม



“…ขอบคุณนะ…ไฮซ์” ผมเอ่ยขอบคุณไฮซ์ออกไปเสียงแผ่ว ซึ่งการที่ผมพูดออกไปแบบนั้นทำให้ไฮซ์เอื้อมมือมากอดคอผมพร้อมกับดึงให้ผมก้มลงไปซบที่บ่าของมัน



“กรเชื่อใจพี่ศิเขานะ…แต่สำหรับอีกคน…กรไม่รู้ว่าน้ำฟ้าจะทำอะไรกับพี่ศิเขา” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นขอบตาทั้งสองข้างนั้นร้อนผ่าวและเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาผมก้มหน้าซบบ่าของไฮซ์มันไปสักพัก เสียงปลดล็อคประตูห้องของผมก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของร่างสูงผู้มีนามว่าศิรวิทย์



ผมสะดุ้งตัวทันทีเพื่อจะหันไปมองว่าคน ๆ นั้นคือใคร ทว่าไฮซ์กับจับหัวของผมให้ซุกลงไปบนบ่าของเขาอยู่แบบนั้น ผมพยายามดิ้นไปให้ผมหลุดพ้นออกจากอ้อมกอดของไฮซ์ และในที่สุดผมก็ดิ้นหลุดครับ แต่การดิ้นหลุดครั้งนี้มันทำให้ผมอยากจะซุกลงไปที่บ่าของไฮซ์ใหม่อีกครั้งนั่นก็เป็นเพราะสายตาของพี่ศิที่มองมายังพวกเราทั้งสองคน



“พะ…พี่ศิ” ผมเอ่ยเรียกชื่อชองพี่เขาเสียงแผ่วและเมื่อเสียงเรียกชื่อของผมจบลง ร่างของผมก็โดนพี่ศิอุ้มลอยข้ามโซฟาไป



“กรครับ…จำสัญญาที่เราให้ไว้กับพี่ไม่ได้หรือไงครับ” ร่างสูงนั้นเอ่ยทวงสัญญากับผม แต่ทว่าผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้หันมามองยังผมเลยสักนิดเดียว ดวงตาสีเข้มของพี่ศินั้นจ้องไปยังร่างของไฮซ์ที่ยังคงนั่นอยู่บนโซฟา



“พี่ศิ ปล่อยกรลงสิ” ผมบอกพี่ศิให้เขาปล่อยร่างของผมลง แต่กระนั้นพี่ศิก็ไม่ยอมฟังเสียงของผม ซ้ำยังคงกอดตัวผมไว้แน่นซะอีก จนในที่สุดผมก็ต้องห้ามทัพนี้ด้วยการ…ให้ไฮซ์มันกลับหอไปก่อน ส่วนผมจะเคลียร์กับพี่ศิเอง



ซึ่งไฮซ์เขาก็ยอมทำตามที่ผมบอกนะครับ ไฮซ์ก้มลงหยิบกระเป๋าพร้อมกับเดินออกจากห้องไป แต่สายตาของไฮซ์ยังคงมีเหลียวหลังมามองผมอยู่ และเมื่อบานประตูห้องของผมถูกปิดลงภายในห้องนั้นก็เงียบสงัดทันที



ผมถูกอุ้มไปวางไว้ที่โซฟาเช่นเดิม ส่วนพี่ศิเขาก็ก้าวอ้อมมานั่งข้างๆ ผม “กรครับ เราสัญญากันไว้แล้วไงว่า เวลากรมีเรื่องทุกข์ใจหรือปัญหาอะไร กรจะบอกพี่เป็นคนแรก” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามออกมานั้นแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยโทสะ เขาพยายามใช้สายตาบีบคั้นให้ผมตอบกลับ แต่ผมนั้นเลือกที่จะเงียบและไม่เอ่ยอะไรออกไป เราสองคนนิ่งเงียบใส่กันสักพัก จนในที่สุดพี่ศิเขาก็เอ่ยถามผมออกมาอีก



“กรครับ…กรร้องไห้เพราะอะไร ไหนบอกพี่มาสิ” เสียงทุ้มนั้นฟังดูอ่อนโยนมากกว่าเก่า ท่าทางโทสะในจิตใจของพี่ศินั้นจะเริ่มหายไปบ้างแล้วล่ะมั้งครับ มือกร้านถูกยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมอย่างแผ่วเบา ซ้ำยังเป็นสัมผัสที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน



“วันนี้...พี่ศิไปไหนมา” สัมผัสอันแสนอ่อนโยนนั้นทำให้ผมยอมเอ่ยปากพูดออกมา ซึ่งคำถามที่ผมเอ่ยถามออกไปนั้นทำให้พี่ศิถึงกับสะดุ้งออกมาเฮือกใหญ่ ท่าทางพี่ศิจะรู้แล้วล่ะครับว่าผมนั้นร้องไห้ด้วยเรื่องอะไร แต่ท่าทางอมพะนำแบบนั้นมันไม่เหมือนพี่ศิที่ผมรู้จักเลย คนอย่างพี่ศิไม่ใช่คนชอบปิดบังอะไรและเขาก็ไม่เคยปิดบังอะไรกับผมด้วย



“…มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังเหรอครับ ถ้าพี่ศิไม่บอกว่าไปไหนมาและเอาของที่ซื้อทุกอย่างในวันนี้มาให้กร กรก็ไม่บอกหรอกครับว่ากรร้องไห้เพราะอะไร” ผมรู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าพี่ศิแล้วครับ ซ้ำผมยังรู้สึกสะใจเล็กๆที่ไล่ต้อนพี่ศิได้ และทุกๆคนก็คงสงสัยกันอีกสินะครับว่าทำไมผมถึงฟื้นตัวไว…นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิแกยังกลัวที่จะบอกความจริงกับผมยังไงล่ะครับ ถ้าพี่ศิกลัวแบบนี้นั่นก็หมายความว่าเขายังแคร์ความรู้สึกผมมาก ๆ อยู่



และยิ่งท่าทางแบบนี้ยิ่งทำให้ผมเดาออกเลยครับว่าบังเอิญเจอกันแล้ว น้ำฟ้าไปพูดอะไรใส่พี่ศิจนพี่ศิต้องพาไปเลี้ยงข้าวนั้นล่ะครับ “…ถ้าไม่เล่า…ก็ปล่อยให้กรเข้าใจผิดต่อไปแล้วกันนะครับ คุณพี่ศิรวิทย์” ผมพูดออกมาพร้อมคลี่รอยยิ้มร้ายให้กับพี่ศิ หลังจากผมพูดจบ ผมก็ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบจานแพนเค้กทั้งสองจานเข้าไปเก็บในห้องครัวและจัดการโยนเจ้าแพนเค้กแสนขมนี่ลงถัง เมื่อผมเคลียร์ห้องครัวเสร็จ ผมก็สาวเท้าเดินมาหาพี่ศิที่นั่งอยู่บนโซฟา ตอนนี้คนที่เป็นฝ่ายหนักใจคือพี่ศิแล้วล่ะครับ ผมเห็นพี่ศิกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่พร้อมกับยอมเล่าเรื่องราวออก



“พี่ไปเจอน้ำฟ้าบนสถานีรถไฟฟ้าน่ะ ตอนแรกพี่ก็จำเขาไม่ได้หรอกครับ แต่เขามาทักพอคุยไปคุยมา พี่ก็จำได้ แล้วเขาบอกว่าเห็นพี่น่าจะ…กรอยู่ น้ำฟ้าก็เลยเสนอว่าถ้าเลี้ยงข้าวเธอ เขาจะเล่าเรื่องของกรให้พี่ฟัง…เอ่อ พี่ก็เลย” พี่ศิค่อย ๆ สารภาพ(?)ความผิดของตัวเองออกมา ซึ่งผมก็พยักหน้ารับฟังนะครับและเป็นไปตามอย่างที่ผมคาดเดาครับว่าพี่ศิแกโดนน้ำฟ้าหลอกล่อด้วยเรื่องของผมจริง ๆ ด้วย



ผมทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วตบบ่าพี่ศิเบา ๆ “…ถ้าอยากรู้เรื่องของกร ทำไมไม่ถามกรเอง...กรไม่ใช่พวกปิดบังอะไรต่อมิอะไรหรอกนะ พี่ศิ” ผมพูดตอบพี่ศิด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะพอใจ ซึ่งพี่ศิแกก็รู้ตัวดีครับว่าเขาทำให้ผมไม่พอใจมากๆที่ไปเจอกับผู้หญิงคนนั้น พี่แกเลยพูดขอโทษขอโพยผมเสียยกใหญ่ แต่มันก็ยังไม่ทำให้ผมหายงอนได้หรอกนะครับ ก็พี่ศิทั้งๆที่รู้ฤทธิ์ของเธอดีแล้วแท้ๆ ยังจะไปยุ่งกับเธออีก…แบบนี้มันไม่ไหวเลยนะ…



แต่จุดที่สำคัญจริงๆที่ผมไม่พอใจพี่ศินั่นก็คือการที่พี่แกไปหัวร่อต่อกระซิกกับน้ำฟ้าต่างหาก ผมไม่พอใจตรงจุด ๆ นั้นและที่สำคัญ…ผมน่ะอิจฉาคนสองคนที่ดูเข้าคู่กันเสียเหลือเกิน  ริมฝีปากของผมเม้มแน่นส่วนใบหน้าของผมนั้นหันหนีไปอีกทาง



เมื่อพี่ศิเห็นใบหน้าผมเป็นแบบนั้น เขาก็ทำเหมือนกับที่ไฮซ์ทำกับผมเมื่อสักครู่ นั่นคือการดันหัวของผมให้ลงไปซุกที่บ่าของผมพร้อมกับใช้ท่อนแขนแกร่งอีกข้างของตนโอบกอดผมไว้



ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันต่างจากตอนที่ที่ไฮซ์มันกอดผม เพราะความรู้สึกในขณะที่ไฮซ์กอดผมมันทำให้ผมเหมือนมีเพื่อนคนหนึ่งคอยนั่งอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือผมในยามที่ผมอ่อนแอ…แต่สำหรับพี่ศิ เมื่อผมอยู่ในอ้อมกอดของพี่เขามันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจและมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเผชิญมาทั้งหมดมันหายออกไปจากสมอง (เรียกง่ายๆว่าพี่ศิเป็นที่พักพิงหัวใจผมครับ)



ซึ่งความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้มันก็ทำให้ผมได้เข้าใจครับว่าผมรู้สึกกับพี่ศิแตกต่างกับที่ผมรู้สึกกับคนอื่น ความรู้สึกที่ผมมอบให้พี่ศิมันคงเกินคำว่าคนสำคัญหรือคนพิเศษ และมันก็คงมากกว่าคำว่าแฟนกันแล้วล่ะมั้งครับ



ผมซุกตัวพร้อมกับหลับตาในอ้อมกอดของพี่ศิ แต่ความคิดความคิดหนึ่งของผมมันก็แวบขึ้นมาในสมองของผม ‘แล้วไอของที่พี่ศิไปซื้อกับน้ำฟ้ามันคืออะไร และที่สำคัญหลังจากผมไม่ได้แอบตามพี่ศิแล้วมันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น’ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็ดันตัวเองให้ออกมาจากอ้อมกอดของพี่ศิ มือทั้งสองข้างที่ตอนแรกโอบกอดพี่ศิตอบ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นขย้ำคอเสื้อของพี่ศิแล้วเขย่าไปมาเพื่อถามคำถามที่มันคั่งค้างอยู่ภายในใจของผม “พี่ศิ ไอที่พี่ศิซื้อกับน้ำฟ้ามันคืออะไร แล้วหลังจากออกจากร้านเสื้อผ้านั้นแล้วพี่ศิไปไหนกับน้ำฟ้าต่อหรือเปล่า” ผมเขย่าคอพี่ศิแกอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งการกระทำของผมทำให้พี่แกหัวเราะออกมาเสียงดังเลยครับ มือกร้านทั้งสองข้างค่อยๆแกะมือของผมออกจากคอเสื้อของเขา หลังจากนั้นมือกร้านคู่นั้นก็จับมือของผมให้ไปอยู่ตำแหน่งที่หัวใจ



“ของที่พี่กับน้ำฟ้าซื้อน่ะ เป็นของไอเต๋อครับ ส่วนหลังจากออกจากร้านเสื้อผ้านั้นพี่ก็ขอตัวกลับไปก่อนครับ เพราะพี่ใช้เวลาพักช่วงกลางวันแวะมาซื้อของให้มันก็เท่านั้นเอง” พี่ศิตอบพร้อมกับหัวเราะแห้งๆใส่ผม ซึ่งผมก็หรี่ตามองพี่เขาเพื่อจับโกหกครับ แต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะไม่ได้พูดโกหกผม ผมจึงเลิกมองพี่เขาด้วยสายตาแบบนั้น (แบบนี้เขาเรียกว่าใช้สายตากดดันครับผม)



“อ่า...สบายใจแล้วล่ะ พอสบายใจ กรก็หิวข้าวทันที พี่ศิทำอะไรให้กรกินหน่อยสิ” เมื่อความรู้สึกที่หนักอึ้งในหัวใจหมดไป ท้องที่มันว่างเปล่าก็เกิดอาการหิวขึ้นมาทันที ผมกระแซะตัวเข้าไปใกล้พี่ศิพร้อมกับพูดอ้อนให้พี่ศิทำข้าวเย็นให้ทาน และเมื่อผมอ้อนแบบนี้ มีหรือคนอย่างพี่ศิแกจะไม่ตกลง พี่ศิแกก็ตกลงน่ะสิครับ ร่างสูงนั้นค่อย ๆ ยันกายขึ้นพร้อมกับเดินไปยังห้องครัว แต่ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะเริ่มทำอาหาร เสียงทุ้มนั้นก็เอ่ยดังขึ้นซึ่งประโยคที่เขาเอ่ยออกมานั้น ทำให้ผมรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น



“ความจริงพี่คิดว่าน้ำฟ้าก็ไม่ได้นิสัยแย่เท่าไหร่นะครับ กร ตอนนี้เธออาจจะโตขึ้นจากตอนนั้นแล้ว และคงเข้าใจโลกขึ้นมามากแล้วล่ะครับกร ไว้เจอกันรอบหน้าก็ลองคุยดูนะครับ พี่ว่าเขานิสัยน่ารักกว่าตอนที่เขาโทรมาหากรตอนนั้นแล้วล่ะครับ”



นั้นก็เป็นเพราะผมรู้สึกว่าประโยค ๆ นี้…มันจะเป็นประโยคเริ่มต้นที่อาจจะทำให้ผมกับพี่ศิไม่เข้าใจกันครับ…





_____________________________________________




อีกสามตอนจบค่ะ .... และไม่จบแบบแบดเอ็นแน่นอนค่ะ



ปล. พลอยขอแปะรายละเอียดเล็กน้อยหน่อยนะคะ เชิญกดเข้าไปในลิ้งค์เพื่อนทราบข่าวสารเลยค่ะ หวังว่าจะไม่ผิดกฏนะคะ... โค้ง  http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1060523&chapter=34


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2014 16:29:27 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ atitayalnw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อ่านตอนนี้แล้วเหมือนนั่งรถไฟเหาะ
มันขึ้นๆลงๆ  วูบวาบไปหมด ก่อนจบอ่านๆไปเหมือนจะไม่มีไร
แต่พอบรรทัดสุดท้ายใจหนูตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย
จี๊ดดดเลยเจอประโยคที่ว่านิสัยก็น่ารักดี
ต่อให้นางกลับตัวถ้าเป็นหนู หนูก็ไม่อภัยให้หรอก บ้าไปแล้วพี่ศิ
เดี๋ยวปั๊ดเชียร์ไฮซ์เเทนเลย อ่านตอนนี้แล้วเบื่อความเป็นคนดีของพี่ศิจัง
ใจดีน่ะได้แต่ให้รู้จักขอบเขตบ้างดิพี่ พี่ควรใจดีกับคนทีควรดีด้วย ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนาง
บ่องตงโกรธพี่ศิมากกกเจ็บใจจริงๆ อยากแก้แค้นยัยน้ำเน่านี้จริงๆ หมั่นไส้หล่อนมานานแล้ว
ผู้หญิงที่นอนกับเพื่อนแฟนยังเป็นคนดีได้อีกหรอ??? แค่เจตนาหล่อนก็ไม่บริสุทธิ์แล้ว!!!!!

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
 :katai1: ยังไงเนี่ยพี่ศิ

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
พี่ศิน่าตีจริงๆมาทำน้องกรร้องไห้ได้ยังไงเนี่ยยย

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
แหม...ก็น้ำฟ้าเขาจ้องจับพี่ศิก้ต้องทำตัวน่ารักสิคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
มันยังไงนะคู่นี้ งอนกันบ่อยจัง

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
พี่ศิ อภัยไม่ได้ทำกรเสียใจ
ทำไมถึงคิดว่าน้ำฟ้าจะเป็นคนดีได้
เอาใจช่วยกรนะตอนนี้
ปล.จะบอกว่ายังไม่อยากให้จบอ่าาา ><

ออฟไลน์ shikyu3211

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1
มาปล่อยระเบิดไว้อย่างนี้จะให้เชื่อได้ยังง้ายยยยยยว่ามันจะแฮปปี้

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ตีพี่ศิที ไปเชื่อชะนีล้านเล่มเกวียนอย่างน้ำฟ้าได้ไงคะ

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
เอ๊ะ ยังไงคะพี่ศิ  :m16:

ชิชิ มาทำน้องกรร้องไห้  :serius2:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



สวัสดีค่ะหลังจากที่พลอยทิ้งระเบิดไปเมื่อตอนที่แล้ว คราวนี้เรามาต่อกันแล้วหละคะ ดูสิคะว่าพี่ศิจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ยังไง...หุหุหุหุหุหุหุ




Chapter 33



สิ่งที่นิสิตนักศึกษาไม่อยากจะเผชิญมากที่สุด นอกจากการสอบและเกรดนั่นก็คือการเปิดเทอมครับ ทว่าต่อให้เราครวญครางไม่อยากเปิดเทอมมากขนาดไหน ยังไงๆมันก็ต้องเปิดเทอมอยู่ดี และตอนนี้มหาวิทยาลัยของผมเปิดเทอมได้ราวๆ 2 อาทิตย์แล้วครับ ยิ่งกว่าเปิดเทอมนั้น เรื่องดราม่าที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ศิมันก็ผ่านมาได้ราวๆ 3 อาทิตย์กว่าๆแล้วครับ  และเรื่องราวในวันนั้นผมก็เลือกที่จะไม่พูดหรือขุดมันขึ้นมาอีก ซึ่งเช่นเดียวกันกับพี่ศิเขาก็ไม่คิดที่จะเอ่ยมันออกมาให้ผมรู้สึกแย่หรือรู้สึกไม่ดีครับ



แต่ถ้าถามผมตรง ๆ นะครับ…ตั้งแต่วันนั้นผมยังคงรู้สึกแย่กับคำพูดของพี่ศิครับ ไอคำพูดที่ว่าน้ำฟ้าเธออาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิดนั่นแหละครับ มันเหมือนพี่ศิไม่เชื่อในคำพูดของผมเลย แต่กระนั้นผมก็ไม่คิดที่จะพูดหรือเอ่ยเถียงอะไรออกไปครับ เพราะถ้าผมพูดออกไปมันก็เป็นเหมือนกับการใส่ร้ายเธอครับ ผมเลยเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า แต่นอกจากเรื่องที่พี่ศิพูดเกี่ยวกับน้ำฟ้าใส่ผม มันก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีอีกอย่างหนึ่งครับเพราะว่าจากการที่พี่ศิไปเจอกับน้ำฟ้าวันนั้นไม่ใช่มีผมคนเดียวที่เห็นครับ นิสิตที่ไปเที่ยวที่นั่นก็เห็นทั้งสองคนหัวเราะต่อกระซิกกันจนกลายเป็นประเด็นในอินเตอร์เน็ตเลยล่ะครับว่าพี่ศิเขี่ยผมทิ้งแล้วไปจีบเฟรชชี่คณะนิเทศแทน (พอดีน้ำฟ้าอยู่นิเทศครับ) นั่นเป็นข่าวที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ไปหลายวัน แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วครับ อย่างน้อยผมกับพี่ศิก็ยังคงแฮปปี้กัน ไปเที่ยวด้วยกัน กินข้าวกินขนมด้วยกัน และที่สำคัญนับจากวันนั้นจบจนถึงวันนี้พี่ศิแกก็ไม่ได้พบกับน้ำฟ้าอีกเลย (อันนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดครับ) ผมเลยแฮปปี้จนถึงวันนี้ไงล่ะครับ



และถ้าพูดถึงการเปิดเทอมใหม่ ตอนนี้ผมก็ขึ้นปีสองแล้วล่ะครับ ไม่ใช่เฟรชชี่วัยละอ่อนแล้ว ดังนั้นจากการที่ตัวผมต้องลงไปร่วมกิจกรรมรับน้องกับกิจกรรมประชุมเชียร์ก็กลายเป็นผู้จัดกิจกรรมรับน้องกับการประชุมเชียร์แทน และตอนนี้ผมก็ยืนอยู่เบื้องหน้ารุ่นน้องหลายร้อยตนในฐานะพี่ๆฝ่ายสันทนาการครับ (ผมโดนยัดเยียดให้เป็น ดราม่าแบบสุด ๆ ) ผมถือโทรโข่งคอยสอนน้อง ๆ ร้องเพลงของมหาวิทยาลัยครับ



แต่จะให้ผมสารภาพความจริงไหมครับ…ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าอันที่จริงตัวผมยังร้องเพลงของคณะของมหาลัยยังไม่ได้เลยสักเพลง ดังนั้นก่อนที่ผมจะมาทำหน้าที่ฝ่ายสันฯเนี่ย ผมต้องโดนสหายทั้งหมดลากไปซ้อมร้องเพลงแบบไม่ได้หยุดพักเลยครับ ดังนั้นปีหน้าผมที่จะขึ้นปีสาม ผมจะขอเป็นพี่ว้ากแทนพี่สันฯ ครับ!



“น้องครับ ร้องให้เสียงมันหนักแน่นหน่อยครับ” ผมถือโทรโข่งพร้อมกับกรอกเสียงของตัวเองลงไป เพื่อกำกับให้น้อง ๆ ร้องเพลงตามที่ผมสอน ผมยังคงแหกปากแหกคอสอนน้องร้องเพลงไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นเวลาเกือบๆจะสองทุ่มครึ่งแล้วครับ (กิจกรรมประชุมเชียร์นี่จะเลิกช่วง 3 ทุ่มครับ) ซึ่งหลังจากสองทุ่มครึ่งไปแล้ว ผมก็จะหมดหน้าที่ครับ และคนที่จะมาคุมรุ่นน้องแทนก็คือพี่ว้ากครับ ดังนั้นถ้าผมสอนน้องๆ ร้องเพลงนี้จบ ผมก็จะเป็นไท ได้กลับคอนโดไปกินข้าวและทำการบ้านสักที



“เอาละนะครับ ร้องซ้ำอีกรอบเป็นรอบสุดท้ายนะครับ น้องๆ” เมื่อรอบก่อนหน้ารุ่นน้องร้องเพลงจบ ผมก็เอ่ยสั่งให้น้องร้องซ้ำอีกรอบเพื่อความชัวร์ครับ เพราะว่าถ้าไม่ให้น้องร้องซ้ำเองโดยที่ไม่มีพี่สันฯร้องนำ น้องๆเขาจะร้องกันเองไม่ได้ครับและที่สำคัญน้อง ๆ จะโดนพี่ว้ากเล่นงานหนักเอา (ต่อให้พวกน้องๆร้องกันได้พี่ว้ากก็หาเรื่องมาว้ากน้องอยู่ดีแหละครับ ประสบการณ์พวกนั้นผมผ่านมาแล้ว ผมเจ็บมาแล้ว) และเมื่อรุ่นน้องร้องเพลงกันจบอีกรอบหน้าที่ของผมก็หมดแล้วครับ รุ่นพี่ปีสามเริ่มเดินทยอยกันเดินออกมาจากด้านหลังแล้ว แต่ละคนยืนล้อมรอบแถวของน้อง ส่วนพี่สันฯ ปีสองก็สลายร่างครับ และหลังจากนี้ไปผมก็ไม่รับรู้อะไรแล้วครับว่าน้องๆจะเผชิญโชคอะไร นั่นก็เป็นเพราะผมหิ้วกระเป๋านิสิตและวิ่งไปยังลานจอดรถที่มีคนจอดรอไว้แล้ว



“พี่ศิๆ กรมาแล้ว” ผมเดินไปเคาะประตูรถเพื่อเรียกพี่ศิที่นั่งอยู่ด้านใน ซึ่งร่างสูงที่นั่งอยู่ในรถ เมื่อพี่แกเห็นผมเขาก็ปลดล็อคบานประตูให้ผมก้าวขึ้นรถไป ผมนี่ถลาขึ้นรถทันทีครับและพี่ศิรวิทย์ที่แสนน่ารักของทุกคน (แต่ไม่น่ารักสำหรับผม) ก็เร่งแอร์ให้แรงจนเกือบสุดเพื่อให้ผมคลายร้อนครับ เมื่อพี่ศิแกทำแบบนั้นให้ ผมก็หันไปยิ้มพร้อมกับผงกหัวขอบคุณพี่ศิเค้าครับ



“หิวแล้วล่ะสิครับกร เอานี่ไปกินนะ” ร่างสูงที่สวมชุดไปรเวทนั้นยื่นข้าวกล่องมาให้ผม ซึ่งภายในนั้นเป็นอาหารฝีมือพี่ศิเขาครับ แล้วทำไมพี่ศิถึงสวมชุดไปรเวทย์คงคิดกันแบบนี้สินะครับ ที่พี่ศิสวมชุดไปรเวทนั่นก็เป็นเพราะพี่ศิไม่มีเวรครับ วันนี้พี่แกเลยกลับไปที่หอก่อนแล้วค่อยมารับผม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้นครับ แต่เวลาพี่ศิมีเวรผมจะเป็นคนนั่งรอเขาหรือขับรถมาเองครับ (ความจริงพวกเราตกลงกันไว้นะครับ ว่าถ้าพี่ศิว่างพี่ศิจะไปรับมาส่งผม ถ้าไม่ว่างผมจะขับรถมาเอง หรือรอพี่ศิเขาเข้าเวรเสร็จครับ แล้วจะกลับคอนโดด้วยกัน) ผมที่นั่งอยู่ในรถและคาดเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการเปิดข้าวกล่องที่พี่ศินำมาให้และเริ่มลงมือจัดการมันทันที



กับข้าวที่พี่ศิทำให้ผมกินรสชาติมันยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยล่ะครับ ยังอร่อยเหมือนเดิม ผมค่อยๆนั่งทานไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็ทานข้าวจนหมดกล่อง (ซึ่งมันหมดก่อนผมกับพี่ศิจะถึงคอนโดครับ นี่ไม่เรียกว่ากินหรอกครับ ผมเรียกว่ากระซวกเข้าปากดีกว่า) และเวลาก็ผ่านไปสักพักรถ BMW ของพี่ศิก็เคลื่อนที่เข้าไปจอดในลานจอดรถของคอนโดครับ ผมเด้งตัวออกมาจากรถพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้กับพี่ศิ



ผมเดินไปที่ลิฟต์เพื่อกดลิฟต์รอ แต่ในช่วงขณะนั้นมือถือของพี่ศิที่ผมยืมมาฟังเพลงอยู่ โปรแกรมไลน์ก็ดังขึ้นครับ…และคนที่ส่งข้อความนั้นมาให้ก็คือ ‘น้ำฟ้า’ นั่นเอง คิ้วของผมขมวดเป็นปมแน่นพร้อมกับนิ้วมือที่ที่กดลงไปที่โปรแกรมไลน์เพื่ออ่านบทสนทนาที่พี่ศิคุยกับน้ำฟ้าครับ



ข้อความที่น้ำฟ้าส่งมาเป็นข้อความถามเกี่ยวกับการเดินทางของพี่ศิครับ เธอเมสเสจมาว่า ‘พี่ศิคะ ตอนนี้พี่เดินทางถึงบ้านหรือยังคะ ถ้ายังไม่ถึง ขับรถดีๆนะคะ น้ำฟ้าเป็นห่วง’ ผมอ่านแล้วรู้สึกขนลุกน้อยๆ และถ้าเปรียบความอดทนเป็นเส้นด้าย 100 เส้น ตอนนี้เส้นไหมนั้นขาดไปหนึ่งเส้นแล้วครับ ผมกดไล่อ่านข้อความไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำฟ้าที่ส่งข้อความมาหาพี่ศิเขาครับ (ก็ยังดีหน่อยที่พี่ศิไม่ค่อยจะตอบกลับ) แต่ผมอ่านไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกเส้นด้ายแห่งความอดทนของผมขาดไปทีละเส้นสองเส้น และในที่สุดตอนนี้ความอดทนของผมถึงขีดสุดแล้วครับ ถ้าเกิดเจอประโยคอะไรเด็ดๆอีกสักประโยคนะ ผมคงโยนโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ทิ้งลงไปกับพื้นแน่ๆ และคงไม่ใช่ทิ้งลงไปที่พื้นธรรมดา มันจะเป็นการเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังจากลานจอดรถชั้น 6 ลงไปชั้นล่างครับ ผมกวาดสายตาไล่อ่านข้อความไปเรื่อยๆ และมันก็เป็นไปอย่างที่ผมคิดครับ ข้อความใหม่ของน้ำฟ้าที่ส่งมาทำให้ผมถึงกับเผลอปล่อย (เรียกว่าเผลอปาทิ้งมากกว่าครับ) โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังของพี่ศิลงพื้น เมื่อผมอ่านข้อความพวกนั้นจบ ‘ขอบคุณนะคะที่ออกมาทานข้าวกับน้ำฟ้า แต่น่าเสียดายจังเลยที่เราอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน เพราะพี่ศิต้องไปรับพี่กรกลับคอนโด น้ำฟ้าเข้าใจนะคะ แต่ถ้ามันลำบากมาก ทำไมไม่เลิกไปรับไปส่งพี่กรล่ะคะ พี่กรเป็นคนเอาแต่ใจ น้ำฟ้าคิดว่าคนอย่างพี่ศิต้องอดทนมากกับพี่กรแน่ ๆ เลย น้ำฟ้าเลยอยากเตือนพี่ศินะคะ เลิกยุ่งกับพี่กรเถอะค่ะ’ ประโยคนี้ทำให้ผมถึงกับสะอึก ผมเอาแต่ใจ งี่เง่ากับพี่ศิเป็นเรื่องจริง…เรื่องนี้มีพี่ศิที่รู้แล้วก็เพื่อนๆของผมที่รู้ แล้วน้ำฟ้ามารู้เรื่องนี้ได้ยังไง ผมไม่เคยแสดงด้านนี้ให้น้ำฟ้าเธอเห็นนะ…หรือว่าพี่ศิเอาเรื่องของผมไปเล่าให้เธอฟัง แล้วทั้งสองคนนี้พบกันกี่ครั้งแล้ว เจอกันโดยที่ผมไม่รู้ พี่ศิโกหกผมมาตลอดเลยเหรอ



ผมที่ยืนกดลิฟต์รอพี่ศิก็เปลี่ยนเป็นเข้าลิฟต์หนีไปทันทีที่ปาโทรศัพท์ของพี่ศิลงพื้น หน้าจอของโทรศัพท์เครื่องนั้นแตกร้าว ซึ่งมันเป็นเช่นเดียวกับหัวใจของผมที่มันเริ่มแตกร้าวแล้วเช่นกัน



เมื่อผมขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นที่ 14 ผมก็รีบถลาเข้าห้องส่วนตัวและทำการปิดล็อคประตูห้องทันที ที่ผมทำเช่นนั้นก็เพราะผมยังไม่อยากคุยกับพี่ศิตอนนี้ครับ มือถือที่ผมปาลงพื้นนั้นยังเปิดโปรแกรมไลน์ค้างไว้และเชื่อว่าผมพี่ศิต้องได้อ่านข้อความพวกนั้นต่อจากผม และหลังจากนั้นพี่ศิคงเข้ามาพูดมาโกหกอะไรให้ผมฟังอีกแน่นอน ผมไม่อยากโดนพี่ศิแกเป่าหูหรือใช้คำลวงอะไรมาหลอกผมอีกแล้วครับ ผมกลั้นน้ำตาตัวเองไว้พร้อมกับกดปิดโทรศัพท์มือถือของตน



ใจก็ไม่อยากปล่อยเรื่องนี้ให้มันยืดยาวไปถึงพรุ่งนี้ แต่สภาพของผมในตอนนี้ไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรจากปากของพี่ศิเขาครับ ถ้าพูดกันไปมันก็ไม่พ้นการผิดใจกัน ทั้งๆที่หลักฐานคาตา…พี่ศิไม่มีทางเถียงผมได้ นอกเสียจากพี่ศิจะโกหกผมครับ



ผมนอนขดตัวอยู่บนเตียงไปตอนนี้เวลาก็ตีสามเข้าไปแล้ว แต่ผมก็ยังข่มตาตัวเองให้นอนหลับไม่ได้เลยครับ ในสมองของผมมีแต่เรื่องราวของพี่ศิและน้ำฟ้าตีกันไปกันมา และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นพี่ศิที่น่าจะร้อนรนเกี่ยวกับอาการของผม เขายังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยครับ ไม่มาแม้แต่เคาะประตูห้องนอนของผมและคงไม่ได้เข้าห้องของผมมาด้วยล่ะมั้งครับ ผมเม้มปากของตัวเองแน่นและก็ยังนอนขดตัวอยู่บนเตียงผมนอนถ่างตาอยู่แบบนั้น จนกระทั่งแสงของยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ผมเปิดผ้าม่านทิ้งไว้



ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นและพาร่างกันไร้เรี่ยวแรงของตัวเองไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อสวมเป็นเสื้อนิสิตพร้อมกับเตรียมหนังสือเรียนเพื่อไปเรียนในวันนี้เมื่อผมจัดกระเป๋าเสร็จผมก็ปลดล็อคประตูห้องนอนของตัวเอง แต่เมื่อผมเปิดประตูออกไปผมก็พบกับร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งหลับอยู่ข้างๆประตูห้องนอนของผม ซึ่งผมก็ไม่อยากจะให้ทุกๆท่านคาดเดาว่าคนนั้นคือใครแต่ถ้าจะเดากัน ผมก็คิดว่าทุกๆคนน่าจะเดาถูกนะครับเพราะคนๆนั้นก็คือพี่ศินั่นเอง



เมื่อผมเห็นสภาพของพี่ศิ ผมก็ทรุดตัวลงไปนั่งข้างๆพี่เขาและพยายามปลุกให้พี่ศิเขาตื่น “พี่ศิครับ…พี่ศิ” ผมเขย่าแขนของพี่ศิเบาๆ พร้อมกับร้องเรียกชื่อของเขา การกระทำแบบนั้นทำให้ร่างที่หลับใหลอยู่ตื่นขึ้นมาและเมื่อเขาเห็นผม เขาก็ถลาเข้ามากอดผมแน่นทันที มือกร้านลูบหัวของผมอย่างอ่อนโยน



“กรครับ…กรกำลังเข้าใจพี่ผิดนะครับ ฟังพี่อธิบายเถอะ พี่ขอร้องล่ะ” พี่ศิเขาพยายามพูดอธิบายให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องข้อความในมือถือนั่น แต่ผมกลับส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับแกะมือของพี่ศิออกจากร่างกายของผม ซ้ำผมยังใช้น้ำเสียงที่แสนเย็นชาพูดใส่พี่ศิกลับไปเสียอีก “พี่ศิกลับไปเปลี่ยนเสื้อไปเรียนที่ห้องสิครับ มายุ่งกับคนเอาแต่ใจอย่างกรทำไม อ่อ..แล้วคนทานข้าวด้วยก็มีแล้วนี่ ทีหลังไม่ต้องมารับกรแล้วก็ได้นะครับ มันคงลำบากน่าดูถึงต้องเอาไปบ่นให้คนอื่นฟัง”



เมื่อผมพูดประโยคพวกนั้นจบ ผมก็เดินหิ้วกระเป๋าพร้อมกับหยิบกุญแจรถออกจากห้องของตัวเองไปทันที เมื่อบานประตูเบื้องหลังของผมปิดลง ร่างของผมก็ทรุดนั่งลงไปที่พื้นทันที…ทำไมผมถึงพูดแบบนั้นกับพี่ศิไปนะ หยาดน้ำตาของผมค่อยๆ เอ่อล้นออกมา ก่อนที่มันจะรวมตัวเป็นหยดน้ำและค่อยๆไหลรินออกมาอย่าไม่ขาดสาย



ผมนั่งสะอึกสะอื้นอยู่หน้าห้องนานพอดู และในท้ายที่สุดบานประตูห้องของผมก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงที่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ผมหันหน้าไปมองพี่ศิเขาและเตรียมที่จะลุกขึ้นหนีไปทว่ามือกร้านข้างหนึ่งของร่างนั้นกับเอื้อมมือมารั้งผมไว้ “กรครับ วันนี้เรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยสั่นเครือพร้อมๆกับผมที่พยักหน้าตอบตกลงกับพี่ศิทั้งน้ำตา



ยังไง…ผมก็ยังคงใจอ่อนให้กับพี่ศิเสมอ…



(และที่สำคัญที่สุดเหมือนผมจะลืมไปว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ครับ ผมไม่มีเรียนและพี่ศิก็ว่าง อันนี้ทำเอาผมหน้าแตกเลยตอนที่ผมกลับเข้าห้องของตัวเองและหันไปดูปฏิทิน บางทีความกังวลมันทำให้สมองของเราเบลอจนจำวันเวลาไม่ได้ครับ อันนี้ผมไม่ได้แก้ตัวนะ)



ตอนนี้พวกเราทั้งสองคนนั่งอยู่ภายในห้องนั่งเล่นของห้องผมครับ ผมนั่งก้มหน้าดวงตาของผมยังคงมีน้ำตาคลออยู่น้อยๆ ส่วนพี่ศิพยายามหันหน้าหนีผมเพื่อหลบซ่อนดวงตาที่แดงก่ำของตัวเองไว้ (แต่เอาจริงๆเราทั้งสองยังคงนั่งอยู่ข้างๆกันครับ)



“…จะให้กรฟังเรื่องอะไรล่ะครับ พี่ศิ” ผมเอ่ยถามเสียงสั่น แต่ไม่ใช่แค่เสียงของผมเท่านั้น ร่างกายของผมก็สั่นไปด้วย สั่นเพราะความกลัวเรื่องราวที่พี่ศิเอ่ยออกมา ทว่าการกระทำของพี่ศิที่ทำออกมา หลังจากที่ผมเอ่ยถามกลับแปลกประหลาดเพราะเขายื่นโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอร้าวมาให้ผมแล้วพูดใส่ผมอย่างแผ่วเบาว่า “ช่วยทำให้มันพังทีครับ กร”



เมื่อได้ยินประโยคนั้น ผมถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัย หยาดน้ำตาที่ไหลรินนั้นกลับหยุดไปซะอย่างนั้น “พี่ศิ…ทำไมอ่ะ” ผมกล่าวถามเขาต่อ แต่พี่ศิเขาไม่ยอมตอบแถมเอ่ยพูดกับผมราวกับว่าไอมือถือเครื่องที่พี่เขาจะให้ผมพังมันราคามันถูกๆอย่างนั้นแหละ “พี่เมมชื่อคนรู้จักใส่ซิมหมดแล้วครับ แล้วพี่ก็ไม่ได้มีเบอร์โทรศัพท์ของผู้หญิงคนนั้นด้วย พี่มีแต่ไลน์ของเขาที่พี่กับเธอแลกเปลี่ยนกันในวันที่ไปบังเอิญเจอกันที่พารากอนครับ ซึ่งพี่ไม่รู้ว่าการที่พี่ไปเจอเธอในวันนั้นมันจะทำร้ายกรมากจนถึงขนาดนี้ พี่ไม่รู้เลยจริงๆ แล้วเรื่องข้อความต่างๆที่เธอคนนั้นส่งมาให้ในไลน์ พี่ไม่ได้เปิดเข้าไปอ่านด้วยซ้ำครับ เพราะพี่ไม่มีเวลามากขนาดนั้น ส่วนมากที่พี่ตอบไลน์ก็จะตอบแค่กรคนเดียวครับ ส่วนคนอื่นพี่จะให้การโทรหาเอา แต่เพื่อความสบายใจของกร พี่ยอมให้กรพังโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ทิ้งครับแล้วอาทิตย์หน้าเราไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่กัน คราวนี้พี่คิดว่าจะซื้อเป็นคู่กับกรเลย”



คำพูดของพี่ศิที่เอ่ยออกมานั้นทำให้ผมถึงกับสะอึก มือทั้งสองข้างของผมยื่นไปรับโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นมาพร้อม ๆ กุมมันไว้แน่น “พี่ศิแน่ใจแล้วเหรอ…จะให้กรพังมันน่ะ” ผมเอ่ยถามพี่ศิออกไปอีกครั้งและคำตอบที่พี่ศิแกตอบมาให้ผมก็ยังคงเป็นเช่นเดิม นั่นก็คือเขาให้ผมพังโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ทิ้งซะ ใบหน้าคมพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกับยื่นมือมากุมที่มือผมไว้



“เอามันให้พังสะใจไปเลยกร พี่อนุญาต” พี่ศิแกพูดติดตลกและคำพูดพวกนั้น ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง คราบน้ำตาที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ถูกลบล้างไปแล้ว



ผมถือโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังไว้แน่นพร้อมกับใช้ความคิด ความจริงผมก็ไม่อยากจะทำอะไรแบบนั้นหรอก แต่เมื่อน้ำฟ้าไม่เลิกราวีกับพี่ศิ (ของผม) ผมก็จะต้องตอบโต้เธอกลับเช่นครับ ผมขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนโซฟาพร้อมกับยกโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นขึ้นพร้อมกับกดเปิดโหมดกล้องถ่ายรูป จากนั้นผมก็ค่อย ๆ บรรจงเอาริมฝีปากของตัวเองจรดไปที่แก้มของพี่ศิพร้อมกับกดชัตเตอร์ถ่ายภาพนั้นไว้



การกระทำของผมทำให้พี่ศิแกตกใจเป็นอย่างมาก แต่พี่แกก็รู้แหละครับว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้น หลังจากที่ผมรัวชัตเตอร์ไปหลายต่อหลายภาพ ผมยิ้มเย็นเยือกและส่งภาพเหล่านั้นหลายมุมมองไปให้น้ำฟ้าดูผ่านไลน์ครับ เมื่อส่งเสร็จ ผมก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายในลำคอพร้อมกับจ้องมือถือเครื่องนั้นรอการตอบกลับจากน้ำฟ้า ซึ่งไวดั่งใจคิดครับ คำแรกที่เธอส่งมา ‘วิปริต’ คำที่สองนี่ ‘ทุเรศ’ คำที่สามและคำต่อ ๆ ไปนี่ยาวเหยียดเป็นหางว่าวเลยครับ ผมรำคาญจัด เลยจัดข้อความยาว ๆ ส่งไปให้เธออีกสักดอก ซึ่งข้อความที่ผมเขียนตอบเธอไปนั้น เธอคงจะกระอักเลือดตายเลยมั้งครับเพราะผมเขียนตอบเธอไปว่า



‘ขอโทษด้วยนะน้ำฟ้า ข้อความและรูปพวกนี้จากกรเอง เราแค่ส่งไปเพื่อบอกเธอว่าเลิกยุ่งกับของของเราสักที ถ้าไม่เลิกเธอคงจะรู้นะว่าการที่ตัวเองถูกคนทั้งมหาวิทยาลัยตราหน้าว่าแย่งสามีชาวบ้านมันหมายความว่ายังไง คนทั้งมหาลัยเค้ารู้กันหมดแล้วว่ากรเป็นอะไรกับพี่ศิ มีแต่น้ำฟ้านี่แหละที่ไม่รู้ อ่อ...แล้วช่วยเลิกส่งข้อความมาราวีพี่ศิสักที ตั้งใจให้เราสองคนทะเลาะกันเหรอ ไม่มีทางหรอก เข้าใจนะ เก็บหางของเธอไปด้วย เราทั้งสองคนรู้ธาตุแท้ของเธอมาตั้งนานแล้ว แค่ไม่อยากจะพูดเอง’ และเมื่อผมพิมพ์ไอประโยคยาวเหยียดนั้นจบ ผมก็กดส่งเมสเสจใส่เธอด้วยความสะใจพร้อมกับกดบล็อคนางเป็นที่เรียบร้อย



ซึ่งพี่ศิที่เห็นท่าทางแบบนั้นของผม เขานี่ถึงกับพูดออกมาเลยครับว่า “กรน่ากลัวมาก” เมื่อได้ยินประโยคที่พี่ศิพูดใส่ผมผมก็หันไปส่งรอยยิ้มหวานให้กับพี่ศิ หลังจากนั้นริมฝีปากของผมก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แสนชั่วร้าย



“ใครมายุ่งกับของของกร คนของกร...ก็ต้องโดนเล่นให้ถึงที่สุด ต้องเอาให้ตายกันไปข้าง แต่ทำไปแบบนี้เป็นเหมือนกับการเย้ยน้ำฟ้า กรเชื่อว่าเธอต้องตามราวีพี่ศิแน่นอน” ผมเอ่ยตอบพี่ศิไป ก่อนจะเงียบเสียงตนลงไปชั่วครู่ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำถัดไปออกมา “พี่ศิก็น่าจะรู้ฤทธิ์กรแล้วนะ…ดังนั้น ถ้าพี่ศิทำอะไรให้กรเสียใจอีก…เตรียมตัวตายได้เลยพี่”



เมื่อร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมได้ยินเช่นนั้นเขาก็หัวเราะแห้งๆออกมาพร้อมกับเร่งพูดให้ผมพังมือของของเขาสักที “กรพังโทรศัพท์มือถือพี่สิครับ แล้วหลังจากนั้นเราไปซื้อเครื่องใหม่กัน” เมื่อเจ้าของเขาร้องเรียกมาแบบนั้น…ผม นายรณกรก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธคำเรียกร้องนั่นครับ ขั้นแรกผมปากโทรศัพท์ไอถือของพี่ศิลงพื้นอีกครั้งพร้อมกับใช้เท้า (ที่สวมสลิปเปอร์อยู่) กระทืบมันไปทีหนึ่ง และหลังจากนั้นผมก็เดินไปตั้งหม้อและจุดไฟรอจนน้ำเดือด หลังจากนั้นผมก็โยนโทรศัพท์มือถือของพี่ศิลงไปในหม้อนั่นล่ะครับ



การกระทำของผมทั้งหมดทำให้พี่ศิกลืนน้ำลายลงคอเลยล่ะครับ ท่าทางพี่ศิแกจะไม่เคยเห็นผมโหมดนี้ล่ะมั้งครับ แกเลยออกจะตกใจสักเล็กน้อย ความจริงไม่เล็กน้อยครับ ดูเหมือนจะตกใจเอาเรื่องเลยล่ะ



ผมแสยะยิ้มมองโทรศัพท์มือถือยี่ห้อผลไม้ที่ถูกต้มในน้ำเดือด เมื่อผมต้มไปได้สักพัก ผมก็นำมันออกมาจากหม้อครับ และตามด้วยเอามันโยนลงกะละมังที่ใส่น้ำผสมน้ำแข็งไว้ (ผมคิดว่ามันเป็นการทรมานมือถือที่ซาดิสม์ที่สุดแล้วครับ)


v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

เมื่อผมทำจนพอใจ ผมก็เดินย้อนกลับมาหาพี่ศิครับพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งข้างๆพี่เขา พี่ศิแกจะดูเหงื่อตกกับการกระทำอันแสนโรคจิตของผมเล็กน้อย แต่พี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรออกมาครับ ซ้ำยังจับหัวของผมให้เอนไปซบบ่าของเขาเสียอีก และผมซึ่งเอนไปซบบ่าของเขาก็เริ่มจะง่วงขึ้นมาหน่อยๆแล้วครับ เพราะเนื่องจากเมื่อคืนผมไม่ได้นอนทำให้ผมสะลึมสะลืออยู่บนบ่าของพี่ศิ ซึ่งเหมือนพี่แกจะรู้ดีนะครับร่างสูงที่ผมเอนไปซบเปิดริมฝีปากของตนเองออกและค่อย ๆ เอ่ยถ้อยคำออกมาเสียงเบา “ถ้ากรง่วง กรนอนไปเลยก็ได้ครับ รู้สึกว่าเมื่อคืนจะไม่ได้นอนเลยสักตื่นนี่” พี่ศิลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนเขาจะค่อยๆ ยันกายขึ้นพร้อมกับเดินไปยังห้องครัว ผมส่งเสียงร้องเรียกตามไปแต่คำตอบที่พี่ศิเอ่ยตอบมานั้นมันไม่เข้าหัวผมซะแล้วครับ เมื่อดวงตาของผมปิดสนิทลง โหมดเจ้าชายนิทราของผมก็เริ่มต้นขึ้น



ร่างสูงของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ได้แต่มองร่างโปร่งที่หลับใหลอยู่บนโซฟา ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมา เมื่อคืนมันมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ตัวเขากับเจ้าตัวแสบนี่ผิดใจกัน แต่ตอนเช้าเรื่องราวทั้งหมดก็เคลียร์ได้อย่างลงตัว เขาไม่รู้เป็นเพราะว่าเจ้าตัวแสบที่นอนหลับอยู่เป็นคนเข้าใจง่ายเกินไป หรือวิธีทำของเขามันดูบ้าระห่ำเกินไป แต่ก็นะ อะไรที่ทำให้เจ้าตัวแสบนี่ยิ้มได้เขาก็พอใจมากแล้ว



เมื่อสายตาคมนั้นจ้องร่างโปร่งที่นอนอยู่บนโซฟาจนพอใจ หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าห้องครัวพร้อมกับเปิดตู้เย็นเพื่อนหาวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร ‘ถ้าเกิดกรตื่นขึ้นมา ต้องมีบ่นว่าหิวไม่ก็ปวดท้องแน่ๆ ดังนั้นเขาก็ต้องทำอะไรให้เจ้าตัวแสบจอมโวยวายนี่ทานรองท้องสักหน่อยแล้วค่อยพาออกไปทานข้าวเย็นแล้วกัน’ ร่างสูงนั้นอมยิ้มกับความคิดตน และเริ่มลงมือทำเมนูอาหารที่เจ้าตัวแสบของเขาโปรดปราน



แต่ก็คงทำได้เท่าที่…วัตถุดิบมันมีแล้วกันนะครับ…

 




ผมซึ่งที่นอนหลับไปได้สักพัก (แต่คงกินเวลาเป็นชั่วโมงอยู่) ก็ตื่นขึ้นและพบกับอาหารที่พี่ศิแกทำเตรียมไว้ ผมเดินสะลึมสะลือพร้อมกับขยี้ตาไปด้วยเข้าไปหาพี่ศิ ซึ่งพี่ศิที่รับรู้ได้ถึงการมาของผม เขาก็หันหน้าออกจากเตาและส่งยิ้มจางๆมาให้ผม แต่ผมก็ไม่ได้ยิ้มตอบพี่เขาไปหรอกนะครับ เพราะสภาพของผมตอนนี้ตายังลืมไม่ค่อยจะขึ้นเลย ผมคลานไปนั่งที่โต๊ะพร้อมๆ กับรอให้พี่ศิเอาอาหารมื้อเช้า (แต่ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเที่ยงมา) เสิร์ฟให้ผม ผมนั่งมองข้าวต้มกระดูกหมูที่พี่ศิทำไว้ให้ก่อนจะค่อยๆตักมันเข้าปาก ทว่าความร้อนนั้นมันทำให้ผมตาสว่างครับ ผมไอค่อกแค่กไป มือก็ควานหาแก้วน้ำไป แต่กว่าจะได้น้ำมาล้างปากไอความร้อนในปากของผมก็หมดไปแล้วครับ และมันก็เหลือแต่ลิ้นกับริมฝีปากของผมที่บวมแดงเพราะความร้อน ผมรับน้ำจากมือของพี่ศิมาดื่มเสียอึกใหญ่



“ร้อนจัง…ทำให้อุ่นกว่านี้หน่อยไมได้เหรอ พี่ศิ” ผมพูดบ่นพร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่พี่เขา และร่างสูงที่เห็นผมทำท่าทางแบบนั้นใส่ เขาก็เผลอหัวเราะออกมาเสียงดัง มือกร้านถูกยืนออกมาแตะที่ปลายจมูกของผมแล้วบีบเบาๆการกระทำแบบนั้นของพี่ศิทำให้ผมยิ่งทำหน้ามุ่ยใส่เขามากขึ้นไปอีก แต่ผ่านไปสักพักร่างสูงนั้นก็ปล่อยมือออกจากจมูกของผม ริมฝีปากหนาประดับไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเอ่ยชวนผมให้ออกไปทานข้าวด้วยกันตอนเย็น “พี่ทำอะไรเบาๆ ให้กรรองท้องก่อนนะครับ แล้วเย็นนี้เราสองคนค่อยไปหาอะไรทานข้างนอกกัน” พี่ศิแกเอ่ยชวน ในขณะที่ผมข้าวเต็มปาก ผมก็เลยได้แต่พยักหน้าตอบตกลงพี่ศิแกไป



เมื่อผมตอบไปแบบนั้น พี่ศิก็คลี่รอยยิ้มออกมากว้างยิ่งกว่าเก่า เขายกมือขึ้นมาวางแหมะไว้ที่หัวของผม ก่อนจะลุกขึ้นไปตักข้างต้มมานั่งทานเป็นเพื่อน



ผมนั่งคุยกับพี่ศิอย่างออกรสออกชาติ บ้างก็แกล้งไปตักเนื้อหมูในจานพี่ศิมาเข้าปากบ้าง แล้วก็โกยพวกผักชีในจานไปใส่ในจานของพี่ศิบ้าง เราทั้งสองคนเล่นแบบนี้กันไปสักพัก ในที่สุดข้าวต้มในจานของเราทั้งสองคนก็หมด ผมยันกายลุกขึ้นไปทำหน้าที่เดิม ซึ่งพี่ศิก็เช่นกัน (หน้าที่เดิมของพวกเราสองคนคือช่วยกันล้างจานครับ) เมื่อเราทั้งสองคนจัดการทำความสะอาดครัวที่แสนจะเลอะเทอะของผมเสร็จแล้ว เราสองทั้งสองคนก็ย้ายสำมโนครัวไปนั่งกองรวมกันที่โซฟา และก็ยังคงทำกิจวัตรเช่นเดิมเหมือนกับทุกๆวัน นั่นก็คือการดูทีวีครับ (และนอกจากดูโทรทัศน์แล้วก็มีการตบตีแย่งชิงรีโมตกันบ้าง เพราะจะแย่งกันดูช่องที่ตัวเองชอบครับ)



แต่วันนี้ท่าทางการดูทีวีของเราสองคนจะแปลกไปเสียหน่อยนั่นก็เป็นเพราะพี่ศิไม่ได้อ่านหนังสือไปด้วยดูโทรทัศน์ไปด้วย ส่วนผมก็ไม่ได้เล่นโซเชียลไปด้วยและดูโทรทัศน์ไปด้วย แต่วันนี้เราสองคนกับพูดคุยกันมากกว่าจะหันไปทำกิจกรรมซึ่งเป็นงานอดิเรกของตัวเอง



“พี่ศิรู้หรือเปล่า กิจกรรมประชุมเชียร์มันน่าเบื่อมาก กรเบื่อตั้งแต่ตอนเป็นรุ่นน้องเลย ถ้าเกิดไม่ได้เกียร์ กรไม่เข้าประชุมหรอก โดนคนที่ไม่รู้จักมาพูดเสียงดังใส่ โวยวายใส่ มันเป็นอะไรที่แย่มาก กรไม่ชอบพี่ว้ากเลย” ผมพูดพร้อมกับเบ้ปากออกมาด้วยความไม่พอใจ ซ้ำผมยังเล่าย้อนไปถึงความขมขื่นตอนเข้าประชุมเชียรตอนปีหนึ่งของตัวเองให้พี่เขาฟังเสียอีก ‘ก็มันน่าแค้นใจสิครับ ยืนตรง หน้าเชิด ห้ามหันซ้ายหันขวา การสั่งแบบนั้นของพี่ว้ากทำเอาผมจะลุกไปต่อยพี่เขาหลายทีแล้วล่ะครับแต่ก็นะ ผมก็อดทนจนได้เกียร์มาจนได้’



พี่ศิแกหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเอามือลูบศีรษะของผมที่นอนอยู่บนตักของเขา ผมดิ้นและพูดโวยวายคนเดียวออกมาเรื่อยๆ ในที่สุดพี่ศิที่นิ่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยถามผมกลับครับ “เอ้า…ถ้ากรเบื่อแบบนี้แล้วยังเข้าประชุมเชียรทำไมล่ะ พี่เห็นเราไม่ค่อยจะสนใจอะไรเท่าไหร่ด้วย ขนาดกิจกรรมบังคับยังแอบโดดได้เลย ทำไมคราวนี้ไม่โดด”



พี่ศิแกถามเพราะแกรู้นิสัยผมครับ เพราะผมมันเป็นพวกชอบโดดร่ม กิจกรรมสำคัญขนาดไหนก็จะไปแค่เช็คชื่อเท่านั้นแล้วก็โดดกลับทันที และถ้ามีเช็คชื่อสองรอบผมก็ให้ไอเจมส์กับไอบาส ผู้ชอบกิจกรรมทุกชนิดเช็คชื่อให้ครับ อำนาจมืดแบบสุดๆ เลยเห็นไหมล่ะ ผมน่ะ (ถ้ากิจกรรมที่ชอบก็คือการเข้าค่ายหรืออะไรพวกนั้น ถ้านอกเหนือจากนี้ผมก็โดดเกือบทุกกิจกรรมครับ)



“ไม่รู้สิ มองน้องๆแล้วสงสารมั้ง พี่ศิ ตอนกรไปยืนตรงจุดๆนั้น กรก็อยากจะลุกขึ้นไปต่อยพี่ว้ากบ้าง เพื่อนบางคนก็ร้องไห้บ้าง แต่เราก็มีพวกรุ่นพี่ฝ่ายสันฯ ช่วยให้พวกเราผ่านมาได้ ตอนนี้กรที่รับหน้าที่นั้น กรก็เลยอยากช่วยให้น้อง ๆ หลุดพ้นจากนรกที่เรียกว่าพี่ว้ากไง” ผมพูดพร้อมกับแหงนหน้ามองพี่ศิ ซึ่งพี่ศิเขาก็ก้มลงมาพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างให้แก่ผม มือกร้านนั้นลูบหัวของผมด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำชม(?) หรือว่า(?) ผมออกมา “ไม่อยากให้น้องๆโดนเหมือนกับที่ตัวเองโดนนี่เอง กรก็มีมุมใจดีกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย พี่ไม่ยักรู้เลย” เมื่อพี่ศิเอ่ยจบ เขาก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ผมนี่ใช้เวลาคิดสักพักจนกว่าจะเข้าใจในสิ่งที่พี่ศิแกพูด



ดังนั้นผมก็จัดการเอามือทั้งสองข้างจี้เอวโดยหวังว่าจะจี้ให้พี่เขาหัวเราะจนหายใจไม่ทัน แต่ดูเหมือนผมจะพลาดล่ะครับ เพราะว่าพี่ศิ…แกไม่บ้าจี้ครับ ผมเลยต้องนั่งหงอยเพราะว่าทำอะไรพี่ศิแกไม่ได้



แต่บทสนทนาของเราทั้งสองคนก็ไม่จบลงที่ความผิดพลาดของผมนะครับ พวกเราทั้งสองคนสนทนาเกี่ยวกับเรื่องกิจกรรมหลายๆอย่างของคณะของมหาวิทยาลัยไปเรื่อยๆ และในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงบ่าย  เมื่อพี่ศิแกดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือแล้วพี่ศิแกก็เอ่ยปากชวนผมไปดูหนังพร้อมกับทานข้าวเย็นข้างนอกครับ อันตัวผมก็ไม่ได้อยากจะดูหนังอะไรนักหรอกก็แค่เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งแล้ววิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองในห้องทันทีก็เท่านั้นเอง (เห็นไหม ผมไม่ใช่คนที่เห็นแก่การเที่ยวเลยนะ ของฟรี กินฟรี นี่ก็ไม่ได้อยากได้เล๊ย…แล้วไอที่ผมรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นก็เป็นเพราะว่าผมอยากรักษาน้ำใจพี่ศิต่างหากล่ะ ถ้าไม่แสดงอาการกระตือรือร้นอยากไป เดี๋ยวคนชวนจะน้อยใจแย่)



ส่วนพี่ศิที่เห็นผมวิ่งเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเขาก็ตะโกนจากห้องนั่งเล่นเข้ามาในห้องส่วนตัวของผมว่าเขานั้นขอไปเตรียมตัวที่ห้องของตัวเองบ้าง ซึ่งผมก็ตอบตกลงไป



และผมก็ใช้เวลาไม่นาน ตอนนี้ผมก็อยู่ในชุดเสื้อมีฮู้ดแขนกุดสีขาวเสื้อตัวในสีฟ้า ส่วนด้านล่างของผมเป็นกางเกงขาสามส่วนเหมือนอย่างที่ผมชอบใส่ครับ เมื่อแต่งตัวเสร็จ ผมหยิบของที่จำเป็นใส่กระเป๋ากางเกงพร้อมกับเดินเปิดประตูออกไปเคาะประตูห้องของพี่ศิครับ (แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะล็อคห้องของตัวเองนะครับ) เมื่อผมเคาะประตูตามมารยาท (ที่ผู้ดีพึงจะมี) ไปสองถึงสามรอบ แต่คนที่อยู่ภายในห้องก็ยังไม่ออกมาต้อนรับสักที ผมก็เลยจัดการใช้กุญแจสำรองที่ตัวเองมีไขเข้าห้องพี่ศิไปนั่งรอที่โซฟาในห้องนั่งเล่นของพี่เขาเลยครับ



ผมนั่งกอดเข่าดูโทรศัพท์รอไปสักพัก ร่างสูงนั้นก็ออกมาจากห้องนอนพร้อมกับชุดไปรเวทที่มองแล้วรู้เลยว่าการที่พี่ศิเขาใช้เวลาเยอะให้การแต่งตัวมันเป็นเพราะอะไร ไอตอนเดินออกมานี่จัดเต็มเลยครับ เสื้อยืดคอโปโลสีฟ้า (สีเดียวกับเสื้อยืดคอกลมของผมเลยครับ) กางเกงแสลคยาวสีดำสนิท อีกทั้งที่มือของพี่เขาข้างขวามีการใส่พวกกำไลกับสายรัดข้อมือด้วยครับ ถ้าสภาพนี้ไม่เรียกว่าจัดเต็มจะให้ผมเรียกว่าอะไร



เมื่อผมเห็นสภาพที่ครบครันของพี่ศิ ผมก็ยืนขึ้น มือทั้งสองข้างนั้นกอดแนบอกพร้อมกับส่งเสียงเอ่ยปากแซวออกไปเสียยกใหญ่



“แหม...พี่ศิ ถ้ากรไม่รู้ว่าพี่ศิจะไปดูหนังแล้วกินข้าวกับกรนี่ กรคิดว่าพี่ศิจะไปเดินแบบที่ไหนแล้วนะครับ แล้วนี่อะไรเริ่มแต่งตัวเหรอ” ผมพูดพร้อมกับไปจับที่ข้อมือของพี่ศิ แต่เมื่อสายตาผมเห็นตัวอักษรบนกำไลข้อมือ พลันในหน้าของผมก็แดงก่ำซึ่งผู้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นก็มีสีหน้าแดงก่ำไม่แพ้ผมเช่นกัน



ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าไอกำไลที่พี่ศิใส่อันนั้นมันจะมีชื่อของผม…กับพี่ศิเขาสลักไว้อยู่ พอเห็นนี่ผมแทบอยากจะเอาหัวมุดลงไปใต้โซฟาแล้วร้องกรี๊ดออกมาเสียงดัง แต่ก็ต้องระงับอารมณ์ของตัวเองไว้แล้วพยายามตีมาดนิ่ง ก่อนจะค่อยๆเปิดปากชวนพี่ศิให้เดินทาง “พะ…พี่ศิไปเถอะ ดะ…เดี๋ยวได้หนังรอบเย็นมากแล้วจะอดกินข้าวเย็นกัน” ผมเอ่ยเสียงสั้นพร้อมกับเดินนำพี่ศิออกไปด้านนอกห้อง และในขณะที่ผมกำลังสาวเท้าเดินไปมือของพี่ศิก็รั้งร่างของผมเอาไว้ พร้อมกับส่งกล่องกำมะหยี่มาให้ผม ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้กันนะครับว่าของข้างในมันคืออะไร…เพราะมันเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกำไลที่สลักชื่อของผมกับเขา



ผมรับของสิ่งนั้นมาด้วยความเขินอายพร้อมกับนำมันเก็บใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกง ‘ตอนนี้ผมยังไม่ใส่หรอกครับเพราะว่า…ผมมีของที่จะแปลกเปลี่ยนกับพี่ศิเหมือนกัน…แต่ก็ต้องให้พี่ศิทำอะไรสักอย่างสำเร็จก่อนนะ’ ผมเดินนำพี่ศิไปที่ลิฟต์ด้วยใบหน้าที่แสนแดงก่ำพร้อมกับกดลิฟต์เพื่อให้มันเคลื่อนตัวลงไปยังลานจอดรถของคอนโด



ซึ่งพวกคุณติดตามเรื่องของผมมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรนะครับว่าใครเป็นคนขับและผมขึ้นรถยังไง เพราะทั้งหมดนั่นมันเป็นหน้าที่ของพี่ศิเขาครับ ผมนั่งคาดเข็มขัดและแสร้งทำเป็นมองไปนอกหน้าต่างไปจนกระทั่งรถยนต์คันงามของพี่ศิเข้าไปจอดยังลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า และผมก็คงไม่ต้องอธิบายซ้ำอีกนะครับว่าผมลงจากรถยังไงและด้วยวิธีไหนนั่นก็เป็นหน้าที่ของพี่ศินั่นอีกล่ะครับ หลังจากที่ผมกับพี่ศิลงจากรถแล้ว เราทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในตัวห้างสรรพสินค้า (ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าพี่ศิแกเป็นสุภาพบุรุษแกเลยเทคแคร์ผมดีมาก เทคแคร์ผมเสียจนผมติดเป็นนิสัยเลยครับ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นการที่เขาเทคแคร์ผมแบบนี้ มันเหมือนกับผู้ชายที่คอยเอาอกเอาใจผู้หญิงเลยครับ แย่ชะมัด ทำไมสถานภาพของผมที่มีต่อพี่ศิผมจึงกลายเป็นผู้หญิงที่ต้องคอยดูแลแบบนี้ด้วย คิดแล้วก็หนักใจ แต่คิดมากไปก็หนักสมองครับ เอาเป็นว่าผมกับพี่ศิไปดูรอบหนังก่อนแล้วกันนะครับ)



ในเวลาที่ผมเดินเที่ยวกับพี่ศินั้น ผมจะอยู่ข้างๆพี่ศิครับ ซึ่งในเวลาปกติมันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ว่าวันนี้มือของผมถูกกอบกุมด้วยมือของพี่ศิและเราทั้งสองคนก็เดินเคียงคู่กันไปโดยมีมือของเราสองคนเป็นตัวเชื่อมเราเข้าไว้ด้วยกัน ไอผมนี่หน้าแดงก่ำเลยครับ ทันทีที่มือของตัวเองโดนจับ ส่วนพี่ศิน่ะเหรอ…ผมคิดว่าใบหน้าของพี่แกด้านชาไปแล้วล่ะครับ เพราะสีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว เราทั้งสองคนยังคงเดินเล่นต่อไปเรื่อยๆ  ในที่สุดเราก็เดินไปถึงป้ายที่ประกาศโปรแกรมหนังครับ ซึ่งคราวนี้ผมเลือกอย่างดีแล้วครับว่าหนังที่ผมจะดูนั้นมันเป็นหนังแนวไหน (ไม่พลาดเหมือนครั้งก่อนๆแล้วครับ ครั้งก่อนๆที่พลาดเจอหนังผีตลอด) คราวนี้หนังที่ผมเลือกเป็นหนังแนวแฟนตาซีครับ ซึ่งมันเป็นแนวที่ผมชอบมาก (จะหาว่าผมเพ้อฝันก็ได้ครับ แต่ผมชอบนี่) ซึ่งพี่ศิแกก็พยักหน้าเออ ออไปกับผมด้วย ดังนั้นผมจึงเดินไปซื้อตั๋วหนังเรื่องนั้นมาสองใบ แต่ก็ไม่ได้เลือกแบบสามมิติมาหรอกครับ เพราะผมสงสารพี่ศิที่ต้องสวมแว่นทับสองอัน



เมื่อผมซื้อตั๋วหนังเสร็จแล้ว ผมก็ยกมันให้พี่ศิดูพร้อมกับเดินไปยืนข้างๆเขา ซึ่งคราวนี้พี่ศิแกก็ยังคงทำเช่นเดิม เราทั้งสองคนเดินไปด้วยกัน พี่ศิเขากุมมือของผมไว้และเราทั้งสองคนก็เดินเคียงข้างกันไป



รอบหนังที่ผมได้มานั้นเป็นช่วงบ่ายสามโมงครับ ซึ่งตอนนี้ก็เกือบจะบ่ายสองโมงแล้วครับ ผมกับพี่ศิยังพอมีเวลาไปเดินเล่นที่ไหนอีกราว ๆ 1 ชั่วโมงและจุดที่พี่ศิเลือกที่จะพาผมไปเดินเล่นนั่นก็คือร้านไอศครีมครับ (เดี๋ยวนี้พี่ศิรู้ดี พาผมเข้าร้านเค้กไม่ได้ เพราะผมไม่ทานขนมหวานจากร้านอื่น นอกจากร้านบ้านของผมเอง) เมื่อพวกผมเดินเข้าไปในร้านพนักงานก็เดินมาต้อนรับเราสองคนทันที เมื่อพนักงานมา ผมก็พยายามที่จะเอามือของผมออกจากการจับกุมของพี่ศิทว่าพี่ศิแกไม่ยอมครับ แถมยังจับมือของผมไว้แน่นเสียยิ่งกว่าเก่า ซึ่งกว่าพี่ศิเขาจะปล่อยมือออกจากผมนั่นก็คือเราสองคนได้นั่งลงบนโซฟาของร้านขายไอศครีมนั่นแล้วครับ ผมเม้มริมฝีปากและก้มหน้าด้วยความเขินอาย ส่วนพี่ศิก็ยกมือเรียกพนักงานในร้านให้เอาเมนูมาให้



ภายในสมองตอนนั้นของผมนี่ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยครับ สมองของผมขาวโพลนไปหมดจนสั่งผิดสั่งถูกเลยครับ แต่ในท้ายที่สุดผมสั่งไอศครีมที่ผมอยากกินได้สำเร็จครับ



ผมใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางไป ส่วนอีกข้างหนึ่งของผมทัชไอโฟนที่ซื้อต่อจากพี่ศิไปและในขณะที่ผมอัพเดทว่าตัวของผมนั้นสิงสถิตอยู่ที่ไหน มือข้างหนึ่งของพี่ศิก็เอื้อมมากุมมือข้างนั้นของผมไว้พร้อมกับน้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา



“กรครับ...กำไลวงนั้นช่วยสวมคู่กับพี่ได้ไหมครับ” คำขอนี้พาผมระทวยเลยครับ ใบหน้าคมของพี่ศินั้นถูกระบายไปด้วยสีแดงก่ำ (ซึ่งใบหน้าของผมในตอนนี้ก็คงแดงก่ำไม่แพ้กัน) มือแกร่งที่กอบกุมมือของผมไว้นั้นสั่นและชื้นเหงื่อเล็กน้อย



เมื่อเจอคำถามนั้นไป ผมก็ชะงักสิครับ จะให้รับปากว่าจะสวมคู่กับพี่ศิ มันก็เหมือนกับว่าผมตกลงรับรักพี่ศิไป แต่จะไม่ให้ตกลงมันก็เหมือนปฏิเสธพี่ศิเขา คือไอใจของผมมันก็อยากสวมอยู่หรอกครับ แต่ว่าขอเวลาตั้งตัวบ้างได้ไหม ไม่ใช่แบบจะให้รับรักเลยอะไรแบบนั้น เมื่อความคิดผมยังสวนทางกับหัวใจ…ผมก็เลยตั้งข้อเสนอกับพี่ศิเขาครับ



เป็นข้อเสนอที่คิดแบบสด ๆ ร้อน ๆ เลยแหละครับและข้อเสนอนั้นก็มีเนื้อความว่า



“ถ้าพี่ศิ...ไม่สิ ถ้าคณะของพี่ศิชนะเลิศการแข่งขันบาส กรจะยอมสวมมันคู่กับพี่ศิและ...กรก็จะมีอะไรแลกเปลี่ยนกับพี่ศิด้วย” เมื่อผมเอ่ยออกไปแบบนั้น ใบหน้าคมที่แสดงอาการตึงเครียด (เพราะผมไม่ยอมตอบคำถามเขาสักที) ก็คลี่รอยยิ้มกว้างออกมาและพี่ศิเขาก็รับปากทันที (ผมขอเกริ่นก่อนนะครับ กิจกรรมมหาวิทยาลัยของเราจะมีการแข่งกีฬาระหว่างคณะ ซึ่งพี่ศิเป็นนักบาสของคณะครับ เขาจึงต้องลงเล่น ผมเลยใช้เรื่องนี้มาเป็นข้อตกลงของพี่ศิเขาครับ)



งานนี้เส้นตายระหว่างผมกับพี่ศิคืออีก 1 อาทิตย์ข้างหน้า…การแข่งขันบาสรอบชิงชนะเลิศคือวันศุกร์ แต่ก่อนหน้านั้น…ผมก็ต้องลุ้นอีกล่ะครับ ว่าคณะแพทย์ของพี่ศินั้นจะชนะจนเข้ารอบชิงได้หรือเปล่าและที่สำคัญตอนนี้มันเพิ่งรอบแปดทีมสุดท้ายเองครับ ดังนั้นข้อตกลงนี้ยังมีเวลาให้ผมกับพี่ศิลุ้นกันจนเสียวไส้หลายครั้งแน่นอน


___________________________________



เอาหละคะ...ตอนนี้ ถึงจุดพีคของเรื่องจริง ๆ แล้วหละคะ เรามาคอยเชียร์กันดีกว่าว่าพี่ศิ จะได้คบกับน้องกรไหม หุหุหุหุหุ

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
น้องกรเผยแง่มุมที่น่ากลัว?  :m29:

ลุ้นๆ ว่าคู่นี้จะได้คบกันสักทีไหม  :katai2-1:

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
พี่ศิสู้ๆๆๆ ><
กรโครตโหดเลยอ่ะตอนจัดการกับน้ำฟ้า555

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
 :-[ :-[ อยากได้แบบพี่ศิซักคน วุ๊ยย เขินน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด