- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 242473 ครั้ง)

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ให้ผู้ชายเลือกชุดเนี่ยแปลว่าอยากให้เค้าถอดด้วยรึป่าวจ๊ะน้องกร :hao7:

ออฟไลน์ Loste

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 430
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ชอบพี่ศิจุงเบย :-[

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เพื่อนพี่ศิเพื่อนน้องกรช่วยกันเชียร์ดีเหลือเกิน
แค่นี้น้องกรก็หวั่นไกวกับพี่ศิอยู่แล้ว รอเวลาให้มันสุกงอมกว่านี้

รอทริปสวีทที่ทะเล

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
รอฉากสวีทหวานที่ทะเล  :-[

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
หึหึ ทิ้งทำไมพี่ศิไม่เก็บไว้ใช้กับน้องกรเหรอ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ฮาพี่ศิอ่ะ >< โอ๊ยชอบบบบ

ออฟไลน์ omyim_jjj

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :laugh:   มาแล้วสินะ สถานที่เสียหนุ่ม  :hao7:  ไปเที่ยวกานม๊ายยย จะไปก็รีบป๊ายยยย ไปกับแล้วซาบ๊ายยย แล้วพี่พาไปกินตับๆๆๆ  :laugh:

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
เป็นความรักที่ค่อยเป็นค่อยไป น่ารักดี
คนเขียนอัพเดทบ่อยดี ชอบมาก  :mew1:

ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2
เมื่อไหร่จะได้กันคะพี่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
เมื่อไหร่จะได้กันคะพี่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ไม่ใช่ว่าได้กันปุ๊ปแล้วเรื่องก็จบเลยนา  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
สวัสดีค่า พลอยนะคะ ช่วงนี้เราอาจจะเจอกันไม่บ่อยสักหน่อยนะคะแต่เจอกันไม่บ่อยแต่พลอยรักคนอ่านทุกคนหมดใจนะเออ


แต่วันนี้พลอยจะมากล่าวอะไรที่หน้าเศร้าสักเล็กน้อยนะคะ นิยายเรื่อง Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน (ว่าที่) คุณหมอจะจบภายในตอนที่ 35 ค่ะ เนื้อหาทั้งหมดพลอยแต่งเสร็จตั้งแต่เดือน ตุลาแล้วหละคะแต่เราอุบเงียบไว้ ซึ่งนิยายของพลอยนั้นจะมีตอนพิเศษราวๆ 6 - 7 ตอนค่ะ บางตอนจะลงในเล้าแห่งนี้และบางตอนอาจจะไม่ได้ลงค่ะ เพราะพลอยอาจจะรวมเล่มนิยายเรื่องนี้ค่ะ สอบถามไง้ก่อนค่ะว่าสนใจกันไหน





Chapter 29




พวกคุณก็เป็นเหมือนกับผมใช่ไหมครับ ว่าทุกครั้งที่เราจะไปเที่ยวที่ไหน ยกตัวอย่างเช่น น้ำตก ภูเขา หรือว่าทะเล เราทุกคนจะต้องไปซื้อของใช้ใหม่อย่างเช่นชุดว่ายน้ำ เสื้อตัวใหม่ หรือรองเท้าคู่ใหม่ ที่ผมเกริ่นมาแบบนี้ ทุกคนก็น่าจะรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ที่ไหน ถ้าทุกๆคนจำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมไปตกลงอะไรกับพี่ศิเขา ทุกคนก็จะรู้ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ในห้างสรรพสินค้า เบื้องหน้าผมตอนนี้คือแผนกกีฬาไงล่ะครับ


วันนี้ที่ผมมาที่แผนกนี้ก็เพราะว่าผมจะซื้อชุดว่ายน้ำชุดใหม่ครับ ตายแล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นจังเลยที่จะได้ซื้อชุดว่ายน้ำใหม่แบบนี้ ผมไม่ได้ซื้อชุดว่ายน้ำมาตั้งแต่ม.5 แล้วนะเนี่ย ผมเดินเข้าไปในแผนกชุดว่ายน้ำพร้อมกับเดินดูไปทั่ว จับตัวนั้นมาดูหยิบตัวนี้มาลอง บ้างก็หันไปชูให้คนที่มาเป็นเพื่อนผมช่วยดูให้ ซึ่งคนที่ผมชวนให้มาด้วยกันก็คือคนที่ชวนผมไปทะเลนั่นแหละครับ


“พี่ศิ ตัวนี้เป็นยังไงมั่ง” ผมวิ่งกระดิกหาง(?) ไปหาพี่ศิพร้อมกับชูชุดว่ายสีดำคาดน้ำเงินให้พี่ศิดู ซึ่งพี่ศิแกก็ส่ายหัวไปมาซึ่งเป็นผลสรุปว่าไม่ผ่านครับ ผมจึงจำใจก้มหน้าก้มตาเก็บชุดว่ายน้ำชุดนั้นแล้วก็เลือกชุดว่ายน้ำชุดใหม่มาแทน ผมวิ่งปรี่ไปรอบๆ แผนกกีฬา ไล่หาชุดว่ายน้ำชุดแล้วชุดเล่า มันก็ไม่ผ่านสำหรับพี่ศิอยู่ดี หรือว่ารสนิยมของผมมันจะผิดเพี้ยนเอามากๆล่ะเนี่ย ผมทรุดตัวลงไปนั่งช็อคที่พื้น แต่ในที่สุดพี่ศิก็ยอมเอ่ยแสดงความคิดเห็นออกมา ผมแหงนหน้าไปมองพี่ศิด้วยสายตามีความหวัง


“ไม่ใช่รสนิยมกรไม่ดีหรอกครับ แต่พี่คิดว่ามันดูจะสั้นไปหน่อย ถ้าทรงนั้นเดี๋ยวนี้กางเกงว่ายน้ำไม่ได้มีแค่รูปแบบๆนั้นอย่างเดียวแล้วล่ะครับ ถ้าพี่เป็นกร พี่จะเลือกแบบกางเกงเล่นเซิร์ฟอย่างตัวนี้ ตัวขาของกางเกงว่ายน้ำจะยาวกว่าทรงแบบเก่า กรลองดูสิครับ” พี่ศิพูดพร้อมกับก้มลงไปหยิบกางเกงเล่นเซิร์ฟขายาวสามส่วนขึ้นมาหนึ่งตัวพร้อมกับยื่นมาให้ผม ซึ่งผมก็รับมันมาถืออยู่ในมือและก้มลงมองกางเกงตัวนั้น ซึ่งผมวิเคราะห์อยู่ประมาณ 10 วิ ผมก็ตัดสินใจซื้อกางเกงว่ายน้ำตัวนี้ทันทีครับ


ผมโบกมือเรียกพนักงานขายพร้อมกับหยิบแบงก์สีเทาให้เขาไปสองใบ โดยผมก็ไม่รู้ราคามันหรอกครับว่ามันราคาเท่าไหร่ แต่จ่ายไปเท่านั้นก็น่าจะพอล่ะมั้ง ผมยืนกอดอกรอพนักงานที่เดินไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินเวลาผ่านไปราว ๆ 3 นาที ร่างของพนักงานก็เดินกลับมาพร้อมกับยื่นเงินทอนให้ผม ‘ให้ตายเถอะครับ กางเกงว่ายน้ำมันแพงขนาดนี้เลยหรือไง’ ผมนี่เหงื่อตกกับราคากางเกงว่ายน้ำเลยครับ ผมซื้อไปแล้ว คราวนี้ก็เหลือพี่ศิเลือกครับ พี่ศิใช้เวลาเลือกและเวลาจ่ายเงินไม่ถึง 5 นาทีตอนนี้ถุงของชุดว่ายน้ำของพี่ศิก็อยู่ในมือของพี่ศิเขาเรียบร้อย


ผมมองพ่อคนใจง่าย(?) ที่รับถุงจากพนักงาน ก่อนจะเดินหิ้วถุงของตัวเองไปแผนกเครื่องแต่งตัวบุรุษ คราวนี้ผมจะเดินไปดูชุดลำลองสำหรับใส่เล่นที่ทะเลครับ และที่ดูคงเป็นกางเกงขาสามส่วนและเสื้อมีฮู้ดตามสไตล์ที่ผมชอบใส่ครับ การไปเที่ยวทะเลกับพี่ศิครั้งนี้ นี่ผมแทบจะซื้อของใหม่ยกแผงเลยครับ (แต่ให้ทำไงได้ล่ะ ผมไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มาตั้งกี่เดือนแล้วก็ไม่รู้ พอได้มาเดินดู เดินซื้อ มันก็พาลทำให้อยากซื้อไปหมด ก็เลยถล่มซื้อมันรวดเดียวไปเลยดีกว่า สบายกว่าเยอะ แถมไม่ต้องมาเดินดูอะไรหลาย ๆ รอบด้วย) ใหม่ยกแผง ไม่เว้นแม้กระทั้งกางเกงในตัวใหม่ (พูดแบบนี้ออกไปจะน่าเกลียดไหมครับเนี่ย)


และเมื่อผมเดินไปถึงแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษ ผมก็จัดการวิ่งไปทั่วแผนกอีกครั้ง และทำเช่นเดิมครับ คือยกเสื้อผ้ามาทาบกับตัวและให้พี่ศิแกช่วยดูให้ แต่ครั้งนี้พี่ศิแกไม่ได้ส่ายหัวไปมาเหมือนทุกๆครั้งครับ เพราะครั้งนี้พี่ศิแกพยักหน้าว่าผ่านรัวๆ เลยล่ะครับ ซึ่งไอการพยักหน้ารัว ๆ นั้นทำให้มือของผมนี่เต็มไปด้วยเสื้อผ้ากางเกง เสื้อฮู้ดและอะไรจิปาถะเยอะแยะไปหมดเลยครับ ซึ่งค่าเสียหายนี่คงไม่ต่ำกว่าสี่ห้าพันแน่นอน (แต่ดีที่ผมมีบัตรลดราคา 50 เปอร์เซนอยู่ แถมบางบูทก็จัดโปรโมชั่นลดราคาเลยสบายกระเป๋ามาหน่อยหนึ่ง) ผมเดินเลือกเสื้อผ้าไปอีกสิบนาที ในที่สุดผมก็เดินไปทั่วแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษและเสื้อผ้าในมือผมก็เริ่มระรานไปยังแขนทั้งสองข้างของพี่ศิครับ


ร่างสูงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังผมได้แต่ยิ้มแห้งๆให้ ส่วนผมก็เรียกพนักงานที่คอยเดินตามให้เอาเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหมดไปจ่ายเงิน


“คุณพนักงานครับ ช่วยเอาของทั้งหมดนี่ไปคิดเงินหน่อยครับ นี่บัตรลดราคา แล้วนี่ก็…” ผมกำลังล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบบัตรเดบิตที่คุณป๊ากับคุณม๊าให้ไว้ แต่มันก็ไม่ทันผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆผมครับ ผู้ชายคนนั้นยื่นบัตรเครดิตสีทองให้พนักงานไปเรียบร้อยแล้ว ผมหันไปถลึงตาใส่พี่ศิ ก่อนจะเอามือตีบ่าพี่เขาไปหนึ่งที


“นี่ของของกร มาจ่ายเงินอะไรให้กรเนี่ย” ผมหันไปบ่นอุบอิบใส่พี่ศิ ซึ่งผมไม่พอใจพี่เขาจริงๆนะครับ คือมันไม่ใช่อะไรหรอก ผมแค่เกรงใจพี่เขามากๆก็เท่านั้นเอง “เอาเงินคืนไปเลย ไม่รู้เท่าไหร่แต่ก็เอาไปเลย” ผมพูดพร้อมกับหยิบแบงก์พันสามสี่ใบคืนไปให้พี่ศิ และเป็นที่แน่นอนเลยครับว่าเฮียแกไม่ยอมรับเงินพวกนั้น ผมนี่ทำแก้มป่องใส่พี่ศิไปทีแล้วก็ยัดแบงก์พวกนั้นใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตของพี่ศิและเดินหนีไป


ผมทำถึงขนาดนี้แล้ว พี่ศิจะไม่เอาเงินของผมก็เชิญครับ แต่พี่ศิแกก็จะเอาเงินทั้งหมดนั่นมาคืนผมตอนนี้ไม่ได้เพราะว่าหนึ่ง พี่ศิแกต้องรับของทั้งหมดที่ถูกนำไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน และ สอง พี่ศิแกต้องรอรับบัตรเครดิตสีทองของแกคืนครับ ดังนั้นถ้าพี่ศิแกจะไม่เอาเงินของผมก็เหลือวิธีโยนแบงก์ทั้งหมดทิ้งไว้ที่พื้นนั่นแหละครับ (ซึ่งพี่ศิแกไม่ทำแน่นอนครับ เพราะพี่แกต้องหาเรื่องเอาเงินทั้งหมดนั่นมาคืนให้ผมให้ได้อยู่ดี แม้มันจะถูกคืนมาให้ในรูปแบบของกินหรือของใช้ก็เถอะ)


ผมเดินออกมาจากแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษพร้อมกับเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปเพื่อขึ้นไปเดินเล่นในร้าน B2S ครับ ซึ่งที่ไปก็คิดจะเข้าไปดูอะไรเล่นเท่านั้นแหละครับ ผมเป็นคนชอบเดินดูอะไรพวกนี้ แต่ไม่ค่อยซื้อครับเพราะซื้อไปก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร  ถ้าซื้อไปนี่คงเอาไปเก็บเสียมากกว่า ดังนั้นก็เดินดูแล้วฟินเบา ๆ พอครับ (ผมเป็นพวกชอบชอบจุกจิกน่ารัก ๆ นะครับ แต่เรื่องนี้ต้องเงียบไว้เพราะมีคนรู้ว่าผมชอบของแนว ๆ นี้มีไม่กี่คนครับ)


ผมเดินไปทั่วร้าน ในที่สุดผมก็เห็นของน่าสนใจเข้าครับ สมุดโน้ตแพ็กคู่สลับสีกัน ผมเดินตรงไปยังจุดที่วางขายสมุดโน้ตนั่นทันที (นอกจากผมเป็นพวกชอบของเล็ก ๆ น่ารัก นุ่ม ๆ ฟู ๆ แล้วของที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือการซื้อสมุดโน้ตสะสมครับ ตอนนี้ไม่อยากจะบอกว่ามีเต็มห้อง แต่แทบไม่เคยใช้เขียนอะไรเลย) ผมก้มหน้ามองไล่สมุดโน้ตนั่น ในที่สุดผมก็เจอสมุดโน้ตคู่สีที่ผมอยากได้ครับ แถมมันเหลืออยู่เพียงคู่เดียวในกองซะด้วย สมุดโน้ตสีฟ้าอ่อนที่เป็นสีที่ผมชอบและสมุดโน้ตสีดำเป็นสีที่พี่ศิชอบครับ ผมหยิบสมุดโน้ตคู่นั้นขึ้นมาสมุดโน้ตคู่นั้นถูกใส่ไว้ไปแพ็กเกจของมันเป็นอย่างดี ผมมองมันแล้วอมยิ้มออกมาจาง ๆ ก่อนจะคว้ามันเพื่อเอาไปจ่ายเงิน


ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าทำไมผมถึงอยากซื้อมัน แต่ในความรู้สึกของผม…ผมอยากได้อะไรที่มันเป็นเซทเข้าคู่กันสำหรับผมกับพี่ศิครับ ถึงแม้ราคาของสมุดโน้ตคู่นี้มันจะไม่สูงมากเหมือนสร้อยคู่ แหวนคู่ หรือกำไลคู่ก็เถอะ ผมก็คิดว่าสิ่งที่ให้ด้วยใจมันมีคุณค่าทางจิตใจมากไม่แพ้ราคาของหรอกครับ (แต่ว่าต่อให้ซื้อสร้อยคู่ แหวนคู่ กำไลคู่ เอาง่าย ๆ คือพวกเครื่องประดับคู่รักนั่นแหละครับ ผมก็คงให้พี่ศิแกไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าผมกับพี่ศิยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย เราเป็นแค่คนสำคัญของกันและกันเท่านั้นเอง แม้มันจะเป็นในมุมมองความคิดของผมก็เถอะ)


ผมเดินหิ้วถุงออกมาจากร้าน B2S พอผมเดินออกมาจากร้านได้ไม่ถึง 5 ก้าว พี่ศิที่รอพนักงานที่เอาของไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินพี่แกก็เดินมาถึงบริเวณหน้าประตูทางเข้าร้านพอดี ผมรีบเอาถุงของร้านแอบไว้ทางด้านหลังพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้พี่ศิ


“ค่าเสื้อของกรสามพันก้าวร้อยสี่สิบสามบาทครับ ราคานี้ใช้บัตรลดราคา 50 เปอร์เซนและรวมโปรโมชั่นของแต่ละบูทแล้วครับ” ร่างสูงเอ่ยด้วยรอยยิ้มมือทั้งสองข้างนั้นหอบหิวถุงของห้างสรรพสินค้าเต็มไปหมด เมื่อผมเห็นเช่นนั้นผมก็รีบวิ่งไปช่วยพี่ศิถือทันที (จะไม่ช่วยได้ยังไงครับ ในมือของพี่ศิเกินครึ่งเป็นของของผม ถึงจะมีของของพี่ศิปนอยู่บ้างก็เถอะ แต่น้อยกว่าของของผมเยอะ)


“เอามานี่ เดี๋ยวกรช่วยถือ” ผมเอื้อมมือไปหยิบของในมือพี่ศิ แต่พี่ศิก็ไม่ยอมให้ผมถือครับเพราะว่าเมื่อผมเดินไปพี่แกก็ตีเนียนเดินนำไปครับ ผมจึงได้แต่เดินตามไปอย่างเดียว


‘พี่ศินะครับพี่ศิ จะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษไปไหนเนี่ย ผมไม่ใช่สาวน้อยสักหน่อยนะ แต่ช่วยไม่ได้ เขาอยากวางฟอร์มเป็นสุภาพบุรุษก็ปล่อยเขาไป’ ผมมองแผ่นหลังที่ก้าวเดินนำไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะสาวเท้าเดินตามไปขนาบข้าง


“พี่ศิหิวหรือยัง...นี่จะหกโมงเย็นแล้วนา” ผมถามออกมาลอยๆ มือทั้งสองข้างที่ถือถุงเสื้อผ้าไว้ถูกยกกลับหลังไปพาดที่บ่าของตัวเอง ซึ่งคำถามที่ผมถามไปนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบหรอกครับ ต่อให้พี่ศิเขาตอบมาว่าไม่หิว แต่ผมก็ยังจะกินครับนั่นก็เป็นเพราะผมหิวแล้วนั่นเอง


ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมก็พยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบไอผมนี่ยิ้มแก้มแทบปริเลยครับ “แล้วกรอยากทานอะไรเหรอครับ พี่ยังไงก็ได้ เอาที่กรอยากทานนั่นแหละ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นซึ่งมันเป็นคำตอบประจำที่พี่ศิแกตอบผมมาครับ เพราะว่าผมหิวหรือผมอยากกินอะไร พี่ศิมักจะให้ผมเป็นคนเลือกร้านอาหารเสมอครับ


ผมเดินนำไปเบื้องหน้าของพี่ศิพร้อมกับชี้ไปที่ MK สุกี้ พี่ศิก็พยักหน้าตอบพร้อมกับเดินนำเข้าไปภายในร้าน พนักงานแต่ละคนที่มองพี่ศิแกตาเป็นมันเลยครับ ไอผมนี่จะบอกว่าไม่พอใจก็ไม่พอใจอยู่หรอก แต่จะให้พูดออกไปได้ยังไงล่ะว่าผม…อาจจะหึงพี่ศิเขาอยู่


ผมเดินตามพี่ศิไปยังโต๊ะที่พนักงานนำทางไปพร้อมกับหย่อนก้นลงไปนั่งที่โซฟาเต็มแรง และที่ที่ผมนั่งคือที่นั่งข้างพี่ศิครับ ส่วนของที่ซื้อมาทั้งหมดถูกอัปเปหิไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งการนั่งแบบนี้ ผมไม่เคยนั่งมาก่อนครับ เพราะมันไม่ค่อยสะดวกตอนกินเท่าไหร่นัก


ปกติเวลาผมกับพี่ศิมานั่งทานข้าวกันสองคน เราจะนั่งหันหน้าเข้าหากันตลอด แต่คราวนี้ไม่รู้เป็นยังไง ผมถึงได้มานั่งข้างพี่ศิแถมเขยิบไปซะชิดพี่เขาด้วยครับ ส่วนคุณพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุกคนเขาก็ไม่ว่าผมนะครับ หนำซ้ำยังยิ้มพอใจเสียอีกที่ผมเข้าไปนั่งเบียดพี่แก


ร่างสูงรับเมนูมาเปิดสั่ง ส่วนผมโบกมือเป็นการปฏิเสธว่าไม่เอาครับที่ไม่เอามันก็มีเหตุผลนะครับที่มันก็ไม่ได้กว้างมากผมก็คิดว่าจะดูเมนูเล่มเดียวกับพี่ศินั่นแหละ ผมหันไปสะกิดพี่ศิเขาเบาๆ พร้อมกับมุดหัวเข้าไปดูเมนูด้วย ดังนั้นสภาพของผมกับพี่ศิตอนนี้ก็ประมาณผมเข้าไปนั่งซุกพี่ศิครับ แล้ววงแขนของพี่ศิก็คล้าย ๆ โอบบ่าของผมอยู่ ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำให้สาว ๆ ที่หมายปองพี่ศิผิดหวังอะไรเลยนะครับ ผมก็แค่ทำตามความเคยชินเหมือนตอนที่อยู่คอนโดเท่านั้นเอง (เพราะปกติเวลาพี่ศิอ่านหนังสือบนโซฟา ผมจะนั่งเกาะโซฟาอยู่ด้านหลังแล้วเอาคางเท้าบ่าของพี่ศิครับ อารมณ์คนขี้เกียจเดินไปนั่ง บ้างก็เอาตัวนั่งพิงพี่ศิแล้วชะโงกหน้าดูหนังสือในมือพี่ศิ ดังนั้นการที่ผมมุดหัวเข้าไปดูเมนูในวงแขนของพี่ศิก็เป็นเรื่องปกติที่เราทำกันเป็นประจำครับ)


พนักงานสาวที่กำลังยืนรอออเดอร์ของโต๊ะผมเธอทำหน้าตกใจ ส่วนสาวๆในร้านที่หมายตาพี่ศินี่ยกมือขึ้นมาปิดปากและทำหน้าผิดหวังกันเป็นแถบ ๆ


เราทั้งสองคนสั่งของกินที่อยากกินกันไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็รัวสั่งเมนูมาเสียจนไม่น่าจะกินหมด ไม่ว่าจะเป็นหมี่หยก เป็ดย่าง ของสดต่าง ๆ (แถมผมบีบคอพี่ศิด้วยว่าอย่าสั่งชุดผักมา พี่เขาก็เลยจำใจก็เลยเปลี่ยนจากชุดผักเป็นชุดเห็ดแทนครับ) ซึ่งพวกเราทั้งสองคนก็ใช้เวลารอไม่ถึงห้านาทีของต่าง ๆ ก็ถูกนำมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะครับ


การกินเอ็มเคของผม สูตรการกินจะแปลกนิดหน่อยครับ เพราะว่าผมจะตักน้ำซุปใส ๆ ที่อยู่ในหม้อมาใส่ถ้วยของตัวเองก่อนครับและก็ตามด้วยใส่พวกเห็ดและของทะเลลงไปลวกครับ ซึ่งผมมักจะลวกไม่ค่อยสุกมากครับและผมก็จะโดนพี่ศิแกดุพร้อมกับจับมือผมให้ลวกของที่อยู่ในตะแกรงเพิ่มครับ (ทำไงล่ะ ผมไม่ชอบของทะเลที่ลวกสุกมากนี่นา…กินแล้วมันอร่อยกว่าอ่ะ พอลวกสุกเนื้อของทะเลมันก็จะแข็ง ผมเลยไม่ชอบกินไง) ผมก็เลยแต่ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ แต่ก็จำใจยอมลวกของทะเลต่อเวลาผ่านไปอีกสองสามนาที พี่ศิแกก็ปล่อยมือผมและยอมให้ผมเอาของทะเลที่ลวกไว้ตักใส่ถ้วยส่วนตัวของผมครับ ผมหันไปเบ้ปากใส่ร่างสูงกว่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะตักของที่อยู่ในถ้วยส่วนตัวเข้าปากไป


ผมกับพี่ศิใช้เวลานั่งกินสุกี้กันนานเอาเรื่องเลยล่ะครับ เพราะออกจากร้านมามันก็เป็นเวลาเกือบจะทุ่มครึ่งแล้วครับ ผมยืดตัวและบิดไปมาพร้อมกับออกปากชวนพี่ศิกลับคอนโด “พี่ศิ กลับบ้านกันเถอะ กรอยากกลับบ้านแล้ว” ซึ่งร่างสูงก็พยักหน้าตอบตกลงและเดินนำไปที่ลานจอดรถครับ ส่วนของที่ผมซื้อมันก็ไปอยู่ในมือของพี่ศิทั้งหมดแ ต่ก็ยังมีถุงหนึ่งถุงที่ผมไม่ยอมให้พี่ศิแกถือครับ เพราะถุง ๆ นั้นคือถุงที่ผมแวะซื้อตอนที่พี่ศิแกไม่อยู่นั่นเอง ผมถือถุงใบนั้นไขว้หลังไว้แล้วเดินตามพี่ศิไปติด ๆ พอผมเดินถึงรถ พี่ศิก็ทำหน้าที่เดิมคือการเปิดประตูรถให้ผมขึ้นไปนั่ง (ส่วนของที่ซื้อมาพี่ศิแกยัดเข้ารถไปหมดแล้วครับ เหลือแต่ถุงที่ผมถือไว้อย่างหวงแหน)


ผมก้าวขึ้นรถไปพร้อมกับนั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้ารถ ส่วนพี่ศิก็เดินวนไปยังที่นั่งคนขับพร้อมกับเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ ผมกอดถุงใส่สมุดโน้ตแน่นตลอดทาง จนในที่สุดรถยนต์ของพี่ศิก็ขึ้นไปจอดยังลานจอดรถของคอนโด (ความจริงพี่ศิแกก็ส่งสัยนะครับ ว่าผมถืออะไร มันเป็นความลับมากหรือไง แต่ผมก็ไม่บอกพี่เขาอยู่ดี) เมื่อรถจอดสนิทผมก็ช่วยหิ้วของส่วนหนึ่งออกจากรถและรีบวิ่งไปที่ลิฟต์ครับ ผมกดลิฟต์เพื่อที่จะขึ้นลิฟต์ก่อนพี่ศิและผมก็ได้ขึ้นลิฟต์ก่อนสมใจหวังครับ และเมื่อลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นไปถึงชั้นที่ 14 ผมก็ใส่เกียร์หมาอีกครั้งพร้อมกับวิ่งปรี่เข้าห้องของตัวเองไป


อย่างแรกที่ผมจัดการนั่นก็คือ สมุดโน้ตสองเล่มที่อยู่ในแพ็คครับ ผมจัดการแกะแพ็กเกจที่ถูกจัดมาไว้อย่างสวยงามทันทีและเริ่มละเลงลายมือตัวเองลงไปบนหน้าแรกสุดของสมุดโน้ตเล่มสีดำ และเมื่อผมเขียนข้อความทั้งหมดของผมเสร็จ ผมก็เดินอย่างมีความสุขออกไปเคาะประตูห้องของพี่ศิในมือก็ถือสมุดโน้ตแบบเดียวกันแต่คนละสีไว้ ส่วนอีกข้างก็เป็นข้าวของที่ซื้อมา (เพราะต้องเอาไปแยกว่าอันไหนของผมอันไหนของพี่ศิ)


ผมรอเพียงชั่วครู่บานประตูห้อง 1404 ก็เปิดออกและผู้เป็นเจ้าของห้องเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปภายในครับ พี่ศิมองใบหน้าที่ยิ้มกว้างของผมด้วยความงุนงง แต่ความสงสัยที่เกิดขึ้นภายในสมองของพี่ศิก็หายไป เมื่อสมุดโน้ตในมือของผมที่ยื่นไปให้พี่เขา “เล่มนี้ของกร…พี่ศิเขียนอะไรให้กรในหน้าแรกหน่อยสิ อ่อ...ยังมีอีก ๆ เล่มนี้ของพี่ศินะ กรเขียนอะไรลงไปให้ในหน้าแรกนิดหน่อย พอดีกรแอบซื้อมาตอนที่พี่ศิไม่ได้อยู่ด้วย กรพยายามปิดเป็นความลับตั้งสามชั่วโมง ในที่สุดก็ได้ให้สักที มันเป็นเซทคู่กันนะ เห็นเปล่า เหมือนกันเลยแล้วเส้นในลายหนังสือก็ต่อกันด้วย” ผมพูดพร้อมกับเอาสมุดโน้ตทั้งสองเล่มมาประกบกันให้พี่ศิดู และเมื่อพี่ศิก้มลงไปดูเพียงช่วงครู่ เขาก็เงยหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ร่างสูงนั้นรับสมุดโน้ตทั้งสองเล่มไว้พร้อมกับเดินไปยังโต๊ะในห้องนั่งเล่นพร้อมกับจรดปากกาลงไปในหน้าแรกของสมุดเล่มนั้น พี่ศิแกใช้เวลาเขียนให้ผมสักสิบนาทีครับ เมื่อพี่ศิเขียนเสร็จพี่เขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับยื่นสมุดโน้ตเล่มสีฟ้าคืนมาให้ผมพร้อมกับกำชับว่าให้ผมกลับไปเปิดอ่านตอนที่อยู่ในห้องคนเดียว ผมก็พยักหน้าตกลงครับ


และหลังจากนั้นผมก็ลงไปนั่งแยกเสื้อผ้าของผมออกจากถุงที่พื้นครับ ผมคุ้ยถุงไปเรื่อย ๆ พร้อมกับแยกของของเราสองคนออกจากกัน แต่ผมก็แอบสังเกตนะครับว่าของที่ผมซื้อมักจะเหมือนกับของที่พี่ศิซื้อ ซึ่งความแตกต่างของสิ่งที่เราซื้อนั่นก็คือไซส์เสื้อครับ ผมจะใส่เบอร์ M ส่วนพี่ศิเขาจะใส่เบอร์ L ครับ ผมนั่งแยกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็แยกของเสร็จ โดยมันเป็นไปตามที่คาดเดาครับ เพราะของของผมมีมากกว่าพี่ศิแกเกือบเท่าหนึ่ง (เพราะสิ่งที่พี่ศิแกซื้อจะเป็นพวกกางเกงขาสั้นที่ในห้องพี่แกไม่ค่อยจะมี แล้วก็เสื้อยืดคอกลมและชุดว่ายน้ำ) เมื่อผมแยกของเสร็จทั้งหมด เวลาก็มันล่วงเลยไปถึงสี่ทุ่มแล้วครับ ผมรีบกุลีกุจอเก็บของและออกจากห้องของพี่ศิไป แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะหยิบสมุดโน้ตคู่ของผมกับพี่ศิไปด้วยนะครับ ผมหอบของพะรุงพะรังเต็มสองมือ (ซึ่งพี่ศิแกมองแล้วว่าสภาพผมนี่ไม่น่าจะรอดถึงห้อง) จนพี่ศิต้องออกมาช่วยผมขนของทั้งหมดกลับห้องไป และเมื่อบานประตูห้องของผมเปิดออก พี่ศิแกก็เดินเอาข้าวของทั้งหมดไปวางไว้ที่โซฟาในห้องพร้อมกับเดินออกจากห้องไป ผมโบกมือส่งพี่ศิไปพร้อมรอยยิ้มพร้อมกับบานประตูห้องที่ค่อย ๆ ปิดสนิทลง


ผมหันหลังไปพิงกับบานประตูที่ปิดสนิท สมุดสีฟ้าอ่อนที่อยู่ในมือถูกเปิดออกพร้อมกับไล่สายตาไปยังตัวอักษรที่เขียนเรียงกันอย่าง (ไม่ค่อยจะ) สวยงาม พลันใบหน้าของผมก็แดงก่ำ หัวใจของผมเต้นสั่นระรัว ตัวอักษรที่พี่ศิแกเขียนมาให้ผมนั้นทำเอาผมเขิน เขินเสียจนไม่รู้จะแสดงออกมาเป็นยังไง ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึก…แม้มันจะเป็นประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ (และผมก็ง่อยภาษาอังกฤษมาก ๆ) ก็ตาม


‘I don't regret the things I have done or the things I have chosen not to do because  whatever I've done, I must have done something right because I ended up with you.’ ฉันไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ได้เลือกหรือทำไปแล้ว นั่นเพียงเพราะว่าทุกๆ สิ่งที่ฉันได้ทำคงจะเป็นเรื่องถูกต้องแล้วในเมื่อวันนี้ฉันมีเธออยู่เคียงข้าง


‘พี่ศิ…พี่มันบ้าชะมัดเลย ใครใช้ให้เอาประโยคเดียวกันกับที่กรเขียนมาเขียนใส่ลงในสมุดเล่มเดียวกับกรเล่า’ ผมแทบจะละลายกองอยู่ตรงนั้น เมื่ออ่านประโยคพวกนี้จนหมด ผมไม่รู้ว่าเราทั้งสองคนใจตรงกัน หรือว่าพี่ศิแกแอบอ่านข้อความที่ผมเขียนให้ไปก่อนแล้วแต่เท่าที่ผมรู้ในตอนนี้นั่นก็คือ


ผู้ชายอย่างนายศิรวิทย์เป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกเลยล่ะครับ…!!!



v
v
v
v
v
v
v
v

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2013 21:51:43 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



หลังจากวันที่ผมไปช็อปปิ้งกับพี่ศิ เวลามันก็ล่วงเลยมาถึงวันหยุดยาวช่วงเวลาสงกรานต์ครับ แต่ว่าผมกับพี่ศิไม่ได้ก็ไม่ได้เดินทางไปทันทีที่ได้หยุดกันหรอกนะครับ เราทั้งสองคนจะเดินทางในตอนบ่ายของวันที่ 14 เมษายน และกลับมาในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายนครับ (นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิแกคาดเดาไว้ว่าผมจะไปเล่นน้ำสงกรานต์กับเพื่อน ๆ ในวันที่ 13 และผมก็จะไปไหว้คุณป๊ากับคุณม๊าในวันที่ 14 ช่วงเช้า พี่แกเลยจองโรงแรมในวันที่ 14-17 แทนครับ) สรุปคือเราไปนอนค้างคืนกันสามคืนครับผม


และในตอนนี้ก็คือตอนบ่ายของวันที่ 14 เมษายนครับ หลังจากผมเล่นน้ำสงกรานต์กับสหายทั้งหมดอย่างสุดเหวี่ยงแถมโดนสาวประเภทสองลวนลามจนเกือบเสียตัว(?) และกราบเท้าคุณป๊ากับคุณม๊าเสร็จแล้ว ช่วงเวลาต่อไปก็คือการไปเที่ยวทะเลกับพี่ศิแล้วล่ะครับ จุดหมายที่เราจะไปนั่นก็คือรีสอร์ทที่ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขีนธ์ ซึ่งรีสอร์ทที่ผมกับพี่ศิจะไปพักกันนั้นติดชายทะเลเลยล่ะครับ แถมมีชายหาดส่วนตัวอีกต่างหาก


ปีนี้มันสุดยอดสำหรับผมจริงๆ นอกจากผมจะได้เล่นน้ำสงกรานต์อย่างสุดเหวี่ยง ผมก็ยังได้ไปเที่ยวทะเลหน้าร้อนที่รีสอร์ทสุดหรู (ที่หาจองได้ยากในช่วงวันหยุดยาว) อีกด้วย


ผมเด้งตัวไปขึ้นรถคันงามของพี่ศิที่จอดเทียบรออยู่หน้าบ้าน แต่ก่อนจะไปคุณป๊าและคุณม๊ายังฝากขนมให้ผมไปนั่งกินเล่นกันในรถและไปกินกันที่ทะเลอีกด้วย ไอตัวผมก็ปฏิเสธไปแล้วแต่คุณป๊ากับคุณม๊าแกไม่ยอม ในที่สุดผมก็ต้องหิ้วกล่องเค้กขึ้นรถไปด้วย พี่ศิที่สตาร์ทรถรออยู่แล้วก็เอื้อมมือมาเปิดประตูรถอีกฝั่งพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้ (นี่พี่ศิครับ พี่ไม่ลืมหน้าที่ที่จะเปิดประตูรถให้ผมขึ้นเลยนะครับเนี่ย) ผมนี่กอดอกมองหน้าพี่ศิด้วยสายตาปลงกับการกระทำของเขา ก่อนจะก้าวขึ้นรถไปนั่งในที่นั่งข้างคนขับ และเมื่อผมเตรียมพร้อมเรียบร้อย พี่ศิก็เหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนตัวรถออกไป


ตลอดทางผมกับพี่ศิแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยครับ แต่ไม่ใช่เพราะอาการเขินอายอะไรกันหรอกครับ ผมนั่งเอาไอโฟนพี่ศิมาเสียบหูแล้วนั่งฟัง มือก็พลางตักเค้กในกล่องเข้าปาก (ทีแรกก็ว่าเอามาทำไมมันลำบาก แต่พอเอามาแล้วทำให้รู้สึกได้ว่าถ้าไม่มีมันผมคงหิวตายตลอดทางแน่นอน) และบางทีพี่ศิก็มีสะกิดให้ผมตักป้อนให้พี่แกด้วย ไอผมก็ว่าง่ายครับ ตักใส่ปากพี่แกไปซะหลายคำ ซึ่งผมก็ยัด ๆ ไป ตอนแรกกะจะยัดให้เต็มปากแบบไม่ให้พี่ศิแกเคี้ยวได้ แต่มานั่งทบทวนในสมองแล้วมันน่าจะอันตรายเกินไป ถ้ารถชนขึ้นมา ผมจะซวยไปด้วย ผมก็เลยว่าง่ายตักเข้าปากพี่ศิทีละช้อนพร้อมกับยื่นขวดน้ำดื่มไปให้พี่เขาเป็นระยะๆ  ช่วงเวลาที่เราขับรถกันได้ผ่านไปราว ๆ 1 ชั่วโมงเศษ แต่เราก็ยังไปไม่ถึงไหนกันเลยครับ แม้ว่าเราจะเลื่อนวันเดินทางเป็นวันที่ 14 แล้ว รถบนถนนก็ยังคงติดอยู่ดี ผมนี่ละเหี่ยใจ คราวนี้สงสัยต้องไปเที่ยวตอนช่วงโลว์ซีซั่นซะแล้วล่ะครับ ช่วงวันหยุดยาวนี่จะไปไหนมาไหนก็รถติดจริง ๆ


ไอผมที่ทานเค้กกินขนมซะจนอิ่มมานั่งอืดๆในรถฟังเพลงปลุกใจ(?)ไปก็เริ่มง่วง และตามนิสัยของผม ผมไม่มีทางฝืนสังขารตัวเองแน่นอนครับ ดังนั้นถ้าคนง่วงแล้วต้องทำยังไง…ถ้าเกิดง่วงก็ต้องนอนสิครับ ผมปรับเบาะให้เอนไปทางด้านหลังก่อนจะซุกตัวนอนลงไปบนเบาะ


ร่างสูงที่นั่งอยู่ทางด้านข้างได้แต่ปรายตามองและอมยิ้มออกมาน้อย ๆ แต่พี่เขาก็ไม่ได้กล่าวว่าอะไร ร่างสูงยันคงขับรถต่อไปเรื่อย ๆ และให้ร่างโปร่งบางที่นอนอยู่ทางด้านข้างเข้าสู่ห้วงนิทราไป และเมื่อขับรถไปได้ครึ่งทางน้ำมันในรถก็พร่องลงไปมากกว่าครึ่ง ร่างสูงจึงขับรถไปพลางมองข้างทางไปเพื่อนำรถเข้าไปเติมน้ำมันและเมื่อขับต่อไปได้อีกราว ๆ 500 เมตร พี่ศิก็เจอปั้มน้ำมันสีเขียวรูปใบไม้ครับ มือกร้านหักพวงมาลัยเข้าข้างทางพร้อมกับวนรถเข้าไปเติมน้ำมัน


และเมื่อวนรถเข้าไปจอดสนิทอยู่ในปั้ม ช่วงเวลานั้นก็ทำให้ผมตื่นขึ้นมาครับ ผมหันไปมองรอบ ๆ พร้อมกับเอ่ยปากถามพี่ศิออกไป “ถึงแล้วเหรอพี่ศิ” คำถามนี้ทำให้พี่ศิยกมือขึ้นมาเขกหัวผมเบาๆ พร้อมกับจับหัวของผมให้หันมองไปรอบ ๆ ‘อ่อ…อยู่ในปั้มน้ำมัน’ เมื่อผมได้คำตอบ ผมก็ซุกตัวลงไปนอนกับเบาะรถใหม่ พี่ศิส่ายหัวมองผมด้วยความปลงและปล่อยให้ผมนอนหลับอยู่ในรถไป ส่วนพี่ศิเขาก็เดินออกไปซื้อของในเซเว่นที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากรถครับ และทันทีที่พี่ศิแกกลับเข้ามาในรถกลิ่นซาลาเปาไส้หมูสับไข่เค็มก็โชยเข้ามาในจมูก ซ้ำยังมีกลิ่นเกี๊ยวกุ้งของเจดดราก้อนด้วย ผมนี่ดีดตัวขึ้นมานั่งพร้อมกับตาทั้งสองข้างที่สว่างขึ้นมาทันที


“พี่ศิ กรอยากกินเกี๊ยวกุ้ง เอาซาลาเปาไส้หมูสับไข่เค็มด้วยนะ” ผมนี่ยิ้มออกมาจนแก้มปริ ส่วนพี่ศิก็เริ่มส่ายหัวไปมาด้วยความปลงอีกครั้ง (ผมนี่เอาของกินมาล่อให้ทำอะไร ผมก็ทำหมดแหละครับ แล้วยิ่งของโปรดของผมแบบนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งยอมเลยครับ ยอมตื่นขึ้นมากินเลยนะเนี่ย) พร้อมกับส่งถุงของโปรดทั้งหมดมาให้กับผมครับ ส่วนของพี่ศิจะเป็นไส้กรอกชีสของ CP แล้วก็ซาลาเปาไส้หมูสับไข่เค็มแบบผมครับ


เราทั้งสองคนนั่งกินของกินกันอยู่สักครู่หนึ่ง ในที่สุดเราก็ทานกันจนหมดและก็ได้เวลาเดินทางต่อแล้วครับ ผมหันไปมองนาฬิกาในรถพบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงใกล้จะบ่ายสี่โมงแล้ว ผมจึงหันไปสั่งให้พี่ศิเหยียบให้มิดเลยครับ (ประเด็นคือตอนนี้รถไม่ค่อยเยอะแล้วครับ เพราะต่างก็แยกย้ายกันไปตามจังหวัดต่าง ๆ ดังนั้นผมจึงสั่งให้พี่ศิแกเหยียบมิดเลยครับ) แต่ต่อให้ผมพูดไปอย่างงั้น พี่ศิแกก็ไม่ได้ทำตามที่ผมสั่งหรอกครับเพราะพี่ศิถือเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะพี่แกเหยียบแค่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงเองครับ (นี่คือเหยียบไม่มิดครับ ถ้ามิดก็ต้อง 160+ กิโลเมตร/ชั่วโมงครับ ตอนนี้แค่ 120 ยังจิบ ๆ ครับ รถคันงามคันนี้ของพี่ศิยังเหยียบให้ไวกว่านี้ได้อีกเยอะ)


ผมนั่งฟังเพลงในไอโฟนของพี่ศิไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้แบตมือถือกำลังจะหมดลงแล้วครับ ผมก็เลยก้มหาสายชาร์ตที่คาดว่าจะอยู่ตรงลิ้นชักหน้ารถขึ้นมาเสียบชาร์ตแบตคืนให้กับพี่ศิครับ แต่ผมก็ยังคงใช้โทรศัพท์มือถือของพี่ศิฟังเพลงต่อไปเรื่อย ๆ เวลาล่วงเลยจนเกือบจะหกโมงเย็น (นี่ผมเดินทางมานานเลยนะครับเนี่ย ตั้งแต่บ่ายโมงตรงจนเกือบจะหกโมงเย็นเนี่ย นั่งจนปวดก้นเลยอ่ะ) ในที่สุดผมก็เห็นทะเลอยู่ทางนอกหน้าต่างแล้วครับ รู้สึกดีใจเล็ก ๆ แต่ที่นี่ก็ยังไม่ถึงจุดหมายหรอกครับ เราต้องขับรถไปยังรีสอร์ทที่พี่ศิจองไว้อีก  ผมคาดเดาเวลาไว้ว่าอีกสักสามสิบนาทีก็น่าจะถึงจุดหมาย (ล่ะมั้ง) ครับ ผมเท้าคางมองรถยนต์ที่ติดยาวเหยียดด้วยความปลง ก่อนจะบ่นใส่พี่ศิออกไปว่า ‘คราวหลังอย่าชวนไปเที่ยวอะไร ที่ไหน ในช่วงวันหยุดยาวอีกเพราะว่ารถมันติดมาก’  ซึ่งพี่ศิก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับมาและค่อย ๆ เหยียบคันเร่งสลับกับเบรกเพื่อให้รถเขยื้อนตัวไปเรื่อย ๆ


และตามการคาดเดาของผมครับ เราทั้งสองคนใช้เวลามากกว่าสามสิบนาทีเพื่อไปถึงรีสอร์ทที่พี่ศิได้จองไว้ ผมนี่แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดก้นของผมก็ได้รับการปลดปล่อยจากเบาะรถครับ


เมื่อเราทั้งสอง (ได้) ก้าวขาลงจากรถ ผมกับพี่ศิก็รีบเข้าไปที่ลอบบี้ของรีสอร์ทนี้ครับ พี่ศิกรอกรายละเอียดสำหรับเช็คอินและรอกุญแจ ซึ่งใช้เวลาแค่ 5 นาทีพวกเราทั้งสองคนก็ได้กุญแจบ้านที่เราทั้งสองคนจะเข้าไปพักแล้วครับ (ครั้งนี้เราไปแบบรีสอร์ทไม่ได้นอนโรงแรมครับ ดังนั้นไอที่ผมซื้อชุดว่ายน้ำมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ครับเพราะมันไม่มีสระว่ายน้ำ) ตัวผมนี่สั่นไปหมดเพราะอยากไปถลาลงบนเตียงนุ่ม ๆ สักที ไอตัวผมก็เลยรีบกระโดดขึ้นรถและเร่งให้พี่ศิขับรถทันที


และรีสอร์ทที่เราได้เข้าพักนั้น มันขับรถเข้าไปจากตัวลอบบี้ของรีสอร์ทมากนักเพราะใช้เวลาในการขับรถราว ๆ 2-3 นาทีเท่านั้น ตอนนี้พวกเราก็ถึงบ้านพักสักที ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาการเดินทางจากกรุงเทพถึงบ้านพักหลังนี้ พวกเราใช้เวลาหกชั่วโมงเกือบจะเจ็ดชั่วโมงเลยล่ะครับ ผมนี่อยากจะงับหัวพี่ศิจริง ๆ คราวหน้าถ้าไปไหนผมจะไปสถานที่ใกล้ ๆ หรือเอาสถานที่ที่มีเครื่องบินไปถึงแทนแล้วครับ ถ้าให้นั่งรถนาน ๆ แบบนี้อีก ผมไม่เอาแล้วครับ เข็ด! แถมเมื่อยตรูดด้วย!


ผมกับพี่ศิช่วยกันขนของลงจากรถเข้าไปในบ้านพัก (ไม่ว่าจะเป็นพวกเสื้อผ้า หรืออุปกรณ์สำหรับเล่นบ้าบออะไรของผมครับ) ซึ่งบ้านพักหลังนี้เป็นแบบสองห้องนอนสองห้องน้ำ มีห้องนั่งเล่นพร้อมกับอุปกรณ์ทำครัว ให้ตายเถอะ มันช่างเป็นบ้านพักที่สะดวกสบายจริง ๆ (ดูเหมือนบ้านหลังนี้ส่วนใหญ่น่าจะเปิดให้พักเป็นแบบครอบครัวครับ อารมณ์พ่อแม่ลูกอะไรแบบนั้น แต่ด้วยสกิลการจองอย่างรวดเร็วของพี่ศิ ซึ่งผมคาดว่า พี่ศิแกน่าจะจองล่วงหน้าเกือบหนึ่งเดือนครับ มันถึงทำให้เราทั้งสองคนได้บ้านพักหลังนี้มาครับ)


เมื่อเราทั้งคู่เอาของลงจากรถและขนย้ายเข้ามาในบ้านจนหมด  ขั้นต่อไปก็คือการเลือกห้องนอนกันและการเลือกห้องนอนนั้นคนที่ได้เลือกก่อนก็คือผมครับ ผมถือคติขวาร้ายซ้ายดี ผมเลยเลือกห้องทางซ้ายทันทีและปล่อยให้พี่ศินอนห้องทางฝั่งขวาไป


ผมเดินหิ้วกระเป๋าที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าเข้าไปในห้อง ซึ่งสไตล์การจัดบ้านของรีสอร์ทนี้จะแบ่งเป็นธีมครับ ซึ่งบ้านแต่ละหลัง เครื่องเรือนและพวกเครื่องใช้จะต่างสไตล์กัน และบ้านหลังที่ผมกับพี่ศิได้เข้าพักจัดเป็นสไตล์วินเทจครับ ทำให้ได้กลิ่นไอคลาสสิกเอาเรื่อง ถ้าคุณป๊ากับคุณม๊ามานี่สงสัยคงกรี๊ดกร๊าดแล้วพากันถ่ายรูปทุกส่วนของบ้านพักแล้วล่ะมั้งครับ แต่ต่อให้คุณป๊ากับคุณม๊าแกไม่มา ผมก็ถ่ายรูปประเคนส่งไปให้คุณป๊าคุณม๊าดูอยู่ดี แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนี้ผมอยากนอนชะมัดยาดเลยครับ…แต่ตัวผมก็ไม่ได้นอน เพราะมีมารผจญที่ชื่อศิรวิทย์มาเคาะประตูห้องนอนของผมครับ (จริง ๆ พี่แกจะเปิดเข้ามาเลยก็ได้นะครับ เพราะประตูห้องนอนใบบ้านพักนี้จะไม่มีล็อคครับ แต่ตัวประตูทางเข้าบ้านและประตูที่เชื่อมออกไปยังหาดส่วนตัวของรีสอร์ทนี้จะล็อคอย่างแน่นหนาครับ ไม่ต้องกลัวเรื่องโจรหรือขโมยเลย) ในตอนแรกผมคิดว่าจะเมินเสียงเคาะประตูนั่น แต่ด้วยคำพูดของพี่ศิ ถ้าผมไม่เปิดประตูให้พี่ศิจะบุกเข้ามาในห้อง จึงทำให้ผมเดินโซซัดโซเซไปเปิดประตูพร้อมกับเอ่ยถามพี่ศิออกไป “มีไรพี่ศิ กรง่วงนอน ถ้าไม่มีธุระแค่นี้นะ ไปล่ะ กรจะนอน” ผมถามออกไปแบบไม่ต้องการคำตอบเพราะผมตอบเองมันแล้ว และในขณะที่ผมจะปิดบานประตู พี่ศิก็ยกมือกั้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มเย็นเยือกมาให้ผมครับ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่แกเรียกให้ผมออกไปทำอะไร เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยนอกจากทานข้าวเย็นครับ


และมือเย็นก็ไม่ต้องเดาเลยครับว่ามันเป็นอะไรก็เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยนอกจากอาหารทะเลครับ (กินมากนี่คอเลสเตอรอลสูงนะครับพี่) ผมมองกุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึกและอีกหลาย ๆ อย่างที่วางอยู่เต็มโต๊ะอาหาร ผมก็จำใจเดินไปหาอาหารเหล่านั้นพร้อมกับนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยครับ แต่ผมนี่เป็นคนไม่ชอบแกะพวกปู กุ้ง หอยกินเลยครับ ก็เลยได้แต่จิ้มปลาหมึกกับเนื้อปลากิน ซึ่งพี่ศิแกก็สงสัยนะครับว่าทำไมผมนี่ไม่แกะพวกกุ้ง หอย ปูกินเลย  ใบหน้าคมทำหน้านึกเล็กน้อย และในที่สุดพี่ศิก็ถึงบางอ้อครับ พี่ศิที่นั่งแกะปูตัวแรกเสร็จแล้วก็ประเคนปูในจานของตัวเองมาให้ผมครับ ไอผมนี่ยิ้มจนแก้มปริและนั่งแทะปูที่พี่ศิแกะให้ และสิ่งที่พี่ศิแกะให้ผมกินก็ไม่ได้มีแค่ปูนะครับ ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา พี่ศิแกนี่แทบจะแกะให้ผมกินหมดเลยครับ ผมก็ได้แต่โบกมือห้ามพี่ศิไว้ และบางทีก็ต้องตักของทะเลในจานตัวเองใส่ปากป้อนคืนกลับไปให้พี่ศิบ้าง ไม่งั้นพี่แกคงไม่ได้กินแน่นอน


เราทั้งสองคนทำแบบนี้กันไปเรื่อย ๆ จากต่างคนต่างกินกลายเป็นพี่ศิแกแกะแล้วผมเป็นคนป้อน ในที่สุดอาหารมื้อนี้ก็หมดลง ผมกับพี่ศิก็อิ่มกันจนแทบอ้วกเลยล่ะครับ


เราทั้งสองคนค่อย ๆ ช่วยกันทำความสะอาดจานชามทั้งหมดเหมือนกับตอนที่เราอยู่คอนโดและเมื่อเราทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซึ่งถ้าเวลานี้เราอยู่กันที่คอนโดสิ่งที่พวกเราสองคนจะทำต่อไปนั่นก็คือการนั่งและนอนดูทีวีในห้องนั่งเล่นครับแต่นี่เรามาที่ไหนกัน! เรามากันถึงทะเล! แถมไม่ใช่ชายหาดบาง-beep- ด้วยครับ! ดังนั้นการดูทีวีของพวกเราสองคนก็เปลี่ยนไปเป็นการดูทะเลยามค่ำแทนครับ!


ผมรีบวิ่งไปที่ประตูทางออกไปชายหาดส่วนตัวของทางรีสอร์ทโดยผมไม่รอพี่ศิเลยครับ พอผมหาที่นั่งเหมาะ ๆ ได้ ผมก็ทิ้งตัวนั่งจุ้มปุ๊กไปที่พื้นทรายทันทีพร้อมกับตบทรายข้างๆให้พี่ศิมานั่งเป็นเพื่อน ผมหันหลังไปมองใบหน้าคมของพี่ศิที่ได้แต่ส่งยิ้มมา แต่พี่ศิก็เดินมาทรุดนั่งลงข้าง ๆ ผมครับ


ผมนั่งกอดเข่ามองคลื่นไปพลาง บ้างแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้าไปพลาง บรรยากาศสุดแสนจะเป็นใจแบบสุด ๆ เลยครับ แต่คิดหรือว่าหนุ่มน้อยรณกรคนนี้จะเผลอตัว…ถ้าคุณคิด! คุณคิดถูกครับเพราะตอนนี้ผมที่นั่งกอดเข่าพร้อมกับเอนตัวไปพิงบ่าพี่ศิแล้วครับ แต่นี่ไม่ใช่บรรยากาศมันพาไปนะครับ ผมแค่เมื่อยหลังเท่านั้นเอง จริง ๆ นะครับ


“นี่พี่ศิคิดไงอยากพากรมาเที่ยวทะเล รอบวันปีใหม่ก็ทีหนึ่งแล้ว พากรไปหาคุณย่า เอ่อ...หรือคุณยายนะ” ผมที่นั่งพิงบ่าพี่ศิเอ่ยถามขึ้น ซึ่งร่างที่ผมอิงอยู่ก็สะดุ้งตัวน้อย ๆ นะครับ แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะปากหนักใช่ย่อยไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย จนทำให้ผมต้องกลั้นใจถามต่อไปอีก “แล้วที่พี่ศิเขียนลงไปในสมุดโน้ตที่กรให้เขียน…ประโยคพวกนั้นพี่ศิหมายความว่ายังไงเหรอ”


ประโยคนี้ของผมทำเอาพี่ศินิ่งสนิทเลยครับ สงสัยแกไม่คิดว่าผมจะกล้าถามล่ะมั้ง เพราะว่าคำถาม คำถามนี้มันก็ทำให้ผมอายเหมือนกันแต่ตอนนี้ ผมใจกล้าแอนด์หน้าด้านเอาเรื่องแล้วครับ ถึงปากคอผมจะสั่นนิดหน่อยก็เถอะ แต่คุณพี่ศิรวิทย์ก็ยังคงความมาดนิ่งเอาไว้ได้ ผมก็เลยจนใจครับ ไม่ตอบผมก็ไม่ถามต่อ


ผมเอาแต่นั่งพิงร่างของพี่ศิไปเรื่อยๆ บ้างก็ยกมือขึ้นไปชี้ดาวบนท้องฟ้าบ้าง บางทีก็คุยเล่นบ้าง (แต่ก็ไม่ได้ถามคำถามชวนใจเต้นแรงแล้วนะครับ) จนในที่สุดไออาการง่วงนอนของผมก็กลับมาครับ ผมนั่งเอามือป้องปากหาววอดๆ แต่ผมก็ยังดื้อไม่ยอมเดินกลับเข้าบ้านพักไปสักที แต่แล้วผมก็ทนต่อความง่วงไม่ไหว ร่างของผมนี่เอนซบไปที่ร่างพี่ศิอย่างเต็มที่และลมหายใจเข้าออกของผมก็เป็นจังหวะช้าๆ ซึ่งแสดงให้คนที่ผมไปนั่งอิงแอบแนบชิดรู้ว่าตัวของผมนั้นหลับสนิทแบบปลุกยังไงก็ไม่ตื่นแล้วล่ะครับ


ร่างสูงผู้เป็นที่พึ่งพิงก็ได้แต่มองร่างโปร่งที่ซบอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าและแววตาสุดจะปลง แต่จะให้พี่ศิแกทำไงได้ล่ะเมื่อเจ้าตัวแสบน่ะหลับไปแล้ว มันก็กลายเป็นหน้าที่ของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์อีกครั้งที่ต้องอุ้มร่างของโปร่งนั้นไปที่เตียง (ส่วนใหญ่เจ้าตัวแสบก็มักจะนอนหลับแบบนี้ล่ะ จนตัวของผมต้องอุ้มไปนอนที่เตียงเป็นประจำ) และเมื่อร่างสูงนั้นอุ้มร่างร่างนั้นไปที่หน้าประตู เขาก็จัดการปัดเศษทรายออกเสียหมด และขาทั้งสองข้างของเขาก็ค่อยๆย่างเท้าเข้าไปภายในตัวบ้าน และมุ่งตรงไปยังห้องด้านด้านซ้ายมือที่เจ้าตัวแสบในอ้อมแขนของเขาเลือก


เมื่อร่างสูงนั้นเดินไปถึงข้างเตียง เขาก็จัดการวางร่างในอ้อมแขนของเขาลงพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มที่กล่าวอวยพรออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ก็จับใจความได้ว่า “ฝันดีนะครับกร ไอตัวแสบของพี่” สิ้นถ้อยคำพวกนั้น ร่างสูงก็ก้าวเดินออกจากห้องไป และทิ้งให้ร่างโปร่งนั้นหลับใหลอย่างเป็นสุขภายในห้อง




___________________________________________________




เจอกันตอนหน้าจะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2013 20:42:10 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
หวานเกินหน้าเกินตามากไปแล้วนะ เช้ออออออออ อิจฉาและฟินเบาๆๆ><

ปล. รวมเล่มหรอ เค้าสนนนนนนนนนน อยากได้มาเก็บไว้ อิอิ จะเก็บไว้ฟิน ฮี่ๆๆ

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พี่ศิปากแข็งจังน้าาา >..<
รอ รอ รอ อยากซื้อเล่มรวมจังง -3-

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
เจอพี่ศิกะน้องกรเข้าๆไปน้ำทะเลคงเปลี่ยนจากเค็มเป็นหวานแน่  :z1:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
หนีไปหวานกันถึงทะเล อิอิ

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ทะเลหวานเลยนะเนี่ย

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
สวีทกันตลอด ยิ่งตอนช่วยกันเลือกเสื้อผ้า น่ารักมาก
แถมมีข้อความหวานๆให้กันอีก ละลายเลย
พอมาทะเลก็มาหวานละมุน อบอุ่น จังอิจฉาพี่ศิน้องกร
 :-[ :-[

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
พี่ศิน่ารักอ่ะ รอรวมเล่มด้วยคน
อ่านแล้วเมื่อยแก้ม อมยิ้มตลอด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


สวัสดีค่ะไม่ได้เจอกันนาน พลอยมาลงต่อแล้วค่า ><



Chapter 30




วันแรกของการมาถึงปราณบุรี มันเป็นอะไรที่...ไร้ความโรแมนติกสิ้นดีครับ ความจริงที่มันไร้ความโรแมนติกก็สมควรแล้วล่ะครับ เพราะผมกับพี่ศิไม่ใช่คู่รักกัน แต่ไอการที่ผมนอนหลับน้ำลายย้อย น้ำก็ไม่ได้อาบ เสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนและที่สำคัญผมก็โดนพี่ศิอุ้มกลับเข้าบ้านพักมาอีกด้วย มันเป็นอะไรที่น่าอับอายสุด ๆ เลยครับ ผมนี่ได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมายาวเหยียดพร้อมกับอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกมาทานข้าวเช้าครับ (แต่ความจริงแล้วข้าวเช้าผมไม่ต้องทานก็ได้ เพราะไออาหารทะเลที่กินไปเมื่อคืนตอนนี้มันยังย่อยไม่หมดท้องเลยครับ ผมยังรู้สึกอิ่มอยู่เลย)



ผมเดินออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูลง ซึ่งทุกคงไม่ต้องคาดเดาเลยนะครับว่าคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามของผมนี่เขาตื่นหรือยัง เพราะว่าถ้าเขายังไม่ตื่น….ผมก็คงยังไม่ตื่นเช่นกัน นั่นก็เพราะเป็นพี่แกเล่นเข้าไปปลุกผมยันในห้องนอนเลยล่ะครับ พี่แกปลุกไม่พอมีการบ่นเสียยาวเหยียดเรื่องที่ผมดันไปเผลอหลับนอกบ้านจนพี่เขาต้องแบกเข้าบ้านมาเมื่อคืน ทำเอาผมหูชาไปพักใหญ่ ๆ เลยครับ เมื่อพี่ศิแกบ่นเสร็จ แกก็สาวเท้าเดินออกจากห้องไป (ผมรู้สึกว่าถ้าวันไหนพี่แกไม่ได้บ่นผม คืนนั้นพี่ศิคงนอนไม่หลับล่ะมั้งครับ เห็นบ่นได้บ่นดีจริง ๆ)



“พี่ศิ เช้านี้มีอะไรกิน” หลังจากผมนินทาพี่เขาระยะเผาขน ผมก็เอ่ยปากทักพี่ศิถึงข้าวเช้าทันที ความจริงผมไม่ทานก็ได้ครับ แต่ถ้าเกิดไม่ทานพี่แกก็บ่นใส่ผมอีก ก็เลยต้องทำตัวกระตือรือร้นอยากกินข้าวเช้าหน่อย (อ่อ...ลืมบอกไปอีกอย่างนะครับตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ผมอยู่ในชุดลำลองเสื้อมีฮู้ดแขนสั้นสีฟ้าน้ำทะเลกับกางเกงขาสามส่วนสีดำ ส่วนพี่ศิอยู่ในชุดลำลองเหมือนกัน แต่เป็นเสื้อคอโปโลสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงขายาวสีขาวครับ) เมื่อผมเอ่ยออกไปแบบนั้น ร่างสูงที่นั่งจิบกาแฟอยู่ก็อมยิ้มออกมาจาง ๆ แล้วชี้นิ้วไปยังหม้อที่วางอยู่บนเตาแก็ส



ท่าทางข้าวเช้าน่าจะเป็นข้าวต้มนะครับ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นข้าวต้มอะไร ผมสาวเท้าเดินไปเปิดหม้อดู ผลที่ปรากฏนั่นก็คือในหม้อนั้นเป็นข้าวต้มทะเลครับ ผมใช้ทัพพีตักขึ้นมาในจานสักสองสามทัพพีพร้อมกับเดินยกถ้วยมานั่งตรงที่นั่งตรงข้ามกับพี่ศิ ผมตักข้าวใส่ปากช้า ๆ เพราะความร้อนครับ แต่ไอท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของผมทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาจนผมต้องตวัดสายตาขึ้นไปจ้องพี่เขาครับ ผมเบ้ปากใส่พร้อมกับพูดบ่นออกไป “ขำอะไรพี่ ทำอย่างกับตัวเองไม่เป่าก่อนจะกินอะไรร้อนๆ เงียบไปเลยพี่ศิ เดี๋ยวกรงับซะเลย”



การไอตอบโต้แบบนี้ของผมทำให้พี่ศิยิ่งหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ ไอตัวผมก็อยากจะบ่นใส่พี่ศิอยู่หรอกนะครับ แต่ว่าถ้าบ่นไป ผมก็คงกินข้าวไม่เสร็จสักที ดังนั้นผมก็เลยตัดสินใจปล่อยให้พี่แกหัวเราะต่อ ส่วนผมก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวเช้าในชามของตัวเองต่อไป และเมื่อผมทานข้าวเช้าจนหมดจาน พี่ศิแกก็ออกปากชวนผมให้ไปเดินเล่นที่ตลาดในช่วงเช้าแล้วค่อยกลับมาเล่นน้ำในช่วงสายๆ ไอตอนแรกผมก็จะปฏิเสธอยู่หรอก แต่พี่ศิแกยกแม่น้ำทั้งสิบสาย(?) มาพูดว่าอยากเห็นวัฒนธรรมของคนต่างจังหวัด ผมก็เลยจำใจตกลงไปเดินเล่นที่ตลาดและถือว่าเป็นการซื้อของกลับไปฝากเพื่อน ๆ กับคนที่บ้านด้วยเลยแล้วกัน



เมื่อผมตกลง พี่ศิก็ฉวยเอาชามข้าวต้มกับแก้วน้ำของผมไปล้างทันที แถมไล่ให้ผมไปเตรียมตัวรอเสียด้วย ผมก็ได้แต่จ้องหน้าคนเอาแต่ใจด้วยความปลง (เมื่อวานพี่ศิปลง แต่วันนี้ผมปลงพี่ศิแทน) ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือจากในห้องครับ



เมื่อเราทั้งสองคนเตรียมตัวเสร็จ เราก็พากันเดินไปขึ้นรถพร้อมกับขับรถออกไปยังจุดหมายที่เราทั้งสองคนได้ตั้งเป้าไว้ แต่กว่าพวกเราจะไปถึงตลาด เราทั้งสองคนก็ต้องถามทางกับคนท้องถิ่นไปหลายตลบครับ (ก็เล่นไม่ศึกษาเส้นทางกันมาก่อนเลย มันก็ไม่ผิดที่จะหลงทางกันครับ) และกว่าพวกเราจะไปถึงตลาดก็เริ่มจะวายแล้วล่ะครับ (พวกของสดเริ่มหมดแล้ว เพราะตอนนี้เกือบจะแปดโมงครึ่งแล้ว) แต่ก็ยังดีที่มีพวกของแห้งให้ซื้อเป็นของฝากครับ ผมก็เลยวิ่งเข้าไปดูพวกกุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้งครับ ผมเลือกของพวกนี้ไปสักพัก ในที่สุดก็ได้ของฝากกลับบ้านสักที กุ้งแห้งตัวโตๆสองกิโลกับปลาหมึกแห้งอีกสองกิโล ผมไม่อยากจะบ่นเลยนะครับว่ามันเป็นอะไรที่แพงมากๆเลยครับ และเมื่อแม่ค้าคิดเงินผมก็ต้องโบกมือลาแบงค์พันไปอีกใบพร้อมกับหิ้วของฝากเข้าไปใส่ในรถ



สองอย่างที่ซื้อไปนี่เป็นของฝากของที่บ้านครับ แต่ของกินเล่นสำหรับผม…ผมกำลังจะไปซื้อต่อนี่ไงล่ะครับ ผมเดินกลับไปที่ร้านร้านเดิมพร้อมกับชี้ไปที่หอยหวานที่ใส่อยู่ในถาดพร้อมกับยกนิ้วบอกแม่ค่าว่าให้ตักมาหนึ่งกิโล (อันนี้ผมต้องแอบพี่ศิซื้อนะครับเนี่ย ถ้าไม่แอบซื้อคงไม่ได้เอากลับไปกินเพราะว่าเคยมีช่วงหนึ่งผมได้ของฝากแบบนี้มา ซึ่งผมก็นั่งกินจนไม่ได้กินข้าว หลังจากนั้นผมก็ปวดท้องไปหลายวัน พี่ศิแกก็เลยไม่อยากให้ผมกินมันอีก) และหลังจากผมทำภารกิจลับซื้อหอยหวานปลาหวานเสร็จ ผมก็เดินไปหาพี่ศิที่กำลังดูพวกของสดไปทำกับข้าวอยู่



“พี่ศิจะซื้ออะไรอะ ไม่เอาอะไรที่แกะยากๆแล้วนะ กรเกรงใจพี่ศิ” ผมชะโงกตัวไปมองด้านหน้าพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น ซึ่งร่างสูงที่ยกมือขึ้นมาเท้าคางพินิจพิเคราะห์อยู่ก็หันมาพยักหน้าตอบรับผม พร้อมกับตัดสินใจซื้อปลาหมึกสดตัวเล็กๆมาสองกิโลกรัม ปลาหมึกสดตัวโตอีกหนึ่งกิโลกรัม  ปลากะพงขาวตัวโต ๆ อีกหนึ่งตัว ตามด้วยกุ้งตัวโต ๆ อีกสองกิโลกรัมครับ (คาดว่าพี่แกจะทำให้ผมจุกตายไปเลย เล่นซื้อมาเยอะซะขนาดนี้) ผมนี่ถึงกับกระตุกยิ้มในความเยอะของพี่ศิ ก่อนจะนั่งยอง ๆ ดูคุณลุงคุณป้าพ่อค้าแม่ค้าตักของใส่ถุงให้ เมื่อพวกเขาตักเสร็จ ร่างสูงของพี่ศิก็ควักเงินจ่ายให้เขาไปครับ แต่ก่อนที่พวกเราจะได้กลับไปยังบ้านพัก สายตาผมก็เหลือบไปเห็นอาหารทะเลเวอร์ชั่นทำเสร็จแล้ว (เรียกแบบนี้ถูกหรือเปล่าครับ) ผมนี่จูงมือพี่ศิแล้ววิ่งปรี่ไปที่ร้านนั้นทันมี ผมมองพวกปูกับหอยที่แกะสำเร็จ พร้อมกับชี้นิ้วไปให้พี่ศิซื้อปูนึ่งกับหอยแมลงภู่ที่ปรุงสุกและแกะไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนพี่ศิจะไม่ค่อยอยากซื้อสักเท่าไหร่นะครับ เพราะของแบบนี้ที่กรุงเทพก็มีครับ ส่วนใหญ่ของที่ปรุงสุกจะทำมาจากของทะเลที่ขายไม่หมด วันต่อมามันเลยถูกแปรรูปเป็นของปรุงสุกครับ แต่พี่ศิที่เจอลูกอ้อนของผมไปว่าผมอยากกินข้าวผัดปูพี่ศิก็เลยยอมซื้อเนื้อปูปรุงสุกมาถุงหนึ่ง พร้อมกับเดินหิ้วของทั้งหมดกลับขึ้นรถไป ส่วนผมนี่วิ่งตามพี่ศิไปติดๆ ซึ่งคราวนี้พี่ศิแกมือไม่ว่างพอที่จะมาเปิดประตูรถให้ผมครับ เพราะมือทั้งสองข้างของเขากำลังถือกล่องโฟมที่ใช้ใส่ของสดอยู่ ผมจึงต้องทำหน้าที่เปิดประตูรถเอง และขึ้นไปนั่งจุ้มปุ๊กบนที่นั่งข้างคนขับครับ ส่วนพี่ศิก็เปิดประตูหลังและเอากล่องโฟมที่ใส่ของสดไปวางที่พื้นรถครับ เมื่อของทางด้านหลังจัดเรียงเสร็จ พี่ศิก็เดินย้อนกลับมาขึ้นรถและขับออกไปจากตลาดครับ เราใช้เวลาอยู่ในตลาดราว ๆ ชั่วโมงกว่าครับ ดังนั้นตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะสิบโมงแล้วล่ะครับ และขั้นต่อไปหลังจากที่พวกเราสองคนกลับจากตลาด คราวนี้ก็เป็นช่วงเวลาของการเล่นน้ำทะเลแล้วล่ะครับ



โดยการเล่นน้ำทะเล ผมตกลงกับพี่ศิไว้แล้วว่าวันแรกคือวันที่ 15 เราจะไปเล่นที่ชายหาดรวมครับและในวันที่ 16 เราจะเล่นน้ำกันที่ชายหาดส่วนตัวของรีสอร์ทครับผม



หลังจากที่พวกเราสองคนค่อย ๆ ช่วยกันเอาของที่ซื้อมาลงจากรถ หลังจากนั้นผมก็รีบวิ่งเข้าไปหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนในห้องพร้อมกับหยิบผ้าขนหนู สบู่และยาสระผมเตรียมใส่กระเป๋าใบเล็กไปด้วยครับ ทีนี้ผมก็เตรียมตัวสำหรับไปเล่นน้ำทะเลเรียบร้อย ทีนี้ก็เหลือแต่รอพี่ศิเตรียมตัวแล้วล่ะครับ ตอนเช้าก็เล่นแต่งตัวซะเต็มที่แบบนั้นกว่าจะเปลี่ยนเสื้อเสร็จคงใช้เวลาอีกสักพักล่ะครับ ผมนั่งไขว่ห้างรอพี่ศิในห้องนั่งเล่นเวลาผ่านไปสิบนาที ร่างสูงของพี่ศิก็เดินออกมาจากห้องครับ ซึ่งไอการที่พี่ศิแต่งตัวช้าผมไม่ว่า แต่สิ่งที่พี่ศิแกใส่ตั้งแต่หัวจรดเท้านี่มันเหมือนผมหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบเสื้อกับกางเกงที่ผมใส่ และไม่เว้นแม้กระทั่งสีของเสื้อครับ ไอผมนี่เอามือกุมหัวทันทีเลยล่ะครับ พี่ศิครับ พี่ไม่ค่อยจะประกาศโจ่งแจ้งเลยนะครับ แต่สิ่งที่พี่ศิแตกต่างจากผมนั่นก็คือกระเป๋ากล้องยี่ห้อง Nikon ที่พาดอยู่บนบ่าแทนที่จะเป็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าแบบผมครับ



สภาพแบบนี้แล้วท่าทางพี่ศิจะไม่ลงไปเล่นน้ำสินะครับ ถึงไม่ได้เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนเลย ผมได้แต่กอดอกพร้อมกับกระตุกยิ้ม ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องของพี่ศิและก็เลือกกางเกงสำหรับเปลี่ยน หลังจากลงเล่นน้ำครับ ที่ผมทำแบบนี้ก็ไม่ต้องบอกเลยครับว่าผมมีเป้าหมายจะทำอะไร…นอกจากการลากพี่ศิลงไปเล่นน้ำทะเลด้วยครับ



ผมเดินออกมาจากห้องของพี่ศิด้วยรอยยิ้มพร้อมกับจูงมือของพี่ศิให้เดินไปที่รถครับ ผมนี่เข้าไปนั่งจุ้มปุ๊กตรงที่นั่งข้างคนขับ และพี่ศิก็ก้าวขึ้นรถตามพร้อมกับขับออกไปจากบ้านพักหลังนี้ ผมนี่นั่งกระดี๊กระด๊าไปมาอยู่ในรถ ส่วนพี่ศิก็ขับรถไปพลางส่ายหัวไปกับท่าทางโอเวอร์แอ็คติ้งของผม



และเมื่อเราทั้งสองคนขับรถไปได้ไม่นาน รถของเราก็เคลื่อนตัวมาถึงชายหาดสำหรับเล่นน้ำแล้วนะครับ ผมนี่กระโดดลงจากรถพร้อมถลาไปที่ชายหาดทันที ผมพลางปรายตามองผู้คนที่มากหน้าหลายตา แต่คนในหาดตอนนี้ก็ไม่ได้มากมายอย่างที่คิดนะครับ ดูเหมือนว่าคนเขาจะสนใจกับการเล่นน้ำสงกรานต์กันมากกว่าการมาเล่นน้ำที่ทะเลเลยทำให้คนที่อยู่บนหาดนี่บางตามากกว่าที่ผมคิดไว้ ผมหันไปส่งยิ้มให้กับพี่ศิที่ค่อย ๆ เดินลงมาที่หาดพร้อมกับวิ่งเข้าไปช่วยพี่ศิเขาถือของครับ (ตอนวิ่งมานี่ ผมมาแต่ตัวครับ ของเขิงลืมหิ้วมันลงมาด้วยหมด) เราทั้งสองคนเดินมองหาเก้าอี้ชายหาดมุมดีๆอยู่สักพัก ในที่สุดเราก็ได้ทำเลดีที่เหมาะกับการนั่งกินลมชมวิวครับ พี่ศิเขาไปวางกระเป๋าและกระติกน้ำพร้อมกับเริ่มประกอบกล้องสุดรักสุดหวงของตัวเองเข้ากับเลนท์ครับ ผมนี่ไขว่ห้างกระดิกเท้ามองพี่ศิไปสักพัก ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับ ผมถอดเสื้อของตัวเองออกพร้อมกับวิ่งตรงไปที่ทะเลทันที



‘เล่นคนเดียวก็ได้วะ’ ผมบ่นพึมพำพร้อมกับถลาตัวเองหน้าจุ่มลงไปในทะเล (อ่อ...ครีมกันแดด ผมทามาแล้วนะครับผมไม่มีทางให้ผิวตัวเองดำเด็ดขาด เพราะถ้าดำ...ผมโดนคุณม๊านัทชาลากเข้าสปาทุกวันแน่นอน) เมื่อผมดื่มด่ำกับน้ำทะเลจนสมใจแล้ว (ความจริงแต่เอาหน้าจุ่มลงไปในน้ำทะเลเท่านั้นล่ะ) ผมก็ยืดตัวเองขึ้นเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าสีคราม ริมฝีปากของผมคลี่รอยยิ้มจางๆ และหลังจากนั้นผมก็…โหมเล่นน้ำทะเลอย่างบ้าคลั่ง แต่ดูเหมือนว่าบุคคลที่ชวนผมมาทะเลเนี่ย ไม่มีกะจิตกะใจอยากเล่นน้ำทะเลเลยนะครับ ร่างสูงนั้นเดินมายืนอยู่ริมหาด เท้าของเขาแช่อยู่ในน้ำทะเลสักครึ่งแข้งในมือถือกล้องโปร (หรือชื่อสามัญที่คนเล่นกล้องเรียกก็คือกล้อง DSLR) ขึ้นมารัวชัตเตอร์ถ่ายบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งผมคิดว่าในที่นี้ไม่มีอะไรน่าถ่ายนะครับ และถ้าอยากถ่ายทะเลแนะนำให้ไปถ่ายที่ชายหาดส่วนตัวของทางรีสอร์ตที่เราจองไว้ดีกว่าแต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย ผมยังคงนอนลอยคออยู่บนห่วงยางที่เช่ามาไปเรื่อย ๆ



พอนอนเหนือน้ำมากเกินไป เสื้อผ้าก็แห้งผมก็เลยลงไปจุ่มในน้ำพร้อมกับปีนขึ้นไปนอนแอ้งแม้งบนห่วงยางเช่าต่อไปผมทำแบบนี้สลับไปเรื่อย ๆ ของบอกตรง ๆ เลยว่ามันน่าเบื่อมาก ทั้งๆที่คิดว่ามันน่าจะสนุกมากเลยแท้ๆ การมาทะเลแล้วต้องมานั่งเล่นน้ำทะเลคนเดียวแบบนี้ มันน่าเบื่อชะมัดไม่ใช่ว่าผมไม่ชวนพี่ศิเขามาเล่นนะครับ คือผมชวนแล้ว แต่พี่แกไม่ยอมมาเล่นด้วย ผมได้แต่ปลายตามองไปที่ชายหาดที่อยู่ไกลๆ ในที่สุดความคิดอันแสนปราดเปรื่อง (เหรอ) ของผมก็บังเกิดครับ พวกที่วักน้ำเพื่อเอาตัวเองเข้าสู่ชายหาดพร้อมกับวิ่งหิ้วห่วงยางไปที่เก้าอี้ชายหาดที่พี่ศินั่งอยู่ ผมเดินเข้าไปในร่มพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้กับพี่เขา
แต่ก่อนที่ผมจะลากพี่ศิไปลงน้ำทะเลเอาไว้ก่อนดีกว่า เพราะตอนนี้ตอนนี้ผมได้เวลากินข้าวกลางวันก่อนแล้วกันล่ะครับ ไว้หลังจากกินเสร็จ ค่อยหาเรื่องลากพี่ศิลงไปเล่นน้ำแล้วกันนะ ผมทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับพี่ศิพร้อมกับส่งรอยยิ้มและพูดเอาแต่ใจออกไป



“พี่ศิกรอยากกินยำปลาหมึกอะ” ผมพูดใส่พี่ศิพร้อมกับชี้นิ้วไปที่จานจานนั้น ซึ่งพี่ศิผู้แสนดีก็จิ้มยำปลาหมึกมาให้นะครับ แต่พี่แกบอกให้ผมอ้าปากกว้าง ๆ แทนครับ ซึ่งผมก็ทำตามที่พี่เขาบอกครับ และในขณะที่ผมก้าปากกว้างตามที่พี่ศิสั่งไอปลาหมึกชิ้นนั้นก็ถูกยัดใส่ปากผมทันที เล่นเอาผมแทบสำลักออกมา ผมรีบพยายามเคี้ยว ๆ ให้กลืนลงคอพร้อมกับอ้าปากเพื่อจะต่อว่าพี่ศิ ทว่าปลาหมึกชิ้นต่อไปก็อยู่ในปากของผมซะแล้วครับ ไอผมก็ทำแบบนี้อยู่หลายต่อหลายที และในที่สุดผมก็ต้องยกมือบอกให้พี่ศิพอก่อน แล้วผมก็หันไปหยิบน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหายแทน (ให้ตายเถอะ แค้นนี้ต้องชำระครับ ผมไม่ยอมโดนกลั่นแกล้งฝ่ายเดียวแน่นอน)



พี่ศิแกหัวเราะร่าพร้อมกับยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ใส่หน้าผมที่กำลังกินน้ำอยู่ ไอผมก็เอื้อมมือไปหาเพราะว่าจะแย่งกล้องกลับคืนมา แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะหวงกล้องตัวนี้มากเลยเอี้ยวตัวหลบเพื่อไม่ให้ผมจับ (ความจริงแล้วพี่ศิน่าจะกลัวน้ำทะเลจากตัวผมเข้าไปที่กล้องมากกว่าครับ พี่เขาเลยไม่ให้ผมจับ) ผมนี่ทำแก้มป่องเลยล่ะครับพร้อมกับออกปากสั่งให้พี่ศิแกเอากล้องไปเก็บที่รถและลงมาเล่นน้ำกับผม



“พี่ศิ! เอากล้องไปเก็บเดี๋ยวนี้เลย หลังจากนั้นก็ลงมาเล่นน้ำกับกรซะ!” ผมพูดออกไปมือหนึ่งเท้าเอว ส่วนอีกมือหนึ่งชี้ไปที่กล้องของพี่ศิ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าท่าทางของผมมันน่าหัวเราะตรงไหน แต่พี่ศิแกก็หัวเราะออกมาครับ แถมก็ไม่ทำตามคำพูดที่ผมบอกอีก คราวนี้ผมเลยเพิ่มน้ำหนักเสียงขึ้นไปอีก “รีบเอาไปเก็บเดี๋ยวนี้เลย นี่คือคำสั่งของกรครับ พี่ศิ”



ร่างสูงยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีก ผมนี่ถึงกับงอนหนัก ผมถือถังน้ำที่เตรียมมาเดินไปตักน้ำทะเลพร้อมกับเทรดหัวพี่ศิทันทีเลยครับ ซึ่งไอการกระทำแบบนี้ของผมนั้น ทำให้พี่ศิแกเอากล้องสุดรักสุดหัวออกจากคอแทบไม่ทันเลยครับ ความจริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำถึงขนาดนี้นะครับ แค่จะให้พี่ศิมาเล่นด้วยเท่านั้นเองครับ เพราะแต่เขามัวแต่สนใจกล้องถ่ายรูปและไม่คิดจะมาสนใจคนที่มาด้วยอย่างผม ผมไม่ได้น้อยใจเลยนะ….ไม่ได้น้อยใจเลยสักนิดเดียว…



v
v
v
v
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2013 19:45:31 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



ผมได้แต่เม้มปากของตัวเองแน่นพร้อมกับสะบัดหน้าหันหนีไปอีกทาง ส่วนพี่ศิท่าทางจะหัวเสียขึ้นมาแล้วล่ะครับที่ผมทำแบบนั้นไป เสียงทุ้มตวาดกร้าวพร้อมมือกร้านที่เอื้อมมาตีมือของผมที่ถือถังน้ำ “กรครับ! ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะครับ ถ้าเกิดข้าวของเสียหายจะทำยังไงกัน” สิ้นเสียงพี่ศิ ผมนี่ถึงกับน้ำตาคลอเลยครับ ไอความสนงสนุกไม่มีเหลืออีกแล้วครับ ตอนนี้ผมยอมรับเลยว่าผมมีแต่ความน้อยใจล้วนๆเลยครับ! “ถ้าพี่ศิชวนกรมาทะเลแบบนี้ แล้วปล่อยให้กรเล่นอยู่คนเดียวเหงาอยู่คนเดียวแบบนี้ คราวหลังไม่ต้องชวนกรมาแล้วนะ ถ้าจะมานั่งทำกิจกรรมส่วนตัวแบบนี้คนเดียวน่ะ” ผมตะคอกเสียงใส่พี่ศิพร้อมกับเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าที่เอามาเปลี่ยนไปด้วยผมเดินดุ่ม ๆ ตรงไปที่ร้านอาบน้ำพร้อมกับเข้าไปทำความสะอาดตัวเองให้เรียบร้อย


ไอผมก็เข้าใจนะครับว่าพี่ศิเป็นพวกเวลาทำอะไรจะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่ตัวเองเป็นคนชวนคนอื่นมาเที่ยวแบบนี้ ถ้ามากันหลาย ๆ คนผมก็จะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่มากันสองคน! ถ้าคนหนึ่งไม่สนใจ ปล่อยให้อีกคนเล่นอยู่คนเดียว…ถ้าเป็นแบบนี้การมาเที่ยวกันสองคนจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ สู้นอนอยู่ที่บ้านยังสนุกกว่าเยอะ!



เมื่อผมทำความสะอาดร่างกายของตัวเองเสร็จ ผมก็เดินดุ่ม ๆ ออกมาจากห้องอาบน้ำเลยครับ ซึ่งอย่างที่คาดเดาพี่ศิไมได้มายืนรอเพื่อขอโทษอะไรผมหรอก พี่ศิแกยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ตอนนี้เขานั่งกอดอกเก็บของข้าวของเรียบร้อยแล้วล่ะครับ ดูเหมือนว่าพี่แกจะนั่งรอผมให้ไปหาอยู่ (เห็นพี่ศิแกตามใจผม พี่แกก็มีทิฐิสูงเอาเรื่องนะครับ เรื่องไหนที่แกคิดว่าตัวเองไม่ผิด แกไม่ยอมมาขอโทษหรอกครับ) ซึ่งตัวของผมก็เป็นพวกทิฐิสูงไม่แพ้พี่ศิครับ ผมเดินไปหาพี่ศิจริงๆ แต่ที่ผมไปคือผมก้มลงไปเอาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาแล้วเดินหนีพี่ศิไปที่ถนนครับ  ผมเดินไปพร้อมกับล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองเพื่อหากระเป๋าใส่เงินครับ….ซึ่งการที่ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋าเงินนั้นความบรรลัยของชีวิตของผมก็บังเกิดครับ…เพราะผมทิ้งกระเป๋าเงินเอาไว้ในรถของพี่ศิแล้วเงินที่ผมพอมีติดตัวก็มีแค่หกสิบบาทจากเงินทอนค่าเช่าห่วงยางครับ ผมนี่หน้าซีดเผือกเลยล่ะครับซึ่งผมก็แอบเหลือบตามองพี่ศินะครับว่าพี่แกทำท่าทางยังไง เขายังคงนั่งกอดอกนิ่ง ๆ อยู่เช่นเดิม แต่แววตาสีเข้มนั้นอ่อนลงเยอะแล้วล่ะครับ ทว่าผมก็ยังไม่อยากไปร้องขออะไรกับคนที่ผมทะเลาะด้วย ผมก็เลยใช้สปิริตที่มีเดินกลับบ้านพักเองซะเลย ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าคนที่ยังคงนั่งเฉยจะรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ผมขอใช้เท้าตัวเองที่สวมรองเท้าหนีบคู่ละ 199 เดินกลับบ้านพักครับ (ซึ่งจากการคาดเดาของผม…ไม่น่าจะไกลมากสักเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ถามคนไว้แล้วล่ะครับว่ารีสอร์ทที่ผมพักน่ะไกลมากไหม ซึ่งไม่ไกลมากครับ จิ๊บๆแค่เกือบสิบกิโลเอง ไอเรื่องเดินไกลไม่เท่าไหร่ (เพราะเขาชนไก่ มันทำเอาผมรวดร้าวมากกว่ามาแล้ว) แต่ผมหวังไว้ว่ารองเท้าที่ผมใส่มันจะไม่เจ๊งก่อนนะครับ)



ผมหันไปมองพี่ศิเป็นครั้งสุดท้าย(?) ก่อนจะสาวเท้าเดินไปตามถนนที่ทอดยาวโดยไม่สนใจร่างสูงที่ลุกขึ้นมา และเตรียมสาวเท้าเดินตามผมหรือเดินไปขึ้นรถของเขาก็ไม่รู้ (ให้ตายเถอะครับ ต่อให้เดินตามมา ผมก็ไม่สนแล้ว ไปไหนก็ไปเลย พี่ศิ ชิ่ว ๆ) ผมยังคงเดินดุ่ม ๆ แบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างไปตลอดทาง ผมสาวเท้าเดินไปได้ระยะสักห้าร้อยถึงหกร้อยเมตร (ด้วยความเร็วคงที่(?)) ในที่สุดรถยนต์คันงามที่ผมคุ้นชินเป็นอย่างดีก็เคลื่อนที่มาขนาบข้างกับตัวผมกระจกรถถูกเลื่อนลงพร้อมกับใบหน้าคมของร่างสูงที่หันมา



“ขึ้นรถซะ” ถ้อยคำสั้น ๆ ง่าย ๆ ดังออกมาจากริมฝีปากหนา น้ำเสียงที่เอ่ยดังออกมานั้นมันดูเย็นชาและไร้อารมณ์สิ้นดีครับ (ตอนนี้พี่ศิแปรสภาพกลายเป็นพี่ศิที่ผมไม่เคยรู้จักซะแล้วล่ะครับ ที่ผมบอกว่าผมไม่รู้จักเขานั่นก็หมายความว่าผมไม่เคยเจอพี่ศิในมาดผู้ชายเย็นชาไร้อารมณ์มาก่อนเลยครับ ผมถึงพูดไงว่าตอนนี้พี่ศิไม่ใช่พี่ศิที่ผมรู้จักอีกแล้วล่ะครับ) ซึ่งคำสั่งนั้นของพี่ศิ เด็กดื้ออย่างผมก็ไม่ยอมทำตามเขาหรอก ต่อให้เขาบีบบังคับและหิ้วผมโยนเข้าไปในรถก็เถอะ



ผมยังสาวเท้าเดินต่อไป ร่างสูงที่ขับรถนั้นก็ยังขับรถแบบตีขนาบข้างผมไปเรื่อยๆ (แต่ก็ยังดีที่ไม่มีรถตามมาทางด้านหลังครับ ไม่งั้นคงโดนบีบแตรไล่แบบไม่คิดชีวิตแน่ ขับรถแบบนี้) ผมเดินแบบนี้ไปอีกสักพัก ในที่สุดความอดทนของร่างสูงนั้นก็คงหมดลง รถพี่ศิแกเหยียบคันเร่งจนรถพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับน้ำตาของผมที่ไหลทะลักออกมา



‘ทำไมต้องทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย...’ ผมพึมพำใส่ตัวเองไป มือก็พลางยกขึ้นมาปาดน้ำตาไป รถยนต์คันงามที่หายลับไปจากสายตาไม่มีท่าทีที่จะวนกลับมารับผม ซึ่งมันก็คงเป็นแบบนั้นนั่นแหละ เพราะผมไปทำให้พี่ศิแกโกรธมากซะแล้ว ความจริงผมก็โดนเตือน ๆ มานะครับว่าอย่าทำให้พี่ศิแกโกรธ เพราะพี่ศิเป็นคนโกรธแรงและเกลียดคนไร้เหตุผลแบบสุดๆ ผมมีเหตุผลของผมนะครับว่าทำไมถึงทำไปแบบนั้น แต่เหตุผลของผมคงไม่มากพอที่จะให้ทำให้พี่ศิแกเข้าใจ



ผมยังคงก้มหน้าก้นตาเดินต่อไป แต่ก็เปลี่ยนจากถนนมาเป็นเดินเลียบชายหาดแทนครับ (เพราะคุณป้าแม่ค้าเขาบอกว่าชายหาดแห่งนี้มันเชื่อมไปถึงรีสอร์ทที่ผมพักอยู่ได้) ผมค่อย ๆ สาวเท้าเดินไปเรื่อง ๆ ซึ่งสถานที่ที่ผมอยู่มันน่าจะใกล้ถึงรีสอร์ทที่ผมพักแล้วครับ ถ้าคุณคิดว่าผมรู้ได้ยังไง…ก็ผมเล่นเดินมาแล้วสองสามชั่วโมงแล้วครับ ไม่ใกล้ถึงก็บ้าแล้ว ที่สำคัญผมเห็นเจ้าตัวบ้านพักตั้งอยู่ไกล ๆ ด้วยครับ อีกนิดก็คงถึงแล้วล่ะ



และที่ผมจะทำเมื่อไปถึง นั่นก็คือเก็บเสื้อผ้าตัวเองแล้วเอากระเป๋าเงินคืนจากพี่ศิ หลังจากนั้นผมจะไปหารถกลับกรุงเทพครับ!
ผมเดินย่ำต๊อกไปเรื่อยๆ จะให้บอกว่าปวดขาไหม ผมปวดนะ แต่ทำไงได้ล่ะ ผมไม่มีหนทางอื่นนี่นา เงินผมตอนนี้ก็เหลือแค่ยี่สิบบาทแล้วด้วยครับ นั่นก็เป็นเพราะระหว่างทางผมซื้ออะไรกินไปบ้างแล้วเหมือนกัน ผมค่อย ๆ สาวเท้าอย่างคนมีความหวัง และในที่สุดไอความหวังของผมมันก็อยู่แค่เอื้อมแล้วล่ะครับ บ้านพักที่พี่ศิจองไว้ตอนนี้อยู่ด้านหน้าผมแล้วครับ



ขาทั้งสองข้างจากเดินเปลี่ยนเป็นวิ่ง ผมวิ่งไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าไอรองเท้าคู่ละ 199 บาทที่ผมใส่นั้นมันจะเกิดอาการสำออยมาเจ๊งกะทันหันอะไรตอนนี้ ผมแทบหน้าคว่ำไปกับพื้นทราย แต่ก็ยังดีที่ศูนย์ถ่วงผมดีมากถึงมากที่สุด จึงทำให้ผมทรงตัวได้โดยที่ไม่ล้มลงไปวัดพื้น



“ไอรองเท้าบ้า! วันนี้พี่ศิก็บ้าไปคนแล้ว รองเท้าอย่างแกจะยังมาบ้าอีกเหรอ!” ผมทรุดตัวนั่งลงไปที่พื้นพร้อมถอดรองเท้าแล้วปาทิ้งไป ผมดิ้นโวยวายไปมาบนพื้นทราย แต่ในท้ายที่สุดผมก็ต้องลุกขึ้นและเดินไปเก็บรองเท้าบ้าที่ราคา 199 บาทมาถือไว้เดินต่อไป



ผมเดินท้าเปล่าเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ ในที่สุดผมก็เดินไปถึงบ้านพักที่พี่ศิจองไว้ ผมมองสภาพภายนอกของตัวบ้านประตูที่เชื่อมมาที่ทะเลถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของพี่ศิที่นั่งกอดอกอยู่ตรงชานบ้าน ‘ให้ตายสิ ผมไม่อยากเดินเข้าไปเลย’ ซึ่งผมที่มีความคิดแบบนั้น ผมก็ได้แต่เตะทรายเล่นรอให้พี่ศิเดินเข้าบ้านพักไป



แต่จนแล้จนรอดพี่ศิก็ยังคงไม่เดินกลับเข้าไปในบ้านพักสักที จนในที่สุดบางสิ่งบางอย่างมันก็เกิดขึ้นกับตัวผมครับ…เพราะไอเท้าเจ้ากรรมของผมมันดัน…ไปเตะโดนซัมติงอะไรบางอย่างเข้าครับ และไอซัมติงอะไรบางอย่างนั่นมันทำให้ผมต้องทรุดลงไปนั่งที่พื้นและกุมเท้าตัวเองไว้ รู้สึกว่าผมจะไปเตะไปโดนขวดแก้วเข้าล่ะมั้งครับ เลือดมันเลยไหลออกมาไม่หยุดแบบนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของผมร้อนผ่าว หยาดน้ำตานั้นค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากด้วยตา



‘วันนี้มันวันอะไรของผมนะ ซวย ซวย ซวยมาตลอดทั้งวัน’ ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง มือทั้งสองข้างนั้นก็กุมบาดแผลที่เกิดขึ้นเอาไว้ เลือดสีแดงสดยังคงไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย และในท้ายที่สุดน้ำตาที่ผมอดกลั้นมานานก็ไหลทะลักออกมาจากดวงตาครับ ผมนั่งสะอึกสะอื้นอยู่แบบนั้น และเหมือนว่าเสียงร้องไห้ของผมมันจะดังไปเข้าหูของพี่ศิเข้า ร่างสูงรีบลุกขึ้นและวิ่งมาหาผมด้วยความรวดเร็ว



“กรเป็นอะไรไปครับ” น้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน…ตอนนี้พี่ศิกลับเป็นพี่ศิคนเดิมที่ผมรู้จักแล้วสินะครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากจะให้พี่ศิมาช่วย หรือมายุ่งอะไรกับผม ผมใช้มือข้างหนึ่งกุมทรายจนเต็มฝ่ามือพร้อมกับปาเข้าใส่พี่ศิ



“ไปไกลๆเลย ไม่ต้องมายุ่งกับกร” ผมสะอึกสะอื้นไปปากก็พลางพูดไล่พี่ศิไป ซึ่งตัวพี่ศิจะไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่พอใจผมแล้วครับ ร่างสูงนั้นค่อยๆทรุดตัวลงนั่งข้างๆผมพร้อมกับยกเท้าข้างที่มีบาดแผลขึ้นไปดู และทันทีที่ร่างสูงเห็นบาดแผลที่เกิดขึ้น คิ้วคมเข้มก็ขมวดจนแทบจะเป็นปม



“กร...อย่าพึ่งดื้อได้ไหมครับ!” ผมที่ใช้มือทั้งสองข้างฟาดรัวใส่พี่ศิไม่ยั้งถึงกับต้องชะงัก เพราะเสียงตะคอกของพี่ศิครับ ใบหน้าคมนั้นดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก ที่สำคัญน้ำเสียงและการกระทำของพี่ศินั้นดูเป็นห่วงเป็นใยผมอย่างมาก เพราะแบบนั้นจึงทำให้ผมยอมนั่งนิ่งๆ ร่างสูงนั้นยืนขึ้นจนสุดความสูงของตนก่อนจะค่อย ๆ ก้มตัวลงมาอุ้มผมอย่างเบามือ



“ก่อนอื่นต้องล้างแผลขั้นพื้นฐานก่อนแล้วพี่จะพาไปโรงพยาบาลนะครับ” ผมซึ่งอยู่ในวงแขนพี่ศิได้แต่พยักหน้าเบา ๆ แต่ดวงตาทั้งสองข้างของผมนั้นยังคงเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ผมใช้มือทั้งสองข้างกุมเสื้อของพี่ศิแน่นพร้อมกับใบหน้าที่ซุกลงไปที่แผ่นอกของพี่ศิเขา



ร่างสูงนั้นค่อยๆก้าวเข้าไปในบ้านพัก พร้อมกับวางผมลงบนโซฟาอย่างเบามือ หลังจากนั้นพี่ศิก็วิ่งไปหาชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อเอาอุปกรณ์มาล้างแผลให้กับผม (ส่วนผมน่ะเหรอ…นั่งร้องไห้และปล่อยให้เลือดมันไหลไปอยู่แบบนั้นครับ) ผ่านไปไม่นานนัก ร่างสูงของพี่ศิก็เดินกลับมาหาผมที่โซฟา ในมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ใช้สำหรับการระงับเลือดที่ไหลเต็มฝ่าเท้าของผมครับ



พี่ศิแกทรุดตัวนั่งลงกับพื้นเบื้องหน้าผมพร้อมกับยกเท้าของผมไปจุ่มในกาลามังน้ำอุ่นที่เขาเตรียมมาเพื่อล้างทรายออกจากเท้าของผมเป็นขั้นแรกครับ หลังจากทำความสะอาดขาของผม ขั้นแรกพี่ศิก็ยกเท้าผมขึ้นพร้อมกับเอาผ้าขนหนูมาวางไว้ที่ตักตัวเองแล้วตามด้วยเท้าของผมที่วางตามลงไปครับ เศษทรายที่ติดอยู่ตรงฝ่าเท้าของผมหลุดออกไปเยอะแล้วล่ะครับ แต่มันยังคงไม่สะอาดดีเท่าไหร่นัก  พี่ศิค่อยๆเอาแอลกอฮอล์มาเช็ดรอบๆแผลของผม หลังจากนั้นก็ตามด้วยน้ำเกลือครับ พี่ศิใช้น้ำเกลือล้างแผลของผมอย่างเบามือ และเมื่อแผลของผมที่ดูเหมือนจะสะอาดเรียบร้อยแล้ว พี่ศิก็จับเท้าของผมขึ้นพร้อมกับตรวจบาดแผลที่เกิดขึ้นมันลึกมากหรือเปล่า เมื่อพี่ศิตรวจดูเบื้องต้นแล้ว เขาก็ถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและเริ่มใส่ยาและพันผ้าพันแปลให้แก่ผม



“แผลไม่ลึกมากครับกร แต่พี่คิดว่าคงต้องพากรไปฉีดยากันบาดทะยักน่ะครับ” พี่ศิพูดขึ้นพร้อมกับก้มหน้าก้มตาเก็บอุปกรณ์ทำแผลไป ส่วนผมก็ได้แต่ครางตอบเบาๆ หลังจากที่พี่ศิทำแผลเสร็จ บรรยากาศอึดอัดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยฝ่ายที่เริ่มสร้างบรรยากาศอึดอัดเป็นฝ่ายของผมก่อนครับ



ผมนิ่งเงียบไม่คิดจะพูดอะไรและเมื่อพี่ศิถามผมก็ได้แต่ตอบ ‘อื้อ’ ออกไปเท่านั้น มันเลยทำให้บรรยากาศที่อยู่รอบ ๆ ตัวสองรองคนหรือเรียกง่าย ๆ ว่าบรรยากาศภายในบ้านพักแห่งนี้มันอึดอัดและมืดมนมากเลยครับ  พี่ศิเดินเข้าไปเตรียมตัวในห้อง ก่อนจะออกมาด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงสแลคขายาว ส่วนผมยังคงอยู่ในสภาพเดิมครับ พี่ศิเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับค่อย ๆ ช้อนตัวของผมขึ้น ซึ่งท่าอุ้มท่านี้เป็นท่าเดียวกันกับตอนพี่ศิอุ้มผมเข้ามาในบ้านพักครับ แต่สิ่งที่แตกต่างคือ พี่ศิอุ้มผมไปวางไว้ในที่นั่งข้างคนขับ ซึ่งขาทั้งสองข้างของเปลือยเปล่าครับ (นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิแกไม่ใส่ให้ผม) หลังจากนั้นเขาก็เดินวนไปเปิดประตูรถอีกฝั่งพร้อมกับสตาร์ทรถเพื่อให้รถคันนี้เคลื่อนที่ไปด้านหน้า



ผมนั่งเอามือจิกเบาะรถแน่นในใจก็ยังคงน้อยใจพี่ศิแกอยู่ลึก ๆ นะครับ แต่การแสดงความเป็นห่วงผมมากขนาดนี้ ทำให้ผมใจอ่อนลงกับพี่เขาเล็กน้อย ทว่าไอการที่ผมต้องเจ็บเท้าแบบนี้ มันก็เกิดขึ้นเพราะพี่ศินั่นล่ะ ที่สำคัญพี่เขาก็ต้องเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ผมนั่งเท้าค้างสายตาพลางมองไปยังนอกหน้าต่างรถ ส่วนพี่ศิกับรถด้วยความเงียบ เราสองคนยังคงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาเลยหลังจากออกมาจากบ้าน



รถคันหรูค่อย ๆ เคลื่อนที่ข้าตัวเมืองไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดรถ BMW สุดหรูคันนี้ก็จอดสนิทในลานจอดรถของโรงพยาบาล ไอผมที่จะเปิดประตูลงจากรถก็ลืมไปเลยว่าเท้าทั้งสองข้างของผมไม่มีอะไรสวมอยู่ ผมจึงจำใจนั่งอยู่บนรถรอให้พี่ศิมาช่วยพาผมลงจากรถครับ



แต่ไอวิธีที่พี่ศิแกพาลงจากรถผมไม่ใคร่จะยินยอมสักเท่าไหร่ เพราะว่าพี่ศิอุ้มผมท่าเดิมซึ่งเหมือนกับที่อุ้มผมออกมาจากบ้านพักครับ ท่าอุ้มเจ้าสาว…



ผมนี่อายแทรกจะซุกแผ่นดินหนี แต่มันก็หนีไม่ได้ครับเพราะว่าพี่ศิแกเดินเข้าไปในโรงพยาบาลแล้วล่ะครับ (โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชนครับเลยเปิดรับผู้ป่วยทุกวันครับ) เมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเห็นผมที่โดนอุ้มมา เขาก็กุลีกุจอเอารถเข็นมารับครับ ผมซึ่งที่นั่งอยู่บนรถเข็นโดนเข็นไปพบแพทย์ครับ ส่วนพี่ศิแกติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ผมนั่งรอนิ่งๆ อยู่บนรถ  ในที่สุดผมก็ได้เข้ารับการตรวจ ซึ่งผมโดนฉีดยาแก้บาดทะยักไปหนึ่งเข็ม แล้วก็ได้ยาแก้อักเสบและยาฆ่าเชื้อชนิดกินหลังอาหารมาชุดหนึ่งครับ



และเมื่อรถเข็นของผมถูกเข็นออกมาหน้าโรงพยาบาล ผมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนเดิมครับ เหตุผลก็เหมือนเดิมคือผมไม่มีรองเท้าที่จะใส่เดินครับ ซึ่งพี่ศิก็ยังคงทำเช่นเดิมคืออุ้มผมพร้อมกับพาผมเดินไปที่รถครับ และผมก็เข้าไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิมนั่นก็คือที่นั่งข้างคนขับ และพี่ศิก็ยังคงทำหน้าที่เป็นสารถีเช่นเดิม ใบหน้าคมนั้นนิ่งเฉยแต่แววตาของพี่ศิเขาฉายแววสำนึกผิดอยู่น้อยๆ



เราทั้งสองคนยังคงเงียบใส่กันไปตลอดทางจนถึงบ้านพัก และยังคงเงียบใส่กันไปจนถึงเวลาทานข้าว กับข้าวมื้อเย็นเป็นยำปลาหมึกยัดไส้ ปลากะพงนึ่งมะนาวแล้วก็ผัดเผ็ดปลาหมึกสดครับ เราสองคนนั่งทานกันเงียบ ๆ และหลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็นั่งทานยาตามที่คุณหมอได้สั่ง ส่วนพี่ศิก็รับหน้าที่ทำความสะอาดอุปกรณ์ทำครัวและจานชามที่ใช้แล้ว และเมื่อทุกอย่างเสร็จ พี่ศิก็เดินมาข้างผมที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น ผมกับพี่ศินั่งกันคนละฝั่งของโซฟา ผมนั่งฝ่างซ้ายและพี่ศินั่งฝั่งขวา ใจผมผมอยากจะเอ่ยขอบคุณพี่ศินะครับ ทว่าทิฐิของผมมันยังมีอยู่ ผมจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตามมองผ้าพันแผลที่พี่ศิเขาพันให้



เมื่อมองมันน้ำตาของผมก็เอ่อล้นอีกครั้งและค่อยๆหยดลงบนตัก ซึ่งการร้องไห้ของผมนั้นทำให้พี่ศิแกตกใจมาก ร่างสูงรีบกระเถิบเข้ามาใกล้ ๆ ผมพร้อมกับลูบหัวผมอย่างเบามือ



“ไม่เจ็บแล้วนะครับกร อย่างร้องนะครับ” น้ำเสียงที่ปลอบอย่างอ่อนโยน ทำให้ผมร้องไห้ยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งคราวนี้พี่ศิแกงัดทุกมุขมาปลอบผมเลยครับ แต่ผมยังคงเป็นเช่นเดิมนั่นก็คือผมยังคงร้องไห้อยู่เช่นนั้น



ที่ผมร้องไห้ไม่ใช่เพราะว่าผมเจ็บปวดเพราะบาดแผล แต่ที่ผมร้องไห้นั้นมันเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ผมกับพี่ศิทะเลาะกันครับ มันเป็นการทะเลาะกันที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยทะเลาะกับพี่ศิเลยครับ ผมรู้ว่าผมงี่เง่ามากๆที่ทำตัวแบบนั้นใส่…ทว่าที่ผมทำเช่นนั้นนั่นก็เป็นเพราะผมน้อยใจพี่ศิเขาครับ น้อยใจมากๆกับการที่มากันสองคน แต่ถูกปล่อยให้เล่นเพียงคนเดียว น้ำตาผมที่หยดลงไปบนตักเริ่มทำให้กางเกงเปียกชื้น บรรยากาศพวกนั้นเป็นไปอยู่นานเลยล่ะครับ แต่ในท้ายที่สุดร่างสูงผู้มีทิฐิสูงก็ได้เอ่ยคำที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากปากของเขา



“กรครับ…พี่ขอโทษครับ” เมื่อสิ้นนั้นเอ่ยจบลง ร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้น น้ำเสียงที่ผมได้ยินมันช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สำนึกผิด ร่างสูงที่โอบกอดผมยังคงเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นซ้ำไปเรื่อย ๆ



“พี่ขอโทษครับกร พี่ผิดเองที่ไม่สนใจกร พี่ผิดเองที่ทำให้กรต้องเดินจากชายหาดมาที่บ้านพัก พี่ผิดเองที่ทำให้กรบาดเจ็บ...พี่ผิดเองที่ทำให้กรเสียน้ำตา” เอาล่ะครับ เมื่อถ้อยคำขอโทษทั้งหมดหลุดออกจากริมฝีปากหนา หยาดน้ำตาของผมนี่ก็ไหลรินออกมามากกว่าเก่า



พี่ศิเป็นผู้ชายที่เย็นชา (ในสายตาคนอื่น) และเชื่อมั่นว่าการกระทำของตัวเองถูกเสมอเอ่ยขอโทษผม…



ไอคำขอโทษพวกนั้น นอกจากจะทำให้ผมร้องไห้ออกมาหนักมากกว่าเก่า มันก็ยังทำให้ผมกอดพี่ศิแน่นยิ่งขึ้นด้วยครับ ถ้อยคำที่อดกลั้นภายในใจมาทั้งวันถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปาก น้ำเสียงที่กล่าวพูดอย่างสะอึกสะอื้นนั้น มันไม่ได้เต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยใจแล้วครับ



“พี่ศิ...พี่รู้ไหม พี่มันบ้าที่สุด บ้า บ้า บ้า! กรคิดว่าจะไม่ได้คุยกันแล้วซะอีก ไอคนขี้เก็ก ไอคนมาดเข้ม ไอคนเอาแต่ใจคิดว่าตัวเองถูกเสมอหรือไง พี่ศิ ตัวเองน่ะผิดนะครับ ผิดมากแล้วก็ทำให้กรโกรธมากด้วย” ผมพูดบ่นออกไปโดยไม่คิดที่จะหยุดหายใจ  ร่างสูงที่โอบกอดผมอยู่ยิ่งกระชับวงแขนแน่นยิ่งขึ้น แถมคราวนี้มีออฟชั่นเสริมจับผมโยกตัวไปมาราวกับว่าตัวเองเป็นเปล ส่วนผมเป็นเด็กที่นอนอยู่ในเปล



“ครับ…พี่รู้ว่าพี่ผิด…พี่ขอโทษที่พี่ทิฐิสูงครับ” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูพร้อมกับมือกร้านที่ลูบหัวของผมอย่างเบามือ
บางทีผมคิดว่าการที่ผมกับพี่ศิทะเลาะกันแบบนี้ มันเหมือนคู่รักแปลก ๆ นะครับ…แต่พอผมนึกถึงคำนี้ทำเอาผมเขินหน้าดำหน้าแดง แขนทั้งสองข้างของผมยันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพี่ศิจนทำให้ใบหน้าของเราทั้งสองหันมาพบกัน



“…ถ้ามีครั้งหน้า…กรจะไม่ให้อภัยแล้วนะ…” ผมพูดพร้อมกับทำแก้มป่องใส่พี่ศิ ซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับยกมือตนขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาที่ยังคงคลออยู่บนดวงตาทั้งสองข้างออกให้



“พี่ศิของน้องกรขอสัญญาครับว่าพี่ศิคนนี้จะเอาใจใส่กรเพียงคนเดียว จะดูแลกรเพียงคนเดียว แล้วพี่ศิคนนี้จะไม่เมินหรือจะไม่สนใจกรอีกแล้ว ด้วยคำสัญญาลูกผู้ชายของพี่เลยครับ” พี่ศิกล่าวถ้อยคำพวกนั้นออกมาราวกับคำสัตย์ ผมซึ่งรับฟังได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปน้อย ๆ



ซึ่งปัญหาระหว่างผมกับพี่ศิมันก็จบลงไปเพียงเท่านี้ครับ แต่ปัญหาใหม่ที่ตามออกมามั่นก็คือแล้วพรุ่งนี้ผมจะลงไปเล่นน้ำยังไงกันล่ะ เมื่อความคิดนี้แล่นเข้าสู่สมอง ผมนี่แทบจะกรีดร้องลั่นบ้านพักพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่เขย่าคอพี่ศิรัว ๆ



“พี่ศิ!!! พรุ่งนี้!!!! ขากรเป็นแบบนี้แล้ว กรจะเล่นน้ำยังไงงง” ผมส่งเสียงคร่ำครวญใส่พี่ศิครับ ส่วนพี่ศิก็ได้แต่หัวเราะในท่าทางของผมออกมาเบาๆ ร่างสูงของพี่ศิค่อยๆจับให้ผมนั่งลงพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำออกมา “เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะแบกกรเองครับ แต่มีข้อแม้คือห้ามลงน้ำทะเลนะครับ”



ผมพยักหน้าขึ้นลงรัวๆ ตอบรับคำพูดนั่นพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้พี่ศิเขา เอาเป็นว่าตอนนี้ปัญหาระหว่างผมกับพี่ศิเคลียร์จบลงแล้ว ก็ได้เวลาเข้านอนแล้วล่ะครับ เพราะนี่ก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว ผมยื่นแขนออกไปหาพี่ศิ ซึ่งพี่ศิแกก็รู้หน้าที่ครับ เขาย่อตัวลงมาอุ้มผมพร้อมกับพาผมเข้าไปในห้องนอน ร่างของผมถูกวางไว้บนเตียงและผ้าห่มถูกว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ห่มให้จนมิดคอ ผมกล่าวราตรีสวัสดีพี่ศิออกไปอย่างแผ่วเบา พร้อมกับดวงไฟที่สว่างอยู่เหนือศีรษะถูกดับลง ‘ราตรีสวัสดิ์ครับพี่ศิของน้องกร’



‘ราตรีสวัสดิ์ครับ น้องกรของพี่ศิ’ เสียงทุ้มเอ่ยตอบกลับอย่างแผ่วเบาพร้อมกับบานประตูที่ปิดสนิทลง





_________________________________________________



อรั้ยยตอนนี้พี่ศิร้ายค่ะ ใครเห็นใจน้องกรขอให้ยกมือขึ้นนนนน อิอิอิ เจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เห็นใจน้องกรนะ
มาด้วยกันสองคน ให้เล่นน้ำอยู่คนเดียว
มันไม่สนุก น้องกรก็อยากสวีทกับพี่ศิบ้าง
แต่พี่ศิไม่เข้าใจ
การทะเลาะกันครั้งนี้ทำให้พี่ศิน้องกรเข้าใจกันมากขึ้น


ปล. สวีทให้ทะเลหวานสักทีเถอะ รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันเนี่ย 555
คราวนี้พี่ศิผิดเต็มๆ เป็นเราเราก็น้อยใจอ่ะ มากันสองคนแต่ก็ยังให้เราเล่นคนเดียว
นับถือกรมากที่เดินมาถึงบ้านพักเองได้ สุดยอดอ่ะ

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
โอ๋เอ๋ๆ
คราวหลังพี่ศิต้องสนใจน้องกรมากกว่านี้น้าา
 :m1: :m1: :m1:

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ตอนนี้เข้าข้างน้องกร เต็มที่เลย พี่ศิผิดเต็มๆ ชวนเค้ามาก็ไม่สนใจจะเล่นกับเค้าดีนะที่เข้าใจกันได้
ชิ งอนพี่ศิแล้ว

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
นั่นสิ ชวนมาแล้วไม่เล่น ชวนมาทำไมอ่ะ?

ออฟไลน์ omyim_jjj

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
พี่ศิใจร้ายอ่ะ

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
พี่ศิร้ายน้องกรเอาแต่ใจเข้ากันดีออก อิอิ

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ครั้งนี้ขอตีพี่ศิค่ะ!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด