Capitolo dieci
“วันนี้ทำอะไรไปบ้างสนุกหรือเปล่า” โรมถามเหมือนที่ป้าของเป็นเอกถามทุกครั้งทุกครั้งที่เขากลับบ้านตอนเย็น พอกลับมาจากเยี่ยมญาติแล้ว โรมก็มาที่รีสอร์ตของแม่ ตามหาเป็นเอก พอรู้ว่าอยู่ที่ปาร์ตี้บาร์บีคิวก็ตามมาจนพบชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวที่จัดไว้หน้าลานปราสาทโคโม ข้างๆเป็นเอกพอดี เสยผมยาวสีน้ำตาลทองที่ถูกแสงไฟย้อมเป็นสีแดงสดให้พ้นหน้า ตาคมสวยใต้คิ้วเข้มจับที่ใบหน้าของเพื่อนหนุ่มรอคำตอบจากคำถามของเขา
“ก็เรื่อยๆ นะพาไปกินข้าวเสร็จแล้วก็ลงมาที่นี่ ดูวิวสักพักพี่ยูก็ไปขี่ม้าเล่น เวลาผ่านไปเร็วมาก หมดไปแล้วเนี่ยวันนึง” เป็นเอกว่า
สายตากวาดมองไปรอบๆ
งานเลี้ยงบาร์บีคิวจัดขึ้นที่ลานหน้าปราสาทโคโมนั้นเอง พอเป็นเอกกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวมาแล้ว ก็พบว่ามีเตาย่างเนื้อหลากชนิด ตั้งอยู่กลางลาน มีซุ้มวางจานชามช้อนไว้ให้คนบริการตนเอง โต๊ะยาวสีขาวถูกนำมาไว้รอบๆ ปะปนไปกับโต๊ะกลมที่นั่งได้ไม่กี่คนแบบที่มีอยู่เดิม พนักงานหลายคนตรงนั้นแปลงโฉมชาวหนุ่มสาว ชาวอิตาเลียนมาแต่งตัวเป็นคาวบอย คาวเกิร์ลเหมือนหนังตะวันตกของอเมริกา ไฟนีออนสีแดงติดไว้รอบๆ มีซุ้มเล็กๆให้นักดนตรีเกากีต้าร์ไปร้องเพลง ภาษาอิตาเลียนคลอไปด้วยตั้งแต่พระอาทิตย์เริ่มตกดิน
พอเห็นเพื่อนหนุ่มเงียบ เป็นเอกก็รู้ตัวว่าตัวเองยังไม่ได้ถามสารทุกข์สุขดิบเพื่อนเลยแม้แต่น้อยจึงเอ่ยถามว่า
“แล้ววันนี้ยูเป็นไงบ้าง”
“ไม่เป็นไงเลย” เขาว่าเซ็งๆ “ไปเป็นคนอื่นต่อหน้าคุณลุง คุณป้า ต้องทำตัวเรียบร้อย อย่างกับคุณชายบอกตรงๆลำบากมาก”
เป็นเอกชินกับการบ่นทำนองนี้มานานจึงนั่งฟังเงียบๆอย่างเข้าอกเข้าใจ
“เขาว่าลูกคนกลางมักจะมีปัญหา ท่าทางจะจริงละมั้ง” ชายหนุ่มผมยาวหยิบยางรัดผมขึ้นมา มัดผมยุ่งสีน้ำตาลนั้นให้เป็นหางม้าไว้ที่ท้ายทอยแล้วพูดต่อไป “พี่เวเขาเรียบร้อย เป็นผู้ใหญ่พูดจาเป็นการเป็นงานแล้วก็ชอบเอาใจ คุณลุงคุณป้าท่านก็ชอบ ส่วนเจ้าลานก็เข้าผู้ใหญ่ดีนักละ ขี้อ้อน ขี้ประจบ เขาเอ็นดูกันทั้งนั้น มีไอคนเดียวละมั้งที่ดูมีปัญหาอยู่คนเดียว เข้ากับใครเขาไม่ค่อยได้”
โรมมองตาขวางข้ามฟากของลานนั้นไป พอมองตามเป็นเอกก็เห็นเป้าสายตาของเพื่อนหนุ่ม คุณประกายพรึกกำลังเต้นรำอยู่อย่างสนุกสนานกับเมฆาเท่านั้นเองเขาก็เข้าใจทุกอย่าง ยกมือขึ้นตบบ่าเพื่อนหนุ่มเบาๆ
“เอาน่า เรื่องนี้ เก็บมาคิดไปเองก็ทุกข์เสียเปล่า” เขาว่า “ไอว่าที่ยูนอยอยู่เนี่ย จริงๆแล้วคงไม่ใช่ เรื่องป้าหรอก จริงไหม”
เพื่อนหนุ่มผมยาวมองเขาหน้านิ่งก่อนจะหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
“อย่ารู้ทันไปเสียทุกเรื่องได้หรือเปล่า”
“เป็นเพื่อนกันมาตั้งกี่ปี เท่านี้จะไม่รู้ได้ไง” ชายหนุ่มว่า “เรื่องนั้นหรือ”
เป็นเอกพยักเพยิดให้เพื่อนหนุ่มมองต้นเหตุของบทสนทนานี้ เห็นโรมก้มหน้านิ่งมีแววไม่พอใจฉายชัดอยู่บนนั้นก็เข้าใจดี
“โรมเอ๊ย ไอไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่เรื่องมันเป็นมาถึงขั้นนี้แล้วทำไมยูไม่ทำใจแล้วก็เห็นแก่ความสุขของแม่ แล้วยอมๆเขาไปเสีย ล่ะ”
“เอก มันอายุ เท่าพี่เวเองนะโว้ย” โรมกัดฟันพูด เสียงที่เจือความโกรธแค้นของขังลอดออกมาได้ไม่เต็มที่นัก ทำให้ชายหนุ่มต้องทั้งตั้งใจฟัง ทั้งที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว “เป็นยูทำใจได้หรือ แม่กำลังจะแต่งงานกับคนอายุน้อยขนาดนั้น แล้วยูต้องมาเรียกคนอายุเท่า “พี่” ว่าเป็น “พ่อ” เนี่ย ไอทำใจไม่ได้จริงๆว่ะ”
“เอาน่า” เป็นเอกบีบต้นแขนเพื่อนหนุ่มเบาๆ เป็นเชิงปลอบ “อย่าคิดมาก หาอะไรกินกันดีกว่าไหม”
“ไม่ล่ะ ถ้าหิวก็ไปตักไป ไอนั่งอยู่ตรงนี้”
ขาดคำเพื่อนหนุ่ม เป็นเอกก็ย้ำอีกครั้ง เห็นว่าโรมไม่ลุกไปไหนแล้วจริงๆ ก็ลุกออกจากที่นั่งของตนเข้าไปที่เตาปิ้บาร์บีคิวเนื้อชนิดต่างๆ กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเนื้อไก่เสียบไม้ขึ้นมาจากเตา ก็พอดีที่ใครคนหนึ่งยื่นคีมเหล็กมาคีบมันออกเสียก่อนเขาเพียงไม่ถึงเสี้ยวนาที เงยหน้าขึ้นก็พบว่า เป็นเวนิสนั่นเอง
“คุณไม่รู้หรือไงว่าเตามันร้อน” หนุ่มผมดำ มาในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์แบบสบายๆ เอ่ยขึ้นแกมตำหนิก่อนจะวางไก่ไม้นั้นลงที่จานที่เป็นเอกถืออยู่ในมือ “เอามือหยิบมือก็พังพอดี”
“ผมจะหยิบตรงไม้”
“ไม้มันก็ร้อนครับ ใช้คีมคีบเอาอย่างนี้ซี”
“ขอบคุณจะครับที่อุตส่าห์ช่วยคีบให้ แต่จะขอบคุณมากกว่านี้ถ้างดกวนผมสักหน่อย” เป็นเอกมองเขาตาขวางก่อนจะเดินวนหาอะไรเบาๆท้องทาน เขาไม่อยากกินเนื้อสัตว์ตอนกลางคืนมากนัก “ว่าแต่คุณเอาที่คีบนั่นมาจากไหน”
“ก็ตรงที่วางจานชามช้อนไง” เวนิสบอก “แต่คงจะหมดเสียแล้วนะ วันนี้คนเยอะมากจริงๆ คุณอยากทานอะไรล่ะ บอกผมมาก็ได้เดี๋ยวผมจะช่วยคีบให้”
“เกรงใจน่ะครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เพื่อนน้องก็เหมือนเพื่อนผมแหละ ว่ามาจะกินอะไร”
เป็นเอกจึงจำใจ บอกเวนิสไปว่าเขาอยากกินอะไรบ้าง เดินไปชี้นิ้วไปมีเวนิสช่วยคีบข้าวโพดปิ้ง ผักปิ้งให้หลายชึ้น กระทั่งพอใจแล้วก็เดินไปราดน้ำจิ้มตามที่ต้องการ จากนั้นเวนิสจึงยืนกรานจะไปส่งที่โต๊ะให้ได้ แล้วก็เดินไปส่งจริงๆ กลายเป็นว่าเวนิสได้มาร่วมวงอยู่โต๊ะเดียวกันกับเป็นเอกและโรมด้วย
แต่ยังไม่ทันได้กิน เวนิสก็ขอตัว ตรงไปยังซุ้มนักร้อง ที่นักร้องคนเดิมกำลังจะลงจากเก้าอี้ พอไปถึงเวนิสก็รับกีตาร์ ขึ้นไปร้องแทนชายชรา เวนิสดูสง่างามเมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่เขารู้ดี เมื่อใดก็ตามที่เขาเล่นดนตรี เขาจะทำมันด้วยความรัก เหมือนที่โรมวาดรูป หรือตัวเขาเองถ่ายรูปเล่นนั่นแหละ ดูยังไงก็รู้ว่าเขามีความสุข
เวนิสเหลือบตามองมาทางเขาเป็นพักๆ เหมือนต้องการจะบอกอะไรจากเนื้อเพลง แต่ในเมื่อมันเป็นภาษาอิตาเลียน เป็นเอกจึงไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไรแน่ รู้แต่ว่าทำนองมันไพเราะเหลือเกิน
“พี่ยูร้องเพลงเพราะนะ” เป็นเอกว่า หันไปมองโรมก็พบว่าเพื่อนหนุ่มตีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้หน้าบึ้งตึงไม่รับแขกอย่างที่เป็นตอนแรก แสดงว่าอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว
“เพราะจริงๆ” เขาว่า “บอกให้ไปเป็นนักร้องก็ไม่เอา”
เป็นเอกหัวเราะลงลูกคอ ก็แหมถ้าเรียนจบฮาร์วาร์ดมา ใครเขาจะอยากไปเป็นนักร้องให้เสียดายความรู้เล่า
“คุยอะไรกันฮะ หัวเราะเสียงดังเชียว”
เจ้าของเสียงโผล่มาจากด้านหลังทิ้งตัวลงนั่ง ข้างๆเป็นเอกโดยไม่ได้บอกไม่กล่าวก่อน หนุ่มน้อยอยู่ในเสื้อยืด กางเกงขาสั้น กระนั้นคอก็บานกว้างจนเห็นแผงอกขาวเนียน ที่เบียดเข้ามาใกล้เพื่อนของพี่ชายอย่างจงใจ
“ไม่ได้คุยอะไรจริงจังหรอก” โรมเป็นคนตอบ ดูเหมือนเขาจะสนิทกับน้องชายมากกว่าพี่ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่คลายความแข็งกร้าวลงมานิดหนึ่ง “มาถึงนานแล้วหรือ นี่เป็นเอกเพื่อนพี่ มัณฑนากรที่จะมาช่วยจัดงานแต่ง”
มิลานหัวเราะ
“รู้จักกันแล้ว มาถึงที่นี่ก็บ่ายๆ เย็นๆ มาถึงก็เจอคุณเอกแล้ว ยังพาเขาไปขี่ม้าอยู่เลย” หนุ่มน้อยตอบอย่างไม่ได้คิดอะไร พอก้มลงก็เห็นไก่ย่างถ่านแบบอิตาเลียนในจานของเป็นเอก “ไก่ของใครน่ะฮะ ผมกินนะ”
หนุ่มน้อยร้องออกมาก่อนจะคว้าไก่เข้าปากเคี้ยวอย่างอร่อยโดยไม่ได้ถามเจ้าของเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเอกกลับไม่ได้ถือสาอะไร หัวเราะให้หนุ่มน้อยอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นี้บอกว่าขี่ม้าหรือ”
“ใช่น่ะซี” มิลานตอบทั้งที่ยังมีไก่อยู่เต็มปาก
“ยูไม่เห็นบอกไอเลยว่าขี่ด้วย มันอันตรายนะขี่เป็นหรือไง”
เป็นเอกหัวเราะลงลูกคอเบาๆ ไม่ใส่ใจความเป็นห่วงของเพื่อนหนุ่ม
“พี่ น้องยูขี่ ไอนั่งซ้อนไปเฉยๆ”
“มันก็อันตรายอยู่ดีนั่นแหละ” โรมว่า “ตก ลงมาใครจะรักษาพยาบาล ที่นี่ไกลจากโรงพยาบาลมากนะ”
เป็นเอกนิ่วหน้า กำลังจะเถียงเพื่อนหนุ่มว่าเขาไม่ใช่เด็กๆไม่ต้องมาห้ามโน่นห้ามนี่ มิลานก็ฉุดแขนเขาให้ลุกขึ้นก่อนพอดี
“พี่เอก ลานอยากกินอีกฮะ เดินไปตักเป็นเพื่อนหน่อยซีฮะ”
หนุ่มผมยาวกำลังจะอ้าปากพูดอะไรอีก แต่เป็นเอกก็ไม่อยากฟังต่อ จึงเดินไปกับมิลานด้วยความเต็มใจ หนุ่มน้อยคนนี้ช่างรู้วิธีหลบหลีกได้ดีจริงๆ
“พี่โรมพูดมากอย่าไปสนใจเลย” มิลานว่า ยังไม่ปล่อยมือออกจากต้นแขนของเป็นเอก “คนเรามันต้องรู้จักทำตัวให้สนุกใช่ไหมฮะ จะให้นั่งจับเจ่าวาดรูปอยู่เหมือนเขาใครจะทน”
เป็นเอกไม่ว่าอะไร หนุ่มนายแบบจึงพูดต่อไป
“แต่เขาคงเป็นห่วงจริงๆมังฮะ ปกติพี่โรมไม่ค่อยจู้จี้กับใคร ถ้าคนจู้จี้โน่นคนโน้น” หนุ่มน้อยบุ้ยใบ้ไปทางซุ้มดนตรี ที่นักร้องหนุ่มลุกขึ้นโค้งรับเสียงปรบมือแล้วเดินออกมาพอดี “ตั้งแต่ไม่มีพ่อ ก็ได้พี่เวเนี่ยแหละ เป็นพ่อแทน คอยบงการชีวิตทุกคนเสร็จสรรพ ถ้าลานไม่หนีไปอยู่อิตาลีนะ ป่านนี้ถูกจับเรียนปริญญาโทเหมือนเขาแล้ว”
เวนิสเดินเข้ามาพบเข้ากับเป็นเอก และมิลานพอดี น้องคนสุดท้องของเขาจึงพูดอะไรต่อไปไม่ได้ ได้แต่ยืนยิ้มอยู่เฉยๆ แทน
“ลุกมาอีกทำไม ตักไปก็เยอะแล้ว เดี๋ยวคุณแม่จะไปคุยเรื่องคอนเสปต์งาน“ พี่คนโตของ บ้านตรีโลกนาถทัก
“ผมมาเป็นเพื่อนมิลาน”
“สนิทกันเร็วนะ” เขาว่า แล้วก็เดินจากไปหาโรมเสียเฉยๆอย่างนั้น ทิ้งให้สองหนุ่มมองหน้ากันงงๆ ว่าเวนิสเป็นอะไรไป มิลานยักไหล่ให้ เบ้ปากทำนองว่าไม่อยากสนใจอีกต่อไป แล้วก็เดินไปยังเตาปิ้งเนื้อชนิดต่างๆ
“Bistecca alla Florentina” มิลานว่า ชี้เนื้อชิ้นใหญ่ที่พนักงานสาวเพิ่งจะคืบขึ้นมาจากเตา ควันยังฉุยส่งกลิ่นเครื่องเทศหอมไปทั่วบริเวณงาน “เนื้อย่างแบบฟลอเรนซ์ หมักน้ำมะนาว เกลือ พริกไทย แล้วก็สมุนไพรของอิตาลี เวลากินต้องเอามาหั่นก่อนค่อยราดน้ำมันมะกอกแล้วก็บีบมะนาวตามลงไปอีกอย่างนี้ฮะ”
หนุ่มน้อยชี้ให้เป็นเอกดู พนักงานสาวค่อยๆหั่นเนื้อชิ้นใหญ่นั้นเป็นแผ่นบางๆ ก่อนจะเทน้ำมันมะกอกลงคลุกเคล้า บีบมะนาวใส่ตามลงไป แล้วคลุกอีกทีให้เข้าเนื้อจากนั้นก็ตักใส่จานให้บรรดาแขกที่มายืนต่อแถว ไม่นานมิลานก็ได้เนื้อย่างฟลอเรนติเนที่เขาต้องการโดยมีเป็นเอกเป็นคนอาสาถือจานให้ ทั้งสองแวะไปหยิบน้ำดื่มก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ
พอมาถึงโต๊ะก็พบว่า ประกายพรึกและเมฆานั่งรอทั้งคู่อยู่แล้ว
มิลานยิ้ม ตรงเข้าไปกอดแม่เหมือนเด็กน้อยอ้อนผู้ปกครอง ส่วนเป็นเอกก็เดินกลับมาจะนั่งข้างโรม แต่บังเอิญว่าเวนิสนั่งอยู่ข้างโรมอยู่แล้ว เขาจึงต้องนั่งถัดไปอีกตัวหนึ่ง อย่างช่วยไม่ได้
“ตาลาน ผอมลงไปหรือเปล่าลูก แล้วนี่ไปตัดผมทรงอะไรมา”
มิลาโนหัวเราะ
“ช่างที่โน่นตัดให้ฮะ จะห้ามก็ไม่ได้เพราะเขาจ่ายเงินเรา”
ประกายพรึกมองลูกชายตาขวาง แต่ก็ทำได้เท่านั้น หล่อนตามใจลูกคนเล็กที่สุด ใครๆก็รู้ดี ถ้าเป็นโรมทำอะไรขัดใจละก็หล่อนจะบ่นไม่หยุดจนกว่าชายหนุ่มจะยอมทำตาม เป็นเอกได้ยินคำว่าผม ก็กระหวัดตาไปมองโรม เห็นว่ามัดผมเรียบร้อยก็รู้ดีว่า ประกายพรึกคงจะ “บ่นไม่หยุด” ไปทีหนึ่งแล้วตอนที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้ด้วยกระมัง
“คุณเมฆา สวัสดีฮะ” มิลานว่าเท่านั้น ไม่ไหว้ ไม่เชคแฮนด์แล้วก็เดินมานั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเป็นเอก กลายเป็นว่า สี่หนุ่มมานั่งเบียดกันอยู่ซีกหนึ่งของโต๊ะ ในขณะที่ประกายพรึกและ เมฆานั่งอยู่อีกฝั่งเพียงสองคนสบายๆ
“ตาลาน มานั่งข้างแม่มา ไปเบียดหนูเอกเขา” มิลานกำลังจะเถียง แต่เถียงไม่ทัน พอดีลุงทัดโผล่มาจากฝั่งกระท่อมเขา และประกายพรึกก็สังเกตเห็นเสียก่อน “เอ้านั่นลุงทัดนี่... พี่ทัด!”
หล่อนโบกไม้โบกมือเรียก
“ทานอะไรหรือยังมานั่งกับเราไหมคะ”
ลุงทัดยิ้มร่า เดินตรงเข้ามาหา
“แหมว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวนั่งกับลูกๆน่ารักเชียวนะ” ไม่รู้คำว่า “บ่าว สาว” หรือ “ลูกๆ” กันแน่ที่บาดใจกว่ากัน แต่พอลุงทัดพูดจบประโยคนั้น ลูกชายทั้งสามของประกายพรึกก็หน้าเจื่อนกันทุกคน ไม่ซี เวนิสกับมิลานต่างหากที่หน้าเจื่อน แต่โรม มีแววตาเคียดแค้นฉายชัดอยู่บนหน้า จ้องอยู่ที่เมฆาอย่างก้าวร้าว เปิดเผยว่าไม่ชอบขี้หน้าพ่อเลี้ยงอย่างเห็นกันได้
“พี่ทัด” ประกายพรึกไม่รู้เรื่องรู้ราว เดินไปโอบเอวคนสนิทพามาที่โต๊ะทำท่าว่าจะสนทนากันอีกนาน “มาค่ะมานั่งด้วยกัน”
คนสนิทเจ้าของคอกม้านั่งลงข้างๆประกายพรึก
“ทานอะไรดีคะ เดี๋ยวดาวให้เด็กไปตักมาให้ดีกว่า... น้องๆช่วยตักอาหารอย่างละนิดละหน่อยมาให้พี่ด้วยนะ เดี๋ยวนี้เลย” หล่อนกวักมือเรียกสาวเสิร์ฟคนหนึ่งให้ตรงเข้ามาหาพูดจบก็หันมาคุยกับทัดต่อ “... ไม่รู้พี่ทัดเจอเด็กคนนี้หรือยังนะคะ นี่ เป็นเอก เพื่อนสนิทตาโรมมาดูสถานที่ให้เราค่ะเขาจะเป็นคนตกแต่งงาน”
ทัดมองเด็กหนุ่มทั้งสี่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วก็อดยิ้มไม่ได้เอ่ยเบาๆว่า “เจอกันแล้วล่ะ เหมือนคุณมีลูกชายสี่คนเลยนะครับคุณดาว รูปหล่อทุกคนเลย”
“ค่ะพี่ทัด ว่าจะขอมาเป็นลูกชายจริงๆไม่รู้เขาจะยอมหรือเปล่า...”
ลุงทัดยิ้มน้อยๆ แล้วก็บอกว่า
“ลูกชายโตเป็นหนุ่มหมดแล้ว สบายแล้วซีครับคุณ”
“ค่ะ” หล่อนพยักหน้ารับ “เหลือแต่สามีล่ะค่ะ ได้แต่งกับเมฆเมื่อไหร่ดาวก็จะยิ่งสบาย ทั้งกายและใจมากขึ้นทีเดียวล่ะค่ะ”
โรมมองแม่ตาขวางแต่ประกายพรึกไม่เห็นหล่อนจึงพูดต่อไป “พูดเรื่องงานแต่ง หนูเอกว่ายังไงจ๊ะ จะจัดที่ไหนยังไง”
“ไหนคุณแม่ว่าจะจัดในห้องอาหารที่ กรัน ปาลัซโซ่ ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” ลูกคนกลางพูดเสียงเย็นชาอย่างไม่คิดปกปิด เสียงเข้มขึ้นเรื่อยๆ หน้ายังจ้องที่พ่อเลี้ยงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เป็นเอกเห็นเวนิส บีบมือน้องชายเบาๆ อย่างเตือนสติไม่ให้พูดอะไรแรงๆออกไป
“ใช่ซี แต่แม่ยังไม่รู้ว่าธีมงานจะจัดแบบไหน”
“ก็มีเวที มีเค้กแล้วก็โต๊ะ คุณแม่จะต้องการอะไรอีกครับ”
“เอ๊ะ ตาโรม นี่แกจะมาทำเสียงรำคาญใส่แม่ได้ไง แม่ยังไม่รู้เลยว่าจะจัดงานยังไง ใช้สีอะไรยังไงก็จะมาถามหนูเอก แล้วแกจะมาหงุดหงิดอะไร สงสัยวันนี้แกจะเหนื่อยนะ งอแงใหญ่แล้ว”
“ครับผมคงเหนื่อยมาก คิดว่าจะได้มาสังสรรค์แบบสบายใจกับเพื่อน กับพี่น้องแล้วก็แม่ ถ้ารู้ว่าคุณแม่จะมาคุยกันเรื่องงานแต่งล่ะก็ผมคงไม่มาแล้ว ถ้ายังจะคุยกันต่ออีก ผมคงต้องขอตัว!”
***********************************************************************
555+ โรมเหวี่ยงขั้นพื้นฐานครับ หลังจากนี้ไปจะเหวี่ยงหนักขึ้นๆ ใครชอบเขาไปแล้วระวังจะกลัวนะครับ
ต่อจากนี้ไป มิลานจะเริ่มรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ มาลุ้นกับดีกว่าว่าเวนิสจะทำอย่างไรรร
พรุ่งนี้ ใครที่รอคุณชายอยู่อย่าลืมแวะไปหาเค้านะคร้าบ
คุณชายจะมีโมเม้นต์อยู่กับนทีสองคนแล้ว จะได้เห็นความน่ารักของคุณชายและหวังว่าจะชอบนะครับ
บายคร้าบบ