-๕-
เรื่องชกต่อย
วันต่อมาคิมได้โทรนัดหญิงมาดูหนังที่ห้างแห่งหนึ่ง นี่คือการมาเจอกันสองต่อสองเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ นานมากแล้วที่คิมไม่ได้นัดเดทกับหญิงสาวคนไหนเลย แม้จะมีคนเข้ามาให้เลือกหลายคน แต่หากจะคบหากับใครสักคน หญิงคือคนแรกที่เขาจะนึกถึง เพราะอีกฝ่ายเฝ้าติดตามเขามาอย่างสม่ำเสมอ
“หญิงไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้มาดูหนังกับพี่คิม”
“พี่อยากตอบแทนที่น้องหญิงน่ารักมาตลอดยังไงล่ะครับ” คิมส่งรอยยิ้มหวานให้
“ขอบคุณนะคะที่ให้โอกาสหญิง” หญิงสาวทำท่าทีเขินอาย
“เข้าไปในโรงหนังกันเถอะพี่จองที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้ว”
“สุภาพบุรุษสุดๆ หญิงปลื้มพี่คิมที่สุดเลยค่ะ” เจ้าหล่อนยิ้มหวานให้
คิมได้แต่ยิ้มตอบ แล้วเอื้อมไปจับมือหญิง เดินเคียงข้างกันเข้าไปในโรงหนัง ที่กำลังจะฉายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว
หนังรอบนี้คนค่อนข้างบางตา คิมจองที่นั่งสวีทเอาไว้ ทำให้การดูหนังในครั้งนี้ค่อนข้างจะโรแมนติก เพราะที่นั่งชั้นบนสุดมีแค่เขากับหญิงเท่านั้น
“พี่คิมรู้ได้ไงว่าหญิงชอบเรื่องนี้อ่ะ” หญิงเอ่ย ขณะกอดแขนชายหนุ่มเอาไว้ นั่งตัวติดกันแทบไม่มีช่องว่างเลยสักนิด
“จริงๆ พี่ก็ไม่ได้คิดว่าหญิงจะชอบหรอก พี่เลือกตามที่พี่ชอบ” คำตอบของคิมทำให้หญิงถึงกับยิ้มแหยๆ
“แสดงว่าเราชอบอะไรเหมือนกัน อย่างนี้พอจะเป็นแฟนกันได้ไหมคะ”
“ทำไมหญิงถึงชอบพี่ขนาดนี้ครับ”
“ก็พี่คิมทั้งหล่อ ทั้งเท่ และที่สำคัญหุ่นก็เซ็กซี่ขนาดนี้ ใครไม่ชอบก็บ้าแล้ว” หญิงเอ่ยพลางเอื้อมมือไปลูบไล้ที่ต้นแขนราวกับต้องการยั่วยวนอีกฝ่าย คิมเริ่มเหงื่อตกเมื่ออยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ สิ่งที่เขาต้องการพิสูจน์มันอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ควรจะใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด
“หญิงก็ชมพี่เกินไป” คิมจ้องตาอีกฝ่าย กุมมือหญิงสาวเอาไว้
“ไม่เกินไปหรอกค่ะ พี่คิมเป็นอย่างที่หญิงพูดจริงๆ”
สายตาที่จ้องมองกันอยู่นั้น เหมือนมีแรงดึงดูดให้ใบหน้าของคนทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันเรื่อยๆ จนในที่สุดริมฝีปากก็สัมผัสกัน คิมบดจูบริมฝีปากหญิงสาวตามสัญชาตญาณของเสือที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อตลอดเวลา มือหนาเอื้อมไปสัมผัสที่เนินอกเต่งตึงผ่านทางเสื้อนักเรียนตัวบาง ก่อนจะบีบเคล้นเล่นอย่างสนุกมือ เขามั่นใจแล้วว่าตัวเองยังคงต้องการผู้หญิง นั่นเพราะไอ้เจ้าน้องชายที่เคยหลับใหลเริ่มตื่นตัวขึ้นมาแล้ว ก่อนที่อะไรมันจะเกินเลยไปกว่านี้ภาพยนตร์ก็เริ่มฉายพอดี ทำให้ทั้งสองผละออกจากกันอย่างเสียดาย คิมทำตัวให้เป็นปกติ จับมือหญิงเอาไว้ ส่งยิ้มให้ แล้วหันไปสนใจหน้าจอขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า
*-*-*-*-*-*-*
ตอนเที่ยงของอีกวัน หลังจากทานข้าวที่โรงอาหารแล้ว เลิฟและโด้ก็มานั่งเล่นที่ประจำใต้ร่มจามจุรีข้างอาคารเรียน ต่างฝ่ายต่างนั่งสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเอง พร้อมทั้งหยิบขนมบนโต๊ะกินไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย
เลิฟเข้าไปส่องอินสตาแกรมของคิม ดูรูปภาพที่อีกฝ่ายอัพลง ภาพส่วนมากเข้ากับสโลแกนของแก๊งช่างยนต์เซ็กซี่บอย เพราะมีแต่ภาพที่เปลือยท่อนบนโชว์ซิกแพค ให้บรรดาสาวๆ เข้ามากดไลค์และคอมเมนท์กัน ภาพที่โชว์เซ็กซี่จะมียอดไลค์และคอมเมนท์เยอะกว่าภาพปกติ เลิฟเห็นอย่างนั้นก็เบ้ปากใส่หน้าจอตัวเอง เพราะรู้สึกหมั่นไส้กับความหลงตัวเองของรุ่นพี่ รอให้เขามีหุ่นที่ดีกว่านี้ก่อนเถอะ จะลงให้เยอะกว่านี้ให้สาวๆ ย้ายเข้ามาสิงสถิตที่อินสตาแกรมเขาแทน
“ทำไมทำหน้าอย่างกับตูดลิงอย่างนั้นวะ” โด้เงยหน้าขึ้นมามองแล้วเอ่ยถาม
“เปล่า กูแค่เซ็งๆ” เลิฟตอบแล้วรีบเปลี่ยนไปเล่นเฟชบุ๊คแทน
“อย่างมึงมีเรื่องให้เซ็งด้วยเหรอวะ หรือเซ็งว่าจะเลือกสาวคนไหนดี”
“กูก็คนนะเว้ย มีทุกอารมณ์ ใครจะเหมือนมึงตอนนี้โลกกำลังเป็นสีชมพูซะเหลือเกิน”
“แน่นอนคนมันหล่อ”
“แต่กูหล่อกว่ามึง”
“แล้วไง หล่อไม่มีประโยชน์ แฟนสักคนก็ไม่มี จีบใครก็ไม่จีบ มึงจะเก็บความโสดความซิงไว้ชิงโชครึไงวะไอ้เลิฟ”
“เรื่องของกูโว้ย มึงเอาตัวเองให้รอดก่อนค่อยมาแนะนำกู”
“กูเอาตัวรอดแน่นอนเว้ย มึงนั่งอยู่นี่ก่อนนะกูขอตัวโทรไปหาน้องโจ้ก่อน น่าจะกินข้าวเสร็จแล้ว” โด้ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ แล้วหันไปเอ่ยกับเพื่อน ตอนนี้ความสัมพันธ์ของโด้และโจ้เริ่มเดินหน้าไปได้พอสมควรแล้ว นั่นเพราะโด้เทียวโทรไปหยอดคำหวานอยู่เรื่อยๆ ทำให้เด็กที่ไร้เดียงสาอย่างโจ้หลงคารมได้ไม่ยาก
“เออๆ ไม่ต้องรีบนะมึง” เลิฟเอ่ยแซวเพื่อน แล้วหันมาสนใจขนมบนโต๊ะต่อ
เลิฟกินขนมและนั่งเล่นมือถือไปด้วย ไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้คิมได้มายืนอยู่ข้างโต๊ะมองดูอยู่ได้สักพักแล้ว เมื่อกินขนมจนฝืดคอ มือเรียวก็ควานหาขวดน้ำดื่มที่วางอยู่ใกล้กันแต่ก็ไม่เจอ จึงเอะใจแล้วหันไปมอง ก็ไม่เห็นขวดน้ำของตัวเองจริงๆ
“น้ำมึงอยู่นี่” เสียงเข้มเอ่ยมาจากด้านหลัง เลิฟรีบหันกลับไปมองก็เจอกับรุ่นพี่ ทำหน้าทะเล้นส่งยิ้มให้ ในมือทั้งสองข้างก็ถือขวดน้ำดื่มและแก้วเป๊บซี่คนละข้าง
“พี่คิมมาได้ไงเนี่ย”
“ก็เดินมาสิวะ อ่ะกูซื้อเป๊บซี่มาฝาก” ว่าแล้วก็ยื่นแก้วเป๊บซี่ให้
“ขอบคุณครับ” เลิฟเอื้อมมือไปรับมาแล้วดื่มด้วยความสดชื่น
“เพื่อนมึงไปไหนแล้วล่ะ” คิมเอ่ยถามเมื่อนั่งลงข้างกันแล้ว
“มันไปโทรศัพท์หาแฟนอ่ะพี่ แล้วพี่มานี่มีธุระอะไรรึเปล่า” เลิฟเอ่ยถามเมื่อดื่มเป๊บซี่พร่องจนเหลือครึ่งแก้วแล้ว
“กู...เดินผ่านมาเห็นมึงเข้าพอดีเลยเดินมาทักทาย” เจ้าตัวทำหน้าเหลอหลา
“แล้วเป๊บซี่แก้วนี้บังเอิญด้วยป่ะครับเนี่ย”
“ก็เออสิวะ กูกะจะซื้อมากินเอง เห็นมึงกำลังหิวน้ำเลยเปลี่ยนใจให้มึงแทน มึงจะถามอะไรกูนักหนาวะ” คิมมองหน้าอีกฝ่าย ทำตาเลิ่กลั่ก ก่อนจะสะดุดที่ริมฝีปากหยักได้รูปที่กำลังเม้มอยู่ ภาพที่จูบกันในวันนั้นก็ลอยขึ้นมาในหัวทันที
“ก็เปล่า ผมแค่สงสัยไม่ได้รึไง”
“ช่างสงสัยจริงๆ นะมึงอ่ะ ว่าแต่เย็นนี้จะไปฟิตเนสอีกป่ะ กูจะได้ขับรถไปรับที่บ้าน”
“ไปก็ได้พี่ แต่ช่วงนี้อาจจะนานๆ ทีนะ เพราะพี่แจ๊บเพิ่มเวลาซ้อม เดือนหน้าพวกผมต้องไปแข่งแล้วอ่ะ” เลิฟบอก
“ออ...ไม่เป็นไรเอาไว้เวลาว่างๆ ค่อยเจอกันก็ได้”
“ครับพี่”
เมื่อสายตาคนทั้งสองประสานกัน ต่างฝ่ายต่างก็เงียบ ไม่เอ่ยคำใดออกมาเลย และมันก็เป็นอย่างนั้นนานเกือบนาที
“เงียบทำไม”
“พี่นั่นล่ะเงียบทำไม”
“มึงเคยคิดถึงกูบ้างป่ะ ตั้งแต่วันที่กูย้ายออกไป” คิมอดถามไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเลิฟคือน้องข้างบ้านสมัยเมื่อยังเด็ก เขาเองยังไม่มีโอกาสได้คุยกันถึงเรื่องนี้เลย
“ทำไมถึงถามเรื่องนี้อีกล่ะ ผมบอกแล้วไงว่าจำอะไรไม่ได้แล้ว” เลิฟหลุบตาลง หยิบแก้วเป๊บซี่มาดื่ม
“นั่นสินะเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ใครจะไปจำได้ กูก็ช่างถามอะไรบ้าๆ” เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างนั้น คิมก็ไม่มีอะไรจะต้องถามต่อแล้ว ความทรงจำในวัยเด็กคงไม่มีความหมายอะไรกับไอ้หน้าหล่อ คงมีแต่เขาที่ยังคงโง่จำเรื่องพวกนี้ได้ขึ้นใจ
“ผมว่าเราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วแยกย้ายกันดีกว่าพี่” เลิฟลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ เก็บซองขนมบนโต๊ะเตรียมไปทิ้งถังขยะ
“แล้วเจอกันว่ะ เลิกเรียนกูไปรับที่บ้านนะ”
“ครับพี่”
ร่ำลากันแล้วทั้งสองก็แยกย้ายกัน เลิฟเดินไปหาเพื่อนรักที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ สะกิดที่หลังให้รู้ตัวว่าตอนนี้ถึงเวลาขึ้นเรียนแล้ว ก่อนจะเดินนำหน้าขึ้นไปยังอาคาร
*-*-*-*-*-*-*
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เลิฟก็ปั่นจักรยานกลับบ้านเหมือนปกติทุกวัน แต่ทว่าวันนี้กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น นั่นเพราะหน้าโรงเรียนมีนักศึกษาช่างประมาณสิบกว่าคนกำลังตะลุมบอนกัน เมื่อเห็นเพื่อนร่วมสถาบันโดนรุมทำร้ายจากนักศึกษาต่างสถาบัน เจ้าตัวก็ไม่รอช้า รีบปั่นจักรยานตรงดิ่งเข้าไปช่วยอีกแรง
“ไอ้พวกหมาหมู่” เลิฟวิ่งเข้าไปซัดหมัดใส่ฝ่ายตรงข้ามซึ่งมีทั้งหมดเจ็ดคน ส่วนนักศึกษาวิทยาลัยช่างบางกอกมีเพียงสามคนเท่านั้น
ผั๊วะ!!!
“มึงแส่หาเรื่องเองนะโว้ย”
เลิฟโดนสวนหมัดเข้าใบหน้าเต็มแรงจนล้มลงกับพื้น จากนั้นก็โดนคล่อมตัวเอาไว้ ฝ่ายตรงข้ามรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง เจ้าตัวพยายามจะสวนคืนแต่ก็สู้แรงไม่ได้ แทนที่จะมาช่วย กลับกลายเป็นว่ามาร่วมรับชะตากรรมด้วยกันซะอย่างนั้น
“ไอ้โอมมึงช่วยน้องมันหน่อยดิวะโดนอัดน่วมแล้วนั่น” แม้จะโดนคู่อริเล่นงานอยู่ แต่เข้มก็อดสงสารไอ้รุ่นน้องหน้าหล่อไม่ได้ เสือกเข้ามาซวยด้วยแท้ๆ
แม้ว่าหัวคิ้วจะแตกจนมีเลือดไหลแต่โอมก็พยายามปลีกตัวเข้าไปช่วยรุ่นน้อง ดึงคู่อริที่นั่งคร่อมตัวเลิฟขึ้นมาสวนหมัดเข้าให้ แต่ทว่าเจ้าตัวกลับโดนหนุ่มหัวเกรียนที่อยู่ด้านหลังล็อกแขนไว้ ให้คนที่โอมเพิ่งสำเร็จโทษ ซัดหมัดคืนเข้าที่หน้าท้องจนตัวงอ
“เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ย” เสียงดังมาจากหน้ารั้ววิทยาลัย คิมนำทีมเพื่อนนับสิบวิ่งกรูเข้ามา ทำให้นักศึกษาต่างสถาบันทั้งเจ็ดคน รีบขึ้นรถหนีไปทันที
ส่วนเลิฟและรุ่นพี่ทั้งสามคนก็นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น คิมรีบเข้าไปพยุงตัวเลิฟขึ้นมาทันที ตอนนี้ใบหน้าของเขามีรอยฟกช้ำ เลือดไหลมุมปาก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินเศษหญ้า
“เป็นไงบ้างวะ”
“ยังไหวพี่” พูดแล้วก็ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“ยังจะมาปากเก่งอีกนะมึง เดี๋ยวกูจะพากลับบ้านตอนนี้เลย”
ก่อนจะเดินไปโอมก็มาขวางเอาไว้เสียก่อน “อย่าเพิ่งไป”
“มึงมีอะไรอีกวะไอ้โอม เพราะพวกมึง เลยทำให้ไอ้เลิฟมันต้องเจ็บตัวอย่างนี้” ด้วยความเป็นห่วงรุ่นน้องทำให้คิมรู้สึกหงุดหงิด พลั้งปากกล่าวโทษคนที่อยู่ตรงหน้า
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงวะ กูเป็นต้นเหตุกูจะพาน้องมันกลับบ้านเอง” โอมจะเดินเข้าไปหา ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ในสภาพแย่ไม่ต่างกัน
“พาตัวเองกลับบ้านให้ได้ก่อนเถอะค่อยมาช่วยคนอื่น เด็กกูกูพากลับบ้านเองได้”
“ถามน้องมันรึยังว่าอยากเป็นเด็กมึงรึเปล่า”
เลิฟมองหน้ารุ่นพี่ทั้งสองสลับกัน ก่อนจะเอ่ยปากเพื่อให้หยุดทะเลาะกัน
“หยุดได้แล้วครับ ผมจะปั่นจักรยานกลับเอง ไม่ให้ใครไปส่งทั้งนั้น”
“ไม่ได้กูจะพามึงกลับเอง ถ้าเกิดรถเฉี่ยวกลางทางจะทำยังไง แม่มึงจะเป็นห่วงแค่ไหนรู้รึเปล่า” คิมไม่ยอมท่าเดียว
“ถ้างั้นมึงก็ไปส่งน้องมันละกัน กูเองก็จะได้สบายใจ แค่นี้น้องมันก็เจ็บตัวมากพอแล้ว” โอมว่า แล้วหันไปมองหน้ารุ่นน้องที่เข้ามาช่วยเขาและเพื่อนอย่างไม่คิดชีวิต เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้โอมประทับใจในตัวเลิฟอยู่ไม่น้อย “ขอบใจมึงมากนะที่เข้ามาช่วยพวกกู ทั้งที่ไม่ได้มีทักษะต่อยตีเหี้ยอะไรเลย คราวหลังอย่าเข้ามาส่งเดชอย่างนี้อีก เดี๋ยวจะตายโดยไม่รู้ตัว”
“ครับพี่” เลิฟตอบ
จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับ คิมวานให้เพื่อนขี่จักรยานของเลิฟไปให้ที่บ้าน ส่วนเขาก็พาอีกฝ่ายนั่งซ้อนท้ายรถบิ๊กไบค์กลับ
ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่หน้าร้านแล้ว เลิฟไม่อยากให้ผู้เป็นแม่มาเห็นตัวเองในสภาพแบบนี้เลย เพราะกลัวว่าจะโดนดุ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใครให้แม่หนักใจเลยสักครั้ง
“ทำไมยังไม่เดินเข้าไปอีกวะ”
“ผมกลัวแม่จะดุ ไม่เคยกลับบ้านในสภาพนี้มาก่อนเลย” เลิฟเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่ต้องกลัวกูจะเข้าไปด้วย จะอธิบายให้แม่มึงฟังเอง” คิมกอดคอรุ่นน้องพาเดินเข้าไปด้านใน
เมื่อพิมพ์พรเห็นสภาพลูกชายของตัวเอง เธอก็ตกใจ รีบเดินเข้ามาหาทันที
“เลิฟไปโดนอะไรมาทำไมเนื้อตัวสะบักสะบอมอย่างนี้” เมื่อเรียวจับเนื้อตัว มองดูลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“พอดีผมเห็นรุ่นพี่โดนรุมทำร้ายก็เลย....เข้าไปช่วยครับ” เลิฟตอบไปตามความจริง
“แม่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปมีเรื่อง ครั้งเดียวก็ไม่ได้ ทำไมลูกถึงไม่เชื่อฟังแม่ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแม่จะอยู่กับใครห๊ะ” เมื่อรู้ว่ารอยฟกช้ำบนตัวลูกชายเกิดจากการถูกชกต่อย เธอก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที เคยย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเด็ดขาด แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้
“แม่จะให้ผมยืนดูเฉยๆ งั้นเหรอครับ” เขารู้ว่าแม่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าเป็นใครมาเห็นอย่างนั้นเข้า ก็คงจะทำเช่นเดียวกัน
“แล้วถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ แม่ไม่น่าให้ลูกมาเรียนที่นี่เลยจริงๆ ไหนสัญญากับแม่นักหนาว่าจะไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเด็ดขาดไงล่ะ”
“แต่มันก็จำเป็นนะครับแม่ ถ้าเจออย่างนี้อีกผมก็จะทำเหมือนเดิม” เลิฟโมโหจนลืมตัวขึ้นเสียงใส่ผู้เป็นแม่
“ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกแม่จะให้ลูกย้ายไปเรียนที่อื่น” พิมพ์พรเอ่ยคำขาด เขาจะไม่มีทางให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีกเด็ดขาด
“แม่ไม่เข้าใจผมเลย” เลิฟน้ำตาคลอเบ้าแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนห้อง
พิมพ์พรมองตามหลังลูกชายผ่านม่านน้ำตา เธอจำเป็นต้องเด็ดขาดกับเรื่องนี้ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาเธอคงจะรับมันไม่ได้ ต้องเสียสามีจากการโดนลูกหลงเด็กช่างยกพวกตีกันมาแล้วหนึ่งคน เธอจะไม่ยอมเสียลูกชายอีก แต่เหมือนโชคชะตาช่างกลั่นแกล้งเธอเหลือเกิน เพราะลูกชายอยากเข้าไปเรียนสายอาชีพ แต่เห็นว่าเลิฟเป็นเด็กดีมาตลอดจึงยอมตอบตกลงไป
“เดี๋ยวผมจะขึ้นไปคุยกับน้องเองนะครับน้าพิมพ์”
“น้าฝากด้วยนะ แกคงจะโกรธน้ามากเพราะไม่เคยโดนอย่างนี้มาก่อน”
“ครับ น้าพิมพ์ก็อย่าคิดมากเลยนะครับ ถ้าเลิฟใจเย็นลงแล้วคงจะคิดได้เอง” ว่าแล้วคิมก็เดินขึ้นไปหารุ่นน้องบนห้องนอน
มือหนาเอื้อมไปหมุนลูกบิดประตู แต่ทว่ามันกลับถูกล็อกเอาไว้ จึงเคาะประตูห้องแทน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“เลิฟให้กูเข้าไปหน่อย”
“พี่กลับไปก่อนเถอะ ผมอยากอยู่คนเดียว” คนข้างในตะโกนตอบกลับมา
“ถ้ามึงไม่เปิดกูก็จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”
“..........”
อีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาคิมจึงยืนรออยู่อย่างนั้น สักพักเสียงหมุนลูกบิดประตูก็ดังขึ้น พอเปิดประตูเข้าไปอีกฝ่ายก็โถมตัวเข้ามากอดทันที คิมได้แต่อึ้งแล้วยืนนิ่งให้กอดอยู่อย่างนั้น มือหนาทั้งสองข้างเอื้อมไปโอบที่แผ่นหลังเพื่อปลอบใจ
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้นเอง”
“ผมมันไม่ดีใช่ไหมพี่ ผมเป็นลูกอกตัญญู ผมขึ้นเสียงใส่แม่ ฮือๆ” เลิฟพร่ำบอก ร้องไห้ไม่ยอมหยุด เขาเกลียดตัวเองที่ทำอย่างนั้นใส่แม่ ทำให้แม่ต้องเสียใจ
“น้าพิมพ์ไม่ได้โกรธมึงหรอกน่า แค่เป็นห่วง เลิกงอแงได้แล้ว” คิมผละตัวอีกฝ่ายออกเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าหล่อที่แปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “ไหนมึงบอกว่าแมนเต็มร้อยไง ทำไมร้องไห้งอแงอย่างนี้วะ” คนพูดยิ้ม
“ไม่เคยได้ยินคำว่าน้ำตาลูกผู้ชายเหรอ ฮึก”
“เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นไง มึงเป็นคนแรกเลย นั่งรอที่เตียงเดี๋ยวกูไปหาผ้าเย็นมาประคบให้”
“ผมทำเองได้น่าพี่กลับไปเถอะ”
“กูจะกลับก็ต่อเมื่อประคบให้มึงแล้ว และมึงต้องลงไปขอโทษแม่ก่อน” ว่าแล้วก็เดินออกไปเอาอุปกรณ์สำหรับประคบเย็นข้างล่าง
ส่วนเลิฟก็นั่งรออยู่บนเตียง ทำไมเวลาอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้เขาถึงได้รู้สึกอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ที่จริง
มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อสมัยยังเด็กแล้ว
“นั่งเหม่ออะไรอยู่ หรือกำลังคิดถึงกู” คิมพูดหยอก ในมือก็มีถังน้ำแข็งใบเล็กมาพร้อมกับผ้าสะอาด
“บ้า! ใครจะไปคิดถึงพี่ ผมกำลังคิดหาคำพูดจะไปขอโทษแม่ต่างหากล่ะ” เลิฟรีบปฏิเสธแล้วเบ้ปากใส่
“หันหน้ามาดิ๊ แล้วก็อยู่นิ่งๆ” คิมนำน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ใส่เข้าไปในผ้าแล้วมัดเป็นก้อน นำมาประคบตามใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำให้อย่างเบามือ
“พี่เบาๆ ผมเจ็บ”
“จำแล้วจะได้จำไงว่าอย่าทำแบบนี้อีกเด็ดขาด ถ้าเจอก็ต้องรีบแจ้งตำรวจทันที อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแบบนี้”
“ทำอย่างกับพี่ไม่เคยงั้นล่ะ เราเรียนช่างกันนะเว้ยพี่ มันก็ต้องมีบ้างล่ะ”
“มึงฟังให้ดีนะ ถึงแม้กูจะเรียนที่นี่มาสามปีแล้ว แต่กูก็ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยอย่างนี้มาก่อน”
“ผมไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อก็ไปถามแม่กูดิ คนอย่างกูฉลาดพอที่จะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยง แถมยังทำให้พ่อแม่เสียใจอีก” สิ่งที่คิมพูดมาเหมือนเป็นการประชดกลายๆ
“นี่พี่กำลังหลอกด่าผมอยู่เหรอ พี่แม่ง....”
“แม่งอะไร พูดให้มันดีๆ นะเว้ย ไม่งั้นมึงได้แผลเพิ่มอีกแน่”
“แหนะ...นักเลงขึ้นมาทันทีเลยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไม่เคยมีเรื่องกับใคร”
“แล้วแต่มึงจะเชื่อละกัน” คิมประคบไปเรื่อยๆ ส่วนเลิฟก็ไม่รู้จะวางสายตาไปไว้ตรงไหน มันมองวนเวียนที่ริมฝีปากของรุ่นพี่อยู่อย่างนั้น จนทำเอาเจ้าตัวหน้าแดงก่ำขึ้นมา
“เสร็จรึยังพี่ผมอยากจะลงไปหาแม่แล้ว”
“เสร็จแล้ว เดี๋ยวทายาก่อนค่อยลงไป” คิมวางผ้าลงในถังน้ำแข็ง แล้วหยิบยานวดที่เตรียมมาด้วย เปิดฝาแล้วบีบลงที่ปลายนิ้ว บรรจงทาให้ “ทำไมน้าพิมพ์ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนั้นวะ”
“คือ...จริงๆ แล้วแม่ไม่อยากให้ผมเรียนที่นี่หรอก อยากให้เรียนโรงเรียนสามัญธรรมดา แต่ผมอยากเรียนสายอาชีพจึงขอร้องจนแม่ยอมใจอ่อน”
“แล้วทำไมน้าพิมพ์ถึงไม่อยากให้มึงมาเรียนที่นี่วะ” คิมถามต่อ
“เพราะกลัวว่าผมจะมีเรื่องชกต่อยไงล่ะ ก่อนเข้าเรียนผมเคยสัญญาว่าจะไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด แต่ผมก็ผิดสัญญาจนได้”
“อ๋อ....ท่านคงเป็นห่วงมึงมาก ลูกชายคนเดียว หัวแก้วหัวแหวนก็งี้ล่ะ”
“มันก็มีที่มาที่ไปอยู่อ่ะ พ่อผมตายเพราะโดนลูกหลงเด็กช่างกลอ่ะ แม่เลยไม่ค่อยชอบเรื่องแบบนี้ ไม่อยากให้ผมเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเด็กช่าง เพราะกลัวว่าจะเป็นอะไรไปเหมือนพ่ออีก” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้เสียงของเลิฟก็อ่อยลงทันที
“กูเข้าใจแล้ว เสร็จแล้วก็รีบลงไปขอโทษน้าพิมพ์เถอะ ในชีวิตมึงคงไม่มีใครหวังดีเท่าท่านแล้วล่ะ” คิมตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ คนที่เคยมีความทรงจำเลวร้ายในอดีตอย่างนั้น คิมเข้าใจว่ามันคงจะเจ็บปวดมากและคงกลัวว่าจะสูญเสียลูกชายไปอีก
“ไม่จริง!” เลิฟตอบกลับ จ้องคนที่อยู่ตรงหน้า
“ยังจะมาเถียงกูอีก” คิมเอ็ดทันทีเมื่ออีกฝ่ายดื้อ
“นอกจากแม่แล้วยังมีพี่ไงที่หวังดีกับผม” เลิฟบอก
คิมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน เจ้าตัวรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก “แน่นอนอยู่แล้ว” พูดจบก็ยักคิ้วให้
“พี่คิม”
“อะไรอีกวะ รีบๆ ลงไปหาแม่มึงดิอย่ามาเล่นลิ้น” คิมว่าพลางเก็บของไปด้วย
“ถึงผมจะไม่ได้เป็นเกย์ แต่ถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชายสักคนพี่คือตัวเลือกเดียวของผมนะ” หลายสิ่งหลายอย่างที่คิมได้ทำมา พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ตรงใจเขามากที่สุด แม้มันอาจจะยากที่จะได้คบกัน แต่ในเมื่อมีโอกาสแล้วทำไมจะต้องมาปิดบังความรู้สึกที่เก็บไว้มาตลอดด้วยล่ะ
“พูดแล้วห้ามคืนคำนะเว้ย ถ้าคบกับกูมึงได้โทรมทั้งเช้าทั้งเย็นแน่” คิมตอบกลับขำๆ แต่ใบหน้าคมกลับแดงก่ำซะอย่างนั้น
“ไม่มีทาง...เพราะถ้ามีวันนั้นผมจะเป็นคนจับพี่กดเอง” เลิฟยักคิ้วให้บ้าง
“รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ เดี๋ยวมึงก็ได้รู้ว่าการมีผัวที่เซ็กส์จัดมันเป็นยังไง ห้ามพูดต่อรีบลงไปเลย” คิมชี้หน้าห้ามเอาไว้
“ครับๆ เจ้านาย ขอบคุณนะพี่ที่มาเตือนสติผม ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้แม่เสียใจอีกเด็ดขาด” เลิฟเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำให้ได้อย่างที่พูดละกัน”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง
เลิฟกราบขอโทษผู้เป็นแม่และให้คำสัญญาอีกครั้งว่าจะไม่ทำเรื่องอย่างนี้อีกเด็ดขาด จะรักษาตัวเองให้ปลอดภัย และเรื่องที่ไม่เข้าใจกันของสองแม่ลูกก็คลี่คลายลงไปในช่วงเวลาแค่ไม่นาน