ตอนที่ 29
ลองคิดกันดูสิครับว่าหลังจากที่ผมกับสงครามเลี้ยวเข้าโรงแรมในวันนั้น เราทั้งคู่จะมีการแอบปีนหอมานอนด้วยกันอีกหรือเปล่า
ผมบอกเลยว่า...บ่อยมากและก็เยอะมากด้วย
อย่างเช่นวันนี้สงครามมันแอบมานอนที่หอผม เมื่อคืนเราสองคนก็มีเรื่องอย่างว่ากัน ผมกับมันเป็นคนที่มีความต้องการพอๆ กันในเรื่องนี้ ไม่ได้มีมากแต่ก็ไม่ได้มีน้อย วันไหนที่ผมเหนื่อยมันก็ฟังและก็พร้อมที่จะไม่ทำ แต่วันไหนที่มันอยากมากจนอดไม่ได้ ผมก็ต้องตามใจ
สงครามอาบน้ำเสร็จจนกลิ่นตัวหอมฉุย มันทิ้งตัวลงมานอนกอดผมทั้งๆ ที่ผมยังไม่ตื่นดี
“ตื่นได้แล้ว ใกล้ถึงเวลาดูลูกหอแล้ว” มันจูบขมับผมย้ำๆ ทุกเช้ามันไม่เคยแสดงอาการสะลึมสะลือให้เห็นเลยครับ เป็นคนที่กระฉับกระเฉงดีจริงๆ
“ไม่เอา จะตื่นสาย” วันนี้ผมขอ...เพราะผมเพลียมากจริงๆ “ให้ไมล์มันดูไปก็แล้วกัน”
ตอนนี้ไมล์เริ่มมาฝึกตำแหน่งประธานหอแล้วครับ ตอนแรกก็เต็มไปด้วยอุปสรรค แต่เพราะมันมีไอ้เหี้ยเตอยู่เคียงข้าง คนก็เริ่มเกรงใจมันมากขึ้น
“เครียดมั้ยเนี่ย” สงครามถามอย่างเป็นห่วง ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ผมที่กำลังฟุบอยู่กับหมอน แล้วมันแม่งก็จูบขมับผมย้ำๆ อีก “กลัวมึงเครียดว่ะ”
“ไม่เครียด แต่ใจหายนิดหน่อย ตามประสาคนเคยชินนั่นแหละ”
“...”
“มาถามเรื่องนี้ทำไมแต่เช้า”
“สงสัยจัง ปกติเวลาเพิ่งตื่นมนุษย์ธรรมดาเขาจะหัวฟูกัน” สงครามเอามือจับศีรษะของผม “แต่ผมมึงนิ่มมาก ดูดีไปหมดแม้กระทั่งตอนตื่น”
“กูเป็นใครล่ะวะ ประธานหอที่มีแต่คนหน้าตาดีนะเว้ย”
“หมั่นไส้ว่ะ” สงครามฟุบลงกับหมอนผมบ้าง
“สรุปมึงจะกลับออกไปหรือยัง”
“กูนึกถึงคำพูดของมึงเมื่อคืน” แฟนผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย “มึงจะเอางั้นจริงเหรอ ไม่อยากให้ลูกหอจัดงานเลี้ยงอำลาให้เพราะไม่อยากเสียน้ำตา”
เมื่อคืนก่อนที่พวกเราจะ...เอ่อ...มีอะไรกัน เราทั้งคู่พูดเรื่องการเป็นประธานหอและก็การออกจากตำแหน่ง สงครามดูใจหายเหมือนกัน แต่ก็แข็งแกร่งไร้ซึ่งความอ่อนไหว ส่วนผมนั้นทั้งบ่นและก็ดราม่า จนสงครามแม่งเรียกผมว่าแม่ของหอสามแทนที่จะเรียกว่าประธานหอแล้ว
สไตล์หอมันกับหอผมไม่เหมือนกัน ผมก็แค่...ใจหาย...นั่นแหละ
“เอาจริงใช่มั้ย”
“ใช่”
“วันเรียนจบคือจะย้ายออกไปเลย”
“อืม”
“แบบไม่บอกลูกหอ”
“ประมาณนั้น ช่วยกูหน่อยนะ”
สงครามยังคงลูบหัวผมต่อไปขณะทอดถอนใจ “มึงนี่นะ...อ่อนไหวจริง”
“...”
“แต่ก็นะ สไตล์ของหอสามก็คงจะอ่อนแอประมาณนี้”
“อ่อนแอพ่อมึงดิ” ผมปัดมือมันออก สงครามหัวเราะร่วนก่อนจะลุกขึ้น
“ช่วงนี้กูอาจจะยุ่งๆ หน่อยนะ เดี๋ยวก็พรีเซนต์โปรเจ็กต์กันแล้ว”
“อืม กูเองก็ยุ่ง”
“รักมึงนะอ้าย”
“รักมึงเหมือนกันนะสงคราม”
หลังจากวันนั้นสงครามกับผมก็ห่างกันไป
อาจเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างก็ยุ่ง ยิ่งใกล้วันพรีเซนต์โปรเจ็กต์มากเท่าไหร่ ผมกับสงครามก็มีเวลาคุยกันน้อยลงมากเท่านั้น บางครั้งผมก็รู้สึกโอเคที่มันเป็นแบบนี้ แต่บางครั้งผมก็รู้สึกเหงาขึ้นมาในใจซะอย่างนั้น เพราะถ้าไม่มีสงคราม ใจผมก็จะหวนนึกไปถึงวันที่ผมต้องเลิกเป็นประธานหอสาม
ทุกๆ วันก็เหมือนวันอื่น ไม่มีลูกหอของผมคนไหนทำท่าเหมือนผมกำลังจะออกจากตำแหน่ง ทุกคนยังตอบรับการกวนประสาทของผม อีกทั้งยังเล่นกับผมเหมือนเดิมราวกับผมจะยังอยู่ที่นี่ไปอีกเป็นปี ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นข้อดี ผมไม่อยากให้บรรยากาศภายในหอมันดราม่าจนเกินไป
เพราะแค่สอบไฟนอล...พวกมันก็ดราม่ามากเกินพอแล้ว
ไปป์กับมีนคบกันอย่างเปิดเผยเหมือนผมกับสงคราม ทั้งคู่ดูเป็นคู่ที่เงียบทั้งๆ ที่มีนเป็นที่รู้จัก ในที่สุดพวกมันก็ปรับจูนเข้าหากันติด ลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและก็เริ่มต้นใหม่ด้วยความรักของพวกมัน แม้มีนจะเคยเป็นคนที่มีผู้ชายหลายคนมาข้องเกี่ยว แต่ทว่าตอนนี้เสน่ห์ของมีนดูเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนนั้นอีก อาจเป็นเพราะออร่าที่เกิดจากความสุขเมื่อได้อยู่กับไอ้ไปป์ล่ะมั้ง
เวลาผ่านไป นานวันเข้าสงครามแม่งก็เริ่มผิดปกติ โทรไปหาก็กลายเป็นถามคำตอบคำ ผมพยายามทำความเข้าใจว่าโปรเจ็กต์สาขาของสงครามอาจจะยุ่งยาก แต่อย่างน้อยก็ช่วยใส่ใจผมในช่วงเวลาที่สุดจะเปราะบางนี้หน่อย
เพราะงั้นผมจึงระบายความรู้สึกอัดอั้นนี้ทั้งหมดลงบน...โน้ตสุขใจ ในเมื่อสงครามแม่งไม่ว่างฟังผม ผมก็จะบ่นไปเรื่อยตามแบบฉบับที่ผมถนัดนั่นแหละ
“อ้าย” ธัชเอียงหน้ามากระซิบ เราทั้งคู่กำลังทำงานอยู่ในโซนส่วนกลางครับ “ช่วงนี้กูเห็นสงครามออกไปกับผู้หญิงโคตรบ่อย”
“สวยๆ ใช่มั้ย”
“โคตร”
“หุ่นดี”
“สุดๆ”
“เสียงดังๆ หน่อย”
“อืม ได้ยินแว่วๆ”
“เพื่อนรักมัน” ผมตอบ
“เพื่อนรักแบบคนละเพศเนี่ยนะ ใช่เหรอวะอ้าย” ธัชดูซีเรียสมากจริงๆ “ปกติกูไม่เสือกนะเว้ย” เหรอ “แต่ครั้งนี้เชี่ยสงครามแม่งทำเกินไปจริงๆ กูเห็นอยู่กับผู้หญิงคนนี้บ่อยกว่าอยู่กับมึงอีก”
แม่ง...อย่าเสี้ยมดิ ช่วงนี้กูยิ่งมีหลายความรู้สึกอยู่ ทั้งเครียด กดดัน กังวล และก็เหงา
“ลองคุยกับมันหน่อยมั้ย”
“มันไปกับเจนบ่อยจริงๆ เหรอ”
“ใช่ เมื่อวานก็เห็น”
“เมื่อเช้าผมก็เห็นพี่” จู่ๆ ทนายแม่งก็โผล่หัวมาตอบ อะไรของมึงเนี่ย อยู่ดีๆ ก็มีซีนเฉย
“ไปเลยมึง...ไปคุยกับมันตอนนี้เลย” ไอ้ธัชกับทนายดันตัวผมให้เดินออกจากโซนส่วนกลางเพื่อไปยังหอสอง ผมเกาหัวแกรกๆ อย่างงงๆ ไม่คิดว่าพวกมันจะสามัคคีกะทันหันกันแบบนี้
ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้มายืนอยู่ตรงหน้าหอสองนานมากแล้วทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันเพียงแค่ถนนกั้น จริงๆ แล้วถูกทนายกับไอ้ธัชดันตัวผมมาตอนนี้ก็ดี ผมจะได้ไต่ถามสงครามบ้างว่าทำไมช่วงนี้ถึงได้เงียบไป
คนเป็นแฟนกัน ยังไงก็ต้องคุยกันได้ทุกเรื่องครับ
ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าไป ผมสวนทางกับแดนและภพ สองคนสะดุ้งโหยงก่อนจะซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง อะไรบางอย่างก็ไม่รู้สีดำๆ
“สงครามมันอยู่ทางโน้นน่ะ” ภพพูดก่อนจะดึงแขนแดนให้รีบออกห่างจาก
ทำไมวันนี้มีแต่คนแปลกๆ ผมกำลังจะเดินไปหาสงคราม แต่แล้วภาพๆ หนึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกตัวชาขาแข็งไปหมด
มีผู้หญิงกำลังหอมแก้มสงคราม
อ่านกันไม่ผิดครับ มีผู้หญิงกำลังทำอย่างนั้นกับแฟนผมจริงๆ
ถ้าจะบอกว่าไม่หึง ผมก็คงโกหก ถ้าจะบอกว่าไม่โกรธ ผมก็คงโกหกอีกนั่นแหละ
เท้าของผมก้าวเข้าไปไวกว่าความคิด ไม่นานนักก็อยู่ในจุดที่ใกล้สงครามกับผู้หญิงคนนั้น และเมื่อได้มองดูใกล้ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็คือเจนนั่นเอง
“พอแล้ว ถ้าอ้ายรู้นี่กูตาย”
“...”
“และนี่กูก็รีบมากด้วย มีเรื่องต้องทำ”
“กูขออีกช็อต เมื่อกี้แม่งสั่นมาก ไม่ชัดว่ะ อ้าว...” เจนเห็นผมก่อนสงคราม “ฉิบหายแล้วกู”
สงครามหันมามองตามสายตาของเจน เมื่อเห็นว่าผมยืนอยู่มันก็ก้าวถอยห่างออกจากเจนโดยอัตโนมัติ
“บายนะสงคราม” เจนเตรียมวิ่งหนี แต่สงครามจับกระเป้าเป้ใบเล็กของเจนไว้
“มึงไม่ต้องทิ้งให้กูโดนคนเดียวไอ้สัด มึงต้องช่วยกูคุยกับอ้าย”
“นี่มันเรื่องของมึงนะ”
“เลว” สงครามตบกระเป๋าของเจนเสียงดังเพื่อเลี่ยงการทำร้ายร่างกายผู้หญิง ผมมองดูภาพความสนิทสนมของสองคนนี้อย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง
สงครามมันเป็นคนเท่ที่ดูหล่อเพราะหุ่นและความสูง ส่วนเจนเป็นผู้หญิงขายาวที่ทั้งสวยและเซ็กซี่ ความสนิทของทั้งคู่ที่มากกว่าเพื่อนต่างเพศทั่วไปมันทำให้ทั้งคู่ดูเหมือน...กิ่งทองกับใบหยก
เป็นอีกครั้งที่ถ้าบอกว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลย ผมก็คงโกหกครับ
เชี่ยสงคราม...หล่อนักเหรอมึงอ่ะ #กัดฟัน
“ไปเลย คุยให้กูเลย” สงครามพยายามให้เจนเป็นฝ่ายคุยกับผม
“มึงไม่พูดเองล่ะวะสงคราม” เสียงเย็นๆ ของผมทำเอาทั้งคู่หน้าซีดเผือด
“เมียมึงน่ากลัวว่ะ” เจนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
สงครามปล่อยเจนเหมือนเธอไม่มีความหมายอีกต่อไป มันวิ่งเข้ามาดึงมือผมไปจับ สีหน้าหวั่นเกรงสุดฤทธิ์
“กูขอบอกก่อนว่าทุกอย่างมันมีเหตุและผล กูรักมึง และกูไม่ชอบเจนเลยแม้แต่นิดเดียว” ดูเชี่ยแม่งเกริ่นซะจนผมไม่กล้าโกรธมากไปกว่านี้ ท่าทางเหมือนอยากให้เรื่องนี้จบโดยไว “มันจะยั่วให้แฟนมันหึงด้วยการใช้กู”
ผมกระพริบตามองดูเจนกับสงครามสลับกัน เจนพยักหน้าอย่างแข็งขันสนับสนุนคำพูดของเพื่อนรักอย่างสุดขั้ว
“แล้วได้ผลป่ะ” ผมลองถามดู
“ได้ผลดิ แฟนแม่ง...” เจนส่ายหน้าเพื่อปรับคำพูดให้ไพเราะขึ้น “แฟนเรามันคิดว่าเราชอบผู้ชายแบบสงคราม ถ้าจะทำให้มันหึง ก็ต้องใช้สงครามนี่แหละ” เจนมองสงครามเหยียดๆ “ทั้งๆ ที่เราเกลียดมันจะตาย แต่เราก็จำเป็นต้องทำ เพราะรูปที่ร้านเหม่อมองฟ้าหาพระแสงวันที่เราเจอกับอ้ายอ่ะ มันหึงเรากับสงครามฉิบหาย”
“เจน มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้” สงครามกอดอกข่มขู่
“อะไรอีกล่ะเหี้ยนี่”
“มึงไม่ได้ใช้กูทำแค่เรื่องนี้ มึงต้องช่วยกูบอก เป็นการกันเอาไว้ก่อน”
“เกรงใจเมียขนาดนั้นเลยหรือไง ตอนอยู่กับชาวหอของมึง มึงข่มเขาจะตาย”
“ก็นั่นลูกหอ แต่นี่เมีย ไอ้สัดเจน มึงแยกแยะด้วย” ถ้าเจนเป็นผู้ชายผมคงจะได้เห็นสองคนนี้ต่อยกันไปนานแล้วล่ะ
เจนเดินเข้ามาใกล้ผม เธอดูเริ่มเกรงใจผมตามไอ้สงคราม มือสวยๆ ของเธอกำลังจะเอื้อมมือมาแตะมือผม แต่สงครามดึงกระเป๋าเอาไว้ให้เธออยู่ห่างๆ จากผม
“นิดนึงก็ไม่ได้”
“ไม่ได้โว้ย”
“กูอยากจับอยากสัมผัสอ่ะ ดูผู้ดี ดูงดงามมากเลยมึง”
“แฟนกูไม่ใช่รูปปั้นโว้ย นี่มึงจะพูดได้ยังเชี่ยเจน”
“ก็ได้ๆ” เจนยอมแพ้ “อ้าย ฟังให้ดีนะ ช่วงนี้ที่สงครามมันไม่ว่างอ่ะก็เพราะเราดึงตัวมันไปช่วยยั่วให้แฟนเราหึงที่มอเรา มันก็เลยหายไปบ่อย อีกอย่างนะมันกำลังทำเพื่ออ้ายด้วย มันแอบไปถะ...” มือใหญ่ๆ ของสงครามปิดปากเจนเอาไว้
ผมถึงกับขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็น
“เชี่ย มือเค็มสัด” เจนปัดมือสงครามออก “มันก็ประมาณนี้แหละ เราขอโทษที่เราไม่คุยไม่ขออ้ายก่อน อันที่จริงเราเองก็ผิด แต่เราบริสุทธิ์ใจจริงๆ นะ เราไม่มีวันคิดอะไรเกินเลยกับไอ้เหี้ยสงครามห่าเหวเลวบรรลัยนี่แน่นอน”
“...”
“ตอนมัธยมมันยังไม่เลิกฉี่รดที่นอนเลย”
“...”
“มันจีบสาวก็ไม่เป็น อ่อนฉิบหาย”
“...”
“และมันก็เคย...”
“พอแล้วอิเจน แม่งไม่ช่วยห่าอะไรกูเลย” สงครามส่ายหน้าให้เพื่อนก่อนจะมองผมด้วยนัยน์ตากลมๆ “หายงอนหรือยัง”
“คือ...”
“เจน มึงหมดหน้าที่แล้ว ไปไกลๆ ไป”
“อ้าวไอ้เหี้ย” เจนสบถ ส่งยิ้มให้ผมก่อนจะชูนิ้วกลางให้สงคราม
“ไม่ไปส่งเขาหน่อยเหรอวะ” ผมมองตามอย่างเป็นห่วง
“มันขับรถมา รถมันอยู่นั่น” เจนหายตัวขึ้นรถไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดก็ได้อยู่กันสองคน ผมจ้องมองแฟนตัวเองที่คุยกับผมน้อยลงมานาน
“ไปคุยกันที่อื่นดีกว่ามั้ย”
เราสองคนเลือกที่จะมาสระพลาสติกกัน
โชคดีที่วันนี้แดดไม่ร้อน สงครามกับผมจึงเดินไปรอบๆ สระแห่งนี้ได้อย่างสบายๆ แม้มันจะเดินอยู่กับผม แต่มันก็ยังเล่นโทรศัพท์อยู่ ผมอดไม่ได้ที่จะทำหน้าเคืองจนมันรู้สึกตัว
“โทษที”
“มึงค้ายาหรือไง ทำไมต้องลับๆ ล่อๆ”
“ไม่มีไรเว้ย” สงครามพาดมือมาโอบหลังผม
“หรือมึงคุยกับสาว”
“สาวที่ชื่ออ้าย”
“สาวพ่อมึงสิ” ผมใช้ศอกกระทุ้งสีข้างมัน
“ทำไมดุดันจังวะ”
“...”
“วันมามาก?”
“สงคราม” ผมทำเสียงขู่ “ไม่เจอกันนานนี่ไปเรียนวิชากวนตีนมาเหรอ”
“เมนส์มึงก็ไม่น่าจะมาแล้วนะ ช่วงก่อนหน้านั้นเราทำกันบ่อย”
“...”
“ตอนนี้มึงควรท้อง”คราวนี้ผมไม่เกรงใจแล้วล่ะครับ เอื้อมมือขึ้นหมายจะไปโบกกบาลมันสักหน่อย แต่สงครามก็คือสงคราม มันจับมือผมเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายมันได้
เกลียดแม่งก็ตรงนี้
มันถือโอกาสจับมือผมพร้อมกับแกว่งไปมาด้วย
“งอนใช่มั้ย”
“มีบ้าง” ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยอมรับ
“ขอโทษจริงๆ นะ ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่ค่อยได้ไปอยู่เป็นเพื่อนเลย”
“...”
“มึงคงจะคิดมากเรื่องกำลังจะออกจากหอสาม แต่กูกลับช่วยห่าอะไรไม่ได้เลย”
“บ้า” ผมเขย่ามือของสงคราม “ไม่ได้งอนขนาดนั้น มึงอย่าคิดมาก ปีสี่ใครบ้างที่ไม่ยุ่ง”
“แน่นะ”
“แน่สิ”
“แต่ตอนที่มึงอยู่ต่อหน้าเจนนี่น่ากลัวฉิบ ถ้าแดกเจนได้มึงแดกลงท้องแล้วก็ขี้ออกมาแล้ว” ผมก็เสือกจะไปนึกภาพตามคำพูดมัน “มึงดูโมโห”
“พวกมึงสนิทกันมากกว่ากูอีก”
“ก็เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมอ่ะ เจนแม่งเหมือนกูในเวอร์ชั่นผู้หญิง”
“...”
“มึงหึงแม้กระทั่งคำพูดนี้เหรอ”
“กูเปล่าสักหน่อย”
“ทำไมสีหน้าเปลี่ยนล่ะ”
“เออ! หึง ยอมรับก็ได้ไอ้สัด”สงครามทำหน้าเว้าวอน “กูขอร้อง อย่าไปหึงกูกับอิเจนเลย แค่คิดกูก็ฝันร้ายแล้ว มึงควรไปหึงกูกับคนอื่นมากกว่า” เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเลิกคิ้ว “ทำไมวันนี้กูพูดอะไรก็ผิดวะ”
ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของสงครามทำเอาผมยิ้มออก จริงๆ มันไม่จำเป็นต้องเท่ตลอดเวลาก็ได้ ตอนนี้มันแม่งมีสเน่ห์มากกว่าตอนที่มันเท่อีกนะ
“เดี๋ยวก็เรียนจบกันแล้ว” ผมเอ่ย
“อืม”
“มึงคงเตรียมไปสอบนักบินผู้ช่วย”
“ส่วนมึงก็คงหางานทำที่โรงงานผลิตรถ”
“ช่วงนี้ก็เริ่มหาเอาไว้แล้ว”
“ไม่ต้องห่วงนะ กูจะตามไปอยู่กับมึงทุกที่”
ผมยิ้ม “ยังไม่ได้พูดเลยว่ากังวล”
“...”
“เพราะกูรู้ว่ามึงจะตามไปอยู่กับกูแน่นอน”
สงครามยิ้มแฉ่งบ้าง เป็นอีกครั้งที่ผมเผลอมองแล้วใจสั่น เวลาคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างมันยิ้มกว้าง มันเป็นอะไรที่น่ามองจริงๆ นะครับ
“อย่ามองอย่างงี้ดิ” สงครามผลักหน้าผมเบาๆ
“ทำไมอ่ะ” สายตากูออกจะเต็มไปด้วยความรัก
“กูเขิน”
“...”
“มันทำให้กูหื่นด้วย”
เดี๋ยว...ไอ้เหี้ย มันลามไปถึงเรื่องนั้นได้ไงวะ “กูเลิกมองมึงดีกว่า”
“ทำไมอ่ะ” มันถามผมกลับเหมือนที่ผมเคยถาม
“เดี๋ยวแม่งได้เลี้ยวรถเข้าโรงแรมอีก”
“หึ” สงครามผลักหัวผม “มึงไม่เอากูก็ไม่เอา เหตุผลง่ายๆ แค่นั้น”
ผมมองไปข้างหน้า ดูสระน้ำใสสะอาดที่มีผู้คนเดินไปเดินมารอบๆ อย่างบางตา สงครามเองก็มองแบบผม มือของเรายังคงจับกันเอาไว้แน่น
“ใจหายเนอะ ใกล้จะเรียนจบแล้ว” สงครามเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
“เออ จะมีมอไหนแปลกเท่ามอเราอีกมั้ยวะ”
“อย่าเหมารวมเลย พูดว่าแปลกแค่หอสามก็พอ”
“ทำไม”
“ก็แม่งบ้า มีแต่พวกหน้าตาดีๆ มาอยู่ด้วยกัน มีสมบัติหอเป็นไอ้เด็กตัวเล็กๆ ขาวๆ และก็มีประธานหอที่เหมือนภาพวาดสุดๆ ถ้าจะถามว่ามีอะไรแปลกในมอก็คงหอสามนั่นแหละวะที่แปลก”
ไอ้เหี้ยนี่... “หอสองไม่แปลกเลย ไม่แปลกเลยเนอะ” ผมประชด
“ออกจะปกติ มีแต่ผู้ชายแมนๆ ตัวล่ำๆ”
“แต่ก็ไม่ควรไปอยู่รวมกัน”
“ทำไม”
“มันน่ากลัวอ่ะดิไอ้บ้า”
สงครามหัวเราะ “เชื่อป่ะ กูถูกใจมึงเพราะมึงบอกว่ากลัวแต่มึงไม่เคยกลัวจริงๆ”
“กูกลัวจริงๆ เว้ย แต่ต้องทำเป็นไม่กลัว”
“ชีวิตมึงนี่นะ”
“...”
“แต่กูว่าสาเหตุหนึ่งที่มึงทำเป็นกล้าต่อหน้าพวกหอกูก็เพราะมึงรู้ว่ากูเกรงใจมึงใช่ป่ะ”
“ก็มีส่วน”
“แม่งข่มกูตั้งแต่ยังไม่เป็นแฟนกันอ่ะ”
“ตอนนี้กูก็ข่มมึงเหรอ” เสียงของผมเข้มขึ้น
“เปล่าครับ” สงครามเอ่ยเสียงเจื่อน “แต่จะข่มก็ได้นะ กูยอมอ่ะ คนกลัวเมียเจริญกันทุกคน”
“...”
“เผลอๆ กูอาจจะได้เป็นกัปตันเพราะมึง”
“นี่คือความฝันสูงสุดของมึงจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย”
“เรื่องเป็นนักบินน่ะเหรอ”
“อื้ม”
“เปล่าหรอก”
“...”
“ความฝันสูงสุดของกูก็คือเมียตามกูบินไปทุกที่ต่างหาก” สงครามพูดอย่างจริงจังจนผมเชื่อมันไปหมดแล้วทุกคำ เชี่ยแม่งกดดันว่ะ “ความฝันสูงสุดของมึงล่ะ”
จริงๆ แล้วตอนนี้ผมยังไม่มีความฝันอะไรด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมคิดก็คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
แต่ดูเหมือนครั้งนี้ผมจะมีความฝันสูงสุดแล้ว
“ความฝันสูงสุดของกูน่ะเหรอ”
“...”
“กูก็จะตามมึงไปทุกที่ที่มึงไปไงวะสงคราม”TBC*