บทที่ 29
จากเมื่อคืนที่ผมรู้สึกเจ็บคอและมีไข้อยู่ที่ 38 องศา พอตื่นเช้ามาผมรู้สึกปกติทุกอย่าง ไม่มีอาการวงเวียนศีรษะหรือว่าคัดจมูก สงสัยยาที่ลูเซียนซื้อมาจะเอาอยู่ ผมลองวัดไข้ตัวเองอีกทีก็พบว่าอุณหภูมิลดลงมาแล้ว เห็นมั้ยล่ะว่าต่อให้สระผม ก็ไม่ได้ทำให้อาการหนักกว่าเดิม
ลูเซียนสั่งให้ผมเตรียมตัวเพื่อออกไปซื้อของตามที่คุยกันไว้เมื่อคืน เพราะเราสองคนในตอนนี้ยังใส่ชุดเดิมกันอยู่เลย ก่อนออกจากห้องผมเอาเสื้อสูทพาดไว้กับแขนตัวเอง ไม่ยอมใส่เต็มยศเหมือนลูเซียนแน่ๆ ชุดผมเหมาะกับงานราตรี ให้ใส่ไปเดินห้างเดี๋ยวจะกลายเป็นโอเวอร์ไป
ระหว่างอยู่ในลิฟต์ ลูเซียนถามเรื่องอาการไข้ ผมก็ตอบไปตามตรงว่าสบายดีแล้ว พร้อมขอบใจเรื่องยาที่อุตส่าห์เอามาให้ และพอผมถามว่าไปหาซื้อมาจากไหน คำตอบที่ได้คือ...
‘ฉันจ้างให้พนักงานโรงแรมออกไปซื้อมาให้’
เมื่อลงมาถึงบริเวณล็อบบี้ ลูเซียนก็หันมาพูดกับผม “นายรออยู่นี่ ฉันจะไปเช็คเอ้าส์”
“งั้นผมขอไปเข้าห้องน้ำนะครับ”
“แล้วทำไมไม่เข้าตั้งแต่ที่ห้อง” น้ำเสียงของลูเซียนฟังดุๆ ยังไงชอบกล
“ก็ผมยังไม่ปวด”
คนตัวสูงถอดหายใจใส่ ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างเหนื่อยหน่าย ถามจริง มันใช่เรื่องที่ควรหงุดหงิดหรอ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วที่เขาถามผมว่าได้สระผมหรือเปล่า ถึงจะแปลกใจกับความจริงจังแต่ผมก็ตอบไปตรงๆ ว่าไม่ จากนั้นเขาก็ดุว่าผมไม่ยอมทำตามคำสั่ง มาตอนนี้ยังไม่สบอารมณ์เรื่องที่ผมจะเข้าห้องน้ำอีก อะไรของเขาวะ
พอเห็นลูเซียนเดินไปยังเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ ผมเดินไปหาห้องน้ำทันที ป้ายบอกว่าอยู่ทางซ้ายมือ จังหวะเลี้ยวตรงหัวมุมเพื่อเดินเยื้องไปอีกทาง ผมดันไปชนกับใครคนหนึ่งเข้า
“โอ๊ะ ขอโทษครับ” เต็มแรงเลยเมื่อกี้ เล่นเอาผมเซไปอีกทาง เราคงไม่ทันดูกันทั้งคู่ผมเลยต้องขอโทษไว้ก่อน พอเห็นเขาไม่พูดอะไร ผมก็จะเดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัว
แต่ทว่า...
“รัณย์” ผู้ชายที่ผมเพิ่งเดินชนคว้าหมับที่ต้นแขนของผม
“เอ่อ...”
“นายมาทำอะไรที่นี่” คนแปลกหน้าถามผมอย่างจริงจัง แถมยังเข้าประชัดตัวแบบไม่ทันตั้งตัว ผมเลยได้แต่เอนตัวให้ออกห่างแล้วคิดว่าจะเอาไงดี ดูท่าเขาจะรู้จักผม ถ้ารู้ก่อนว่าจะมาเจอคนรู้จักผมคงเตรียมตัวมาดีกว่านี้
“คือ...”
“คุณไกร!” เสียงผู้หญิงดังมาจากด้านหน้า มันเหมือนกับตัวช่วยโผล่มาทันเวลา เพราะนอกจากผมจะไม่ต้องตอบคำถามนั้นแล้ว เขายังต้องปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระด้วย
“เจอคนรู้จักหรอคะ” ชายตรงหน้าดูอึกอัก
“เขาเป็น... เอ่อ เคยเป็นพนักงานที่บริษัทผม แต่ตอนนี้ลาออกไปแล้ว”
หืม? พนักงานบริษัทหรอ จ้านไม่เห็นเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย ไหนว่าผมไม่เคยทำงานมาก่อนไงล่ะ ที่สำคัญเลยคือผมยังเรียนไม่จบ แล้วจะเป็นพนักงานบริษัทได้ไง
ตกลงมันยังไงกันแน่วะ?
“โอ๊ะ! คุณเซียน” ดูจากสายตาของสาวสวยที่มองผ่านผมไป เหมือนจะรู้ได้โดยอัตโนมัติเลยว่าเจ้าของชื่อยืนอยู่ข้างหลังผมนี่เอง งั้นก็หมายความว่าหญิงสาวคนนี้รู้จักลูเซียนด้วยน่ะสิ
“สวัสดีครับ คุณลิตา” ลูเซียนเดินมายืนข้างๆ ผม
“คุณเซียนมาทำอะไรที่นี่หรอคะ”
“พักผ่อนครับ”
“อ้า งั้นนี่คงเป็นผู้ติดตามสินะคะ” ผู้หญิงที่ชื่อลิตาหันมามองผม แล้วพูดด้วย “เห็นว่าเคยทำงานกับคุณพุฒิไกรมาก่อนแต่ลาออกไปแล้ว คงจะเปลี่ยนใจไปทำงานกับคุณเซียนแน่เลย ใช่มั้ยจ้ะ”
ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตก เหมือนคนหูหนวกตาบอด ไม่รู้จักชายหญิงสองคนนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองเคยทำอะไร เรื่องจริงหรือหลอกก็ไม่รู้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังต้องทำตัวเนียนต่อหน้าลูเซียน ถ้าเกิดปล่อยไก่ตอนนี้มีหวังจบเห่แน่
แต่เดี๋ยวก่อน! วุฒิไกร? ชื่อนี้คุ้นๆ แฮะ
‘อย่าอำกันน่า ถึงนายจะเลิกยุ่งกับคุณพุฒิไกรไปแล้วก็ใช่ว่าจะจนตรอกนี่หว่า’
อ้อ~ หรือว่าเขาจะเป็น...
‘คุณพุฒิไกรต้องแต่งงานกับลูกสาวนายห้างก็เพราะธุรกิจ ความจริงเขาหลงนายจะตายใครๆ ก็รู้ อุตส่าห์มีขุมทรัพย์อยู่ตรงหน้ายังจะปล่อยให้หลุดมือไปอีก คนใจป้ำแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะเว้ย’
พอนึกถึงคำพูดของคนกลุ่มแรกๆ ที่ทักผมเรื่องทำงานไนต์คลับว่ากำลังเล่นพิเรนทร์ ก็พลอยให้นึกตอนพูดถึงชื่อของชายคนหนึ่งที่เชื่อว่าเพิ่งเลิกกับผมเพื่อไปแต่งงาน พอมาดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ผมว่าเปอร์เซ็นที่จะเป็น ‘พุฒิไกร’ เดียวกันมีสูงมาก ทั้งเรื่องที่รู้จักผมและเรื่องที่ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นภรรยาของเขา
“หน้าตายังเด็กอยู่เลย แต่คงทำงานเก่งมากถึงได้ร่วมงานกับซีเอ็กส์ เอ็นเตอร์ไพร์ส” ว่าจบ ก็หันไปหาผู้ชายที่ชื่อพุฒิไกร “ทำไมคุณถึงปล่อยให้เขาหลุดมือไปล่ะคะ เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงต้องคอยสนับสนุนนะ”
พุฒไกรมองหน้าผม แววตาเขาเต็มไปด้วยความอัดอั้น
“ผมไม่ได้อยากปล่อยมือจากเขา...” คำพูดฟังคลุมเครือแต่ก็โจ่งแจ้ง คล้ายแอบแฝงอะไรบางอย่าง และพุฒิไกรคงรู้ตัวถึงรีบยิ้มกลบพร้อมพูดต่อ “แต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ในเมื่อเขาเจอเส้นทางที่ดีกว่า ผมก็ควรดีใจกับเขา”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลยเลือกที่จะเงียบไว้ สักพักคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างผมก็พูดขึ้น
“ผมไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงานของพวกคุณ ต้องขอโทษด้วย” นั่นไงล่ะ เป็นสามีภรรยากันจริงๆ ด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ เราเข้าใจว่าคุณไม่ค่อยมีเวลาว่าง ไม่เพราะอย่างนั้นธุรกิจจะเติบโตถึงขนาดนี้ได้ยังไง ที่จริงลิตาควรขอบคุณคุณเซียนมากกว่าที่เคยอนุมัติเงินกู้หลายสิบล้านเพื่อให้ไกรมาลงทุนกับธุรกิจเรือ เขาถึงประคองบริษัทอื่นๆ ในเครือเอาไว้ได้” เธอเผยยิ้มตามบุคลิกผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว “อ้อจริงสิ ตอนนี้เราได้สัมปทานเดินเรือรับนักท่องเที่ยวที่เกาะสมุยแล้วนะคะ เพิ่งทำข้อตกลงกันไปเมื่อวานเอง”
“ผมคิดว่าพวกคุณมาฮันนีมูนกันซะอีก ที่แท้ก็เรื่องงาน”
“เราเพิ่งแต่งงานกันไม่นาน คุณไกรเองก็ยังยุ่งๆ กับบริษัท ฉันเลยตั้งใจว่าสิ้นปีนี้จะบินฮันนีมูนกันที่ยุโรปค่ะ” ผมฟังคุณลิตาอย่างตั้งใจ แต่พอหันไปดูลูเซียน ผมกลับเห็นเขาจ้องคุณพุฒิไกรแล้วยิ้มไปด้วย
“ยินดีด้วยนะครับ” อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร และดูท่าลูเซียนจะโดนพุฒิไกรเมินด้วยการหันไปหาภรรยา
“ไปเถอะคุณ รถน่าจะมารอแล้ว” เขาพูดใกล้หูคุณลิตา แต่ได้ยินชัดมาถึงนี่
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ หวังว่าโอกาสหน้าจะได้พบกันอีก”
“ยินดีครับ” ลูเซียนทำเพียงพยักหน้า ในขณะที่พุฒิไกรชำเลืองมองผมครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเข้าใจไปเองหรือเปล่าแต่ผมรู้สึกว่าเขาทำเหมือนมีอะไรอยากพูด จนท้ายที่สุดเขาก็เดินเคียงคู่ภรรยาออกจากโรงแรมไป
จู่ๆ ลูเซียนก็ใช้มือแตะไหล่ผม “ไปได้แล้ว ฉันต้องพานายไปซื้อของอีก”
ลูเซียนพาผมเดินไปกันคนละทางกับคุณพุฒิไกร เห็นว่าจะใช้บริการรถรับส่งของทางโรงแรม ระหว่างยืนรอรถผมก็นึกอยู่ว่าคงต้องคืนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ให้กับเจ้าของ ถ้าได้เจอกันอีกผมควรทำแบบนี้ แต่ถ้าไม่เจอก็น่าจะดีกว่า
“เจอคนคุ้นเคย รู้สึกยังไงบ้างล่ะ” ผมมองหน้าคนถาม ค่อนข้างประหลาดใจที่ลูเซียนอยากได้ความเห็นของผม และพอจะทำให้รู้ว่าการถามแบบนี้ ต้องเป็นเพราะเขารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณพุฒิไกรไม่มากก็น้อย
เอาตรงๆ นะ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เจอเขา หรือแม้แต่ตอนที่รู้ว่าเราเคยคบกัน ผมก็...
“...”
ไม่รู้จะพูดอะไร
“หึ... ถึงกับต้องโกหกว่านายเคยทำงานด้วยต่อหน้าเมีย สิ้นคิดจริงๆ”
กะไว้แล้วเชียว ผมยังเรียนไม่จบแถมมันสมองก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าฉลาดสักนิด ตอนแรกผมอาจสงสัย แต่พอรู้ว่าชายคนนี้คือพุฒิไกร ผมก็พอจะเดาออกว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะโกหกภรรยาไปแบบนั้น
“ผมรู้ครับ” ขืนทำอ๋อเหมือนเพิ่งรู้คงโดนจับได้แหงๆ
“นายเคยบอกว่าพุฒิไกรเป็นคนที่รักนายจากใจจริง แต่ฉันว่านายเข้าใจแบบนั้น เพราะเขาเสียเงินให้นายไปมากต่างหาก” ผมตวัดสายตามองลูเซียน ไม่ใช่ว่าตกใจกับเรื่องที่เพิ่งรู้ แต่อยากดูสีหน้าเวลาเขาพูดถึงผมมากกว่า “ทั้งคอนโด ทั้งรถยนต์ แล้วไหนจะเงินที่โอนให้แต่ละเดือนอีก น่าเสียดาย... ถ้าเขาไม่ถูกบังคับให้แต่งงาน นายคงไม่ต้องคอยหลีกเลี่ยงอีวาน หรือมานั่งคิดว่าอยากเปลี่ยนตัวเองอยู่แบบนี้”
“ผมเปลี่ยนตัวเองเพราะอยากเปลี่ยน ไม่ได้เกี่ยวกับใครเลย” มันอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับ โดยลืมไปว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับใคร “แต่ถึงจะพูดยังไงคุณก็คงไม่เข้าใจ... ช่างมันเถอะครับ ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะคิดยังไง”
“ถ้าไม่ใส่ใจคำพูดของฉัน ก็ไม่เห็นต้องโกรธ”
“ผมไม่ได้โกรธ” ตอบกลับทันทีทันใด
“ลองบอกมาซิว่าตอนนี้ความรักในแบบของนายเป็นยังไง” ลูเซียนถามในสิ่งที่ผมต้องใช้ความคิดและความรู้สึก แต่ใช้เวลานึกอยู่สักพักผมก็...
“ผมไม่รู้ครับ” ที่ผ่านมามีเรื่องให้คิดเยอะแยะ แค่ใช้เวลากับการทบทวนหนังสือก็ไม่มีเวลาคิดอย่างอื่นแล้ว ไหนจะเรื่องอนาคตอีก ความรักสำหรับผมในตอนนี้มันสำคัญเลย
“แปลว่ายังไม่รู้สึกรักใคร?”
“คงงั้น...”
สิ้นสุดการสนทนา รถยนต์ก็เคลื่อนมาจอดเทียบริมทางเดิน เราสองคนนั่งด้านหลังโดยมีพนักงานของทางโรงแรมขับรถให้ ลูเซียนบอกที่หมายเสร็จบรรยากาศในรถก็เงียบลง ผมได้แต่มองข้างทางโดยไม่หันไปมองคนที่นั่งข้างๆ เลย
จุดมุ่งหมายของลูเซียนคือห้างสรรพสินค้า มาถึงเขาก็พาผมขึ้นไปที่ร้านโทรศัพท์เป็นอันดับแรก บอกจะซื้อให้แต่ผมปฏิเสธ จนเขาบอกว่าเป็นสวัสดิการให้พนักงาน ผมเลยตกลง
ระหว่างเดินดูลูเซียนก็คอยถามผมว่าอยากได้แบบไหน ยี่ห้ออะไร พอบอกว่าได้หมด เขาก็เดินไปจิ้มโทรศัพท์ที่โชว์เด่นสุดในร้านพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตให้ กับพนักงานขาย ผมดูราคาแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลาย โทรศัพท์รุ่นล่าสุด ฟังก์ชันครบสมบูรณ์แบบ ผมต้องทำงานสองสามเดือนโน้นมั้งถึงจะซื้อเครื่องนี้ได้
หลังจากพนักงานส่งโทรศัพท์ให้ลูเซียน ผมก็เห็นเขาหยิบมาเลื่อนๆ กดๆ ก่อนจะหยิบมือถือตัวเองขึ้นมา รอสักพักเครื่องของเขาก็มีเสียงริงโทนขึ้น ผมกำลังสงสัยว่าทำอะไร ลูเซียนก็ยื่นโทรศัพท์เครื่องใหม่มาให้
หน้าจอเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย รู้สึกจะอยู่ในหน้าตั้งค่า ผมงงว่ามันคืออะไร
“นี่คือ...”
“ฉันตั้งให้เบอร์ตัวเองเป็นเบอร์โทรฉุกเฉินในเครื่องนาย” พูดถึงตรงนี้ ลูเซียนก็ขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อแสดงให้ผมดูว่าต้องทำยังไง “ถึงหน้าจอล็อคอยู่ แค่กดตรงนี้ก็จะโทรหาฉันได้ทันที”
ฟังจนจบแล้วรู้สึกคุ้นๆ แฮะ “อ้อ~ เหมือนที่จ้านเคยทำให้เลย”
ตอนซื้อโทรศัพท์มาใหม่ๆ จ้านตั้งให้เบอร์เขาอยู่ลำดับแรก เผื่อว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจะได้โทรหา มาคราวนี้ลูเซียนก็ทำแบบเดียวกัน คือมันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะ เพราะผมไม่เคยมีโอกาสโทรหาเขาโดยตรงมาก่อน จะมีก็แค่ติดต่อกับเลขาส่วนตัวของเขาเท่านั้น
ขณะที่นึกอะไรเรื่อยเปื่อย ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะหันไปหาลูเซียนอีกครั้ง จังหวะนั้นแหละที่ผมเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป อยู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายทำหน้าตึงใส่ ผมจะไม่งงได้หรอ
“ถ้าอยากเปลี่ยนให้เขาเป็นเบอร์แรกก็ลบเบอร์ฉันทิ้งซะ” พูดจบก็เดินออกจากร้านขายโทรศัพท์ไป ผมมองตามพร้อมเกาหัวหยิกๆ เมื่อกี้น้ำเสียงฟังดูกระแทกกระทั้นยังไงชอบกล แล้วดูนั่น เดินไม่รอเลย เห็นหลังไวไวข้างหน้าโน้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในร้านเสื้อผ้า
ผมเดินตามมาจนพบลูเซียนกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ ภายในร้านดูดีมีระดับ ป้ายราคาแต่ละตัวแพงลิบลิ่ว ผมลองจับดูแล้วจับวางอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าใส่เลยสักตัวบอกตรงๆ
“อยากใส่ตัวไหน เลือกเอา” ลูเซียนถาม
“เราอยู่ทะเลทั้งที ลองใส่อะไรที่มันเข้ากับที่นี่ดีมั้ยครับ” ผมนึกอะไรดีๆ ออก ตอนแรกหวั่นๆ ที่ลูเซียนไม่ถามกลับว่าอะไรยังไง แต่หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็ยอมฟังผม
ก่อนจะขึ้นมาบนห้างผมเห็นว่าข้างๆ มีตลาดอยู่ ก็จะมีร้านขายพวกของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว ของกินเล่น และละลานตาไปด้วยเสื้อผ้าหลายร้าน แต่แฟชั่นที่ผมเห็นแล้วอยากใส่ ดูจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของลูเซียนเท่าไหร่…
“ไม่มีทาง”
นั่นคือคำแรกที่หลุดออกมาจากปาก หลังจากผมพาเดินเขามาถึงหน้าร้านขายเสื้อฮาวาย
“ตัวละไม่กี่บาทเอง เนื้อผ้าใส่สบายด้วย ลองก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้นี่ครับ” ผมตรงดิ่งเข้าไปในร้าน มองๆ เลือกเสื้อผ้าสีสันสดใสที่ถูกแขวนไว้ในราว น่าใส่ทั้งนั้น แถมยังถูกกว่าในห้างนั่นตั้งหลายเท่า
“จะให้ฉันใส่ชุดแบบนี้นั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพ?” ลูเซียนเค้นเสียง
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ผมก็จะใส่เหมือนกัน” ลูเซียนอาจเห็นว่ามันมีสีสันฉูดฉาดเกินไป ไม่เหมาะกับเจ้าตัวสักนิด แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น แต่ละวันเคยเห็นเขาใส่อยู่สองสี ไม่ขาวก็ดำ ถ้าลองใส่แบบนี้ดูบ้างอาจจะดูเหมาะมากก็ได้
“ฉันไม่ได้มาเที่ยว” คล้ายกำลังบอกให้ผมรู้ตัวว่าเขามาที่นี่เพราะมีใครเป็นต้นเหตุ
“ผมก็ไม่ได้เต็มใจมา” สวนกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนอยู่กับอีวาน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกคุมตัว... แต่กับคุณมันต่างออกไป ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะมาที่นี่ด้วยสาเหตุอะไร ผมก็ดีใจที่คุณมานะครับ”
ช่วงเวลาที่ลูเซียนเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวตนของลูเซียนในแบบที่ผมคิด กับสิ่งที่เขาเป็นจริงๆ อาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยเกลียดลูเซียนพอๆ กับอีวาน มาตอนนี้ผมกลับรู้สึกสบายใจกับเขามากกว่า คงเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือผม แต่ยังปกป้องผมด้วย
อยู่ๆ ภายในร้านก็ไร้เสียงคนพูด เอาเถอะ ในเมื่อลูเซียนไม่อยากใส่ผมจะไปบังคับก็ใช่เรื่อง ใส่คนเดียวก็ได้ไม่เห็นเป็นไร คิดได้อย่างนั้น ผมเลยหยิบเสื้อลายสีน้ำเงินออกมาจากราวเหล็ก กำลังมองหาเจ้าของร้านเพื่อขอลอง แต่ลูเซียนกลับคว้าเสื้อที่ผมถืออยู่ไปอย่างหน้าตาเฉย
คนตัวสูงถอดเสื้อเชิ้ตออก ก่อนจะสวมเสื้อฮาวายพร้อมติดกระดุมครบทุกเม็ด ส่วนกางเกงในร้านก็มีขายแบบขาสี่ส่วน เขาเลือกสีครีมออกมา เดินหายไปหลังร้านสักพักก็เดินออกมา
แวบแรกที่เห็น... ผมกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้จริงๆ
“ถ้าขำอีกครั้งเดียว ฉันจะเลาะฟันนายออกให้หมด”
“โอเคครับ! โอเค ผมไม่ขำแล้ว” ผมเม้มปากตัวเองแน่น ส่วนตัวคิดว่าลูเซียนใส่แบบนี้ก็ทำให้เขาดูดีไปอีกแบบ ไม่เห็นแย่ตรงไหน แต่ประเด็นที่ขำคือเขาดูเปลี่ยนไปมากจนคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจริงๆ ต่างหาก
“ฉันเลือกให้นายบ้าง” ว่าแล้วก็เดินดุ่มไปดูเสื้อที่ราวทันที
เฮ้ยๆ ชักไม่ค่อยดีนะแบบนี้
“อย่าแกล้งกันนะครับ สีที่ผมเลือกมาฉูดฉาดน้อยสุดแล้ว แต่คุณดันเอาไปใส่เองเฉยเลย” พูดจบ ลูเซียนก็โยนเสื้อมาให้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ดีที่ผมมีสติเลยรับทัน
แต่ให้ตายเถอะ! สาบานว่านี่คือสีที่เขาเลือก...
“สีแดง?” ผมทำหน้าเหยเก
“ฉันใส่สีโทนเย็นแล้ว นายก็ควรใส่โทนร้อน จะได้พอดีกัน” เออ... ฟังมีเหตุผลแฮะ
“แต่มันลายเดียวกันเลยนะครับ”
“ใส่ไปเถอะ”
ผมควรใส่ก่อนที่ลูเซียนจะหัวร้อนไปมากกว่านี้สินะ โอเคๆ อย่างน้อยก็มีโอกาสได้ใส่แล้ว ผมจึงเดินไปหลังร้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จเรียบร้อยก็มายืนดูกระจกในร้านตั้งแต่หัวจรดเท้า... อืมม์ มันก็ไม่ได้แย่นะ
ระหว่างที่กำลังดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้า ผมเห็นลูเซียนเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังจากทางกระจกเงา ก่อนจะนำสิ่งที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาสวมบนศีรษะผม
หมวกแก๊ปสีดำ... เขาซื้อมาเมื่อไหร่ ตอนผมเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้างั้นหรอ?
ผมกะว่าจะถามเกี่ยวกับหมวกใบนี้ แต่คนที่มองผมผ่านกระจกใส่ดันเอ่ยขึ้นมาก่อน...
“แดดมันแรง”