จันทร์จ้าว
By: Dezair
…………………….
บทที่ ๔
ย้ายมาอยู่บ้านใหม่เพียงลำพังได้ไม่กี่วันก็ถึงกำหนดกลับไปนอนบ้านเรือนไทยรักษพิพัฒน์ให้บิดามารดาได้เห็นหน้าตามสัญญา แต่ก่อนจะกลับ จันทร์จ้าวต้องทำตามแผนการที่ตนเองวางเอาไว้ให้เรียบร้อยเสียก่อน
ตอนก่อนเที่ยงเล็กน้อย เขาก็จัดการโทรศัพท์จากสำนักงานของเขาไปบอกพี่ชายที่กรมว่าจะเลิกงานเร็วและจะไปนั่งเล่นรอที่วังฉัตร ให้อาทิตย์ไปรับเขาที่นั่น ชายหนุ่มมั่นใจว่านี่จะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้อาทิตย์ได้พบหน้าหม่อมหลวงพิมพัชราบ่อยขึ้น
“วันนี้แปลก นึกอย่างไรชวนกันตีเทนนิสที่วัง” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรผู้เป็นทายาทวังฉัตรเอ่ยปากถามขณะถือแรกเก็ตลงไปในคอร์ดของวัง ปกติแล้วเขาและจันทร์จ้าวมักจะนิยมตีเทนนิสในสโมสรมากกว่า เพราะได้พบปะผู้คนมากมาย แต่หากตีที่นี่ ก็จะมีคนตีแค่เขา ๒ คนเท่านั้น
“ก็ผมอยากตีกับคุณพงศ์บ้างนี่ ไปสโมสรทีไรก็มีคนนั้นคนนี้เข้ามาวุ่นวายทุกทีไป” ราชนิกูลหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโยนลูกขึ้นกลางอากาศแล้วตีไปหาเพื่อนรักที่อยู่อีกฝั่งของคอร์ด
“แล้ววันนี้แกไม่ต้องกลับไปหาพ่อแม่แกหรือ”
“กลับสิ นัดพี่อาทิตย์แล้วว่าให้มารับที่นี่ อ่า...ขอโทษด้วยที่ใช้วังคุณพงศ์เป็นที่นัดพบเสียแล้ว” จันทร์จ้าวตอบกลับเสียงเรียบเรื่อยแล้วตีโต้กลับไป หม่อมหลวงพงศ์ภราธรหัวเราะร่า
“จะมาขอโทษอะไร้! ให้คุณอาทิตย์มารับที่นี่ทุกสัปดาห์ก็ไม่มีใครว่าหรอก ดีกว่าให้แกนั่งรถรางระหกระเหินไปหาคุณอาทิตย์ ไม่รู้จะไถลลงข้างทางเมื่อไร” คำว่า ‘ไถลลงข้างทาง’ นั้นไม่ได้หมายถึงรถรางแน่อยู่แล้ว จันทร์จ้าวได้แต่ส่ายศีรษะไปมา
“ถึงจะไถล แต่ผมก็หาทางกลับถูกล่ะหน่า”
พวกเขาตีโต้กันได้ครู่ใหญ่ก็มานั่งพักอยู่ข้างสนาม อากาศในวังฉัตรร่มรื่นทีเดียว แต่ติดที่ว่าสนามเทนนิสนั้นอยู่ด้านหลังตึก ทำให้จันทร์จ้าวไม่รู้ว่าคนที่เขาอยากให้มาเจอกับพี่ชายของเขาจะกลับมารึยัง
“แล้วนี่...ถ้าผมไม่มา หรือว่าคุณพงศ์ไม่ต้องไปสโมสร คุณพงศ์ก็อยู่เงียบๆคนเดียวในวังอย่างนี้น่ะหรือ” เขาตั้งคำถามอย่างอ้อมค้อมเพราะไม่อยากให้เพื่อนรักรู้ตัวเสียก่อนว่ากำลังอยากรู้ความเป็นไปในวังนี้
“ใช่ ถ้าไม่ต้องตามคุณพ่อไปดูที่ดิน ไม่ต้องไปทำงานที่สำนักงาน ก็จะอยู่ที่นี่เล่นกับอ้ายดำบ้าง อ่านหนังสือบ้าง” อ้ายดำคือหมาที่หม่อมหลวงพงศ์ภราธรเลี้ยงเอาไว้ ส่วนคนเก็บมาให้เขาเลี้ยงและคนตั้งชื่อไม่ใช่ใครที่ไหน จันทร์จ้าวนั่นเอง จริงๆแล้วชื่อมันเต็มๆคือ ‘ดำลม’ ไม่มีความหมายในภาษาไทย แต่มาจากการผสมคำ ‘ดำ’ มาจากสีดำบนตัวของมัน ส่วน ‘ลม’ มาจาก ‘สีลม’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่จันทร์จ้าวไปเจอมันเข้า ครั้นจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้าน คุณหญิงผกาก็ไม่ชอบสัตว์ วังฉัตรจึงกลายเป็นบ้านของมันไป
“แล้ว...ไม่เล่นกับคุณพิมหรือ สมัยเด็กๆก็เคยเล่นขายของนี่” จันทร์จ้าวถามอีก คราวนี้อีกคนหัวเราะเสียงดัง
“ไม่ใช่เด็กๆเสียหน่อย! จะให้เล่นขายของ แล้วยายพิมก็กลับเย็นนู่น บางวันก็ค่ำด้วยซ้ำ ไม่รู้งานครูจะหนักหนาสาหัสอะไรขนาดนั้น”
“กลับค่ำเชียวหรือ” จันทร์จ้าวทวนอย่างคาดไม่ถึง ถ้าหากหม่อมหลวงพิมพัชรากลับค่ำ แล้วอาทิตย์มารับเขาก่อน ถ้าเป็นเช่นนั้น ๒ คนนี้ก็คลาดกันน่ะซี
คิดกังวลยังไม่ทันจะข้ามวินาที คนรับใช้ของวังฉัตรก็เข้ามารายงานอย่างนอบน้อม
“คุณอาทิตย์มาแล้วขอรับ”
น้องชายของ ‘คุณอาทิตย์’ ทำหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมาในทันที หม่อมหลวงพงศ์ภราธรเห็นสีหน้าเพื่อนรักแล้วก็ได้แต่หัวเราะก่อนจะหยอกเย้าอย่างไม่รู้เรื่อง
“ผู้ปกครองมารับกลับบ้านแล้ว หมดเวลาตีเทนนิสแล้วซี”
...ไม่ใช่หมดเวลาตีเทนนิสหรอก แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่อาทิตย์และหม่อมหลวงพิมพัชราจะได้เจอกันด้วยซ้ำ!!!!!...
.....................................
เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ ถึงแม้คุณหญิงผกาจะตรอมตรมมาหลายวันเนื่องจากบุตรชายคนรองขอย้ายไปอยู่ข้างนอก แต่พอตระหนักได้ว่าวันนี้ บุตรชายสุดที่รักจะกลับมา หล่อนก็ทำตัวกระฉับกระเฉง ลุกขึ้นสั่งการทุกสิ่งอย่างในเรือนไทยราวกับช่วงก่อนหน้านี้ไม่ได้มีความทุกข์ใจเลยแม้แต่น้อย
“คุณแม่พักบ้างเถอะค่ะ ให้ป้าจรวยแกดูแลเองก็ได้ ดาราเห็นคุณแม่ตื่นตั้งแต่เช้า แล้วจนเย็นย่ำปานนี้ ก็ยังไม่พัก ป้าจรวย...วันนี้คุณแม่นอนพักบ้างหรือเปล่า” ดารารัษมีที่กลับมาจากการสอนที่โรงเรียนยังคงเห็นมารดาวิ่งวุ่นสั่งการตั้งแต่เรื่องทำความสะอาดห้องหับให้จันทร์จ้าวไปจนถึงเรื่องกับข้าวกับปลาก็อดไม่ได้ต้องออกปาก
“ไม่ได้พักเลยค่ะ คุณดารา” คำตอบของคนรับใช้เก่าแก่ทำเอาดารารัษมีหันมามองมารดา
“โธ่ ดารา...ก็วันนี้พี่เขาจะกลับมา แม่ก็อยากให้ทุกอย่างในบ้านเรียบร้อย ดาราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะไป แม่จะลงไปดูในครัวหน่อย”
“คุณแม่...” ธิดากำลังจะห้ามปราม แต่คุณหญิงผกายกมือห้ามเสียก่อน
“ดาราให้แม่ทำเถอะ อย่าห้ามแม่เลย” พอมารดายืนยันอย่างนั้น ดารารัษมีก็หมดใจจะห้าม ได้แต่ปล่อยให้มารดาลงไปดูแลในครัวตามที่ต้องการ หล่อนได้แต่มองตามแล้วอดไม่ได้ที่จะพึมพำคาดโทษพี่ชายตัวดี
“พี่จันทร์นะพี่จันทร์ ถ้าทำให้พี่อาทิตย์สมหวังไม่ได้ ดาราจะโกรธจริงๆ” ว่าแล้วก็ถอนหายใจ กำลังจะหมุนตัวเดินเข้าห้องส่วนตัวแต่คนรับใช้จากข้างล่างวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาเรียกหล่อนเสียงตื่น
“คุณดาราคะ!! คุณหญิงเป็นลมค่ะ!!!”
ดารารัษมีเบิกตาโต แล้วรีบผลุนผลันวิ่งตามคนรับใช้ลงไปยังใต้ถุนเรือนทันที
................................
ความอลหม่านเกิดขึ้นที่ใต้ถุนเรือนนั้นเอง ร่างอวบของคุณหญิงผกาถูกคนรับใช้ประคองมานั่งพักที่ตั่งไม้ซึ่งใช้สำหรับนั่งเล่นรับลมที่ใต้ถุน แต่บัดนี้ถูกใช้เป็นที่พยาบาลคนป่วยไปเสียแล้ว พวกคนรับใช้พากันหาพัดหากระดาษมาพัดกันชุลมุนไปหมด
“ให้ใครไปตามคุณสมฤดีมาที! บอกเธอว่าคุณแม่เป็นลม!!” ดารารัษมีออกคำสั่ง เพราะบัดนี้ในบ้านรักษพิพัฒน์มีหล่อนเพียงคนเดียวที่เป็นนาย คนรับใช้วิ่งไปยังบ้านที่อยู่ติดกัน อันเป็นบ้านของสมฤดีเพื่อนของ ๒ แฝดที่เรียนจบพยาบาล หญิงสาวจึงหันไปสั่งคนอื่นๆ
“แล้วใครไปต้มยาหอมมาหรือยัง?!”
“ต้มแล้วค่ะ” มีเสียงตอบกลับมา ดารารัษมีจึงหันมาทางมารดา หมายจะบีบเนื้อบีบตัวให้คุณหญิงผการู้สติ ก็พอดีกับที่รถโฟล์คสีดำของอาทิตย์เลี้ยวเข้ามาจอด
“มีอะไรกันน่ะ” คนที่ลงมาถามคนแรกคือจันทร์จ้าว ชายหนุ่มมองเห็นจากในรถว่าคนรับใช้มุงกันอยู่ที่ใต้ถุน
“คุณหญิงเป็นลมขอรับ!” คนรับใช้ชายคนหนึ่งตอบ เพียงเท่านั้นจันทร์จ้าวก็ถึงกับตาเหลือกรีบวิ่งเข้าไปดูอาการ ตามมาด้วยอาทิตย์ที่รีบดับเครื่องลงมาดูเช่นกัน
“คุณแม่! คุณแม่!!” จันทร์จ้าวพยายามเขย่าร่างของมารดา แต่คุณหญิงผกาไม่รู้สติเลยแม้แต่น้อย จนคนเป็นลูกเริ่มใจคอไม่ดี
“พาคุณแม่ไปโรงพยาบาลเถอะพี่อาทิตย์!” เขาหันไปบอกพี่ชาย อาทิตย์พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย บุตรชายทั้ง ๒ กำลังจะอุ้มมารดาไปที่รถ แต่คนรับใช้ที่ดารารัษมีให้ไปตามสมฤดีจากบ้านข้างๆวิ่งกลับมาเสียก่อน
“คุณสมฤดีกับคุณหมอมาแล้วค่ะ!!”
“คุณหมอหรือ?!” อาทิตย์ร้องถามด้วยสงสัยและดีใจไปในคราวเดียวกัน หากว่ามีหมออยู่ที่นี่ในตอนนี้ คงดีกว่าการพามารดาออกไปโรงพยาบาล ถึงแม้โรงพยาบาลจะไม่ไกลจากที่นี่มากก็ตามที
“ค่ะ! คุณหมอภวัตอยู่ที่บ้านคุณสมฤดีพอดีค่ะ!!” คนรับใช้รายงาน ทำเอาจันทร์จ้าวชะงัก เขากำลังจะหันกลับไปถามชื่อของหมออีกครั้ง แต่ร่างสูงใหญ่ที่วิ่งเข้ามาในอาณาเขตบ้านรักษพิพัฒน์พร้อมด้วยกระเป๋าหนังสีดำทรงสี่เหลี่ยม ตามติดมาด้วยหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ก็ทำเอาเขานิ่งไป
“คุณหมอ!” เสียงของดารารัษมีดังขึ้นด้วยความดีใจแค่ไหนไม่ต้องบอก เพียงอึดใจเดียว ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวมาถึงตั่งที่มีร่างของคุณหญิงผกานอนหมดสติอยู่
“คุณหญิงเป็นลมหรือครับ ถอยออกไปก่อน อย่ามุงครับ” คนเป็นหมอทั้งถามและสั่งในคราวเดียว พวกคนรับใช้ก็ถอยกรูดออกไปหมด ที่อยู่รอบตัวคุณหญิงผกาจึงมีเพียงแค่บุตรธิดาทั้ง ๓ คน และมีจรวยคนรับใช้ใกล้ชิดที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นห่างออกไปหน่อย
ชายหนุ่มร่างสูงทรุดกายลงใกล้ร่างของคุณหญิงผกา มีสมฤดีพยาบาลสาวอยู่ข้างเขา นายแพทย์หนุ่มเปิดกล่องสีดำทรงสี่เหลี่ยมที่เตรียมมาด้วยแล้วหยิบเครื่องวัดชีพจรออกมา รอบกายมีแต่ความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรสักคน แม้แต่จันทร์จ้าวก็ยังยืนนิ่ง เขามองร่างมารดาทีหนึ่ง มองแผ่นหลังของนายแพทย์หนุ่มทีหนึ่ง เขามองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำอะไรอีกบ้าง แต่อึดใจต่อมาคุณหญิงผกาก็เริ่มขยับตัว
“คุณแม่!!” ดารารัษมีร้องด้วยความดีใจ หล่อนรีบทรุดกายลงนั่งบนพื้นแล้วบีบมืออวบของคุณหญิงแรงๆ
“คุณแม่ได้ยินดาราไหมคะ”
คุณหญิงผกาค่อยลืมตาขึ้นช้าๆ มองไปรอบกายอย่างงุนงง
“คุณหมอ?...นี่เกิดอะไรขึ้น...ทำไมแม่มานอนตรงนี้ ดารา”
“คุณแม่เป็นลมค่ะ ดาราตกใจแทบแย่ นี่พี่จันทร์กับพี่อาทิตย์กำลังจะพาไปส่งโรงพยาบาล แต่พอดีคุณหมออยู่แถวนี้เสียก่อน” ดารารัษมีตอบ ยังคงไม่หายตกใจดี คุณหญิงผกาทำท่าจะลุกขึ้นนั่งเพื่อขอบคุณนายแพทย์หนุ่ม แต่ยังโงนเงนเสียจนธิดาต้องรั้งร่างมารดาให้นอนลงตามเดิม
“คุณหญิงอย่าเพิ่งลุกเลยครับ นอนพักเสียก่อน”
“ค่ะคุณหมอ...” อาการวิงเวียนยังคงอยู่ คุณหญิงจึงได้แต่นอนเฉยๆให้ธิดาปรนนิบัติ
“ช่วงนี้นอนหลับดีไหมครับ รับประทานอาหารทุกมื้อหรือไม่” คนเป็นหมอยังคงห่วงใย เขาตั้งคำถามเพื่อจะได้ตรวจให้แน่ใจว่าที่คุณหญิงผกาเป็นลม เป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้น
“วันนี้คุณแม่ตื่นแต่เช้าค่ะคุณหมอ เห็นป้าจรวยว่าทำนั่นทำนี่ทั้งวัน” คนตอบคือดารารัษมีนั่นเอง
“พักนี้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน บางวันอบอ้าว คุณหญิงต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก และรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อนะครับ แต่ถ้าหากรู้สึกไม่ดีหรือเป็นกังวล ก็ไปโรงพยาบาล ผมจะตรวจให้อย่างละเอียดอีกที”
“ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ ขอบใจหนูสมด้วยนะจ้ะ” คุณหญิงผกาขอบคุณทั้งนายแพทย์หนุ่มและพยาบาลสาว สมฤดียิ้มก่อนจะเล่า
“โชคดีคุณหมอไปหาสมที่บ้าน ตอนที่มีคนวิ่งไปตามสม คุณหมอก็เลยรีบมาด้วย”
“โชคดีของป้าแท้ๆนะหนูสม” คุณหญิงผกายังไม่วายเยินยอ จันทร์จ้าวเริ่มรู้สึกไม่ชอบใจกับความดีความชอบของคนเป็นหมอมากขึ้นทุกที
“จริงๆแล้วถ้าหมอไม่อยู่พอดี ผมกับพี่อาทิตย์ก็จะพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลนะครับ!!”
เขาโพลงออกมา ทำเอาทุกคนหันมองเป็นตาเดียว ดารารัษมีถึงกับถลึงตาใส่เขาที่พูดจาไร้มารยาท แต่คุณหญิงผการักบุตรชายคนรองมากเกินกว่าจะว่ากล่าว เลยทำได้แค่ปราม
“พ่อจันทร์พูดอะไรอย่างนั้น จริงสิ...นี่คุณหมอรู้จักพ่อจันทร์หรือยังคะ พ่อจันทร์เป็นลูกชายคนรองของดิฉัน เพิ่งกลับจากอเมริกาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง” ว่าแล้วคุณหญิงก็เปลี่ยนเรื่องพูดเป็นการแนะนำอย่างเป็นทางการ แม้จะยังมีอาการที่สืบเนื่องมาจากการหมดสติเมื่อครู่ แต่ก็ยังสามารถอวดบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนได้
นายแพทย์หนุ่มหันไปมองคนถูกแนะนำที่ยืนหน้าตึงมองเขาด้วยสายตาอวดดี
...สายตาอย่างนี้...มีหรือเขาจะไม่รู้จัก...
เขาเห็นสายตาแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งที่ภัตตาคารจีน นอกจากนั้นเขายังได้เจอคนตรงหน้ามา ๓ ครั้งแล้ว ครั้งแรกคือเจออย่างผิวเผินที่วังฉัตร ครั้งที่สองคือที่ภัตตาคารจีน ส่วนครั้งที่สามก็ที่วังฉัตรอีกครั้ง แต่ครั้งนั้นเขาเห็นอีกฝ่ายในเรือติดเครื่องยนตร์ที่อยู่ไกลลิบๆ...ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ และเป็นครั้งที่สี่ที่ได้รู้จักกันอย่างป็นทางการ
ภวัต วิชาญโยธินลุกขึ้นจากตั่ง ทำให้ความสูงของเขาเกินความสูงของจันทร์จ้าวไปเล็กน้อย
“ยินดีที่ได้รู้จัก คุณจันทร์...” เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงทุ้มสุภาพและรอยยิ้มจางบนใบหน้า ดวงตาคมดุที่ส่อประกายสุภาพนั้นจับจ้องเข้าไปในดวงตากลมใหญ่ที่มองขวาง
“...ผมชื่อภวัต” ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้าเลยแม้แต่นิด และนั่นยิ่งทำให้จันทร์จ้าวยิ่งนึกขุ่นกว่าเดิม
ระหว่างคนทั้งคู่คือความเงียบ ฝ่ายหนึ่งยิ้มจาง ฝ่ายหนึ่งบึ้ง ฝ่ายหนึ่งมีดวงตาที่แสนสุภาพ อีกฝ่ายสายตาทั้งขวางทั้งเคือง เป็นการพบกันครั้งที่สี่ และเป็นการทำความรู้จักกันครั้งแรกที่ไม่ว่าอย่างไรจันทร์จ้าวก็ยังไม่ชอบใจคนตรงหน้าเช่นเดิม
และแน่นอน...สำหรับคนที่จันทร์จ้าวไม่ชอบหน้า ก็ต้องมีประโยคทักทายที่วิเศษกว่าคนทั่วๆไปเป็นธรรมดา
“ประตูอยู่ทางนั้น คุณแม่ผมอาการดีขึ้นแล้ว เชิญหมอกลับได้เลย!!”
และนั่นคือประโยคแรกที่จันทร์จ้าว รักษพิพัฒน์มีให้ภวัต วิชาญโยธิน!!!
..................................
“ไร้มารยาทที่สุดน่ะพี่จันทร์!! คุณหมอเธออุตส่าห์รีบมาดูอาการคุณแม่ พี่ก็ยังกล้าพูดอย่างนั้นกับเธอ!!” ดารารัษมีบ่นพี่ชายไม่หยุด แม้คุณหมอภวัตและสมฤดีจะกลับไปแล้ว และคุณหญิงผกาอาการดีขึ้นมากจนสามารถนั่งร่วมรับประทานอาหารเย็นกับสมาชิกครอบครัวรักษพิพัฒน์ทุกคนที่กลับมาพร้อมหน้า เมื่อทุกคนพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารเย็น ดารารัษมีก็ทำตัวเป็นโทรโข่งเล่าเรื่องมารดาเป็นลม การช่วยเหลือของคุณหมอและความไร้มารยาทของพี่ชายให้บิดาและพี่สาวแฝดที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ได้รับรู้
“นั่นสิ จันทร์ ทำไมไปพูดแบบนั้นกับคุณหมอนะ” คุณหญิงผกาดุได้เพียงเท่านั้น เพราะจันทร์จ้าวเป็นลูกคนโปรด
“จันทร์ควรจะไปขอโทษคุณหมอ” ท่านนายพลแนะนำอย่างจริงจัง ซึ่งนภาสรวงก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
จันทร์จ้าวทำหน้าหน่าย นึกในใจว่าหากทุกคนรู้ความรู้สึกของอาทิตย์ที่มีต่อหม่อมหลวงพิมพัชรา และรู้ว่าคนที่คุณชายฉัตรหมายมั่นจะให้สมรสกับคุณพิมคือหมอภวัตคนนั้น ทุกคนที่นี่ก็คงไม่มีใครกดดันเขาให้ไปขอโทษเป็นอันขาด
“พี่ก็ว่าจันทร์ทำไม่ถูก หมอภวัตเขาตั้งใจมาช่วยคุณแม่ แล้วเขาก็เป็นผู้ใหญ่กว่าจันทร์ เขาอายุมากกว่า เขาเป็นลูกท่านนายพลศักดิ์ นายของพี่ด้วย แล้วสมฤดีที่อยู่ข้างบ้านเราก็ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกับเขา” อาทิตย์อธิบายความเกี่ยวข้องเป็นฉาก และนั่นถึงทำให้จันทร์จ้าวตาโต
“อะไรนะ?!! หมอภวัตอะไรนั่นเป็นลูกของนายของพี่หรือ?! แล้วยังทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกับสมฤดีด้วย?!!”
“ไม่ใช่เท่านั้นนะคะ น้องชายของคุณหมอเป็นเจ้าของบริษัทที่นภาทำงานอยู่ค่ะ” นภาสรวงสำทับ
“เห็นไหมล่ะ! เกิดคุณหมอเขาโกรธที่พี่ไปพูดแบบนั้นกับเขา แล้วเขาสั่งให้น้องเขาเลิกจ้างนภาจะทำอย่างไร” ดารารัษมีพูดต่อ จันทร์จ้าวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกแยกจากพี่น้อง คนอื่นๆดูจะนิยมชมชอบหมอภวัตกันหมด ทำไมมีแต่เขาคนเดียวที่เหม็นน้ำหน้าเสียเหลือเกิน
“ก็ได้ๆ!! จะไปขอโทษก็แล้วกัน!!!” เพราะถูกพี่น้องขู่เข้าแบบนั้น ชายหนุ่มเลยตัดรำคาญรับปากไปก่อน แต่จะทำเมื่อไร นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ท่านนายพลเห็นว่าบุตรชายคนรองยอมอ่อนข้อจะไปขอโทษคุณหมอแล้ว จึงหันมาสนใจภรรยาของตนเองแทน
“แล้วคุณหญิงไม่เป็นอะไรแน่หรือ นี่ครั้งที่สองแล้วใช่ไหมที่ลมจับ”
“คุณหมอว่าช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดี ดิฉันไม่อยากอาหารเท่าไร นอนหลับไม่สนิทด้วย ร่างกายก็เลยทนไม่ไหว” คุณหญิงผกายอมรับตามตรง นอกจากเรื่องอากาศอบอ้าวแล้ว ยังกลุ้มใจเรื่องบุตรชายคนรองด้วย ก็เลยพาลเป็นทั้งกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“ผมว่า น่าจะไปตรวจที่โรงพยาบาลอย่างที่คุณหมอเธอว่า หรือถ้าคุณแม่ไม่อยากไปที่โรงพยาบาล ผมจะนัดคุณหมอให้มาที่นี่ดีไหมครับ” อาทิตย์ออกความเห็น
“ไม่ต้องหรอกลูก แม่ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อย่าไปรบกวนคุณหมอเธอเลย” ประโยคท้ายทำเอาจันทร์จ้าวทำเสียงขึ้นจมูกอย่างนึกพาล แต่ไม่มีใครทันสังเกต เพราะทุกคนมัวแต่ห่วงคุณหญิงผกา
“จากนี้ คุณแม่ต้องดูแลตัวเองให้มากๆนะคะ เรื่องงานบ้านก็ให้ป้าจรวยดูแล ส่วนเรื่องอาหาร นภาจะจัดการแทนเองค่ะ” นภาสรวงเสนอ เพราะหากให้ดารารัษมีไปยุ่งกับครัวเข้า ก็เกรงว่าคนทั้งบ้านคงต้องออกไปหาอะไรรับประทานนอกบ้านกันทุกมื้อ
“ดาราสอนหนังสือเสร็จแล้วก็จะรีบกลับมาอยู่กับคุณแม่ แล้วจะสั่งคนรับใช้เอาไว้ว่าถ้ามีอะไร ให้ไปเรียกดาราที่โรงเรียนได้ทันที”
“ขอบใจนะลูก” คุณหญิงผกายิ้มอย่างตื้นตันกับความห่วงใยที่ธิดามีให้หล่อน ดวงตาเหี่ยวย่นเหลือบมามองบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน เผื่อว่าเขาจะมีคำพูดอะไรที่ห่วงหาหล่อนบ้าง จันทร์จ้าวนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก
“ผมจะกลับมาทุกสัปดาห์ แล้วจะหาของอร่อยมาฝากคุณแม่บ่อยๆ” เป็นว่าอย่างไรเขาก็ไม่กลับมาอยู่ที่นี่เป็นการถาวร แม้จะอ่อนใจที่บุตรชายออกไปอยู่ข้างนอก แต่เมื่อสัญญาว่าจะกลับมาทุกศุกร์ คุณหญิงผกาก็ใจชื้นแต่ไม่วายกำชับ
“แล้วอย่าลืมไปขอโทษคุณหมอด้วยนะจ๊ะ” จันทร์จ้าวเหลือบตามองมารดาแล้วก็ทำเป็นพยักหน้าส่งๆไปอย่างนั้น
ท่านนายพลและคุณหญิงผกามองหน้ากันอย่างนึกห่วง ถึงแม้บุตรชายคนรองจะติดเอาแต่ใจอยู่สักหน่อย แต่ก็เป็นมิตรกับคนรอบข้าง เจ้าตัวมีเพื่อนฝูงมากมาย แต่แล้วทำไม...ทำไมกับคุณหมอภวัตถึง...
“ไม่ชอบคุณหมอภวัตหรือ จันทร์” ท่านนายพลเป็นฝ่ายถาม ภวัตก็ถือว่าเป็นคนใกล้ตัวไม่น้อย ถึงจะไม่ได้สนิทสนมไปมาหาสู่กันเท่าไร แต่ก็นับว่าเป็นคนคุ้นเคย เพราะท่านกับพลโทศักดิ์ วิชาญโยธินบิดาของภวัตก็เป็นเพื่อนตีกอล์ฟด้วยกันออกบ่อยไป แม้จะอยู่กันคนละสังกัดก็ตาม
“ก็...ไม่เชิงครับ” จันทร์จ้าวตอบไม่เต็มเสียง จะว่าไม่ชอบก็ไม่ถูก ออกไปทางเหม็นหน้าและขุ่นเคืองเท่านั้น...ละมั้ง
“ตอนเด็กๆพี่จันทร์อยากเป็นหมอไม่ใช่หรือ” ดารารัษมีแขวะ
“พี่ไม่ได้อิจฉาที่เขาเป็นหมอ ตอนเด็กๆพี่อยากเป็นหมอน่ะใช่ เพราะอยากจีบพยาบาล แต่โตขึ้นมาพี่ชอบทางเศรษฐศาสตร์มากกว่า เพราะฉะนั้น ต่อให้ใครจะเป็นหมอหรือไม่เป็น พี่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร” จันทร์จ้าวเถียงทันควัน ทำเอาคุณหญิงผกาต้องรีบร้องปรามก่อนที่สองพี่น้องจะทะเลาะกันด้วยเรื่องคนอื่น
“เอาเถอะจ้ะ พ่อจันทร์ไม่ได้เกลียดคุณหมอก็ดีแล้ว ทานข้าวกันเถอะ” สองพี่น้องไม่โต้เถียงกันอีก แม้จะจดๆจ้องๆอย่างหาเรื่องกันและกันก็ตามที ท่านนายพลและคุณหญิงหันมองหน้ากันอีกครั้งก่อนจะเหลือบตามองไปที่จันทร์จ้าวผู้ซึ่งเป็นมิตรกับคนทั่วไป ยกเว้นเพียงคนเดียว
...นายแพทย์ภวัต วิชาญโยธิน...
..................................