ตอนพิเศษ 1 (วิน & อิฐ)
......................
อิฐภพ คือชื่อของผม ซึ่งคนให้ชื่อเต็มนี้แก่ผมก็คือคุณวีรวัฒน์ หรือคุณวีร์ ท่านประธานแห่งตระกูลสิงห์รุ่นที่สอง เป็นผู้ที่เปรียบเสมือนพ่อคนสองของผม เป็นผู้ที่อุปการะให้กับผมที่เป็นเด็กกำพร้า เด็กขอทานจนๆตามสี่แยกบนถนนหนทางที่ไม่มีใครเหลียวแล ส่วนเหตุผลที่ท่านรับผมเข้ามารับเลี้ยงที่บ้านก็เพราะมีอยู่วันหนึ่ง ณ สี่แยก ผมเดินเร่ขายพวงมาลัยอยู่ดีๆ เสียงรถยนต์เบรกแตกสลับกับเสียงปืนดังสนั่น ทำเอาทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพาหลบหนีกันจ้าละหวั่นเพราะกลัวถูกลูกหลง ซึ่งตอนนั้นผมมัวแต่ดื่มน้ำหันหลังให้อยู่ ก็เลยไม่ได้ทันวิ่งหนีไปไหน พอผมหันกลับไปดู ก็เห็นรถยนต์คันสีดำเงางามคันหนึ่งวิ่งหงายท้องมาหยุดตรงข้างหลังผม แถมนอกจากนี้รถยนต์สีดำอีกคันที่แล่นตามมาติดๆหยุดดูเหตุการณ์ก่อนจะขับรถหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
“โอย ใครก็ได้...ช่วยด้วย” เสียงขอความช่วยเหลือดังเล็ดลอดมาจากในรถยนต์ที่เกิดประสบอุบัติเหตุ แน่นอนว่าคนรอบข้างผมที่ได้ยินต่างพากันส่ายหน้าแล้วเดินหนีจากไปโดยไม่คิดจะช่วยเหลือแม้แต่น้อย ซึ่งทำเอาผมนึกแปลกใจว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่ยอมเข้ามาช่วยเหลือคนในรถยนต์เลยซักนิดเดียวทั้งๆที่ปกติต้องรีบเข้ามาช่วยเหลือกันอยู่แล้ว “ช่วยด้วย…อึก”
เสียงนั้นร้องเรียกอีกครั้งก่อนจะเงียบไป ด้วยความกลัวว่าที่เขาจะตายไปต่อหน้าต่อตา ผมจึงรีบปีนเข้ากระจกหน้าต่างที่แตกโดยไม่สนใจมือกับขาของตัวเองที่พลอยถูกกระจกบาดไปด้วย
“ผมมาช่วยแล้วฮะ…” ผมบอกพลางมองคนในรถยนต์ ก่อนจะแลเห็นผู้ชายอายุราวประมาณยี่สิบสามสิบโดยประมาณ สวมเสื้อสูทสีดำเนกไทสีเทายับยู่ยี่ บนหน้าผากมีเลือดไหลเต็มหน้าเต็มตา กำลังหลับตาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด และนอกจากนี้ที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายมีเลือดไหลออกเสียชุ่มอีกด้วย “…คุณลุง คุณลุงเจ็บมากไหมฮะ ผมจะได้โทรแจ้งตำรวจกับพยาบาลมาให้”
ถึงผมจะเป็นเด็กแค่สิบขวบ แต่ผมเคยช่วยคนเจ็บมาหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้ว ดังนั้นเจอกะอีเรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ผมได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย ส่วนคุณลุงที่ผมพูดด้วย กลับลืมตาขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าอิดโรย
“อืมฉันยังไม่แก่ อย่าเรียกว่าลุง…อ้อ…ช่วยโทรให้…ทีนะ…ไอ้หนู” แล้วเขาก็สลบไป ซึ่งผมไม่รอช้า รีบค้นหามือถือของอีกฝ่ายที่คาดว่าอยู่ในกระเป๋าเสื้อหรือกางเกง ซึ่งพอเจอแล้วก็รีบโทรตามรถโรงพยาบาลให้ออกมาช่วยรับผู้ประสบเหตุทันที เมื่อรถโรงพยาบาลมารับ ผมก็รีบขึ้นรถตามไปด้วยเช่นกัน จนกระทั่งถึงโรงพยาบาล บุรุษพยาบาลก็เข็นผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงเข้าห้องไอซียูไป ส่วนผมเองก็ไม่รู้จะทำอะไรดี ได้แต่ยืนซ้ายแลขวาเพื่อรอเวลา แต่รอแล้วรอเล่า รอนานมากจนผมเผลอหลับไป มารู้ตัวอีกทีก็เห็นพวกชายชุดดำนับสิบยี่สิบกว่าคนมายืนรุมล้อมหน้าห้องไอซียูแล้ว
“เธอใช่ไหมที่เป็นคนช่วยบอสน่ะ” จู่ๆ ก็มีชายวัยเดียวกับลุงที่ผมช่วยเอาไว้ สวมเสื้อสูทแบบเดียวกันเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “ขอบคุณนะไอ้หนู ถ้าไม่ได้เธอแล้วล่ะก็ บอสของฉันคงจะต้องตายไปแล้วล่ะ”
ผมส่ายหน้าก่อนจะฉีกยิ้มตอบกลับไปว่า
“ไม่เป็นไรฮะ เรื่องแค่นี้เอง ว่าแต่พวกคุณลุงเป็นใครกันเหรอ แล้วผู้ชายคนนั้น…เอ่อ” ผมพูดพลางชะเง้อมองไปยังที่ประตูห้องไอซียู ก่อนจะวกสายตากลับมาคนเดิมที่ยืนตรงหน้า “…เป็นอะไรกับคุณลุงเหรอฮะ สรุปเขาชื่อบอสเหรอฮะเนี่ย แหม ชื่อเท่จัง ไม่เหมือนกับผม ผมน่ะไม่มีชื่อเป็นของตัวเองเลย”
พอผมพูดจบ ผู้ชายชุดดำตรงหน้ารวมถึงผู้ชายอีกหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาต่างพากันหัวเราะทันที ซึ่งผมเองก็ได้แต่เอียงคอสงสัยพวกเขาว่าทำไมถึงต้องหัวเราะด้วย
“เขาน่ะไม่ได้ชื่อบอสหรอกนะไอ้หนู” ผู้ชายคนนั้นพูดไปยิ้มไปพลาง “บอสเป็นสรรพนามที่พวกเราใช้เรียกเขาน่ะ ส่วนชื่อจริงนั้นถ้าเธออยากรู้ ฉันจะบอกให้ก็ได้ เพราะยังไงเธอก็ต้องอยู่รอบอสของพวกเราฟื้นอยู่ดีนั่นแหละ อ้อ ต่อไปนี้ห้ามเธอเรียกพวกเราว่าลุงอีกนะจำเอาไว้ เพราะพวกเราไม่ได้แก่ถึงขนาดนั้นซักหน่อย จริงไหมพวกเรา”
“จริง!” ทุกคนขานตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
“แล้วบอสที่ว่าของพวกลุงชื่ออะไรเหรอฮะ?” ผมเอียงคอถามด้วยความสงสัย ซึ่งอีกฝ่ายยิ้มก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มแลดูลึกลับซับซ้อนว่า
“ชื่อวีรวัฒน์ หรือเธอจะเรียกว่าวีร์ก็ได้นะไอ้หนู”............................
“อะไรนะฮะ? ให้ย้ายไปอยู่กับคุณลุงนะเหรอฮะ”“ใช่แล้วไอ้หนู” คนป่วยยิ้มตอบในขณะที่กัดแอปเปิ้ลที่ผมเป็นคนปอกให้ “ฉันทำเรื่องให้เธอย้ายไปอยู่กับฉันที่บ้าน ต่อไปนี้เธอคือลูกชายบุญธรรมของฉัน ไม่ใช่เด็กข้างถนนอีกต่อไป ส่วนเหตุผลที่ฉันทำก็เพื่อตอบแทนบุญคุณเธอที่อุตส่าห์ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ยังไงล่ะ หวังว่าเธอคงจะไม่ปฏิเสธหรอกนะ อ้อ แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าคุณลุงได้แล้ว เพราะฉันยังไม่แก่ถึงขนาดนั้นนะไอ้หนู”
ผมส่ายหน้าทันที เรื่องพวกนี้ใครจะกล้าปฏิเสธกันล่ะ เพราะหลังจากที่ได้คุยกับพวกชายชุดดำของคุณลุงแล้ว ผมพอรู้คร่าวๆว่าลุงวีร์ เอ๊ย คุณวีร์เป็นนักธุรกิจไฟแรง เป็นทายาทของตระกูลสิงห์รุ่นที่สอง เบื้องหลังก็คือมาเฟียที่โด่งดัง ไม่ว่าใครต่างก็รู้จัก แถมเป็นมาเฟียตัวเป้งที่ไม่ว่าใครต่างก็พากันเกรงกลัว แต่ผมไม่กลัวหรอกครับ เพราะเขาใจดี คุยสนุก แถมยังดูหนุ่มแน่นหน้าหวานออกขนาดนี้ จะไปฆ่าใครได้จริงไหมล่ะครับ
“ผมยังไงก็ได้ฮะ แล้วแต่คุณวีร์” ผมยิ้มตอบ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงประตูถูกเปิดอีกครั้ง ก่อนจะแลเห็นผู้ชายร่างสูงอีกคน ใบหน้าคมเข้ม ผมเผ้าสีแดงสั้นปะบ่าประกอบกับนัยน์ตากับชุดกี่เพ้าที่สวมใส่เป็นสีแดงนั่น ทำเอาผมเห็นแล้วรู้สึกร้อนแรงไปกับสีที่เห็นจนต้องขยับถอยหนีออกห่างจากเตียง
“ไม่ต้องขยับหรอกไอ้หนู นั่งที่เดิมนั่นแหละ” คุณวีร์บอกเสียงเรียบ แต่ตาจับจ้องมองไปยังผู้มาใหม่ด้วยสายตาเจ็บปวด คำพูดของคุณวีร์ทำให้ผมยอมนั่งที่เดิม แต่ก็อึดอัดน่าดูที่ต้องมาเห็นพวกเขาสองคนจ้องตากัน “ขอบคุณนะที่มาเยี่ยม วีร์ไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ ก็อย่างที่เห็น แค่โดนยิงที่หัวไหล่กับหัวแตกเพราะกระแทกกับเพดานรถยนต์ตอนมันคว่ำก็แค่นั้นเอง”
อีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ตอบ แลดูน่าอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
จะพูดอะไรก็พูดไปสิครับคุณพี่ชายสีแดง…ผมครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ อยากจะออกไปข้างนอกเต็มแก่ แต่ติดตรงที่คนป่วยไม่ยอมให้ลุกไปไหน จึงได้แต่นั่งมองทั้งคู่อยู่อย่างนั้น แล้วพี่ชายสีแดงก็ย่างก้าวเดินมาหา ก่อนจะวนอ้อมไปยังอีกฟากเตียงที่ผมนั่งอยู่ ทีแรกผมก็คิดว่าเจ้าตัวคงอยากจะคุยกับคุณวีร์ใกล้ๆ แต่เจ้าตัวกลับดึงแขนคุณวีร์ขึ้นมาปะทะอกตัวเองก่อนจะสวมกอดอย่างแนบแน่นท่ามกลางความตกตะลึงของผม
ผู้ชายกอดผู้ชาย?!“อย่าทำให้ต้องเป็นห่วงสิวีร์” อีกฝ่ายก้มหน้าพูดเสียงกระซิบแผ่วเบาแลสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ “พอที่ได้รู้ข่าวจากมือขวาของวีร์ ก็ทำเอาฉันลืมหายใจไปเลยรู้ไหม”
ส่วนคุณวีร์ก็ทอดถอนหายใจก่อนจะกอดตอบพี่ชายสีแดงไปว่า
“ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง วีร์จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วล่ะไฟ”
หลังจากนั้นผมก็ได้รู้ในภายหลังจากพี่มือขวาของคุณวีร์บอกกับผมว่าไฟเป็นคนรักของคุณวีร์ แต่พวกเขาสองคนไม่ได้แต่งงานกันเพราะคุณวีร์ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นตามที่คุณพ่อคุณแม่คุณวีร์สั่ง ซึ่งคุณไฟเองก็ขัดไม่ได้ เพราะตามใจคุณวีร์ที่ต้องสืบทอดวงศ์ตระกูลอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
น่าสงสารคุณวีร์กับคุณไฟเสียจริง…คุณวีร์อยู่โรงพยาบาลได้ไม่นานนักก็ต้องย้ายกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน ซึ่งผมก็ต้องตามไปด้วย แน่นอนพอเห็นบ้านหรือคฤหาสน์ของคุณวีร์เป็นครั้งแรก ทำเอาผมถึงกับอ้าปากหวอด้วยความตกตะลึง
“สวยใช่ไหมล่ะ” คุณวีร์ถามไปหัวเราะไปพลาง ซึ่งผมพยักหน้ารัวให้กับคำพูดนั้น “งั้นรอช้าทำไมล่ะไอ้หนู ฉันจะพาเธอไปแนะนำให้รู้จักกับลูกชายกับเมียของฉันด้วย”
“ฮะคุณวีร์” ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินตามหลังคุณวีร์ไปพร้อมด้วยพี่มือขวากับบอดี้การ์ดนับสิบ
หวังว่าลูกชายกับเมียของคุณวีร์คงไม่ใจร้ายกับเด็กกำพร้าที่เขารับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมหรอกนะ?........................................
“นี่ภรรยาของฉันชื่อลินดา ส่วนคนนี้ลูกชายของฉันเอง วินภัทรหรือจะเรียกว่าวินก็ได้นะ”คุณวีร์พูดแนะนำทั้งคู่ให้ผมได้รู้จัก ภรรยาของคุณวีร์ดูจากโดยรวมแล้วเป็นผู้หญิงที่สวยเปรี้ยวชนิดที่เห็นแล้วเข็ดฟัน เอาเป็นว่าเป็นผู้หญิงที่ดูมีความมั่นใจในตัวเองสูงแล้วกัน ส่วนอีกคนเป็นเด็กผู้ชายที่ดูอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปี แต่กลับทำหน้าเคร่งขรึมจนผมรู้สึกว่าจะเข้ากับเขาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ไม่เป็นไร ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาเดี๋ยวก็เข้าหน้ากันได้เอง…ผมครุ่นคิดในใจก่อนจะยกมือขึ้นพนมไหว้ภรรยากับลูกชายของคุณวีร์อย่างรู้งาน
“สวัสดีครับคุณผู้หญิงคุณหนู”
“เฮ้ยไม่ต้องไหว้ลูกฉันก็ได้ เพราะยังไงเธอก็ได้เป็นพี่น้องกับวินแล้วล่ะ” คุณวีร์ร้องห้าม ซึ่งทำเอาผมเอียงคอมองด้วยความสงสัย “ฉันบอกเธอไปแล้วไงว่ารับเธอมาเป็นลูกบุญธรรม ฉะนั้นต่อไปนี้เธอเป็นพี่ชายของวิน เพราะวินอายุแค่หกขวบเอง”
หกขวบแต่รูปร่างท่าทางเป็นมากกว่าเด็กหกขวบ…“คุณแน่ใจนะคะว่าจะรับเด็กข้างถนนคนนี้มาเป็นลูกบุญธรรมน่ะ” คุณผู้หญิงพูดพลางเหลือบตามองผมอย่างดูถูกดูแคลน ซึ่งผมเจอสายตาแบบนี้มาเยอะแล้วครับ จึงไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะเป็นธรรมดาของสัจธรรมของชีวิตมนุษย์เราที่ต้องเผชิญกับโลกภายนอกที่เลวร้าย “ลูกเสือลูกตะเข้แท้ๆ มันจะหันมาแว้งเราวันไหนก็ไม่รู้”
คุณวีร์ได้ยินถึงกับส่ายหน้าทันที
“ไม่เอาน่ะลินดา อย่าไปตั้งแง่กับเด็กสิ อีกอย่างเด็กคนนี้ก็เป็นผู้มีพระคุณ ถ้าไม่ได้เขาฉันคงตายไปนานแล้ว เธอน่ะทำหน้าที่แม่ของเจ้าวินกับภรรยาของฉันให้ดีก็พอ ให้มันสมฐานะที่เป็นถึงนายหญิงของตระกูลสิงห์หน่อย อ้อ ส่วนเรื่องเที่ยวกับช็อปปิ้งก็ให้มันเพลาๆลงหน่อย เพราะฉันไม่อยากให้เงินที่ฉันหามาได้ไปถลุงกับของไร้สาระ”
“คุณวีร์!” คุณผู้หญิงถึงกับร้องอุทานด้วยความตกตะลึง แถมยังทำท่าจะกรีดร้องอีกด้วย
“อย่ากรี๊ดออกมาเชียวนะ ที่นี่ไม่ใช่วิกละครหลังข่าว เธอมาเป็นผู้หญิงของที่นี่แล้วก็ต้องทำตามกฎของที่นี่ ถ้ารับไม่ได้ก็หย่าแล้วออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่ไม่ต้อนรับผู้หญิงที่มีดีแต่เปลือก”
อู้ววว แรงงงงง!!“ไปกันเถอะอิฐ อ้อ วินด้วยนะลูก เพราะวันนี้พ่อจะพาเราทั้งคู่ไปลองฝึกยิงปืนดู”
“อิฐ?” ผมได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความมึนงง ซึ่งคุณวีร์ยังไม่ตอบคำถามเดี๋ยวนั้น กลับคว้ามือของลูกชายตัวเองก่อนจะหันมาคว้ามือผม แล้วหันมายิ้มตอบให้กับผมว่า
“ต่อไปนี้ชื่อของเธอคืออิฐภพ หรือเรียกสั้นๆว่าอิฐได้นะ”.................................