“ที่วีร์ทำไม่ผิดหรอก ไม่ต้องคิดมากนะครับ”
“แต่วีร์กลัวพวกเด็กๆจะไม่พอใจน่ะสิ” ผมพูดเสียงอ่อยพลางครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อวานเย็นนี้ หลังจากที่วินลูกชายผมประกาศออกไป ทั้งสิงห์ทั้งกระต่ายทั้งลีโอทั้งจีนต่างหันมามองหน้าผมพร้อมกันเป็นตาเดียว ราวกับรู้ว่าเรื่องที่บังคับให้มาทานข้าวตอนเย็นพร้อมกันนั้นเป็นความคิดของผมเองทั้งหมด “วีร์คงเอาแต่ได้ทั้งๆที่วีร์ไม่ใช่คุณปู่ของพวกเขาแล้ว”
“ไม่หรอกครับ ไฟคิดว่าพวกเขายังไม่พร้อมมากกว่า”
“แต่…”
“วีร์ก็ทำตามที่เคยคิดเอาไว้สิ ไฟเชื่อว่าซักวันพวกเขาจะยอมรับวีร์อย่างแน่นอน”แม้ไฟจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมก็ยังอดคิดมากไม่ได้อยู่ดี นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จีน กระต่าย และลีโอก็ไม่ได้เข้ามาคุยกับผมเหมือนตอนที่เข้ามาทำงานในวันแรก และยิ่งเวลาเดินสวนกันก็แทบจะไม่มองหน้า ส่วนสิงห์หรือครับ รายนี้ไม่ต้องพูดถึง แสดงท่าทางโมโหเกรี้ยวกราดกับพนักงานคนๆอื่นแทนที่จะเอามาลงกับผม ซึ่งทำให้ผมถึงกับเครียดเลยครับ
“คุณพ่อไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวผมจะจัดการให้เอง” วินแอบเข้ามาคุยกับผมในห้องถ่ายเอกสาร ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครเหลืออยู่ซักคน เพราะต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองกันหมด
“ไม่ต้อง ฉันทำเองได้” ผมค้านกลับไปทันที งานนี้ไม่อยากให้วินมายุ่งอีก เพราะแค่นี้พวกสิงห์ก็แทบจะฆ่าผมอยู่รอมร่อแล้วครับ “อิฐพาวินกลับไปทำงานซะ เพราะเดี๋ยวก็จะพักกลางวันแล้วพนักงานคนอื่นมาเห็นเข้าแล้วมันจะไม่ดี”
ผมหันไปบอกอิฐที่ยืนคุมเชิงอยู่หน้าประตู ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับทันที
“ครับคุณวีร์” พอทั้งคู่เดินออกจากห้องไปแล้ว ผมก็หันมาถ่ายเอกสารต่อ ซึ่งงานนี้ผมได้รับช่วงต่อจากพี่เอ ซึ่งพี่เอบอกว่างานนี้ได้มาจากสิงห์อีกที
กระทั่งสั่งงานยังต้องสั่งผ่านคนอื่นด้วยแหะไอ้เจ้าหลานชายคนนี้นี่!ติ๊ง!เสียงลิฟต์ส่งของดังขึ้น ทำเอาผมเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารก่อนจะหันไปมองลิฟต์ส่งของ
“ใครส่งของมาน่ะ ไม่เห็นโทรแจ้งมาก่อนเลย แย่จริงๆ” ผมบ่นพึมพำพลางเดินเข้าไปเปิดดู ครั้นประตูลิฟต์ส่งของเปิดออกแล้ว ผมถึงกับมุ่นคิ้วทันทีที่เห็นสิ่งของที่อยู่ภายในตัวลิฟต์ ซึ่งมันเป็นกระดาษแผ่นสีขาวเท่าเอสี่วางอยู่แผ่นเดียว “เล่นไม่เข้าท่านะเจ้าพวกนี้ ส่งกระดาษแผ่นเดียวขึ้นมาได้ เฮ้อ”
ว่าแล้วก็หยิบกระดาษออกมา หมายจะเอาไปใช้งานต่อเพราะเห็นว่าเป็นกระดาษสีขาวล้วน ทว่าพอผมหยิบออกมาแล้ว กลับทำเอาผมถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เพราะแทนที่กระดาษจะว่างเปล่า กลับมีภาพบางอย่างปรากฏทันทีที่กระดาษได้สัมผัสกับแสงสว่างของหลอดไฟนีออนในห้องถ่ายเอกสารที่ผมกำลังยืนอยู่ ก่อนที่ภาพนั้นจะชัดเจนจนผมถึงกับร้องอุทานเสียงดังลั่นห้องว่า
“แม่ข้าว!”
..................
ถ้วยข้าวกับกล่องดนตรีกลมลายมังกรคือภาพที่ผมถืออยู่ในขณะนี้ ซึ่งผมตีความโจทย์มาทั้งวันแล้วก็ยังตีไม่ออกซะที จึงพับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะลงมือทำอาหารต่ออย่างขะมักเขม้น ว่าวันนี้ตั้งใจจะทำสุกี้เพราะอยากให้หลานของตัวเองมีสุขภาพร่างกายที่ดี ไม่เหมือนตัวผมสมัยก่อนที่ชื่นชอบทานแต่อาหารที่มีไขมัน
“ทำเสร็จหรือยังครับคนเก่ง หลานของวีร์กำลังจะกลับมาจากที่ทำงานแล้วนะครับ” ไฟเข้ามาถามก่อนจะกอดผมที่ยืนอยู่หน้าเตาหลวมๆ ซึ่งผมละมือจากการคนน้ำซุปแล้วปิดเตาก่อนจะหันมายิ้มตอบกับไฟว่า
“เสร็จแล้ว เดี๋ยวไฟช่วยยกออกไปวางบนโต๊ะอาหารได้เลยนะ”
“ครับผม” ไฟหอมแก้มผมเบาๆ ก่อนจะจับหม้อด้วยถุงมือกันร้อนเดินออกไปจากห้องครัวทันที ส่วนผมก็เคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อย แล้วจึงยกหม้อหุงข้าวเดินออกไปตาม แน่นอนว่าพอเดินออกไปแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงของไฟกับของสิงห์ดังขึ้นลั่นทันที “ทำไมสิงห์? เธอจะทำไม กะอีแค่ฉันมาช่วยคนรักมันผิดมากนักหรือ”
“ผิดสิ ในเมื่อที่นี่คือบ้านตระกูลสิงห์ ไม่ใช่บ้านตระกูลเสือของแกซักหน่อย แล้วนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวเรา ไม่ใช่ครอบครัวแก!!”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กได้ไหมสิงห์ โตๆกันแล้ว” เสียงของวินพูดขึ้นแทรก
“คุณพ่ออย่ามายุ่งเลยน่ะ!” สิงห์ตวาดกลับไป ทำเอาผมรีบจ้ำเท้าเดินออกไปอย่างไว ไม่ไหวครับ บ้านเริ่มร้อนเป็นไฟ ทันทีที่ออกไปผมก็เห็นทุกคนยืนเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะสิงห์ที่เล่นยืนจ้องหน้าอย่างเอาเรื่องกับไฟ แต่ก็โดนลีโอกับเหยี่ยวดึงแขนเอาไว้ไม่ให้ไปใกล้ไฟครับ “ฉันทนมาหลายวันแล้ว แกนึกอยากจะมาทานอาหารที่นี่ก็มา ไม่รู้จักเกรงใจเจ้าของบ้านอย่างฉันบ้างเลย”
“เจ้าของบ้าน? เธอนะหรือเจ้าของบ้าน” ไฟแสยะยิ้มพูดอย่างกวนๆ
“พอเถอะไฟ วีร์ขอร้อง” ผมรีบเข้าไปห้าม แต่ไฟมองหน้าผมแล้วส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันไปมองสิงห์ กระต่าย ลีโอ และจีนต่อด้วยสายตาดูแคลน
“ถ้าใช่ แล้วทำไมพวกเธอถึงต้องออกไปอยู่ที่อื่น ทำไมถึงไม่อยู่ที่บ้านนี้ด้วยล่ะ”
!!!!!!
“มันเป็นเพราะอะไรกันนะ ทั้งๆที่บ้านนี้ก็คือบ้านที่พวกเธอเคยใช้หลับนอนตั้งแต่จำความได้”
!!!!!!
หลานทุกคนถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำพูดของไฟ ส่วนผมได้แต่ยืนอึ้งมองไฟอย่างไม่เชื่อสายตา ครั้นไฟหันกลับมามองผมแวบหนึ่ง เพียงแค่แวบเดียวก็ทำให้ผมถึงกับเข้าใจได้ทันทีโดยที่ไฟไม่ต้องอธิบายให้ผมฟังเลยด้วยซ้ำ
เข้าใจล่ะ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง...“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว มาทานข้าวกันเถอะ วันนี้มีสุกี้ด้วยนะ ใครชักช้าเดี๋ยวสุกี้เย็นแล้วจะไม่อร่อยไม่รู้ด้วย” ผมบอกตัดบทก่อนจะวางหม้อข้าวลงบนโต๊ะ ซึ่งทำเอาทุกคนได้สติก่อนจะหันมานั่งลงทานข้าวพร้อมกับผมโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยแม้แต่คำเดียว
................
(แซวรอบสอง)
...............
“มันเป็นเพราะอะไรกันนะ ทั้งๆที่บ้านนี้ก็คือบ้านที่พวกเธอเคยใช้หลับนอนตั้งแต่จำความได้”
“ก็ส้วมมันเต็มมาเป็นสิบๆปี ละใครมันจะไปอยู่ได้วะ” หลานทุกคนถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำพูดของสิงห์ ส่วนผมได้แต่ยืนอึ้งมองลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตา
“ไอ้วิน นี่มึงไม่ได้สูบส้วมตั้งแต่ตอนกูตายเลยใช่ไหม!”..................