[ต่อ]แม้นสิ่งชักนำพจน์สู่พิภพหนึ่งบันดาลส่งบุคคลแรกเจอทุกคราเป็นเจ้ามาตะแล้วไซร้ เบื้องลึกระหว่างจิตใจเด็กหนุ่มทั้งสองต้องมีความข้องเกี่ยวกันด้วยวิถีแห่งปริศนา ร่างกายแลจิตสำนึกอาจผูกสัมพันธ์มาแต่ชาติปางก่อน ด้วยข้อสังเกตทั้งมวลเท่าสติอันเลือนรางของพจน์พอคาดคิดออกนี้ ทำให้ไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอมาตะได้ เสี้ยวหนึ่งในใจซึ่งมีไอ้ปาล์มครอบครองอยู่นั้นมีเจ้ามาตะรุกล้ำแย่งชิงโดยที่พจน์เองไม่รู้ตัวแม้เพียงนิด ถึงเจอกันเพียงนับครั้งได้ในฝ่ามือเดียว แต่ความรู้สึกล้ำลึกเข้าอกเข้าใจเหมือนรู้จักคบหามาเนิ่นนานคือคำตอบทุกอย่าง
พจน์จ้องแผ่นหลังกว้างหนาของคนเบื้องหน้าซึ่งกำลังลากจูงตนให้เดินตามอย่างครุ่นคิด มาตะพาพจน์ผ่านซุ้มประตูเรือนยอดมณฑปฉาบสีขาวอยู่หลายบานจนกระทั่งถึงเขตแนวกำแพงขาว มีทหารเวรยามจำนวนสี่นายเฝ้าประตูขนาดใหญ่สีแดงอยู่ สายตาทั้งสี่จ้องพจน์ด้วยแววตาแตกต่างกัน ประหนึ่งพบเจอของสำคัญ บ้างมองออกว่าอยากทำทีเข้ามาทักทาย ทุกนายร่างกายกำยำล่ำสันแต่งกายเช่นมาตะแลตน แต่นุ่งผ้าสีแดงเข้ม มีอาวุธทวนประจำกาย ขีดหยดน้ำสีขาวกึ่งกลางหน้าผากสะท้อนเด่นชัดท่ามกลางความมืด แสงคบไฟภายในซุ้มประตูสะท้อนนัยน์ตาที่พจน์อยากก้มหลบมองพื้น
“ข้าหมดสิ้นเวรยามถวายอารักขาพระเจ้าอาทิตยาธรแล้ว บัดนี้จักขอเข้าพักในเรือนนอนสักครู่ หากมีกิจอันใดสำคัญจงเร่งแจ้งข้าโดยพลัน” มาตะออกคำสั่งเสียงเข้มสะกดอารมณ์เบื้องลึกในกายไม่ให้แสดงออกให้เห็นเด่นชัด
“ขอรับ นายกอง” หนึ่งในทหารเฝ้ายามร่างใหญ่ผิวกายเข้ม ไว้หนวดยาวแหลมตอบรับโดยดุษฎี แต่มิวายส่งสายตาวิบวับมองพจน์
“แลบุรุษหนุ่มสำนักภูษาผู้นี้ เหตุใดถึงติดตามท่านมาด้วยได้ขอรับ เพลานี้ควรอยู่ถวายงานตำหนักฝ่ายในวังหน้า เหตุเพราะจำต้องเป็นพนักงานจัดหาส่งฉลองพระองค์ให้พระอัครชายาแลพระสนมทอดพระเนตรในงานพระราชพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคมในราตรีวันรุ่งพรุ่งนี้" ยามอีกคนร้องทัก
“หาใช่กิจธุระของพวกเจ้าไม่ ข้าเหนื่อยแลจำต้องพักบัดเดี๋ยวนี้” มาตะตัดบทเสียงเข้ม ส่งผลให้สีหน้าตื่นตระหนกฉายชัดสู่ทุกผู้คนทันควัน รีบเร่งยกดาลประตูแลเปิดออกโดยพลัน
มาตะจูงพจน์ผ่านรวดเร็ว ก้าวเดินย่ำลงบนอิฐทางเดิน หมู่เรือนไม้ขนาดกลางเสาสูงเพียงเมตรตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง สลับสับหว่างด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เรือนไม้แต่ละหลังบ้างปลูกติด บ้างห่างเว้นระยะ มีชานเรือนไว้ต้อนรับแขกพอเป็นพิธี ด้านในเป็นห้องหับสำหรับพักผ่อน แสงไฟส่องวับแวมจากเรือนหลายหลัง แต่อีกจำนวนมากมืดดำสนิท เจ้ามาตะพาพจน์หยุดยืนหน้าเรือนเงามืดหลังหนึ่ง มือข้างที่ว่างค้นหาของสำคัญตรงขอบเข็มขัดทอง แล้วจึงดึงพวงกุญแจโบราณสีเงินออกไขแม่กุญแจ ก้าวข้ามธรณีประตูพร้อมดึงพจน์ให้ทำตามอย่าง มันละพจน์ไว้ตรงปากประตูเพื่อจุดตะเกียงไฟ แสงสว่างค่อยๆฉายชัดให้เห็นห้องนอนขนาดกลางไม่ใหญ่เท่าห้องครั้งก่อนที่พจน์เคยปรากฏกาย ผนังสลักลายมวลดอกไม้สลับหมู่สิงสาราสัตว์ เตียงนอนอยู่กึ่งกลางขนาบด้วยช่องลูกมะหวดมีม่านสีขาวปิดทับอีกชั้นหนึ่ง พื้นกระดานไม้มันเลื่อมเมื่อต้องกระทบแสงไฟ จากนั้นเจ้ามาตะจึงลงลั่นดาลประตู
เด็กหนุ่มล่ำหนาพุ่งเข้าหาพจน์พร้อมมอบจุมพิตดูดดื่ม อารมณ์คุกรุ่นระหว่างเดินทางมาสู่เรือนพักถูกปลุกติดอีกครา
“เจ้าหายลับนับสามทิวาราตรี ข้านี้ทุรนทุรายเหน็บหนาว ช่างยืดยาวราวพันปีมิปาน ดวงมาลย์ของมาตะ” เด็กหนุ่มตัวหนาล่ำถอนริมฝีปาก ประคองใบหน้าเฝ้าพินิจพจน์มิรู้หน่าย
“แหละนี่คือสิ่งเจ้าประสงค์โดยจริงแท้ มิเปลี่ยนแปรใจ ใช่ ฤา ไม่ ข้าอยากสดับรับยินคำมั่นอีกสักครา” มาตะถามแววตาสั่นระริกดูหักห้ามจิตใจภายในยากลำบาก
“หากแม้นเจ้าคืนสติบริบูรณ์ แลจักแก้คำปฏิเสธร้องขอยังทันการณ์ ข้านี้ให้สัตย์สาบาน มิรุกรานแตะต้องกายเจ้าเด็ดขาด แลจักให้เจ้าพักผ่อนอยู่ภายใน ส่วนตัวข้านี้จะออกไปเฝ้ายามภายนอก ข้ามิอยากฝืนจิตใจเจ้า แต่จงรู้ไว้เจ้าจะไม่มีวันเลือนหายจากใจข้า โปรดจงพูดอีกคราให้ชื่นอุราเถิด”
ภัทรพจน์เงยหน้าจากพื้นห้องแล้วลืมเปลือกตา ใบหน้าเว้าวอนออดอ้อนสุดทรมานของมาตะแทนคำพูดมากมายของมันก่อนหน้านี้อย่างไม่จำเป็นต้องเอ่ยอ้างใดๆ พจน์ได้เลือกแล้ว ไม่ว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าจะเป็นเช่นไร เขาไม่เสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้แน่นอน
“เรายืนยันคำเดิม” พจน์พยักหน้าหนักแน่น
ความดีใจสุดแสนปรีดาฉายชัดบนใบหน้าของคนเฝ้ารออีกครั้ง คนร่างหนาดันพจน์เข้าหาเตียงฟูกนอนสีขาว ม่านมุ้งกลมถูกรวบเก็บไว้เหนือหัว บุรุษหนุ่มทั้งสองแนบชิดกายเสียดสีสัมผัสกันและกันให้มากที่สุด เมื่อบัดนี้อยู่ในที่รโหฐานเป็นการส่วนตัว อารมณ์ซึ่งหักห้ามไว้ก่อนหน้าระเบิดออกราวทำนบเขื่อนพังทลาย
พจน์ถอนจูบจากริมฝีปากฝ่ายรุกหนักเพื่อโกยอากาศเข้าสู่ปอด พลางเอนกายลงบนเตียงนอนนุ่ม มาตะเกลี่ยเส้นผมบางเบาพ้นใบหน้าเพื่อให้เห็นดวงตาของคนที่ตนเฝ้าถวิลหาชัดเจน มีสิ่งหนึ่งที่พจน์อยากถามก่อนสติอันแน่วแน่จะกลืนหายพร้อมอารมณ์ตัณหา
“นายแน่ใจใช่ไหม เราสองคนเป็นชายไม่ต่างกัน” พจน์ถามเสียงเบา มาตะดันแขนเหยียดตึงสะกดให้พจน์นอนนิ่ง มองคนในกำแพงแขนอย่างสุดแสนยินดี
“เมื่อหัวใจของคนสองคนตรงกันดั่งนี้ แม้ครองเพศใดก็หาใช่อุปสรรคขวากหนาม” มาตะกระซิบลมร้อนข้างใบหูพจน์ สร้างอาการสั่นสะท้านที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชิวิต “ข้ารักเจ้า คือความสัตย์แท้ เมื่อกายแลใจของเราเป็นของกันแลกัน แม้แต่ทวยเทพก็จักอวยชัยกับรักของเรา”
พจน์ไม่อาจสรรหาคำคัดค้านใดมาต้านทานอารมณ์ปรารถนานี้ได้แล้ว ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นก็เพราะนี่คือสิ่งที่ตนต้องการให้บังเกิด ไม่ใช่การบังคับของเจ้ามาตะแม้แต่น้อย
มาตะบรรจงจูบลงหลังเปลือกตาพจน์แผ่วเบา เมื่อคนเบื้องล่างลืมตาอีกครั้งเจ้ามาตะกำลังค่อยๆถอดสังวาลเส้นหนาพร้อมผ้าคล้องไหล่สีน้ำเงินออก ร่างท่อนบนเปลือยกำยำเห็นชัดยิ่งกว่าเดิมในมุมนี้ แสงไฟตกกระทบกล้ามเนื้อสร้างอารมณ์ทรมานจิตใจของผู้พบเห็น หยดน้ำสีทองกึ่งกลางหน้าผากของมาตะแจ่มชัดและพจน์พยายามโฟกัสอยู่แค่เพียงสิ่งนั่น เขาไม่รู้จะทำสิ่งใดต่อ ไม่รู้ว่าต้องวางมือไว้ตรงไหน จึงนอนนิ่งให้อีกฝ่ายเป็นผู้นำพา มาตะเอื้อมมือปลดสายสังวาลและผ้าคล้องไหล่สีม่วงของพจน์ออกเช่นกัน เมื่อไร้อาภรณ์และเครื่องประดับเหนือกายท่อนบนทำให้พจน์รู้สึกเปลือยเปล่า จนแม้แต่ดวงตาคมเข้มนั้นสามารถทะลุทะลวงถึงเบื้องลึกในใจได้
มาตะประทับริมฝีปากบนซอกคอขาวของพจน์ นั่นสร้างความกระสันสั่นทั่วสรรพางค์กาย ขนอ่อนบริเวณหลังคอตั้งชันเช่นเดียวกับจุดซ่อนเร้นกึ่งกลางลำตัว จากนั้นจึงไล่จูบซับมาถึงบริเวณอกแน่น พจน์กำมือหักห้ามอารมณ์ไม่ให้ส่งเสียงน่ารังเกียจ
“ร้องออกมาเถิด อย่าเก็บงำไว้ให้เจ็บปวดเลย” มาตะเงยมองจากมุมแผงอกขาว พจน์ปรือตาฉ่ำหวานแลดูการกระทำ จนกระทั่งเจ้ามาตะกดริมฝีปากครอบเหนือยอดอกนั่นถึงทำให้พจน์ต้องหลุดปลดปล่อยเสียงครวญครางอย่างสุดแสนทรมาน เสียงจาบจ้วงดูดกลืนเม็ดสีเข้มสร้างอาการสั่นสะท้านให้แก่ผู้ถูกกระทำอย่างเหลือล้น เปลี่ยนจากอีกข้างสู่อีกด้านหนึ่ง อาการเหมือนเจ็บปวดแต่สุขสมในคราเดียวกันนี้คือสิ่งใหม่สำหรับพจน์ และเขาไม่คาดคิดว่าจะได้สัมผัสพบเจอ
“ภัทรพจน์ ข้ารักเจ้าเหลือประมาณ เจ้ารักข้า ฤา ไม่” มาตะกระซิบพร้อมลมหายใจร้อน
พจน์พยักหน้ารับ
“โปรดเอื้อนเอ่ยให้ข้าได้ยินสักคราหนึ่งเถิดหนา” มาตะทำเสียงออดอ้อน
“เราก็เหมือนกัน”
เพียงเท่านั้นคนรูปงามจำต้องถอนกายลุกจากตัวพจน์ ซึ่งนอนสั่นเทิ้มอยู่กลางเตียง มาตะปลดผ้านุ่งท่อนร่างออกอย่างรีบเร่ง พจน์มองกิริยาอาการนั้นแล้วให้รู้สึกขวยอายจึงเบือนหน้าหนีอีกทาง เมื่ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายหลุดจากร่างของหนุ่มผิวขาว เจ้าตัวจึงแนบผิวเนื้อเปลือยเปล่าเข้าหาคนที่ตนปรารถนาจะครอบครองอย่างที่สุด จัดแจงถอดผ้านุ่งห่มของพจน์ออกโดยเร็ว พจน์อยากช่วยแต่มือทั้งสองเงอะงะเกินกว่าจะจัดการได้ทันใจคนเบื้องบน จนในที่สุดผ้าสีม่วงจึงถูกมาตะสะบัดทิ้งลงข้างเตียง
บัดนี้พจน์ไม่อยากลืมตาดูสภาพล่อนจ้อนของตนเองเลย รีบคว้าผ้าแพรสีขาวสำหรับห่มนอนมายึดถือปิดบังไว้แทน เสียงหัวเราะแหบต่ำสร้างความไม่พอใจให้แก่พจน์
“นายหัวเราะเยาะเรางั้นหรือ มาตะ” พจน์เบือนหน้าหนีไม่อยากปะร่างเปลือยของคนตรงหน้า ขยับเขยื้อนชิดหัวเตียง แต่คนขบขันเคลื่อนติดตามอย่างไม่ลดละ
“ข้าขันเพราะอาการเดียงสาของเจ้าต่างหาก” มาตะจูบหน้าผากพจน์ “เจ้าช่างงดงามเสียนี่กระไร”
เจ้าหนุ่มร่างหนาประชิดกายไร้อาภรณ์แนบลำตัวเข้าหาคนเบื้องล่าง พจน์รับรู้ถึงสัมผัสร้อนของจุดซ่อนเร้นของอีกฝ่ายซึ่งไม่แตกต่างจากตน มาตะไล้มือลูบสัมผัสผิวเนียนละเอียดของพจน์แล้วครางอย่างสุขสม ตะโบมประทับรอยทั่วร่างกายพจน์สุดห้ามใจ
“หทัยข้าแทบระเบิดออกมาหาเจ้าเหลือประมาณ เจ้ารู้ ฤา ไม่ ภัทรพจน์” มาตะถอนจูบครางเสียงเบา พจน์อือออตามคำถามไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาเอ่ยอ้าง
“หากกายแลใจของเจ้าเป็นของข้า สายสัมพันธ์เราจะมิแยกห่าง แลจักเป็นหนึ่งเดียวของกันและกันชั่วกัลปาวสาน”
ผิวกายร้อนของเด็กหนุ่มทั้งสองลุกโหมยิ่งกว่าเพลิงกาฬ เพียงแตะสัมผัสต่อกัน ณ จุดใด เหมือนเชื้อไฟราคะกระจายสะพัดให้ก่อเป็นมหากองเพลิงยิ่งขึ้นนับทวี บัดนี้แม้แต่หยุดยั้งก็มิอาจกระทำได้ พจน์ไม่รู้ว่าตนตอบเจ้ามาตะว่าอย่างไรแต่เมื่อคนตัวหนาพูดจบจึงถอนตัวลุกขึ้น จัดการแยกขาขาวของพจน์ให้กว้างกว่าเดิม ใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนแสงไฟปลุกอารมณ์ร้อนให้ลุกโชนยิ่งคณานับ สายตาพจน์พร่ามัวไม่เห็นว่ามาตะทำสิ่งใดอยู่ชั่วขณะ แต่แล้วความรู้สึกเย็นวาบ ณ ช่องทางเบื้องหลังทำให้พจน์สะดุ้งวาบ สัมผัสเปียกชื้นแต่เสียวกระสันมาพร้อมความอึดอัดบางอย่าง
“นาย...นาย...ทำเป็นใช่ไหม มาตะ” พจน์พูดสลับหอบ
มาตะพยายามสะกดอารมณ์ให้ใจเย็นเยือก แม้นในกายกลับเร่งร้อนเกินจะกล่าว
“ข้าเรียนรู้จากสหายของข้าผู้เคยคุ้นกับกิจนี้ แต่หาได้คิดจักนำมาใช้จริงไม่” มาตะพยายามอธิบายให้คนเบื้องล่างเข้าใจแจ่มชัด
“แลข้าจำเป็นต้องช่วยเจ้าให้พร้อม” มืออีกข้างที่ว่างอยู่ช่วยลูบไล้ท่อนลึงค์ของพจน์ให้คลายความร้อน
เมื่อช่องทางเบื้องล่างขยายพอเพียง มาตะโน้มตัวประกบปากพจน์อีกครั้ง ตนรู้ว่าอาวุธประจำกายของเจ้ามาตะมีขนาดมิใช่น้อย แต่ ณ วินาทีนี้ต้องยอมรับให้ทุกอย่างดำเนินสู่จุดหมายปลายทาง เขาจูบตอบมาตะ เลื่อนสู่แนวลำคอ นั่นทำให้คนเหนือร่างร้องครวญครางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เจ้าโปรดเชื่อใจข้า ภัทรพจน์ ข้ารู้ว่าอาจเจ็บปวด แต่เพื่อระหว่างเรา โปรดช่วยให้มาตะคนนี้สู่ฝั่งฝันด้วยเถิด ข้านี้จะช่วยพาเจ้าไปสู่สุขสมเฉกเช่นกัน” มาตะกดจูบพร้อมดันแท่งร้อนเข้าสู่ช่องทางเบื้องล่างของพจน์ ณ วินาทีแรกผิวเนื้อทั้งสองสัมผัสกันพจน์รู้สึกเหมือนโดนกระแสไฟแล่นกระจายทั่วร่าง หยาดน้ำตาไหลซึมสองแก้ม มาตะเหมือนล่วงรู้ว่าพจน์เริ่มเจ็บก้มลงจูบซับน้ำตาอย่างทะนุถนอม แต่นั่นหาได้ละความพยายามของคนมุ่งมั่นไม่ ขยับเขยื้อนเคลื่อนส่วนนั้นพร้อมใช้น้ำบ่อน้อยช่วยให้เข้าสู่ช่องทางคับแน่น
“แน่นเหลือเกิน ภัทรพจน์” มาตะครางสบตาพจน์ฉ่ำเยิ้ม ความเจ็บลึกและอึดอัดแรกเริ่มทุเลาเบาบาง อาการหอบหายใจถี่กระชั้นเล่นงานเด็กหนุ่มทั้งคู่ มาตะขยับบั้นท้ายกลมกลึงอย่างอาวรณ์ พจน์ไหวตัวขึ้นลงตามแรงจังหวะของผู้กระทำ หยิกกำผ้าปูเตียงสีขาวแน่นระบายความเจ็บแลความเสียวกระสัน จนเจ้ามาตะต้องจับมือพจน์มาลูบไล้หน้าท้องและอกแน่นนูนของตน ใบหน้านิ่งขรึมที่พจน์เคยเห็นตลอดเวลาบัดนี้ขมวดคิ้วแน่นเชิดหน้าสูงร้องบอกความพึงพอใจ
ตะคองแนบเนื้อนวลครวญใคร่คิด
ฝากจุมพิตนวลปรางครางสุดแสน
ลูบไล้เลื่อนแลลับจับดวงแดน
เกาะเกี่ยวแขนพร่ำเกี้ยวเชี่ยววาจา
อัศจรรย์เพลิงใจไฟราคะ
กลัดอุระก่อโหมโจมเข้าหา
ลุกลามไล่ไม้ผลสนธยา
สยบยอมไฟป่าพนาพรรณ
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังเป็นจังหวะไม่เร็วหรือช้า หยาดเหงื่อพร่างพรมทั่วผิวกายมันวาวของคนทั้งคู่ ความรู้สึกเจ็บเลือนหายหลงเหลือแต่ความสุขสมจนพจน์แลเห็นสวรรค์อยู่เบื้องหน้า เลื่อนมืออีกข้างช่วยตัวเองเมื่อรับรู้ว่าอีกในมีกี่วินาทีมิอาจอดทนต่อไปได้ มาตะก้มลงจูบปากพจน์สลับพร่ำเรียกชื่อคนเบื้องล่าง มันเร่งจังหวะรวดเร็วกว่าเดิมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคนรุกล้ำใกล้ถึงฝั่งฝัน พจน์จึงเร่งจังหวะมือเช่นกัน
ครืนครืนครั่นลั่นร้องกระหน่ำฝน
เมฆมัวหม่นทะลักล้นพ้นสวรรค์
ต้นรุ่มร้อนอ้อนซ้ำน้ำหลั่งพลัน
หยาดวสันต์เพริศพลบจบคู่ไพร
ในห้วงวินาทีแห่งความปิติล้นเหลือ น้ำขุ่นขาวทะลักพุ่งแปดเปื้อนกระจายทั่วหน้าท้องของพจน์ มาตะเร่งจังหวะตามติดทันควัน เสียงร้องและเสียงเนื้อสัมผัสดังผสานจนความรู้สึกอุ่นวาบในช่องทางเบื้องหลังทำให้สายตาพจน์พล่ามัวโดยทันที
****************************************
แสงสว่างแผดจ้าปกคลุมการมองเห็นทั้งมวล ชั่วพริบตาความเงียบสงบจึงแผ่ครอบครองอยู่รอบอาณาบริเวณลานกว้างเหนือยอดเขาแห่งหนึ่งยามค่ำคืน เมฆหมอกสีขาวลอยคลอเคล้าต้นไทรขนาดใหญ่ด้านขวามือ ใบไม้แห้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นผิว หมู่ดาวเหนือท้องฟ้าดำมืดส่องกระจ่างเรียงรายแจ่มชัดสู่สายตา แข่งกับดวงจันทร์กลมโต อากาศหนาวถูกพัดพาเป็นระลอก เบื้องหน้ากลุ่มหมอกสีขาวลอยฟุ้ง ปรากฏบุรุษร่างกำยำคนหนึ่งชันเข่าก้มหน้า แต่งชุดนุ่งห่มภัตราภรณ์สีขาว เครื่องประดับทองคำ หยดน้ำ ณ กึ่งกลางหน้าผากส่องประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงจันทรา เมื่อบุรุษผู้นั้นเงยหน้า แสงเจิดจ้าต้องกระทบสายตาจนต้องหลบเพียงครู่ ต้นเหตุของแสงสว่างแรงกล้าคือ อัญมณีเพชร รูปคล้ายหยดน้ำสถิตอยู่กึ่งกลางหน้าผากนั่นเอง
“ในที่สุดพลังอำนาจเหนือพลังจักอุบัติขึ้น” บุรุษชุดขาวเปล่งเสียงสะท้อนก้อง
“ข้าทรงพลังยิ่งกว่าทวีคูณ นายข้า”“นายเป็นใคร” พจน์ถามกลับ บุรุษร่างขาวเริ่มทอประกายแสง แผ่รัศมีทั่วผิวกายขยับลุกขึ้นยืน แววตาสีน้ำตาลเข้มจ้องตอบพจน์ และแทบไม่ต้องใช้สมองประมวลผลก็รับรู้ได้ว่าใบหน้านั้นคือใบหน้าที่ตนเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นใบหน้าของพจน์นั่นเอง แตกต่างเพียงร่างกายบึกบึนกำยำกว่า รวมถึงเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตรปราณีต จะเป็นไปได้อย่างไร
“ข้าเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน ผู้ครอบครอง” เสียงนั้นตอบ แตกต่างจากเสียงของพจน์โดยสิ้นเชิง
“จิตใจผูกพันล้ำลึกแต่บรรพกาลบัดนี้ชักนำให้ท่านทรงพลังกว่าที่เคยเป็น”“นายหมายความว่าไง” พจน์สับสนจนปวดศีรษะ
“วิถีอมตะจุติลง ณ ร่างของท่านแล้ว นายข้า พร้อมพลังเหนืออำนาจที่จะใช้ต่อกรอริราชศัตรู ทรงพลังเทียมเท่ามิยิ่งหย่อนเกินกว่ากันอีก” พจน์สบตาสีเดียวกับตนเอง
“ชะตากรรมแห่งมหาพิภพพลิกผัน แปรเปลี่ยนในที่สุด”100%....TBC โปรดติดตามตอนต่อไป