✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 182014 ครั้ง)

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อืมมมมม มัน นานมากกแต่ก็ขอบคุณ

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
บทสิบเจ็ด:สุรากับคนงามไม่ใช่ของคู่กัน


กว่าจื่อฟางจะกลับถึงจวนสกุลเสิ่นฟ้าก็มืดแล้ว ที่หน้าประตูจวนมีเงาร่างของจางต้ายืนรออยู่ พอเห็นร่างของเขาลงจากรถม้า บ่าวรับใช้ก็รีบปรี่เข้ามาหาด้วยท่าทางเป็นกังวลทันที

“คุณชาย!”จางต้ารู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด “นายท่านรออยู่ที่ห้องรับรองขอรับ”บ่าวรับใช้รายงาน
จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ หันมองหยางชวีครู่หนึ่งเพื่อย้ำเตือนว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องในวันนี้ให้เสิ่นมู่หยางรับรู้เด็ดขาด ผู้ติดตามถอนหายใจ คิดอยู่เงียบๆว่าเขาหลับตาทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องของคุณชายเสิ่นมากี่ครั้งกี่หนแล้ว เด็กหนุ่มเดินลากขาเข้าไปในจวนที่เงียบสงบเช่นเคย โคมไฟถูกจุดตามทางเดินเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในห้องรับรองก็พบว่าเสิ่นมู่หยางกำลังเดินไปเดินมาด้วยท่าทางวิตกจริต ทันทีที่เห็นบุตรชาย ผู้เป็นบิดาก็รีบเดินมาหาด้วยสีหน้าร้อนใจ

“เหตุใดเจ้าถึงกลับจวนช้า”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามแม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่เขาอยากได้ยินคำตอบจากปากบุตรชายของตัวเองมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานว่าเสิ่นจิ้งเฟยออกจากวังหลวงได้ก็มุ่งหน้าตรงไปที่คฤหาสน์สกุลไป๋ทันที ทำให้เสิ่นมู่หยางถึงกับแปลกใจว่าบุตรชายของตนไปสนิทชิดเชื้อกับไป๋ผูอวี้ถึงขั้นนั้นตั้งแต่เมื่อใด เขาคงต้องสอบถามหยางชวีให้แน่ชัด

“ข้าแวะไปพูดคุยกับสหาย”จื่อฟางตอบเหมือนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าอยากพูดคุยกับไป๋ผูอวี้มากกว่าคุยกับข้า”เสิ่นมู่หยางพินิจมองบุตรชายราวกับต้องการมองให้ทะลุ “เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าเปลี่ยนไปมากจริง ๆ”

จื่อฟางได้ยินคำพูดอีกฝ่ายก็ทำหน้าซื่อ “ท่านพ่อคิดมากไปแล้ว ข้ายังเป็นเสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม จะมีก็แต่ท่านกระมังที่เปลี่ยน”เขาได้ทีย้อนกลับจนเสิ่นมู่หยางทำสีหน้าไม่ถูก

“ท่านพ่อมีเรื่องใดจะคุยกับข้าก็พูดมาเถิด ข้าชักเหนื่อยแล้ว”เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ รู้สึกว่าวันนี้ยาวนานเหลือเกิน เสิ่นมู่หยางกระแอม พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ นับวันยิ่งรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้เปลี่ยนไป แม้กระทั่งแววตาก็ไม่เหมือนเดิม 

“ฮ่องเต้เรียกเจ้าไปคุยว่าอย่างไรบ้าง”เขาเอ่ยถามเรื่องนี้แทน

“ฝ่าบาทแค่ต้องการฟังข้าบรรเลงกู่ฉิน พูดคุยเรื่องการสอบระดับอำเภออีกเล็กน้อยเท่านั้น”จื่อฟางหลีกเลี่ยงรายละเอียดที่ไม่จำเป็น แต่คิดว่าเสิ่นมู่หยางคงเดาได้อยู่ดี เพราะสายตาของผู้เป็นบิดาหยุดอยู่ที่
ริมฝีปากของเขา

“เขาไม่ได้ทำเกินเลยเจ้า?”เขามองหน้าบุตรชายอย่างต้องการคำตอบ

“…”จื่อฟางเม้มปากอย่างอึดอัดเพราะถูกจ้องจนไม่สบายตัว

“เฟยเอ๋อร์ อันที่จริงข้ากังวลว่าฝ่าบาทจะเอ่ยเรื่องชายงามกับเจ้าอีก ถึงเจ้าจะเคยปฏิเสธไปแล้วแต่พระองค์คงไม่ยอมลามือโดยง่าย”เสิ่นมู่หยางกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ ฮ่องเต้เจี่ยผิงถึงกับส่งองค์รักษ์มาเฝ้าที่จวน คงไม่คิดปล่อยบุตรชายของเขาไปโดยง่าย แต่สวรรค์ยังเมตตาเพราะในตอนนี้สถานการณ์ในท้องพระโรงยังไม่สงบ ระยะนี้แถบชายแดนกำลังคุกรุ่น ฝ่าบาทจะทำเรื่องเหลวไหลเพิกเฉยต่อปัญหาอีกไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องฟังเสียงของเหล่าขุนนางทั้งหลาย หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้ฝ่าบาทชะลอการตัดสินใจไว้ก่อน

“ที่ท่านพ่อจะกล่าวคือ…”จื่อฟางรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องการจะเอ่ยอะไรสักอย่าง หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาเดือดร้อน

“นอกจากคุณหนูฉิน เจ้าไม่มีหญิงนางใดที่ชอบพอเลยรึ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยอย่างระมัดระวังรู้ดีว่าเรื่องนี้ทำให้บุตรชายอารมณ์เสีย

“เหตุใดท่านต้องอยากรู้”นั่นอย่างไร จื่อฟางแสร้งทำสีหน้ารำคาญใจ เริ่มเห็นเค้ารางว่าบทสนทนานี้จะจบลงที่ตรงไหน

เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายไม่ตอบคำจึงกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าหากเจ้าแต่งหญิงเข้าสกุล ฝ่าบาทอาจไม่กล้าทำเรื่องโจ่งแจ้งกับเจ้าในตอนนี้”จื่อฟางกระพริบตามองชายตรงหน้า เขาได้ยินถูกต้องหรือไม่ แต่งงานหรือ  บ้าไปแล้ว

“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจความกังวลของท่าน แต่ข้าอายุยังน้อย เรื่องแต่งงานคงยังไม่จำเป็นกระมัง”เขาไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด เสิ่นจิ้งเฟยเพิ่งอายุเท่าไหร่กันเอง จะรีบแต่งไปไหน ชีวิตยังอีกยาวไกลนัก รีบเกินไปแล้ว

“อายุยังน้อย!ปีนี้เจ้าสิบแปดแล้ว ยังว่าน้อยอยู่อีกหรือ ตอนข้าอายุเท่าเจ้า มารดาเจ้าก็ตั้งท้องแล้ว”เสิ่นมู่หยางกล่าวเสียงดัง จื่อฟางอยากตอบโต้แต่รู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ด้วยยุคสมัยที่ต่างกัน

“ข้าไม่เหมือนท่านเสียหน่อย จะอย่างไรเสียข้าก็ยังไม่มีความคิดแต่งหญิงใด ข้ายังช้ำใจเรื่องคุณหนูฉินไม่หาย”เด็กหนุ่มจำต้องยกชื่อของฉินเซียงอินมาอ้าง

“ถ้าไม่แต่งภรรยาเอกก็แต่งอนุ”เสิ่นมู่หยางนึกอยากโขกศีรษะบุตรชายนัก สีหน้าท่าทางเช่นนี้เขารู้ว่าเจ้าตัวดีไม่มีทางยอมเปลี่ยนใจง่ายๆแน่

“เจ้าเป็นไรแล้ว เจ้าเองก็ไม่มีปัญหาเรื่องแต่งอนุไม่ใช่รึ”เสิ่นมู่หยางหรี่ตาลง จำได้ว่าเคยเกริ่นเรื่องนี้ไว้ ครั้งก่อนบุตรชายไม่ได้มีท่าทีต่อต้านรุนแรงเท่านี้   

“ท่านพ่อ ถ้าหากข้าจะแต่งก็ต้องมาจากความต้องการของข้าเท่านั้น”จื่อฟางกล่าววาจาหนักแน่น เสิ่นจิ้งเฟยทิ้งปัญหาไว้ให้เขาจัดการก็หนักหนามากพอแล้ว อย่าให้เขาต้องมารับมือเรื่องแต่งอนุพวกนี้เลย 

“ข้าก็ไม่อยากบังคับเจ้า แต่…”เสิ่นมู่หยางตามใจบุตรชายมาตลอด แต่หากจำเป็นก็ต้องบังคับ

“ท่านคิดว่าให้ข้าแต่งงานแล้วจะห้ามฝ่าบาทได้หรือ ข้าเกรงแต่ว่าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่เปล่า ๆ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทยัง…ยังไม่ต้องการข้าในตอนนี้”จื่อฟางพึมพำ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงอยู่ใกล้ตัวฮ่องเต้เจี่ยผิงถึงเพียงนั้น คงทำให้ฝ่าบาทชะลอเรื่องตัวเขาไว้ก่อน อีกอย่างฝ่ายนั้นคงคิดว่าอย่างไรเสียจื่อฟางก็หนีไม่พ้น นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า ชะตาของเสิ่นจิ้งเฟย…คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้วกระมัง 

“เจ้าดูเข้าอกเข้าใจฝ่าบาทเสียเหลือเกินนะ”เสิ่นมู่หยางพลันหงุดหงิดขึ้นมา เขารู้ว่าในวัยเด็กบุตรชายเคยใช้เวลากับชายผู้นั้นอยู่บ้าง อา!ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด เสนาบดีเสิ่นได้แต่เดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่านใจ

“หรือเจ้า…เจ้าเกิดเปลี่ยนใจอยากเป็นชายงามของฮ่องเต้ขึ้นมา”เขาลดเสียงลง มองไปรอบตัวราวกับ
กลัวมีผู้ใดได้ยิน บุตรชายปรายตามองเขาอย่างเย็นชา

“ท่านรู้จักข้าดี ข้าไม่มีวันต้องการเช่นนั้น”

“เฮอะ ข้าคิดว่าเคยรู้จักเจ้าต่างหาก”เสิ่นมู่หยางหยุดมองใบหน้าหมดจดของเลือดเนื้อเชื้อไข มีเรื่องใดบ้างที่เจ้าเด็กนี่ปกปิดไว้

“จะอย่างไรก็แล้วแต่ ข้ายังไม่อยากแต่ง เรื่องนี้ให้ข้าตัดสินใจเองเถอะ อย่าทำให้ข้า…”จื่อฟางขบฟัน กลั้นใจเอ่ยคำพูดร้ายกาจออกไป

“อย่าทำให้ข้ามองท่านในแง่ลบไปมากกว่านี้เลย”คำพูดของเขาทำให้เสิ่นมู่หยางมีสีหน้าหลากหลาย เด็กหนุ่มเบนสายตาไปทางอื่น ในอกเริ่มมีอารมณ์แปรปรวนทำให้จื่อฟางอยากออกไปจากห้องรับรองใจจะขาด เขาไม่ต้องการอยู่กับเสิ่นมู่หยางในเวลานี้

“เฟยเอ๋อร์…”เสิ่นมู่หยางจ้องบุตรชายเขม็งอย่างอับจนคำพูด “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกเช่นนี้ เรื่องมารดาของเจ้า…”

“ท่านสัญญาไว้แล้ว”จื่อฟางโพล่งออกมาเป็นคำพูดในความทรงจำของร่างนี้ ความเจ็บปวดของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาตัวสั่น เจ้านั่นอารมณ์รุนแรงถึงเพียงนี้เรื่องของมารดาคงฝังลึกมากจริง ๆ

“ข้าเข้าใจหากท่านต้องการภรรยาใหม่ เพราะฉะนั้นท่านโปรดเข้าใจข้าด้วยเถอะ”จื่อฟางถอนหายใจ อยู่ ๆก็รู้สึกร่างกายใกล้หมดแรง

“ข้าจะกลับไปพักผ่อนที่เรือน”เด็กหนุ่มไม่อยากคุยต่อแล้ว เขาลุกจากที่นั่งรีบเดินออกมาจากห้องรับรองโดยไม่เหลียวมองสีหน้าของเสิ่นมู่หยาง เขาพบหยางชวียืนรออยู่นอกประตูด้วยใบหน้าก้มต่ำทำให้มองไม่เห็นสีหน้า เด็กหนุ่มไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ตามมาด้วย เสิ่นมู่หยางคงใช้เวลาไต่ถามเจ้านั่นอีกพักใหญ่กระมัง

จื่อฟางกลับมาถึงเรือนก็พบว่าจางต้าจัดเตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำไว้ให้เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้คนสนิทไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแค่ช่วยเขาถอดชุดคลุมกับเสื้อตัวกลางออกเงียบ ๆก่อนถอยไปรออยู่นอกฉากกั้น จื่อฟางหย่อนกายลงในถังน้ำ หลับตาผ่อนลมหายใจ น้ำร้อนช่วยผ่อนคลายร่างที่ตึงเครียดมาทั้งวัน เด็กหนุ่มค่อยๆจมไปกับความเหนื่อยล้าที่ครอบงำ


  เสียงบรรเลงกู่เจิงแผ่วเบาดังขึ้นเป็นท่วงทำนองห่วงหา ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกเปลี่ยวเหงาไปด้วย แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มด่ำกับบทเพลง เขามาเพื่อยืนยันบางอย่าง เบื้องหน้ามีศาลาเล็ก ๆ หญิงงามนางหนึ่งกำลังจรดนิ้วลงบนกู่เจิง นางไม่ได้งามอย่างนางฟ้านางสวรรค์แต่เป็นความงามที่ทำให้ผู้คนสบายใจ ร่างนั้นก้มหน้าบรรเลงบทเพลงด้วยท่าทางจริงจัง ข้างกายมีเด็กชายตัวเล็กอายุราว ๆเก้าปีนั่งอ่านตำราอยู่ใกล้ ๆ เค้าโครงใบหน้าดูคุ้นตา

เสิ่นจิ้งเฟยขบฟัน กำมือจนเจ็บ จ้องมองฉากตรงหน้าผ่านผ้าคลุมที่สวมปกปิดรูปลักษ์ด้วยสายตาเย็นชา ท่านพ่อไม่เพียงมีอนุแต่ยังมีบุตรชายอีกคนซ่อนอยู่ด้วย จะให้เขารับความจริงเรื่องนี้ได้อย่างไร ท่านแม่ของเขาเล่า เสิ่นมู่หยางเอาไปไว้ที่ใด ไหนเคยตกปากรับคำเอาไว้ว่าจะไม่ให้ผู้ใดมาแทนที่ท่านแม่ ทั้งหมดล้วนเป็นคำพูดโกหกพกลม

ดูเหมือนสายตาชิงชังของเสิ่นจิ้งเฟยจะทำให้หญิงผู้นั้นรู้ตัว นางเงยหน้ามอง เขาตกใจจนก้าวถอยหลังจากต้นไม้ที่ใช้เป็นจุดกำบังจนสะดุดเข้ากับก้อนหินล้มก้นจ้ำเบ้า เสียงกู่เจิงหยุดลง เขาพยุงร่างกายลุกขึ้นหมายจะหมุนตัวหนี แต่หญิงนางนั้นร้องเรียกเสียก่อน

‘คุณชาย หยุดก่อนเถิด ให้ข้าดูว่าคุณชายไม่ได้รับบาดเจ็บ’เสียงของนางนุ่มนวล เสิ่นจิ้งเฟยแค่นเสียงไม่คิดอยากเสวนาด้วย เขาปัดเศษฝุ่นออกจากเสื้อผ้า มองนางปราดหนึ่งระหว่างที่ร่างนั้นก้าวมาถึงตัวเสิ่นจิ้งเฟย

‘ท่านแม่ มีเรื่องใดรึ’เด็กชายก้าวตามมารดาด้วยสีหน้าใคร่รู้ สายตากระจ่างใสมองมาที่เขาอย่างงุนงง

‘เหตุใดเจ้าทำตัวน่าสงสัย คิดร้ายต่อท่านแม่ของข้าหรือ’เด็กคนนั้นก้าวมาอยู่ตรงหน้า กางแขนปกป้องท่านแม่ของตัวเอง เสิ่นจิ้งเฟยจ้องมองจนทั้งเด็กและหญิงนางนั้นก้าวถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น

‘ข้าไม่มีความคิดแทนที่มารดาของคุณชาย’นางเอ่ยด้วยแสงแผ่วเบา แววตาเป็นประกายอ่อนโยน ยิ่งทำให้เสิ่นจิ้งเฟยสะท้านอยู่ในอก เด็กหนุ่มอ้าปากตอบคำแต่ก็ไร้คำพูด เขาอยากเกลียดนาง นอกจากความจริงที่ว่านางเป็นอนุของท่านพ่อ เขาก็หาสิ่งอื่นมาเกลียดชังไม่ได้ ความอ่อนโยนในดวงตาของนางทำให้เขานึกถึงมารดา เสิ่นจิ้งเฟยเลื่อนสายตามองเด็กตรงหน้า ใบหน้าที่ได้เค้ามาจากเสิ่นมู่หยางทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มเจ็บปวดเหมือนถูกกรงเล็บที่มองไม่เห็นบีบคั้น ท่านพ่อคงสมใจแล้ว หากเด็กคนนี้เติบใหญ่ เขาจะยังเป็นที่ต้องการอยู่หรือ? ความคิดนี้ทำให้เสิ่นจิ้งเฟยหนาวเหน็บ

‘ท่านแม่รู้จักคนแปลกหน้าผู้นี้หรือ’

‘ข้าไม่มีวันยอมรับพวกเจ้า’เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวเสียงเย็นชาปรายตามองสองแม่ลูกก่อนรีบหมุนกายจากไป



จื่อฟางสะดุ้งตื่นเมื่อรับรู้ว่าน้ำอุ่นกำลังเข้าจมูก เขาจับขอบถังก่อนยันร่างขึ้นมาพิงขอบถังน้ำ จังหวะหัวใจยังคงเต้นถี่รัว อาการปวดหน่วงในอกค่อยๆจางหาย เขายกมือสัมผัสใบหน้าพบว่าน้ำตาไหลจึงเช็ดออกอย่างเลื่อนลอย ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาไม่สบายตัวอีกแล้ว เสิ่นมู่หยางแอบมีอนุจริง ๆทั้งยังมีบุตรชายอีกคนด้วย แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ดูไม่ใช่คนเลวร้าย ถึงอย่างไรเขาก็เข้าใจความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟย เจ้านั่นกลัวถูกบิดาทอดทิ้ง บางทีอาจมีความอิจฉาปะปนอยู่ด้วย เด็กหนุ่มนวดขมับ ย่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านนอก

“คุณชายเสิ่น นายท่านสั่งให้ข้ามาปรนนิบัติคุณชายเจ้าค่ะ”เสียงสาวใช้นางหนึ่งดังขึ้นนอกฉากกั้น จื่อฟางขมวดคิ้ว ปกติอี้เหมยจะเป็นคนมาปรนนิบัติเขา แต่วันนี้ไม่เห็นนางโผล่หน้ามา

“เป็นผู้ใด…”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ขยับตัวนั่งให้ถนัด

“ข้าน้อยลู่เฟยเองเจ้าค่ะ”เจ้าของเสียงตอบ จื่อฟางเลิกคิ้วเมื่อจำได้ว่าสาวใช้ผู้นี้คือสาวใช้ที่เคยปรนนิ
บัติเสิ่นจิ้งเฟยมาก่อน เสิ่นมู่หยางนี่จริงๆเลย เขาถอนหายใจก่อนส่งเสียงบอก “เข้ามา”

ลู่เฟยเดินเข้ามาด้วยท่าทางเรียบร้อย แต่แววตาเป็นประกายเย้ายวน เขากวาดตามองรวดหนึ่ง นางมีทรวดทรงองเอวชัดเจน ไม่แปลกที่เสิ่นจิ้งเฟยจะชอบ แต่อย่างไรเขาก็นึกภาพเจ้านั่นห้อมล้อมไปด้วยสาวงามไม่ออกจริง ๆ 

“นานแล้วที่คุณชายไม่เรียกหาข้อน้อย ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปหรือ”นางเอ่ยถามระหว่างที่หยุดอยู่เบื้องหลังของจื่อฟาง

“เปล่า ข้าแค่เบื่อ”จื่อฟางตอบเพื่อตัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง เนื่องจากเด็กหนุ่มหันหลังให้อีกฝ่าย จึงไม่รู้ว่าเจ้าตัวทำสีหน้าอย่างไร

“คุณชายเสิ่น”ลู่เฟยทำเสียงน้อยใจ

“เจ้ารีบๆปรนนิบัติข้า แล้วก็รีบออกไปเสีย ข้าไม่อยากเสียเวลาพักผ่อน”จื่อฟางสั่งเสียงเด็ดขาดจนอีกฝ่ายไม่กล้าแย้งเช่นทุกที ลู่เฟยเม้มปาก หยิบไยบวบมาขัดแผ่นหลังเนียนขาวของคุณชายเสิ่นอย่างเบามือ ในใจครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือข่าวลือที่คุณชายชมชอบบุรุษเป็นเรื่องจริง พักนี้นางได้ยินว่าคุณชายสนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋ ทั้งยังเข้าได้ดีกับหยางชวี ไหนจะข่าวลือกับฮ่องเต้เจี่ยผิงอีก เรื่องล่าสุดที่เกิดขึ้นสดๆร้อนคือคุณชายไม่ยอมแต่งอนุ ลู่เฟยขมวดคิ้วเมื่อคิดว่าโอกาสที่ตนจะได้เป็นอนุยิ่งน้อยลงทุกครา

จื่อฟางหลับตาปล่อยให้สาวใช้ขัดเนื้อขัดตัว นางจงใจลากฝามืออ่อนนุ่มวนเวียนอยู่แถวแผ่นหลังของเขาก่อนลงมือบีบนวดบริเวณบ่าที่ตึงเครียดอย่างชำนาญ

“ให้ข้าน้อยดูแลคุณชายเสิ่นเถอะเจ้าค่ะ คุณชายก็รู้ว่าข้าน้อยมีฝีมือแค่ไหน”นางกระซิบใกล้ ๆ ทำเอาจื่อฟางขนลุกซู่ ร้อนวูบวาบไปทั้งร่าง เขาไม่ได้ชมชอบลู่เฟยแต่ร่างกายของเขาไม่ได้ผ่อนคลายจากอารมณ์ที่ตึงเครียดมานานแล้ว เด็กหนุ่มพยายามเมินเฉยต่อคลื่นอารมณ์ที่ค่อย ๆก่อตัว   

“เจ้าขัดหลังให้ข้าเสร็จก็ออกไปได้”เขาออกคำสั่ง ขยับหัวไหล่จนอีกฝ่ายปล่อยมืออย่างเสียดาย นางทำเสียงอิดออดแต่ก็ไม่กล้าขัดคำพูดของเขา

“ข้าน้อยรอคุณชายเสิ่นได้เสมอ”ลู่เฟยกระซิบก่อนเดินออกไปทิ้งกลิ่นหอมจางไว้ จื่อฟางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก   

“คุณชายขอรับ”จางต้าส่งเสียงเรียกอยู่นอกฉากกั้น

“ว่าอย่างไร”เขาก้าวออกมาจากถังน้ำ คว้าชุดคลุมมาสวม

“ถ้าคุณชายอยากผ่อนคลาย...ข้ารู้จักสถานที่ที่คุณชายน่าจะชอบ”บ่าวรับใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล จื่อฟางเลิกคิ้ว

“ที่ไหนเล่า”

“เอ่อ ที่ที่มีนายบำเรอ...”จางต้าเอ่ยอย่างกระดากอาย

“ข้าไม่ต้องการนายบำเรอ”จื่อฟางกลอกตา เหตุใดเจ้านี่ถึงคิดว่าเขาต้องการนายบำเรอกัน

“อะแฮ่มแต่คุณชายต้องการไม่ใช่หรือขอรับ...”

จื่อฟางไม่ได้ใส่ใจฟังนัก เขาใจลอยไปถึงไป๋ผูอวี้ ดูเหมือนว่าเสิ่นมู่หยางจะเริ่มสงสัยแล้ว เรื่องระหว่างเขากับไป๋ผูอวี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เขาไม่มีทางปล่อยให้พังทลายแน่ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่มั่นใจในหลายๆเรื่องเช่นเรื่องที่ไป๋ผูอวี้ทำงานให้ท่านผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลาง ซึ่งอวิ๋นเซียนหลางเป็นขุนนางเก่าของฮ่องเต้องค์ก่อน คนผู้นี้ต้องการปกป้องฮ่องเต้เจี่ยผิงจริงหรือไม่กันแน่ เขาเดาไม่ออก ตัวไป๋ผูอวี้น่าจะทราบดีว่าการเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสไม่ชัดเจน 

“คุณชายกับไป๋ผูอวี้ ข้าไม่อยากให้ท่านหลวมตัวไปกับเขา...”เสียงของจางต้าดังเรียกสติ บ่าวรับใช้คนสนิทเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาที่แฝงไปด้วยความกังวล

“คุณชายรู้จักนายท่านเสิ่นดี นายท่านไม่มีทางเห็นด้วย ตัดใจเสียตอนนี้ดีกว่าเจ็บปวดทีหลังนะขอรับ”
จื่อฟางไม่ได้เอ่ยตอบเพียงยกยิ้มน้อย ๆก่อนก้าวออกมานอกฉากกั้น บ่าวรับใช้สะดุ้งเล็กน้อย คุกเข่าก้มหน้ามองพื้นราวกับกลัวถูกลงโทษ

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ข้าก็ยังอยากเสี่ยง”เขาพึมพำอ้าปากหาวนอน เดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะแต่งตัว มองเงาสะท้อนในคันฉ่อง หยิบกระปุกยาที่ไป๋ผูอวี้ให้มาทาลงบนรอยช้ำที่ฮ่องเต้ทิ้งไว้ จางต้ารีบนำผ้ามาเช็ดผมที่เปียกแฉะให้ผู้เป็นนาย แอบลอบถอนหายใจเบา ๆ ระหว่างนั้นหยางชวีก็กลับมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย แต่จางต้าสังเกตเห็นหัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันของอีกฝ่าย

“คุณชายเสิ่น ข้าน้อยมีเรื่องอยากคุยด้วย”หยางชวีหยุดอยู่หน้าประตู สายตาจ้องมองมาที่คุณชาย

“ข้าต้องออกไปหรือเปล่า”จางต้าเอ่ยหยอกล้อ ผู้ติดตามไม่ได้กล่าวแย้ง ยังคงมองไปที่คุณชายเช่นเดิม เขาพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการพูดกับคุณชายเสิ่นด้วยเรื่องใด แววตาเช่นนี้เขารู้จักดี เป็นแววตาของผู้ที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาปล่อยผ้าเช็ดผมก่อนถอยออกไปนอกห้องอย่างรู้หน้าที่
จื่อฟางเหลือบมองหยางชวี พยักหน้าให้อีกฝ่ายรับรู้ ร่างนั้นก้าวเข้ามาจนอยู่ในระยะที่พอเหมาะ

“เจ้าต้องการคุยเรื่องใด รีบๆหน่อยก็ดี วันนี้ข้าเจอแต่เรื่องปวดหัว”เด็กหนุ่มใช้ผ้าซับผมให้แห้งไปด้วยระหว่างที่กวาดตามองผู้ติดตาม หยางชวีมีท่าทีแปลกไปตั้งแต่เมื่อตอนที่ออกมาจากวังหลวง ชายผู้นี้ดูไม่เป็นตัวเองเหมือนมีเรื่องอยู่ในใจ   

“คุณชายยังจำเรื่องที่เคยเอ่ยถามข้าได้หรือไม่ เรื่องเกี่ยวกับนายท่าน”หยางชวีเอ่ยอย่างไม่รอช้า เขาเองก็ไม่อยากกล่าววาจายืดเยื้อ

“อืม”จื่อฟางหยุดมือที่กำลังเช็ดผม มองผู้ติดตามด้วยสายตาจริงจัง “ข้าเคยถามเจ้าว่า การมารับใช้ข้าถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณให้ท่านพ่อหรือไม่ ข้าจำได้ว่าเจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย”จื่อฟางยิ้ม เมื่อสบกับแววตาตั้งมั่นของอีกฝ่ายรอยยิ้มก็จางลง

“เจ้าพร้อมจะตอบแล้ว?”

“ข้าเคยคิดว่าชีวิตนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการได้ตอบแทนบุญคุณของนายท่าน ข้าเติบโตมาด้วยความคิดเช่นนี้ จนกระทั่งข้าได้พบคุณชาย ข้าไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดแต่ข้าอยากปกป้องท่าน เดิมทีข้าคิดว่าการติดตามคุณชายเป็นงานที่ไร้สาระ ข้าต้องการตอบแทนบุญคุณของนายท่านถึงได้รับคำ แต่นานวันเข้ากลับเปลี่ยนเป็นความตั้งใจของข้าเอง”หยางชวีกล่าวเสียงเบาอย่างไม่เป็นตัวเอง เขาไม่ถนัดเรื่องเช่นนี้ แม้จะรู้สึกผิดต่อศิษย์พี่และนายท่านเสิ่น แต่ความตั้งใจของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว คุณชายไม่เอาไหนผู้นี้เปลี่ยนความคิดของเขา

“เจ้าสารภาพความในใจกับข้ารึ”เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆแกล้งเอ่ยหยอกล้อ แต่หยางชวียังอยู่ในโหมดจริงจังพลานทำให้เขาอึดอัด

“คุณชายเสิ่น ข้าตัดสินใจแล้ว”หยางชวีกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ข้าสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อคุณชาย”

จื่อฟางนิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง สบตากับชายตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ แรงหนักอึ้งในใจค่อยเบาลง “ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนี้”เขาเหนื่อยกับการที่ต้องระแวงคนใกล้ตัวแล้ว

“เรื่องของคุณชายกับไป๋ผูอวี้ข้าไม่ได้บอกนายท่าน”หยางชวีกล่าว รู้สึกบอกไม่ถูกอยู่บ้าง แน่นอนว่า
เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน ในเมื่อเป็นเรื่องของคุณชายเสิ่น เขาไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นหรือเข้าไปสอดได้อยู่แล้ว

“ขอบใจ”จื่อฟางพินิจมองหยางชวี ดูเหมือนคืนนี้เขาจะไม่ได้นอนง่ายๆเสียแล้ว

“จางต้า เข้ามาด้านในเถอะ”เด็กหนุ่มเรียก บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกรีบโผล่เข้ามา อย่างน้อยจางต้าก็อยู่รับใช้ข้างกายเสิ่นจิ้งเฟยมาตั้งแต่เด็ก เจ้าเด็กนี่ก็สมควรรู้ความจริงเช่นกัน

“เอาล่ะ ก่อนอื่นข้ามีเรื่องอยากบอกให้พวกเจ้ารู้ไว้”จื่อฟางมองผู้ติดตามและบ่าวรับใช้ด้วยสายตาจริงจัง ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลิวอ๋อง เขาไม่ได้เล่าให้ฟังทั้งหมดเพียงเล่าคร่าว ๆเท่านั้น สีหน้าของจางต้าและหยางชวีเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่ากบฏ

“คุณชายข้าไม่คิดว่าท่านจะกล้าทำ ข้าคงฝันไปแน่ๆ”จางต้าพึมพำ ลอบหยิกแขนตัวเอง แต่ก็พบว่าตนไม่ได้ฝัน คุณชายเสิ่นของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร หากเล่าให้ผู้คนฟังคงไม่มีผู้ใดเชื่อทั้งยังโดนหัวเราะเยาะแน่

“ข้าคิดอยู่ตลอดว่าท่านมีเรื่องปิดบัง แต่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องนี้ ท่านบ้าไปแล้วหรือ ท่านคิดทำสิ่งใดอยู่”หยางชวีตำหนิ ไม่คาดคิดว่าคุณชายที่ดูไม่เอาไหนคนหนึ่งจะทำเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ทั้งยังร่วมมือกับอ๋องสาม บุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะมาร่วมมือกันได้

“ข้ามีเหตุผล”แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจเหตุผลของเสิ่นจิ้งเฟยก็ตาม “อันที่จริงข้าร่วมมือกับฝ่าบาท เขาถึงส่งคนมาเฝ้าที่จวน”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบาเท่าที่จะทำได้ หยางชวีเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรกับข้อมูลนี้

“ฝ่าบาทไว้ใจท่านด้วยหรือ ข้าหมายถึงท่านคือคนที่ร่วมมือกับหลิวอ๋อง”ผู้ติดตามขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก ตกลงความสัมพันธ์ของฮ่องเต้และคุณชายเป็นเช่นไรกันแน่

“เขามีเหตุผลที่ไว้ใจข้า”จื่อฟางมองหยางชวีครู่หนึ่ง ไม่ได้กล่าวไปมากกว่านั้น ความลับเรื่องที่เขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ถึงเวลาที่ควรบอก และเขาก็ไม่แน่ใจว่าสมควรบอกผู้ใดหรือไม่ แม้ลึกๆแล้วจื่อฟางอยากให้ไป๋ผูอวี้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร เขาไม่อยากใช้ชีวิตใต้เงาของเสิ่นจิ้งเฟยไปตลอดกาล จื่อฟางคือชื่อของเขา


สักวันหนึ่งเขาหวังว่าจะได้บอกชื่อนี้กับไป๋ผูอวี้


~•~


เข้าสู่วันที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง ฤดูวสันต์มาเยือน หิมะตกปกคลุมทั่วฉางอัน ผลการสอบระดับอำเภอประกาศแล้ว ที่น่าแปลกใจก็คือเสิ่นจิ้งเฟยบุตรชายไม่เอาไหนของเสนาบดีกรมพิธีการสอบผ่าน บ่อนพนันต่างไม่คาดคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะสอบผ่าน เสิ่นมู่หยางพอใจมากแม้บุตรชายจะสอบผ่านเป็นแค่บัณฑิตซิ่วไฉแต่ก็ถือว่าดีมากแล้ว ผู้คนที่รู้จักเสิ่นจิ้งเฟยย่อมรู้ดีว่าความเป็นไปได้มีน้อยแค่ไหน เขาจึงจัดงานเลี้ยงฉลองให้บุตรชายที่โรงเตี๊ยม บรรดามิตรสหายของเสิ่นจิ้งเฟยถูกเชิญมาร่วมงานเลี้ยง เสนาบดีเสิ่นยอมให้บุตรชายทำตัวเหลวไหลได้หนึ่งวัน

ในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะ เสียงบรรเลงเครื่องดนตรี และกลิ่นสุรา จื่อฟางกวาดตามองผู้คนรอบตัว โต๊ะห่างออกไปมีไป๋ผูอวี้นั่งอยู่ เขาถูกเชิญมาด้วยเช่นกันเพราะมีส่วนช่วยสอนหนังสือให้เสิ่นจิ้งเฟย ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลานั่งจิบสุราอยู่เงียบ ๆ ใช่แล้ว สุรา!ทีแรกจื่อฟางคิดว่าตัวเองตาฝาดไปเสียด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าคนอย่างท่อนไม้ไป๋จะดื่มสุรา ไป๋ผูอวี้แสดงท่าทางชัดเจนว่าไม่อยากสนทนากับผู้ใดและต้องการนั่งอยู่เงียบ ๆ เว่ยหลงติดสอยห้อยตามยืนเป็นเงาตะคุมอยู่ด้านหลังจนคนไม่กล้าเข้าใกล้ เจ้านั่นไม่แตะจอกสุราแม้แต่นิด

ผิดกับจื่อฟางที่ข้างกายมีหญิงคณิกาขนาบข้าง นางคือลู่เจียงสาวงามหน้าคมที่เขาเคยเจอที่หอผูเยว่ นางกำลังคีบเนื้อย่างใส่ปากเขา เด็กหนุ่มจำต้องอ้าปากรับ เคี้ยวอย่างยากเย็น ผู้ที่ร่วมโต๊ะเดียวกันคือสหายกลุ่มเดิมนั่นคือหลินเจียงหยงที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามานาน ร่างนั้นดื่มสุราเงียบ ๆ สายตาสอดส่องมองมาที่เขาอย่างใคร่รู้ เขาเพียงถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด หมอนั่นหัวเราะก่อนหันไปสนใจสาวงามข้างกายแทน ทางซ้ายมือของเขาคือจ้าวเซียวชิงที่ไม่ได้ดูง่วงซึมอีกต่อไปกำลังคลอเคลียสาวงาม มือหนึ่งถือจอกสุรา อีกมือหนึ่งก็วุ่นวายอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของนาง และแน่นอนคนสุดท้ายจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากหลี่ฮุ่ยจือที่กำลังยกจอกสุราดื่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายตาปราดมองมาที่เขาบ่อยครั้ง ไม่ได้เจออีกฝ่ายนานเขาพบว่าร่างนั้นดูผ่ายผอมไปไม่น้อย

“เจ้าป่วยหรือ หลี่ฮุ่ยจือ”จื่อฟางแกล้งเอ่ยถามราวกับเรื่องระหว่างหลี่ฮุ่ยจือไม่เคยเกิดขึ้น เจ้าตัวคล้ายกับไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ่ยทัก

“อ้อ เปล่า ข้าเพียงคิดถึงเจ้าเท่านั้น”หลี่ฮุ่ยจือยังคงเป็นเช่นเดิม สายตาที่มองมายังหวานเยิ้มชวนขนลุก เขารับรู้ว่าถูกสายตาของไป๋ผูอวี้ที่อีกฝากหนึ่งจ้องมองจึงทำทีหันมองรอบกายก่อนสบตากับชายหนุ่ม ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วน้อยๆเหมือนต้องการสื่ออะไรสักอย่าง จื่อฟางเลิกคิ้วกลับ ข้าไม่เข้าใจ

“อะแฮ่ม”หยางชวีกระแอมกระไอมาจากด้านหลัง เขาหันมอง หรี่ตาลง “อะไรติดคอเจ้าไม่ทราบ”

“ระวังหน่อยคุณชาย นายท่านยังอยู่”ผู้ติดตามโน้มตัวมากระซิบเบา ๆ ลมหายใจเป่ารดต้นคอของจื่อฟาง เขามองไปทางเสิ่นมู่หยางที่ร่วมโต๊ะกับขุนนางในกรม คนที่มาร่วมงานฉลองส่วนมากเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าเคยเห็นที่จวนเป็นบางครั้ง จื่อฟางเบนสายตากลับมามองหยางชวีที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกครั้ง จะว่าไปหยางชวีก็รอบคอบมาก ไหสุราของเขาจึงเต็มไปด้วยน้ำเปล่าผสมสุราเพียงน้อยนิดพอให้มีกลิ่นป้องกันไม่ให้เขาเมาแล้วทำเรื่องเหลวไหล ลู่เจียงหญิงคณิกาคล้ายกับเดาออกแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางรินสุราให้เขาเงียบ ๆ

“คุณชาย ไม่คิดมาเยี่ยมหาข้าน้อยเลยหรือ”นางเอ่ยใกล้ๆใบหูชวนให้จั้กจี้

“ข้าไม่ค่อยว่าง แต่ไม่ต้องห่วง ข้าหาได้ลืมเจ้า”เด็กหนุ่มจำต้องเอ่ยไปตามสถานการณ์ ลู่เจียงยกยิ้มเอนกายเข้าใกล้ หลี่ฮุ่ยจือไม่ค่อยพอใจนัก โน้มตัวมาหาเขาจนได้กลิ่นสุราจากอีกฝ่าย

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
“จิ้งเฟย เรื่องคราวนั้นเจ้าหายโกรธข้าแล้วหรือ”หลี่ฮุ่ยจือกระซิบถาม สายตากวาดมองใบหน้างามหมดจดอย่างห่วงหา ไม่ปกปิดท่าทีแม้แต่นิด เสนาบดีเสิ่นหันมองอยู่หลายครา หน้าถอดสีเมื่อเห็นว่าบุตรชายของเขาถูกหลี่ฮุ่ยจืออิงแอบจนแทบสิงร่างอยู่ร่อมร่อ

“อืม แต่อย่าทำเช่นนั้นอีก ข้าไม่ได้ชมชอบเจ้า”จื่อฟางกล่าวไปตามตรงนึกอยากหัวเราะกับสีหน้าของอีกฝ่าย สหายร่วมโต๊ะอีกสองคนหันมาสนใจฉากละครตรงหน้า หลี่ฮุ่ยจือคล้ายกับถูกหมัดที่มองไม่เห็นต่อยจนผงะ ร่างนั้นพ่นลมหายใจ เอนตัวออกห่างจากจื่อฟางเล็กน้อย

“ไยเจ้าเย็นชากับข้านัก อย่างน้อยก็น่าจะนึกถึงความหลังที่เรามีต่อกัน”เจ้าตัวเอ่ยเสียงดังทำให้หลายคนหันมามองรวมถึงไป๋ผูอวี้ จื่อฟางขมวดคิ้วนึกไม่ออกว่าเสิ่นจิ้งเฟยเคยมีความหลังใดกับเจ้าคนหื่นกามนี่   

“ข้าไม่มีความหลังใดกับเจ้า อย่าพูดจาเหลวไหล”เด็กหนุ่มกัดฟันพูด

“เจ้าลืมแล้วรึ แต่ข้าไม่ลืม”หลี่ฮุ่ยจือกระซิบทำสีหน้าเศร้าหมอง จื่อฟางได้แต่บอกกับตัวเองว่าอีกฝ่ายแค่พูดจาเหลวไหลเท่านั้น เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางมีความหลังใดกับคนผู้นี้แน่ เขาจิบน้ำเปล่าในจอก ลอบมองไหสุรา พบว่าน้ำเปล่าใกล้หมดแล้ว เขาจึงมองหาผู้ติดตามแต่ก็พบว่าเงาร่างของชายหนุ่มหายไปแล้ว เด็กหนุ่มหันมองทางเสิ่นมู่หยางพบว่าร่างนั้นก้มหน้าพูดคุยกับหยางชวี ไม่รู้คุยสิ่งใดแต่สีหน้าของหยางชวีดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“เสิ่นจิ้งเฟย ดื่มสักหน่อย”จ้าวเซียวชิงยิ้มคล้ายกับรู้ว่าเขาไม่ได้ดื่มสุรา สหายจึงเทสุรากลิ่นแรงใส่จอกที่ว่างเปล่าให้เขา

“ข้าคิดว่าดื่มไปเยอะแล้ว…”น้ำเปล่าต่างหากเล่า

“เจ้าจะปฏิเสธน้ำใจจากสหายรึ”อีกฝ่ายทำสีหน้าหมองหม่น

“ก็ได้”เด็กหนุ่มจำต้องยกสุราจอกนั้นดื่ม ลู่เจียงมองเขาด้วยสายตาขบขัน ยังคงอิงแอบอยู่ใกล้ตัว นางไม่ได้แสดงท่าทีที่บ่งบอกว่าอยากขึ้นเตียงกับเขา จื่อฟางจึงไม่ได้รู้สึกตึงเครียดแต่อย่างใด ไป๋ผูอวี้ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะแต่ครั้งนี้สนทนากับเฉินฉางเซียง เขายังไม่ได้คุยกับตาแก่ผู้นั้นจริง ๆจังเสียที แต่ตอนที่เสิ่นมู่หยางนำผลสอบมาบอก ใต้เท้าเฉินแสดงอาการโล่งอกอย่างชัดเจน

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้า”เสียงหนึ่งดังขัดจังหวะ ขุนนางสหายของเสิ่นมู่หยางที่เขาจำชื่อไม่ได้คนหนึ่งรินสุราให้เขาเต็มจอก เขาปฏิเสธไม่ได้จึงต้องฝืนทนยกดื่มจนหมด เบ้หน้าให้กับรสชาติเข้มข้นที่ไหลลงคอทำเอาร่างกายร้อนผ่าววูบหนึ่ง หลี่ฮุ่ยจือยกยิ้มกรุ่มกริ่มไม่รู้คิดเรื่องใดในหัว

“จิ้งเฟย สีหน้าของเจ้าตอนนี้น่าดูนัก”

“หลี่ฮุ่ยจือ เจ้าจะหยอกล้อเสิ่นจิ้งเฟยอีกนานรึไม่ หากบิดาเจ้ารู้ไม่กลัวโดนลงโทษอีกหรือ”จ้าวเซียวชิงกล่าวขึ้น จื่อฟางเลิกคิ้วให้กับข้อมูลที่ได้ยิน หลี่ฮุ่ยจือถลึงตาใส่สหายใบหน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออับอาย

“หุบปากของเจ้าไปเลยเซียวชิง”

“สรุปว่าเป็นเรื่องจริงรึ ข้าคิดว่าผู้คนกล่าวเกินเลยเสียอีก”หลินเจียงหยงมีรอยยิ้มไม่น่ามอง หลี่ฮุ่ยจือส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ยกสุราดื่มหมดจอก ก่อนก้มมากระซิบแผ่วเบา

“มากับข้า ข้าสาบานว่าจะไม่แตะต้องเจ้า”แววตาของร่างนั้นไม่คล้ายคนเมาและไม่ยอมลดละ จื่อฟางหมุนพัดในมือ รู้สึกรำคาญใจเหลือเกิน เมื่อไหร่เจ้านี่จะเลิกกวนเสียที เขาถอนหายใจ มองหาหยางชวีแต่ก็ไม่พบจึงสบตากับไป๋ผูอวี้ อีกฝ่ายมองผ่านคล้ายกับไม่ใส่ใจ แต่เขารู้ดีว่าฝ่ายนั้นรับรู้จึงลุกจากโต๊ะ แต่ก่อนที่จะได้เดินออกไป จ้าวเซียวชิงก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ

“ระวังตัวด้วย”ร่างนั้นมองมาด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม จื่อฟางมองอย่างไม่เข้าใจ อยู่ๆก็ทำตัวเป็นมิตรจนน่าแปลกใจ เสิ่นมู่หยางยุ่งอยู่กับการสนทนากับสหาย เขาจึงรีบปลีกตัวเดินตามร่างสูงใหญ่ของหลี่ฮุ่ยจือออกไปนอกโรงเตี๊ยม เขากระชับเสื้อคลุมตัวหนาเมื่อสัมผัสกับอากาศเย็น ๆ แม้จะยังไม่ดึกแต่ผู้คนบางตา โคมไฟถูกจุดจนส่องสว่าง 

“ข้าอยากคุยกับเจ้า”หลี่ฮุ่ยจือเปรยขยับตัวอย่างไม่สบายใจ เขากวาดสายตามองไปรอบๆราวกับกลัวว่ามีผู้คนจะมาเห็น

“คุยเรื่องใดก็ว่ามา”จื่อฟางไม่อยากยืนขาแข็งท่ามกลางอากาศหนาว

“เอ่อ อะแฮ่ม ข้าอยากกล่าวขอโทษที่เคยเอาเปรียบเจ้า”หลี่ฮุ่ยจือกระดากอายอยู่บ้างที่ต้องเอ่ยออกมาตรงๆ อีกทั้งเขาไม่ใช่คนที่จะเอ่ยขอโทษกับผู้ใด

“เจ้าขอโทษข้า?แปลกอะไรอย่างนี้”เด็กหนุ่มพึมพำ คิดว่าอีกฝ่ายเมาสุราจนสมองเพี้ยนไปแล้วกระมัง

“เจ้าอาจจะคิดว่าแปลก แต่ข้ายังต้องการเป็นสหายเจ้า อย่าได้ผลักไสข้าเลย”ชายตรงหน้าถอนหายใจท่าทีกะล่อนเจ้าชู้คล้ายกับปลิวหายไป 

“เอาเถอะ เรื่องก็ผ่านมาแล้ว ข้าไม่ติดใจแต่อย่าทำอีกก็พอ”

“แน่นอนแต่ถ้าหากเจ้ายินยอมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”หลี่ฮุ่ยจือทำสายตาเป็นประกาย

“ข้าไม่มีทางยอม…”

“เจ้าลืมเรื่องคืนนั้นแล้วจริงๆรึ”หลี่ฮุ่ยจือกล่าวแทรก

“คืนนั้น?เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรอีก”

“ข้าไม่ได้โกหก แต่เจ้ากับข้าต่างก็เมาด้วยกันทั้งคู่ ไม่แปลกหากเจ้าจะจำอะไรไม่ได้ ข้าก็เพิ่งนึกออกเมื่อไม่นานมานี้เอง”หลี่ฮุ่ยจือเหม่อมองใบหน้างดงามของคุณชายตรงหน้า ยกมือลูบริมฝีปากของตนเองไปด้วย

“…”จื่อฟางได้แต่ตกใจ ถ้าหากเสิ่นจิ้งเฟยเมาเรื่องใดก็เป็นไปได้ทั้งนั้น “เกิดอะไรขึ้น”

“คืนนั้นข้ากับเจ้าเมามาก ข้าเลยพาเจ้ากลับไปที่จวนสกุลหลี่…”

  ภาพความทรงจำวาบเข้ามาในหัว เป็นเงาเลือนลางของห้องหนึ่ง บนเตียงมีร่างของเสิ่นจิ้งเฟยและหลี่ฮุ่ยจือกำลังแลกเปลี่ยนจูบกันอย่างเร่าร้อน แต่สักพักร่างของหลี่ฮุ่ยจือก็หมดสติ เช่นเดียวกับเสิ่นจิ้งเฟยที่ขยับตัวไปมาอย่างไม่สบายตัว

จื่อฟางโล่งอก   …ก็แค่จูบ…

“ข้าจำไม่ได้ หากวันนั้นเกิดเรื่องขึ้นจริงก็เป็นเพราะว่าข้าเมา และจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก”เขาเกลียดสีหน้าหื่นกามของคนผู้นี้นัก หลี่ฮุ่ยจือยังคงมองมาด้วยสายตาที่เหมือนอยากจับเขากลืนลงท้องแต่ก็ถอนหายใจอย่างอาลัยอาวรณ์ 

“ข้ามีคำถามที่สงสัย ข้าเห็นสายตาของไป๋ผูอวี้ ข้ามองออกว่าเขาต้องการเจ้าเช่นเดียวกับข้า”ได้ยินอีกฝ่ายพูดจื่อฟางจึงครุ่นคิดในใจว่ามองออกง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ “เจ้ากับไป๋ผูอวี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่”

“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องยุ่ง”เขาพึมพำบอก หลี่ฮุ่ยจือหัวเราะเสียงต่ำ “ท่านพ่อออกปากเตือนข้าว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงโปรดปรานเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้าเกรงว่าเจ้าจะทำให้คนผู้นั้นเดือดร้อนเสียเปล่า ๆ ไม่มีสิ่งใดที่ฮ่องเต้อยากได้แล้วไม่ได้หรอก เจ้าน่าจะรู้ดี เสิ่นจิ้งเฟย”

จื่อฟางไม่ได้ตอบโต้เพราะรู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีส่วนถูก หลี่ฮุ่ยจือเหลียวมองไปรอบตัวอีกครั้ง “เจ้าควรระวังตัวด้วย ข้าได้ยินท่านพ่อคุยกับสหายว่าองค์ชายใหญ่ต้องการแก้แค้นสกุลเสิ่น”เจ้าตัวมีท่าทีลังเล เลียริมฝีปากที่เริ่มแห้ง แววตาสั่นไหว   

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักแต่เจ้ารู้จักข้าดีว่าต่อให้ตายข้าก็ไม่คิดร้ายกับเจ้า แต่ดูเหมือนพ่อข้าจะไม่คิดเช่นนั้น เสิ่นจิ้งเฟย ข้าจะไม่ยอมให้ท่านพ่อทำร้ายเจ้าเด็ดขาด”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดพ่อเจ้าต้องอยากทำร้ายข้าด้วย”จื่อฟางมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนักหรือหลี่ฮุ่ยจือไปรู้เรื่องใดมา

“ไว้ข้าจะบอกเจ้าวันหลัง ข้าต้องกลับก่อน ท่านพ่อไม่อยากให้ข้าสนิทชิดเชื้อกับเจ้า”หลี่ฮุ่ยจือถอนหายใจ มองหน้าเขาครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวจากไปด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนัก จื่อฟางมองส่ง อัครเสนาบดีหลี่คิดทำร้ายเขา?นี่เป็นเพียงเรื่องที่บุตรชายของฝ่ายนั้นมายุ่งกับเสิ่นจิ้งเฟยจนมีข่าวซุบซิบน่าเกลียดหรือมีเรื่องอื่นใดแอบแฝงด้วย เขานึกไปถึงคำพูดของใต้เท้าเฉินที่บอกว่าสกุลหลี่ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เรื่องการเมืองจะเป็นไปได้หรือ อย่างน้อยสกุลหลี่ก็คงไม่ปล่อยสกุลเสิ่นไว้แน่   

จื่อฟางพ่นลมหายใจออกมาจนเกิดไอลอยอยู่ในอากาศหนาวเย็น เขากระชับเสื้อคลุมก่อนเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายกลับมาด้วยสภาพปกติก็โล่งใจ หลี่ฮุ่ยจือคงกลับไปแล้ว ระยะนี้สกุลหลี่ไม่ได้แสดงท่าทีใดเป็นพิเศษ นึกถึงอัครเสนาบดีหลี่ลั่วหวั่นก็ยิ่งไม่ชอบใจ ฝ่ายนั้นไม่มีทางที่จะปล่อยสกุลเสิ่นไว้เป็นเสี้ยนหนาม

เสิ่นมู่หยางถึงได้ระวังตัวทุกฝีก้าวไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายเล่นงานได้ แม้กระทั่งที่อยู่ของอนุยังตามเจอยาก ไม่นานมานี้เขาได้ยินมาว่าหลี่ลั่วหวั่นโกรธบุตรชายนักหนาที่มายุ่งกับเสิ่นจิ้งเฟย อีกสาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะกลัวฮ่องเต้เจี่ยผิงล่วงรู้เข้า แต่ไม่มีเรื่องใดหลุดรอดสายตาของฝ่าบาท ที่ยังไม่จัดการ บางทีพระองค์อาจรอจังหวะเล่นงานสกุลหลี่ทีเดียวก็เป็นได้ เสนาบดีเสิ่นหวังว่าเช่นนั้น

จื่อฟางไม่ทันได้กลับไปยังโต๊ะเดิมเพราะถูกบรรดาขุนนางที่อ้างตัวว่าเป็นสหายของท่านพ่อดึงเขาไปนั่งที่โต๊ะ ตอนแรกเขาคิดปฏิเสธแต่เสิ่นมู่หยางส่งสายตาบังคับมาให้ เขาจึงจำต้องนั่งร่วมวง กวาดตามองผ่านๆ ไป๋ผูอวี้ยังคงนั่งอยู่กับใต้เท้าเฉิน เด็กหนุ่มถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มสุราไปเกือบๆสี่จอกจนเริ่มมึนศีรษะ รับรู้ว่าท่อนไม้ไป๋มองมาเป็นระยะ   มองอะไรนักหนา เดี๋ยวก็ถูกจับได้หรอก 

“เสิ่นจิ้งเฟย ไหนๆเจ้าก็สอบได้ไม่คิดรับราชการเล่า ข้าว่าฝ่าบาทคงชอบใจ”คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆแต่เมื่อถูกสายตาของเสิ่นมู่หยางมองปราดก็หุบปากฉับ จื่อฟางเห็นใจเสนาบดีเสิ่นอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าถูกพวกขุนนางสองหน้าเอ่ยวาจาเยาะเย้ยว่าอย่างไรบ้าง แต่ความเห็นใจของเขาก็หายไปเมื่อนึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวดของเสิ่นจิ้งเฟย

“หากข้าต้องเป็นอย่างพวกท่าน ข้าไม่ทำหรอก”จื่อฟางตอบกลับเสียงเรียบ กุมจอกสุราไว้ก่อนยกดื่ม อารมณ์คุกรุ่นอยู่ในอก คนที่เอ่ยถามหน้าแห้งไป เขายกยิ้มวางจอกสุราลงบนโต๊ะเสียงดัง อาการมึนหัวทำให้เขายิ่งอารมณ์ไม่ดี เริ่มรู้สึกร้อนไปทั่วร่าง หยางชวีที่หายไปครู่ใหญ่อยู่ๆก็โผล่มายืนซ้อนด้านหลังจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง ส่งสายตาหงุดหงิดไปให้

“เจ้าหายไปไหนมา”จำได้ว่าเสิ่นมู่หยางพูดอะไรบางอย่างกับเจ้านี่ เขาย่นคิ้วเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบแต่คว้าแขนเขาไว้หลวมๆ

“คุณชายเจ้าเมาแล้ว เจ้าพาเขาไปพักบนชั้นบน”เสิ่นมู่หยางเอ่ย เขาถูกผู้ติดตามพาไปยังชั้นบน จื่อฟางยังคงมึนงง เขาเหลียวมองไปรอบตัว ไป๋ผูอวี้จ้องเขาเขม็งด้วยสายตาที่ทำให้เขาหนาวสันหลัง

“หยางชวี เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”เขาพึมพำถามเมื่อมาถึงชั้นบนแล้ว ร่างตรงหน้าถอนหายใจพาเขาหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง

“นายท่านให้ข้าเตรียมห้องไว้ให้คุณชาย”หยางชวีตอบสั้นๆ ก่อนผลักประตูห้องเปิดออก จื่อฟางนวดขมับถูกดันเข้ามาในห้องที่มีเพียงแสงสลัวเท่านั้น ประตูห้องปิดลง เขาทันมองเห็นสีหน้าหนักใจของผู้ติดตาม     

“คุณชายเสิ่น”เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากในห้อง เด็กหนุ่มเหลียวมอง ตั้งสติจนจำได้ว่าเจ้าของร่างบางคือผู้ใด

“ลู่เจียง”เขาพึมพำ เริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่เสิ่นมู่หยางเรียกหยางชวีไปคุยก็คงเพราะเรื่องนี้

“คุณชายไม่ต้องห่วง ข้าไม่ล่วงเกินท่านหรอก”ลู่เจียงเอ่ยหยอกล้อ นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกาย นางไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกับคุณชายเสิ่นมากนัก แต่ก็พอจะมองออกว่าคุณชายตรงหน้าแตกต่างจากคุณชายที่นางเคยเจอ จะว่าไปแล้วคุณชายเสิ่นมีท่าทีเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่นัดเจอหลิวอ๋อง

“ข้ามึนหัว”จื่อฟางพึมพำนั่งลงบนเตียง พยายามข่มความร้อนรุ่มที่กำลังก่อตัว กลิ่นหอมจากหญิงคณิกาทำให้เขาไม่สบายตัว โดยเฉพาะจุดกึ่งกลางลำตัว ลู่เจียงเอียงศีรษะมองเขารอยยิ้มจางปรากฏอยู่ แม้จะมองเห็นไม่ชัดแต่รอยยิ้มนั้นเหมือนเป็นรอยยิ้มล้อเลียน

“ข้าได้ยินว่าท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณชายไป๋ น่าแปลกนัก”นางเปรย คุณชายเสิ่นที่นางรู้จักไม่มีทางทำตัวสนิทสนมกับคุณชายไป๋ บุตรชายคหบดีร้านน้ำชาแน่ นางมองสำรวจอย่างใคร่รู้ เสิ่นจิ้งเฟยแปลกไปที่ตรงไหนกันหนอ 

“ลู่เจียง ข้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยคนเดิมที่เจ้าเคยรู้จัก”จื่อฟางกล่าว คลายชุดคลุมกันหนาวออกเพราเริ่มรู้สึกร้อน เขาไม่มีทางปล่อยนางให้อยู่ในหอผูเยว่ เขาจะทำตามคำสัญญาที่เสิ่นจิ้งเฟยให้ไว้ แม้เจ้าตัวจะไม่คิดอยากช่วยก็ตาม

“ข้ารู้”

“เจ้ารู้?”จื่อฟางตาโต คงไม่ได้หมายความตามที่พูดหรอกกระมัง

“เพราะท่านไม่เหมือนเดิม คุณชายเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”ลู่เจียงบรรยายไม่ถูก แต่คุณชายเสิ่นจิ้งเฟยในยามนี้ดูเข้าหาง่าย ปกติแล้วยามที่คุยกับคนผู้นี้มักเหมือนมีกำแพงขวางกั้น

“ข้าขอโทษด้วยที่ไม่มีโอกาสไปหาเจ้า เรื่องหลิวอ๋องจบสิ้นเมื่อใด ข้าจะไถ่ตัวเจ้าออกมาจากหอผูเยว่ หากเจ้าอยากกลับบ้านข้าก็จะหาทางช่วย แต่ในตอนนี้ข้ายังทำเช่นนั้นไม่ได้”

“ข้าเข้าใจ ลู่เจียงขอบคุณคุณชายที่ไม่คิดทิ้งข้า”ลู่เจียงขยับมาโอบกอดหลวมๆ ก่อนผละออกไป

“ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ทางกาย ท่านพักผ่อนเถอะ”นางยังพูดไม่จบประโยคดี เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏตัวที่บานหน้าต่าง แม้จะมืดสลัวแต่จื่อฟางจำกลิ่นหอมอ่อนๆของใบชาได้ ไป๋ผูอวี้นั่นเอง

“ข้าดูแลเขาเอง”ไป๋ผูอวี้เข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ

“ไป๋ผูอวี้ เจ้าเองเหรอ”จื่อฟางส่งเสียงเรียกยานคางเล็กน้อย เขาส่ายหน้าไปมาเพื่อเรียกสติ มึนหัววูบ
หนึ่ง รู้ตัวอีกทีร่างผอมบางก็ถูกผู้บุกรุกยกพาดบ่าแล้ว เขามองลู่เจียงที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง นางมองเขากับไป๋ผูอวี้ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

“ดูแลคุณชายเสิ่นด้วย”ลู่เจียงเอ่ยเบา ๆ ยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเสิ่นจิ้งเฟย

“ไม่ต้องห่วง”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้น ๆ ก่อนมุ่งหน้าไปที่บานหน้าต่าง กระโดดเพียงวูบเดียวก็แตะถึงพื้นดิน การเคลื่อนไหวนุ่มนวลเช่นทุกครา จื่อฟางรู้สึกเหมือนเดจาวู ตัวสั่นเพราะสัมผัสอากาศหนาว นึกได้ว่าถอดเสื้อคลุมไว้ในห้อง เสียงเพลงและเสียงหัวเราะยังคงดังมาจากโรงเตี๊ยมเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง รอบตัวปราศจากผู้คนมีเพียงความมืด แสงโคมไฟจากใต้หลังคาร้านรวงเท่านั้น แต่สงบได้ไม่นานเงาร่างอีกร่างก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เจ้าจะพาคุณชายไปที่ใด”หยางชวีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เจือแววขุ่นเคือง ตวัดสายตามองไป๋ผูอวี้ที่จับเสิ่นจิ้งเฟยพาดบ่าเหมือนเป็นกระสอบป่าน

“คุณชายของเจ้าเมา ข้าจะพาเขากลับจวน”ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่ม ไม่สะทกสะท้านกับท่าทีของหยางชวี จื่อฟางขยับตัวอยู่บนบ่ากว้างอย่างไม่สบายตัว กลิ่นหอมอ่อนๆของไป๋ผูอวี้ทำให้ท้องน้อยปั่นป่วน

“เป็นหน้าที่ข้า ไม่ใช่ของเจ้า ปล่อยคุณชายข้าลงเดี๋ยวนี้”ผู้ติดตามส่งเสียงเย็นชาอย่างที่เขาไม่ค่อยได้ยินนัก

“หยางชวี ข้าไม่เป็นไรหรอก”เขารีบบอกก่อนที่จะเกิดเรื่อง

“เสียใจด้วย ข้าจะพาเสิ่นจิ้งเฟยกลับเอง”ไป๋ผูอวี้ยังคงตอบด้วยเสียงสุภาพ วางมือข้างหนึ่งลงบนแผ่นหลังของคุณชายเสิ่น ร่างนั้นตัวสั่นน้อยๆเพราะอากาศหนาวหรือเพราะสัมผัสของเขาก็ไม่แน่ใจนัก

“หยุดเถียงกันได้แล้ว ข้าไม่อยากหนาวตายอยู่ตรงนี้”จื่อฟางโพล่งออกมา ตบแผ่นหลังของไป๋ผูอวี้เบา ๆ เขาสบตากับหยางชวี

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าอยู่กับไป๋ผูอวี้ไม่เกิดเรื่องใดหรอก”เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่รับรู้ว่าหยางชวีส่งกระแสดำทะมึนออกมา

“ข้าขอตัว”ไป๋ผูอวี้กล่าวจบก็เคลื่อนกายพาเขาไปที่รถม้าที่จอดอยู่ที่ตรอกถัดไป พบเว่ยหลงนั่งรอด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายพอมองเห็นผู้เป็นนายและจื่อฟางก็ทำสีหน้าเหมือนกลืนของบูด

“คุณชายหายไปเพื่อพาเสิ่นจิ้งเฟยมาด้วย”เว่ยหลงไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ คุณชายของเขาทำตัวเหมือนโจรย่องเบาอีกแล้ว

“รีบเถอะ ข้าไม่อยากให้คนเห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เปล่าๆ”คุณชายไป๋ตอบก่อนค่อยๆวางเสิ่นจิ้งเฟยด้วยการเคลื่อนไหวนุ่มนวล เสิ่นจิ้งเฟยมีใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุราที่ส่งกลิ่นเหม็นหึ่ง ร่างบางห่อไหล่ก่อนผลุบเข้าไปในรถม้าอย่างรวดเร็ว

“ขอรับ”เว่ยหลงรับคำ รอให้คุณชายเข้าไปในรถม้า ก่อนจะใช้แส้กระตุ้นม้าเบา ๆ คิดอยู่ในใจว่า
‘คุณชายไป๋เอ๋ย ท่านจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้อีกนานเท่าใด’เขานึกย้อนไปเมื่อตอนที่ยังอยู่ในโรงเตี๊ยม รับรู้ได้ชัดเจนว่าเสนาบดีเสิ่นพินิจมองคุณชายไป๋ เขาไม่อยากคิดว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นหากคนผู้นั้นรู้ความจริง

ในรถม้าไป๋ผูอวี้ถอดเสื้อคลุมให้จื่อฟาง เขาได้กลิ่นอ่อนๆจากร่างนั้นติดมาด้วย ไออุ่นจากร่างใกล้ตัวทำให้เขาขยับออกห่างเพราะความรู้สึกที่ก่อตัวอยู่ในช่องท้อง ไป๋ผูอวี้คล้ายกับไม่รู้ว่าเขามีอาการแปลก ๆหันมองอย่างแปลกใจ

“เจ้าเป็นอะไร ขยับออกห่างอยู่ได้ ข้าไม่กัดเจ้าหรอก”ชายหนุ่มหรี่ตาลง รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาอย่างประหลาดนึกถึงหลี่ฮุ่ยจือที่แทบจะสิงร่างคุณชายตรงหน้าก็ยิ่งขุ่นเคือง

“เจ้ากับหลี่ฮุ่ยจือสนิทกันมากหรือ”

“หา ไม่หรอก”จื่อฟางยังคงมึนศีรษะจากสุรา เขามองออกไปนอกม่านพบว่าเส้นทางไม่ได้มุ่งหน้าไปจวนสกุลเสิ่น แต่ไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋   

“เจ้าไม่เห็นบอกว่าจะกลับบ้านเจ้า”

“ข้าไปส่งที่จวนสกุลเสิ่นไม่ได้เพราะคนของฮ่องเต้อยู่ที่นั่น”ไป๋ผูอวี้ตอบ ยังคงไม่ละสายตาไปจากเสิ่นจิ้งเฟย

“เจ้ากับหลี่ฮุ่ยจือมีเรื่องใดกัน เจ้าออกไปคุยกับเขาตั้งนาน”จื่อฟางกระชับเสื้อคลุมเมื่อสายตาเรียบนิ่งของไป๋ผูอวี้อาบทั่วร่าง

“ไม่มี…”

“ข้าให้โอกาสเจ้าตอบใหม่”ไป๋ผูอวี้ยังคงมองหน้าคุณชายเสิ่น เขาต้องการความจริง เขาได้ยินคุณชายหลี่เอ่ยถึงเรื่องความหลังอะไรสักอย่าง เขาอยากรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เสิ่นจิ้งเฟยถอนหายใจเบา ๆ

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก เขาแค่ขอโทษที่เคยเอาเปรียบข้า”จื่อฟางไม่อยากบอกเรื่องของอัครเสนาบดีหลี่

“ช่างเป็นคนดีนัก”ไป๋ผูอวี้เอ่ยประชดอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจึงเหลียวมองอย่างแปลกใจ

“เจ้ากับเขามีความหลังต่อกันจริงหรือเปล่าเล่า”ไป๋ผูอวี้มองข้ามสายตาของคุณชายเสิ่น ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจบนใบหน้าหมดจดที่ยังคงแดงก่ำเพราะสุรา

“ข้าเมา เขากับข้าก็เลยจูบกัน”จื่อฟางพึมพำตอบ ความคิดที่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจูบกับหลี่ฮุ่ยจือทำให้เขาไม่สบายใจ แต่ภาพนั้นกลับทำให้เขาสะท้านอยู่ในอก อารมณ์ที่ถูกฝังไว้ส่วนลึกพุ่งสูงอีกครั้ง เขาห่อตัวในเสื้อคลุมได้แต่หวังว่าไป๋ผูอวี้จะไม่สังเกตเห็น

ไป๋ผูอวี้นิ่งงันกับสิ่งที่ได้ยิน “เหตุใดเจ้าถึงได้จูบกับผู้อื่นไปทั่ว”

“ข้าเมา”เขาตอบเสียงแข็ง คนที่จูบไม่ใช่ตัวเขาด้วยซ้ำ “ข้าดื่มสุราแล้วมักจะ เอ่อ มีอารมณ์”ความร้อนลามไปทั่วใบหน้า

ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วอย่างแปลกใจกวาดตามองไปทั่วร่างของคุณชายเสิ่น “แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุของการปล่อยเนื้อปล่อยตัว”

“ก็ได้ ๆ ข้าเข้าใจแล้วท่านไป๋”จื่อฟางแกล้งเอ่ยเสียงนอบน้อม ไป๋ผูอวี้ตีหน้านิ่ง เด็กหนุ่มซุกหน้าลงบนฝามือ รถม้าโขยกเขยกอยู่ไม่นานก็หยุดลง เป็นอีกครั้งที่จื่อฟางรู้สึกว่าโลกหมุน ไป๋ผูอวี้จับเขาพาดบ่าอีกแล้ว

“เจ้าอุ้มข้าดีๆไม่เป็นหรือไง”เขาบ่นระหว่างที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่มุ่งหน้าเข้าไปในคฤหาสน์สกุลไป๋ ไป๋ผูอวี้ก้าวพาร่างของเสิ่นจิ้งเฟยตรงไปยังเขตเรือนของตัวเอง บ่าวรับใช้ที่ยังไม่ได้เข้านอนต่างก็มองตาค้าง ไม่เคยเห็นคุณชายไป๋เป็นเช่นนี้ทั้งยังพาเสิ่นจิ้งเฟยคุณชายไม่เอาไหนเลื่องชื่อผู้นั้นกลับมาที่คฤหาสน์อีก เว่ยหลงก้าวตามผู้เป็นนายมาติด ๆ ส่งสายตาไปให้บ่าวรับใช้ที่เหลือ เท่านี้พวกเขาต่างก็รู้ว่าอย่าได้นำเรื่องที่เห็นไปบอกผู้ใดเด็ดขาด อากาศในคฤหาสน์สกุลไป๋ค่อนข้างเย็นกว่าด้านนอกเพราะต้นไม้ที่ปลูกอยู่โดยรอบ

จื่อฟางถูกวางลงในห้องนอนคุ้นตาของไป๋ผูอวี้ เขายังคงมีอาการมึนศีรษะ “เจ้าทำตัวอุกอาจนัก ขโมยตัวข้าเช่นนี้ ท่านพ่อรู้เข้าจะเดือดร้อนกันหมด”เด็กหนุ่มบ่นพึมพำ รู้สึกว่าพูดมากกว่าปกติ เขาถอดเสื้อคลุมออกรวมไปถึงเสื้อตัวกลางจนเหลือเพียงชุดบางๆเท่านั้น

“เจ้าทำอะไร”ไป๋ผูอวี้ได้แต่มองอย่างงุนงง

“ข้าร้อน”เขาตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ เส้นผมสีดำถูกปล่อยยาวสยาย   

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าเมาแล้วก็นอนเสีย”ไป๋ผูอวี้ละสายตามาจากร่างตรงหน้า เสิ่นจิ้งเฟยในชุดบาง ๆทำให้จิตใจอันหนักแน่นของเขาสั่นไหว ไม่มีผู้ใดบอกเจ้ารึว่าอย่าได้อยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น ร่างผอมบางทิ้งตัวลงบนเตียง เงยมองด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์

“เจ้าก็มานอนกับข้าสิ”จื่อฟางกล่าวจบก็คว้าเอวของอีกฝ่ายไว้ ออกแรงดึงรั้งจนร่างสูงเอนมานอนบนเตียงด้วยกัน

“คุณชายเสิ่น”ไป๋ผูอวี้ไม่คิดว่าตัวเขาจะใจเย็นกว่าที่คิด เสิ่นจิ้งเฟยเอาหน้าซุกแผ่นอกของเขา ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดชวนให้จักจี้ เขาจับไหล่ของอีกฝ่ายออกแรงดันเบา ๆแต่กลับยิ่งทำให้คุณชายเสิ่นเบียดร่างกายเข้าหา

“ไป๋ผูอวี้ ข้า…”เสิ่นจิ้งเฟยกระซิบเสียงแผ่ว ริมฝีปากบางแตะที่ลำคอของเขาเบาๆ ไป๋ผูอวี้ร้อนวูบไปทั่วร่าง ไม่เพียงแค่ลำคอ แต่ริมฝีปากของชายงามขบจูบไปทั่วใบหน้าของเขา ก่อนเลื่อนมาขบเม้มที่ริมฝีปาก ชายหนุ่มพยายามดันอีกฝ่ายออกอย่างไม่จริงจังนัก ร่างที่แนบชิดส่งเสียงในลำคอราวกับกำลังประท้วง ปลายลิ้นอุ่นแตะเลียริมฝีปากของเขา ไป๋ผูอวี้คว้าหลังคอของอีกร่าง เบียดริมฝีปากแนบชิด เสิ่นจิ้งเฟยเอียงใบหน้าขบจูบราวกับกลัวว่าจะเสียโอกาส ร่างกายของคนทั้งคู่ต่างก็ตอบสนองไปตามเพลิงอารมณ์  ชายหนุ่มรับรู้ถึงฝามือซุกซนของคุณชายเสิ่นที่กำลังกระตุกสายรัดเอวออก

“เสิ่นจิ้งเฟย ไยเจ้าถึงเป็นเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้พึมพำพูดไปก็พยายามแกะมือปลาหมึกของร่างบางออก แต่ยิ่งปฏิเสธคุณชายเสิ่นก็ยิ่งดื้อรั้น เจ้าตัวก้มมากัดที่บ่าของเขาเต็มแรง

“ชู่วว”จื่อฟางยกนิ้วแตะที่ริมฝีปากของไป๋ผูอวี้ โอบกอดร่างอุ่นๆไว้ ก่อนดึงสายรัดเอวออกจนได้ ใช้มือแหวกดึงชุดจนผิวกายเปล่าเปลือยของชายหนุ่มปรากฏตรงหน้า จื่อฟางไม่รอช้าโน้มตัวใช้ริมฝีปากจู่โจมทุกที่ตารางนิ้วที่ริมสัมผัสถึง ขบกัดยอดอกของอีกฝ่ายเบา ๆจนได้ยินเสียงครางต่ำในลำคอของไป๋ผูอวี้ยิ่งทำให้เลือดในกายพลุ่งพล่าน
เขาผละมามองหน้าของชายหนุ่ม “ข้าต้องการเจ้า”

“เสิ่นจิ้งเฟย…”ไป๋ผูอวี้มองหน้าชายงามอย่างงุนงง คุณชายผู้นี้ดูไม่เหมือนยามปกติหรือเพราะเมาสุรา คำพูดของเสิ่นจิ้งเฟยลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง ข้าดื่มสุราแล้วมักจะมีอารมณ์ เขาทิ้งศีรษะอย่างหมดแรงเมื่อร่างบางยังคงเบียดกายเข้าหา ริมฝีปากพรมจูบไปทั่วแผ่นอก

“ไม่ได้หรือ”น้ำเสียงออดอ้อนทำให้เขาขบกัดริมฝีปากอย่างหักห้ามใจ ไม่ได้!ตอนนี้เสิ่นจิ้งเฟยไม่เป็นตัวเอง เขาจะไม่ยอมฉวยโอกาสเด็ดขาด

“ไม่ได้ เจ้าไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่”ไป๋ผูอวี้พ่นลมหายใจติดขัดออกมา

“ไหนเจ้าว่าถ้าข้าสอบได้มีของจะให้ข้าอย่างไร”จื่อฟางทวง

“อืม…ข้ายัง…”ชายหนุ่มยังไม่ทันได้พูดจบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายประกบจูบ ไป๋ผูอวี้ไม่ได้จูบกลับปล่อยให้เสิ่นจิ้งเฟยจูบจนพอใจ

“ถ้าหากเจ้าไม่หยุด ข้าจะ…”ไป๋ผูอวี้หายใจหอบ เหตุใดคุณชายท่านนี้ถึงได้ดูชำนาญนัก?

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”เสียงของอีกฝ่ายเริ่มอันตราย แต่จื่อฟางไม่ได้สนใจฟัง ขบเม้มริมฝีปากไปตามลำคอของอีกฝ่าย

“เจ้าจะทำอะไร--”เด็กหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ มือหนาก็เลื่อนมาสัมผัสที่กึ่งกลางลำตัวก่อนออกแรงบีบ

หมับ

“อ๊ากกกก”ไอ้…จื่อฟางปัดมือของไป๋ผูอวี้ออก พลิกตัวออกห่างทันที

“ข้าเตือนเจ้าแล้ว”ชายหนุ่มลุกนั่งจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ลมหายใจยังคงถี่กระชั้น จังหวะการเต้นของหัวใจถี่รัว เสิ่นจิ้งเฟยเจ้ามันน่าตีนัก!

“ไป๋ผูอวี้…เจ้าคนชั่ว หากของข้าใช้การไม่ได้เล่า”จื่อฟางกลิ้งไปมา รอให้อาการปวดตุบๆบรรเทา 

“ก็ไม่ต้องใช้”ไป๋ผูอวี้ยิ้มน้อย ๆก่อนก้าวลงจากเตียง หายไปจากห้อง ได้ยินเสียงของร่างนั้นเอ่ยคำสั่งกับเว่ยหลงแว่วๆ ไม่นานนักชายหนุ่มก็กลับมา จื่อฟางนอนมองอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าบึ้งตึง 

“ยังไม่หายเจ็บอีกหรือ”ฝ่ายนั้นถามด้วยเสียงเจือแววขบขับ

“ให้ข้าจับของเจ้าดูบ้างไหมเล่า”จื่อฟางขึ้นเสียง

ไป๋ผูอวี้ยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย “คุณชายเสิ่น ไยท่านดื้อซนเช่นนี้ เอาไว้คราวหลังดีหรือไม่ ยามที่เจ้าหายเมา ค่อยพูดกับข้าใหม่”

“เจ้า…”

“ลุกไปอาบน้ำ จะได้มีสติ”ไป๋ผูอวี้สั่งกลับมาสู่ท่าทีจริงจัง “แต่ปกติเจ้าก็ไม่ค่อยมีสติอยู่แล้ว”ชายหนุ่มพึมพำ
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2019 05:35:18 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
เว่ยหลงยกถังน้ำเข้ามาในห้อง สายตากวาดมองไปที่เสิ่นจิ้งเฟยบนเตียงของคุณชายไป๋ เขารีบเบือนสายตาออกมา ตกใจอยู่ไม่น้อย สภาพเช่นนั้น…เขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าเกิดอะไรขึ้น คุณชายของเขาก็เช่นกันคิดว่าจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยดีแล้วหรือไร เว่ยหลงได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ คุณชายไป๋เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ต่อให้พูดจาอย่างไรก็คงฉุดไม่อยู่

“ท่านหลงใบหน้างามๆของเขาแน่ๆ”เขาพึมพำกับตัวเอง ไป๋ผูอวี้เหลียวมองผู้ติดตามคิดอยากเอ่ยอะไรสักหน่อยแต่เว่ยหลงไม่อยู่รอให้เขากล่าววาจาตักเตือน ร่างกำยำนั้นหายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
จื่อฟางก้าวลงจากเตียงโอดครวญเบาๆเมื่ออาการเจ็บยังไม่ทุเลา เจ้ามันร้ายกาจนัก เจ้าท่อนไม้ไป๋

จื่อฟางใช้เวลาอาบน้ำอย่างรวดเร็ว สวมเสื้อผ้าถูกเตรียมไว้เป็นชุดของไป๋ผูอวี้ กลิ่นหอมอ่อนๆประจำตัวของร่างนั้นติดมาด้วย เขาเลิกคิดฟุ้งซ่านรีบแต่งตัวจนเสร็จเมื่ิอออกมาจากฉากกั้น ก็พบว่าไป๋ผูอวี้เตรียมน้ำสมุนไพรแก้เมาไว้แล้ว ส่วนชายหนุ่มกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่เก้าอี้ตัวยาวด้วยสีหน้าสุขุม จื่อฟางถือถ้วยยาร้อน ๆมากุมก่อนจิบช้า ๆ ใช้สายตาพินิจมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย
 
“เจ้ามีเรื่องใดอยากพูดหรือ”อีกคนเอ่ยถามโดยที่ไม่ละสายตาจากตำรา

“ท่านพ่ออยากให้ข้าแต่งอนุ”จื่อฟางพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยเปื่อย เขาสังเกตว่าไป๋ผูอวี้ชะงักเล็กน้อย

“อืม…แล้วเจ้าว่าอย่างไร”ชายหนุ่มพลิกหน้ากระดาษ แต่สายตาไม่ได้เลื่อนอ่านที่จุดใด

“ข้ายังไม่อยากแต่ง ข้ายังอยากเล่นสนุกอยู่ ท่านพ่อบังคับข้าไม่ได้หรอก”เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“แต่การแต่งงานมีบุตรถือว่าเป็นความกตัญญูอย่างหนึ่ง อย่างไรเสียก็หลีกเลี่ยงไม่ได้”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

“ความกตัญญูแสดงออกได้หลายทาง อีกอย่างเสิ่นมู่หยางคงไม่ต้องการจากข้าหรอกกระมัง”จื่อฟางพึมพำนึกถึงน้องชายต่างมารดาของเสิ่นจิ้งเฟย เด็กคนนั้นหน้าตาท่าทางฉลาดเฉลียว เสนาบดีเสิ่นคงพอใจ จื่อฟางรู้ว่าอีกไม่นานเสิ่นมู่หยางต้องแนะนำให้คนทั้งคู่ให้เด็กหนุ่มรู้จักอย่างเป็นทางการ เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นทุกวัน จะให้อยู่ในเงามืดย่อมไม่ได้ 

ไป๋ผูอวี้ได้ยินที่คุณชายเสิ่นพึมพำ แต่ไม่รู้จะเอ่ยปลอบอย่างไรดี เขารู้สึกโชคดีที่บิดาเป็นคนรักเดียวใจเดียวต่อมารดาไม่แปรผัน แม้กระทั่งนางจากไปแล้วก็ไม่คิดมีผู้ใด

“แล้วเจ้าเล่าอยากแต่งงานหรือไม่”จื่อฟางย้อนถามบ้าง อายุอานามของอีกฝ่ายมากกว่าเขา น่าจะถูกกดดันเรื่องแต่งงานเช่นกัน

“ยามนี้ข้ายังไม่สนใจเรื่องสร้างครอบครัว”ไป๋ผูอวี้ตอบโดยไม่หยุดคิด เกิดความเงียบอยู่นานสองนาน จื่อฟางดื่มน้ำสมุนไพรจนหมดถ้วย

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้าขอถามเจ้าบ้าง หากวันใดฮ่องเต้ต้องการให้เจ้าอยู่ข้างกาย เจ้าจะทำเช่นไร”ไป๋ผูอวี้ละสายตาจากตำรามองไปยังเด็กหนุ่มใบหน้างดงามที่สวมชุดสีเทาอ่อนเรียบง่าย เส้นผมแผ่สยายทำให้ร่างนั้นดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ

“หากไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าจะหนี”จื่อฟางตอบ

“หนี?เจ้าจะหนีไปที่ใดได้”ไป๋ผูอวี้พึมพำ ร่างผอมบางได้แต่ไหวไหล่“ในป่ากระมัง”

“ข้าไปกับเจ้าไม่ได้หรอกนะ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยหยอกล้อ ยังไม่ใช่ตอนนี้

“ข้าก็จะไปคนเดียว”จื่อฟางเคยใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาก่อนคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ ความเงียบกลับมาครอบงำอีกครั้ง

“ไป๋ผูอวี้ ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า”

“ข้าฟังอยู่”อีกฝ่ายเลิกคิ้วรอฟัง

“ข้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยคนเดิมที่เจ้าเคยรู้จัก”จื่อฟางเอ่ยช้าๆ ไป๋ผูอวี้เงยหน้ามอง นัยน์ตาสีเข้มสั่นไหว ใบหน้ายังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง

“เจ้าหมายถึง…”

“หมายถึงข้าเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม แต่ก็ยังเป็นข้า”จื่อฟางจงใจใช้คำให้งุนงง ไป๋ผูอวี้มองเขาด้วยดวงตาเรียบนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนยกยิ้มจาง

“จะอย่างไรก็ช่าง ข้าชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้”

“ข้าก็ชอบเจ้าเช่นกัน”จื่อฟางพึมพำกับตัวเองเบาๆ



------------------
มาแล้ววววว ค่อยๆเป็นไปตามสเต็ปเนอะ ไม่อยากให้ได้กันเร็ว ประเด็นคือเขินเขียนฉากจึกๆไม่ค่อยออก จะมาอัพบ่อยๆแล้วค่ะ ไว้เจอกันจ้า! :L2: :กอด1:

 ป.ล.เคยคิดอยากให้เรื่องนี้เป็นฮาเร็มนิยายไร้สาระ ตัวละครทุกตัวสร้างมาเป็นฮาเร็มน้องจื่อแม้กระทั่งเสิ่นจิ้งเฟย(ว้าย)แต่ตอนนี้เปลี่ยนพล็อตแล้ว555มิอย่างนั้นจะได้เห็นเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเมะ ฮ่าๆๆ ประหลาดสุด :laugh:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2019 10:10:26 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :katai4: ยังไม่จึกก็ได้ค่ะ ขอฉากฟินก็พอ5555 :-[  พี่ไป๋แกใจร้ายไปแล้ววว :laugh: บีบของน้องหน้าตาเฉยเลย ระวังโดนเอาคืนนะคุณพี่ :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2019 11:40:37 โดย shiroinu »

ออฟไลน์ Chobreadyaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านตามมาตั้งแต่เมื่อคืน ทันแล้วว เอ็นดูน้องมาก แอบใจหายตอนที่บอกว่าจะหนีไปอยู่ในป่าคนเดียว

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ทำไม อ่านแล้ว ฟิน แบบ หน่วง ๆ

หรือรู้สึกไปเอง ฮะ ๆ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สงสารน้องที่พ่อไม่รักษาคำพูดจริง ๆ  :hao5:

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒ ค่ะ ไรท์ 
ขอให้มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต......
ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรงนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:
คิดถึงเรื่องนี้มากๆ เลย มาเป็นของขวัญปีใหม่พอดี   :mew1:

คุณชายไป๋ ควบคุมตัวเองดีเกินไปหรือเปล่า   :z3:
คนอ่านเลยอดเผือกเลย  :เฮ้อ: :mew2: :serius2:
สนุกมากกกกกกกกก   อยากอ่านต่ออีกแล้ว   :ling1:

ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1098
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
สงสารจัง
แต่อิจฉาที่ได้คุณชายไป๋

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
คิดถึง​นะคะไรท์​ ขอบคุณ​สำหรับของขวัญ​ปีใหม่ค่าาาา

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ท่อนไม้ไป๋! เจ้าทำร้ายจื่อฟางน้อยทำไม
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
คุณชายไป๋คือพ่อพระอดกลั้น ไม่ชิงสุกก่อนห่าม. จื่อฟางโดนบีบไข่

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
พ่อท่อนไม้ของข้า​ โถ่ว​ คราวหน้าถ้าปกติก็ได้ใช่มั้ยค่อยๆบอกแล้วว่าไม่ใช่คนเก่า​ ​

ออฟไลน์ ursleepingxd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เฮ้ออ หนักใจไปกับน้องจื่อฟางจริงๆเลยน้าาา เชื่อใครได้บ้างเนี่ย

สู้ต่อไปนะน้องงง และคุณคนเขียนด้วย

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
หัวใจสั่นมากที่บอกว่าไปกะน้องไม่ได้ ถึงคุณไป๋จะล้อเล่นก็เถอะ อยากกอดน้อง ทำไมต้องหลุดมาเจออะไรวุ่นวายขนาดนี้ แง  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ตุยชิคชิค

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
แงงง ในที่สุดก็มาต่อแล้วขอบคุณไรต์มากๆนะคะ แอบเชียร์ฮ่องเต้กับจิ่งเฟ่ยตัวจริงง ชอบเวลานังแอบด่าฮ่องเต้ :z1: :z1:

ออฟไลน์ ตุยชิคชิค

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1

ออฟไลน์ Mr.Sedsawa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แอบอยากให้น้องเสิ่นเป็นเมะ-////- รุกน้องจื่อไปเลย!! นี่จิ้นเองจริงจังเเล้วค่ะ ของสวยๆงามๆคู่กัน :impress2:  :hao6: เสิ่นจื่อๆ แค่กๆๆๆ  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ zeit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
สวัสดีปีใหม่ค่ะ

ทำไมฉากเข้าพระเข้านางตลกแบบนี้ โถ่วว ลูก เกือบแล้วไหมละ

คู่ตัวจริงจะว่าไปก็เป็นคู่ที่ผูกพันธ์กันมานาน ไม่ไปจากกัน อยู่ด้วยกันเรื่อยๆ
คนที่มีอำนาจมีทุกอย่าง ยกเว้นความรัก
กับเด็กที่ขาดความรัก โดนทอดทิ้ง หักหลัง
จะไปกันยังไง จะปลงใจได้ไหม

ส่วนคู่รักก็จะมีรักเรื่อยๆ ฟินๆไปตลอด

เนื้อเรื่องค่อยๆคลายปม แต่ดูยังมียาว อาจใกล้ช่วงชิงบังลังก์แล้วก็ได้

แต่งเก่งวางเรื่อง ชอบนิยายจีนโบราณจัง

Sent from my EVA-L19 using Tapatalk


ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
เพิ่งตามอ่านทัน สนุกค่ะ ลุ้นๆ คุณชายไป๋นี่ก็ไม่ธรรมดานะ  น้องจื่อก็ปัญหารุมเร้าจริงๆ

รอตอนต่อไปนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4

                บทสิบแปด: ตัวหมากที่เปลี่ยนแปลง

เป็นวันที่หิมะตกหนักลมแรงจนอากาศเย็นบาดผิว จื่อฟางขลุกตัวอยู่ในห้อง สวมชุดคลุมขนแพะหนาเตอะ ซุกเตาอุ่นไว้ในอกเสื้อเพิ่มความอบอุ่น ทั้งยังจุดกระถางไฟในห้อง เขาเกลียดสภาพอากาศเช่นนี้จริง ๆ ใต้เท้าเฉินฉางเซียงยังไม่ได้กลับเมืองเสียนหยางเพราะอากาศอันเลวร้ายเช่นกัน ชายแก่ต้องรอให้หิมะเบาถึงจะได้กลับ


ขยับมือที่เริ่มแข็งไปมาขณะที่ออกแบบร่างผังร้านค้าที่คิดไว้ แม้ว่ายังไม่ได้ตกลงเรื่องนี้กับเสิ่นมู่หยางแต่เขาก็แอบไปเจรจากับเถ้าแก่ชวีเจ้าของที่ดินคนเก่ามาแล้ว ทีแรกเถ้าแก่ไม่ยอมขายที่ดินทำกิน

จื่อฟางจึงเสนอจ่ายค่าเช่าเดือนละหลายตำลึงทองจนเถ้าแก่ชวีคล้อยตาม จากนั้นเขาก็ประกาศหาช่างไม้ฝีมือดีเพื่อรับงานก่อสร้าง แต่เพราะอากาศหนาวเย็นยังทำให้ไม่สามารถลงมือก่อสร้างได้จึงทำได้แค่รื้อถอนร้านผ้าของเถ้าแก่ชวีออก จื่อฟางใช้ตั๋วเงินที่ท่านปู่ทิ้งไว้ เขาจึงไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุน กับเสิ่นมู่หยางไว้ค่อยคุยทีหลัง ต่อให้อีกฝ่ายแย้ง เขาก็จะทำในเมื่อตั้งใจไว้แล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ

จางต้ากำลังต้มโสมที่หมอกู้นำมาให้ใหม่อยู่ตรงมุมห้อง หมอชราบอกว่าช่วงเหมันต์ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าปกติ ต้องบำรุงให้ดีจึงมีการปรับเปลี่ยนยาเล็กน้อย ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยอ่อนแอนัก จื่อฟางคิดก่อนละมือจากงานตรงหน้า เหลือบมองพัดลายดอกเหมยที่มีพู่หยกสลักลายหยูอี้เจี๋ยประดับวางอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบพัดกระดาษคลี่เปิดออกช้า ๆ ตัวอักษรเป็นระเบียบที่มุมขวามือปรากฏให้เห็น พัดเล่มนี้เป็นของที่ไป๋ผูอวี้ที่มอบให้เขาเมื่อสามวันก่อน ร่างบางยกยิ้มน้อย ๆเมื่อนึกถึงเรื่องวันนั้น

‘เจ้าคงหายเมาแล้วกระมัง ข้ามีของจะมอบให้’ไป๋ผูอวี้เดินไปเปิดตู้ลิ้นชักหยิบกล่องยาวเล็ก ๆออกมายื่นให้

‘สำหรับที่เจ้าสอบได้เป็นซิ่วไฉ ไม่ใช่ของมีราคา เจ้าอาจจะไม่ชอบ’จื่อฟางเงยหน้ามองบุรุษอีกคน เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นไป๋ผูอวี้ตกประหม่า แต่ถึงอย่างนั้นร่างตรงหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าหล่อเหลา

‘ของที่เจ้ามอบให้ ข้าล้วนชอบหมด’เขาพึมพำ ไม่สบตาอีกฝ่ายก่อนเปิดกล่อง พบกับพัดหนึ่งเล่มมีพู่หยกลายหยูอี้เจี๋ยสลักอย่างประณีตประดับอยู่ จื่อฟางคลี่พัด ปรากฏว่าเป็นลายดอกเหมยพานให้นึกถึงจุมพิตในคืนนั้น ร่างผอมบางเม้มริมฝีปาก ตวัดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้า ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดแต่นัยน์ตาแฝงรอยยิ้มคล้ายกับล่วงรู้ความคิดของเขา

จื่อฟางกระแอม ‘ขอบคุณมาก ข้าจะเก็บไว้ข้างกาย’ขณะที่พูดมือเรียวก็ลูบหยกสีเขียวอ่อนไปด้วย

‘ช่วงเหมันต์เจ้าไม่จำเป็นต้องพกหรอกกระมัง’นัยน์ตาของไป๋ผูอวี้เป็นประกาย

เขาแสร้งทำสีหน้าสงสัยส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้ ‘เจ้าไม่อยากให้ข้าพกติดตัวไว้ตลอดหรือ เป็นของดูต่างหน้าเวลาข้ากับเจ้าห่างกัน’

‘ข้ามอบให้เจ้าแล้วอยากทำสิ่งใดล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า’ไป๋ผูอวี้ตีหน้านิ่งเฉย เบนสายตากลับไปอ่านตำราอีกครั้ง จื่อฟาวหรี่ตาลง เจ้านี่ชอบทำตัวเป็นท่อนไม้เสียจริง เขาก้มมองพัดในมืออย่างครุ่นคิด นึกถึงเรื่องบางอย่างได้ ดวงตาจึงเปล่งประกาย

‘ไป๋ผูอวี้…รบกวนเจ้าเขียนบทกลอนให้ข้าที’เขาเอ่ย เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่อีกมุมของห้อง คลี่พัดวางลงบนโต๊ะ หยิบหมึกมาฝนอย่างถือวิสาสะ เจ้าของห้องเงยหน้ามองแต่ก็ยอมลุกจากที่นั่งมาหา กลิ่นชาอ่อนๆลอยเข้าจมูกเมื่อร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ยกชายเสื้อคลุมนั่งลงตรงหน้า ไป๋ผูอวี้พินิจมองคุณชายเสิ่นอย่างใช้ความคิดว่าควรเขียนบทกลอนใดลงไปดี เขายกยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ ชายหนุ่มหยิบพู่กันจรดลงบนพัด ค่อยๆตวัดลายเส้นอย่างบรรจง ตัวอักษรงดงามปรากฏให้เห็น

‘ดอกเหมยร่วงหล่น’

จื่อฟางจ้องมองตัวอักษรบนพัดก่อนใช้มือลูบช้า ๆ ลายมือของไป๋ผูอวี้หนักแน่น บ่งบอกตัวตนของผู้เขียน เขาเหม่อลอยไปถึงเหตุการณ์วันนั้น เรื่องระหว่างเขากับไป๋ผูอวี้คล้ายเป็นความฝัน ในโลกแห่งความเป็นจริงเขายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ


ไม่ได้ติดต่อหลิวอ๋องสักพักแล้วคิดว่าถึงเวลาที่ต้องเคลื่อนไหวบ้าง ยังคิดอยู่ว่าจะเอาเรื่องใดไปรายงาน เรื่องของไป๋ผูอวี้เขาเองก็ไม่ค่อยล่วงรู้มากมายนัก 

“ข้าอยากรู้นักว่าท่านอ๋องวางแผนใดไว้”จื่อฟางพึมพำ แน่ใจว่าคนผู้นั้นต้องมีกองกำลังพอสมควรถึงได้คิดก่อกบฏใต้จมูกฮ่องเต้ ฮ่องเต้เจี่ยผิงขี้ระแวงเพียงนั้น ไม่มีทางที่ท่านอ๋องจะเป็นคนลงมือเคลื่อนไหวเอง หลิวอ๋องย่อมมีกำลังอยู่ภายนอก เขาไม่คิดว่าคนอย่างหลิวอ๋องจะร่วมมือกับพวกนอกชายแดนหรือแม้กระทั่งองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ หลิวอ๋องต้องการบัลลังก์ไม่น่าอยากร่วมมือกับคนที่เคยถูกปลด เพราะเป้าหมายขององค์ชายใหญ่ก็คือทวงคืนตำแหน่งเดิม สองคนนั่นไม่มีทางตกลงกันลงตัว

หลิวอ๋องเจี่ยซิน องค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ ฮ่องเต้เจี่ยผิง พวกเขาต่างมีกำลังของตัวเอง ยามนี้ยังไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหวตรง ๆ ผู้ใดจะเป็นคนลงมือก่อน?เขาขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ในบรรดาสามคนนี้เขายังไม่เคยเจอองค์ชายใหญ่ แต่คนผู้นี้ส่งคนมาทำร้ายเสิ่นจิ้งเฟยถึงสองรอบ เหตุใดถึงปล่อยให้ร่างนี้มีชีวิตรอดอยู่ได้อีก

มีอะไรอีกนะ นึกให้ออกสิ เขาต้องนึกให้ออก จื่อฟางหลับตาลง ความรู้สึกบางอย่างกระทุ้งอยู่ในอก จางต้าลอบมองมาจากมุมห้องเมื่อเห็นคุณชายเสิ่นทำท่าทีแปลกประหลาด

‘ข้าปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดมานานถึงเพียงนี้ เสิ่นจิ้งเฟยเจ้ามีสิ่งใดจะพูดก่อนตายหรือไม่’

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำถือดาบคมปลาบจ่อมาที่ลำคอของเสิ่นจิ้งเฟย แสงจันทร์นวลส่องแสงสะท้อนกับปลายดาบแหลมคม ร่างสูงตระหง่านตรงหน้าสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ปกปิดใบหน้าจนเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีรูปร่างลักษณะเช่นไร


ใบหน้าหมดจดกลืนน้ำลาย ความหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วร่าง หัวใจเต้นถี่แรง คนผู้นี้คือคนที่ส่งคนมาทำร้ายถึงสองครั้ง แต่ละครั้งก็ทิ้งบาดแผลไว้ให้เขา ทั้งจิตใจและร่างกาย เขากลอกตามองไปรอบตัวอย่างหมดหวัง ไม่คิดว่าการมานั่งรับลมที่หลุมศพกระต่ายฮ่าวฮ่าวจะจบลงเช่นนี้ ในใจคิดสงสัยว่าคนผู้นี้หลุดรอดสายตาสุนัขของฮ่องเต้เข้ามาในฉางอันได้อย่างไร

‘องค์ชายใหญ่…’หรือต้องเรียกว่าช่างอิ่น นามที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงตั้งให้ใหม่

‘ข้ามิใช่ นามของข้าคือเจี่ยอี้ ต้องขอบคุณปู่ของเจ้ากับพี่ชายข้า’ร่างนั้นแค่นเสียง แววตาเป็นกระกายวาบในความมืด คมดาบกดลงบนลำคอมากขึ้น

‘ฆ่าข้าแล้วได้อะไร ปู่ของข้าก็ตายไปแล้ว’

‘ข้าคิดว่าเจ้าฉลาดกว่านี้เสียอีก’องค์ชายใหญ่เจี่ยอี้เอ่ยเสียงเย็นชา ไม่สนว่าออกแรงจนคมดาบบาดเข้าผิวกายอันบอบางของเสิ่นจิ้งเฟย

‘ข้าตายไปก็เท่านั้น ท่านได้ความสะใจแล้วอย่างไร มิสู้มาทำข้อตกลงกันไม่ดีกว่าหรือ’เสิ่นจิ้งเฟยเสนอ รู้ดีว่ากำลังเล่นกับไฟ คนผู้นี้ไม่มีทางไว้ชีวิตตนแน่

เจี่ยอี้หัวเราะเสียงต่ำ ยอบกายลงจนนั่งอยู่ในระดับเดียวกัน เสิ่นจิ้งเฟยถูกสายตาคมปราบจ้องมองจนเหงื่อซึม

‘เจ้าเสนอข้อตกลงให้เจี่ยซินด้วยกระมัง ไม่คิดว่าน้องชายข้าจะวิปริตด้วยกันทั้งสองคน’สายตาเหยียดหยามของอีกฝ่ายทำให้เสิ่นจิ้งเฟยโกรธจนหายใจไม่สะดวก เขาขบฟันแน่น

‘ไม่ใช่ข้อเสนออย่างที่ท่านคิด!ไหน ๆท่านก็จะฆ่าข้าแล้ว ก่อนตายก็ให้ข้าได้สมหวังทำลายฮ่องเต้เจี่ยผิง ข้ายินดีทำงานให้ท่าน’

‘คิดว่าข้าจะหลงกลเจ้าหรือ’ปลายดาบตวัด เสิ่นจิ้งเฟยก้มตัวหลบ คมดาบเฉียดผ่านเส้นยาแดงผ่าแปด รับรู้ของเหลวเหนอะหนะไหลเปื้อนลำคอ เส้นผมของเขาหลุดไปกระจุกหนึ่ง


นอนหอบเพราะใช้กำลังลมปราณจากการเคลื่อนไหวไปเมื่อครู่ องค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ก้มมองด้วยสายตาดำลึกที่แผ่รังสีอันตรายออกมา

‘ดูเหมือนเจ้าจะมีกำลังลมปราณอยู่บ้าง ไม่คิดว่าจะยังเหลืออยู่ เจ้าสมควรตายไปตั้งแต่ครั้งก่อนที่โดนยาพิษ  เสิ่นจิ้งเฟย ดูเหมือนสวรรค์จะยังไม่อยากให้เจ้าตาย’มือหนาหยาบกร้านกดที่ลำคอจนเจ็บแปลบ คาดว่าดาบขององค์ชายใหญ่จะสร้างบาดแผลให้เขา เสิ่นจิ้งเฟยไม่ดิ้นหนี เพียงนอนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงบราบเรียบแม้ลมหายใจจะติดขัด การมองเห็นเริ่มเป็นภาพเบลอ เขาก็ยังไม่ดิ้นรน

เจี่ยอี้ปล่อยมือออกจากลำคอของเสิ่นจิ้งเฟย เขากระอักกระไออย่างหมดแรง สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

‘ข้าชอบการพนัน สมัยยังเป็นองค์รัชทายาทข้าชื่นชอบไก่ชนเป็นพิเศษ จึงจับไก่ชนที่ดีที่สุดให้พวกมันสู้กันจนตายไปข้าง ตัวที่อ่อนแอพยายามหนีอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะหนีอย่างไร จุดจบก็เหมือนเดิม ผู้แพ้ย่อมหนีไม่พ้น สุดท้ายมันก็ต้องตายภายใต้การจิกตีของไก่ชนอีกตัว เจ้าว่าฟังน่าสนุกหรือไม่’

องค์ชายใหญ่ปลดผ้าคลุมใบหน้าออก เสิ่นจิ้งเฟยขยับใบหน้ามอง เขาต้องการเห็นคนที่ทำร้ายสกุลเสิ่น ชายตรงหน้าแตกต่างจากน้องชายทั้งสองคนอย่างชัดเจน เขามีรูปร่างกำยำอย่างพวกใช้กำแรง ใบหน้ามีรอยแผลเป็นหลายแห่ง ที่เด่นชัดที่สุดคือรอยกรีดที่ข้างแก้ม นัยน์ตาสีดำสะท้อนเพียงความป่าเถื่อนอย่างคนป่า เสิ่นจิ้งเฟยตัวสั่นเล็กน้อย ช่วงหลายปีที่ชายผู้นี้ระหกระเหินหลบหนีจากเงื้อมมือฮ่องเต้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

ชื่นชอบการใช้กำลังแต่ไร้สมอง คือคำบอกเหล่าของหลิวอ๋อง แต่ยามนี้องค์ชายใหญ่ไม่คล้ายคนไร้สมองทั้งยังดูชอบการทรมานผู้คนด้วย

‘เสิ่นจิ้งเฟย ข้าจะให้โอกาสเจ้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อย’

‘ท่านยอมรับข้อตกลงของข้าหรือ…’เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยถามเสียงแหบ ไม่ได้รู้สึกโล่งอกแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าคนผู้นี้เพียงปล่อยให้เขาหายใจสะดวกชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

‘ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีข้อมูลมากแค่ไหน บอกแผนการของเจี่ยซินให้ข้า แล้วข้าจะพิจารณาดูว่าข้อตกลงของเจ้าคุ้มค่าหรือไม่’องค์ชายใหญ่นั่งขัดสมาธิ ยังคงถือดาบเล่มยาว เสิ่นจิ้งเฟยกัดฟันพยุงร่างกายลุกนั่งอย่างยากลำบาก ใช้มืออีกข้างกุมลำคอที่เลือดยังคงไหลซึม บาดแผลดูไม่ลึกเท่าไหร่

องค์ชายใหญ่ยื่นดาบมาแตะลำคอของเขาเป็นการย้ำเตือน ‘ข้าไม่มีเวลามากนัก’เจี่ยอี้เอ่ยเตือนคลี่ยิ้มที่ทำให้


หนาวเหน็บไปทั้งร่าง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัว คนแซ่เจี่ยมีผู้ใดปกติบ้าง

‘แผนการของหลิวอ๋องข้ารู้เพียงบางส่วนเท่านั้น เขาเองก็ไม่ไว้ใจข้า ข้ารู้เพียงว่าหลิวอ๋องวางแผนจะโจมตีวังหลวงและเมืองใกล้เคียงพร้อม ๆกันเพื่อสร้างความวุ่นวาย มีอ๋องครองหัวเมืองอีกเจ็ดแคว้นเข้าร่วมด้วย’

เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวเสียงเรียบ แต่ในใจสั่นคลอน เดิมทีที่เข้าร่วมกับหลิวอ๋องก็เพียงเพราะอยากแก้แค้นให้ท่านปู่ หลิวอ๋องกรอกข้อมูลมากมายใส่หัวตน ไหนจะคำสัญญาที่ถูกผูกมัด กบฏสำเร็จเขาจะได้พิสูจน์ให้คนเห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ หากเขามีอำนาจเขาจะจัดการอะไรก็ได้ มาคิดดูแล้วเขาช่างโง่เขลานักที่คิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้ใด เขาถูกหลิวอ๋องปั่นหัวซ้ำยังหนีไปไหนไม่ได้ ได้เผชิญหน้ากับองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ ตัวเขาก็ชักไม่แน่ใจว่าเลือกทางเดินถูกต้องแล้วหรือไม่ เขาต้องการสิ่งใดกันแน่ เขาต้องการเห็นคนผู้นั้นพังทลายจริงหรือ   

‘อ๋องเจ็ดแคว้น…ฮ่า ๆ…เจี่ยผิงเอ๋ย เจ้าจะได้ลิ้มรสของการถูกแทงข้างหลังเสียแล้ว’องค์ชายใหญ่หัวเราะเสียงต่ำ ดวงตาเป็นประกายวาบ มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะลบล้างความแค้นของเจี่ยอี้

‘ดี ข้าจะยังไม่ฆ่าเจ้าตอนนี้ แต่เสิ่นจิ้งเฟยเจ้าจงจดจำเอาไว้ ยามใดที่เจี่ยซินเคลื่อนไหว เมื่อนั้นก็เป็นเวลาตายของเจ้า’

“คุณชายเป็นอะไรไปขอรับ”จางต้าส่งเสียงถามเมื่อเห็นคุณชายเสิ่นมีใบหน้าเผือดซีดทั้งยังตัวสั่น เขาละจากหม้อต้มยามาตรวจกระถางไฟก็พบว่าไฟยังไม่มอดดับ

“เปล่า ข้าไม่เป็นไร”จื่อฟางตอบให้บ่าวคนสนิทวางใจ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ความทรงจำที่เห็นยังคงแจ่มชัด เสิ่นจิ้งเฟย ร้ายกาจนัก เกี่ยวข้องกับสกุลเจี่ยทั้งสามคน หนำซ้ำยังทิ้งปัญหาไว้ให้เขา ร่างนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาอย่างไรอย่างนั้น เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงลอยตัวเหนือปัญหาทั้งหมด แล้วจื่อฟางเล่า ต้องมารับกรรมแทนอีกฝ่ายหรือ เจี่ยอี้หรือช่างอิ่นไม่มีทางปล่อยให้เสิ่นจิ้งเฟยมีชีวิต ตัวเขานี่แหละที่ตกอยู่ในอันตราย เสิ่นจิ้งเฟย…คงดีใจที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับองค์ชายใหญ่ ความรู้สึกเห็นใจที่เคยมีให้หายวับไปกับตา

เขาพยายามเรียบเรียงความคิด ไม่คิดว่าหลิวอ๋องเจี่ยซินจะมีกำลังพลมากถึงขนาดนั้น อ๋องทั้งเจ็ดแคว้นร่วมมือกันก่อกบฏต้องเกิดความวุ่นวายแน่อยู่แล้วซ้ำยังแยกกันโจมตีอีก หากฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ทันได้ตั้งตัวล่ะก็…ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงไม่ต้องกล่าวถึง

ยามใดที่เจี่ยซินเคลื่อนไหว เมื่อนั้นก็เป็นเวลาตายของเจ้า

แล้วหลิวอ๋องจะเคลื่อนไหวเมื่อใด? จื่อฟางไม่รู้แผนการของท่านอ๋อง แต่มีอ๋องเจ็ดแคว้นร่วมมือรอโจมตีหัวเมืองสำคัญ ส่วนช่างอิ่น นอกจากชาวหู ก็ไม่รู้ว่ากำลังอีกเท่าใด สิ่งหนึ่งที่รู้อย่างแน่ชัดคือจะให้สองคนนี้เป็นฝ่ายชนะไม่ได้เด็ดขาด องค์ชายใหญ่ไม่มีทางละเว้นสกุลเสิ่น ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับจื่อฟางในตอนนี้คืออยู่ฝ่ายเดียวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ควรบอกฮ่องเต้ อย่างน้อยหากนำแผนของหลิวอ๋องไปบอกฝ่าบาทพระองค์จะได้มีเวลาวางแผนรับมือกับการก่อกบฏ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรง 

จื่อฟางนึกถึงสถานที่หนึ่งที่เสิ่นฉินอี้บอกไว้ในจดหมาย เหลียวตง เขาต้องหลบหนีไปที่นั่น แต่ไปคนเดียวหรือนำคนไปด้วยไว้ถึงเวลานั้นค่อยตัดสิน แต่เรื่องนี้ต้องค่อยๆจัดการอย่างแนบเนียน  เขาลุกจากที่นั่งเดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิด เขาจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้ ไม่นับพวกหลี่ฮุ่ยจือ เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่มีมิตรสหายคนไหนอีก ยกเว้น…

“ฟู่เทียนสือ”จื่อฟางไม่แน่ใจว่าสามารถเรียกว่าสหายได้หรือไม่ แต่จังหวะการเต้นของหัวใจถี่เร็วขึ้น เขายกมือถูหน้าอกข้างซ้ายพลางคิดอยู่ในใจว่าเสิ่นจิ้งเฟยหลงเสน่ห์ของชายใบหน้าคมผู้นั้นเข้าจริง ๆน่ะหรือ? สกุลฟู่เป็นคณะร้องรำ เดินทางไปหลายที่ แวะที่เมืองนั้นเมืองนี้ไม่หยุดพัก หากเขาขอให้ฟู่เทียนสือช่วยเรื่องการหลบหนีย่อมไม่มีผู้ใดสงสัย จื่อฟางมีความหวังขึ้นมา แต่นอกจากความทรงจำเรื่องกระต่ายฮ่าวฮ่าวเขาก็ไม่รู้เรื่องใดเกี่ยวกับฟู่เทียนสืออีก ครั้งล่าสุดที่พบกัน ฟู่เทียนสือบอกว่าจะแวะมาหาเขาที่ฉางอัน หวังว่าจะไม่นานจนเกินไป เสียดายจริง ๆที่ไม่ได้ขอที่อยู่ติดต่อไว้

จางต้าเหลียวมองคุณชายอย่างไม่เข้าใจนักก่อนเอ่ยขึ้น “คุณชาย ข้าน้อยเคี่ยวยาจนได้ที่แล้วขอรับ”

บ่าวคนสนิทยกถ้วยโสมข้นๆมาให้ จื่อฟางพยักหน้า กลั้นใจยกถ้วยยาดื่มจนหมด จางต้าส่งจอกชาอุ่นๆให้อย่างรู้หน้าที่ เขารีบยกดื่มแก้รสชาติขมเฟื่อนของโสมทันที เขาเช็ดปากด้วยแขนเสื้อ กลับไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือเช่นเดิม ตั้งใจออกแบบร้านค้าให้เสร็จ ใช้เวลาอยู่เกือบสองชั่วยามถึงเรียบร้อย เขากวาดตามองอย่างพอใจ ระหว่างนั้นเสียงของหยางชวีก็ดังอยู่นอกห้อง

“คุณชาย ดูเหมือนว่าจะหาช่างไม้ฝีมือดีได้แล้วขอรับ”

“เจ้าเข้ามาก่อน หนาวถึงเพียงนี้เจ้าทนได้อย่างไร”จื่อฟางร้องบอก นึกไปถึงองครักษ์ของฮ่องเต้ที่เฝ้าอยู่นอกจวน นึกภาพชายปริศนายืนตากหิมะอยู่ด้านนอกก็หลุดขำออกมา หยางชวีปรากฏกายอยู่ในห้อง เกล็ดหิมะติดอยู่ตามเส้นผม

“เจ้าว่าหาช่างไม้ได้แล้วหรือ”จื่อฟางเอ่ยถามลุกจากที่นั่ง หยิบเตาอุ่นส่งให้ผู้ติดตาม ร่างตรงหน้าไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่รับเตาอุ่นมากุมเงียบๆ

“ขอรับ เขาชื่อชุนเหลียง ข้านัดเขาวันรุ่งขึ้นที่โรงน้ำชาหลิวซื่อตามที่คุณชายบอก”หยางชวีรายงาน จื่อฟางพยักหน้าอย่างพอใจ ที่ไปคุยที่โรงน้ำชาก็เพราะอย่างน้อยจะได้เจอไป๋ผูอวี้ด้วย เขาเหลือบมองท่าทีลังเลของหยางชวีก็เลิกคิ้วรู้ดีว่าท่าทางเช่นนี้ของผู้ติดตามบ่งบอกว่ามีเรื่องที่อยากเอ่ยแต่ไม่กล้า

“มีเรื่องใด”

“เรื่องของไป๋ผูอวี้ขอรับ”ผู้ติดตามเอ่ยเสียงแผ่ว จื่อฟางเลิกคิ้วอย่างสนใจ “มีอะไร”

“ก่อนหน้านี้นายท่านสั่งให้ข้าสืบเรื่องของสกุลไป๋อยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่พบเรื่องผิดปกติใด แต่ระยะหลังมานี้เขามักไปยังสถานที่หนึ่งในสวนลู่ เป็นชุมนุมกวีขับบทกลอน เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกสำหรับคนสกุลไป๋ แต่ข้ากลับพบว่าเขาสนิทสนมกับคุณชายจ้าวเซียวชิงบุตรชายเสนาบดีกรมพระคลัง ข้าเห็นพวกเขานัดเจอกันในรถม้าข้างตรอกใกล้สวนลู่”หยางชวีบอกกล่าวตามที่เห็น ขบฟันเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น คนแซ่ไป๋จงใจชัด ๆ คนผู้นั้นจงใจให้เขาติดตามไป

จื่อฟางนิ่งงันไปครู่ใหญ่ สมองใช้เวลาประมวลผลนานกว่าปกติ จ้าวเซียวชิง?เจ้าคนที่ดูง่วงนอนตลอดเวลานั่นน่ะหรือ เป็นไปได้อย่างไร

“ไป๋ผูอวี้สนิทกับบุตรชายขุนนางอย่างจ้าวเซียวชิงเนี่ยนะ”เขาพึมพำ รู้สึกแปลกใจเป็นล้นพ้น ไม่คิดว่าคนอย่างไป๋ผูอวี้จะยอมผูกมิตรกับคนเช่นคุณชายจ้าวที่เป็นสหายของเสิ่นจิ้งเฟย หากมีคนเอาไปพูดคงไม่มีผู้ใดเชื่อ สนิทกับจ้าวเซียวชิงสหายไม่เอาไหนของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย

หยางชวีหรี่ตาลงอย่างไม่ชอบใจ กล่าวเสริม “แต่ว่า…ตอนที่ข้าลอบติดตามเขา ดูเหมือนไป๋ผูอวี้จะรู้ตัวแต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีใด”ผู้ติดตามกล่าวเรียบ ๆ คิ้วขมวดมุ่น ไม่ได้ตาฝาดไปเองที่เห็นไป๋ผูอวี้เหลียวมองตนครู่หนึ่ง วันนั้นเว่ยหลงไม่ได้ตามรับใช้แต่เป็นผู้ติดตามคนที่เขาไม่คุ้นหน้า ฝีมืออ่อนด้อยกว่าคนไร้สมองผู้นั้นหลายขุม

“เขาตั้งใจให้ข้าน้อยตามไป”หยางชวียังคงไม่เข้าใจกับการกระทำของอีกฝ่าย

จื่อฟางเหม่อมองพัดในมือ คิ้วขมวดเข้าหากัน ไป๋ผูอวี้ตั้งใจให้หยางชวีตามไปเห็นว่านัดเจอกับจ้าวเซียวชิง เจ้าท่อนไม้ทำเช่นนั้นย่อมมีเหตุผล 

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจที่มาบอก”

“คุณชายไม่สงสัยหรือ เหตุใดไป๋ผูอวี้ถึงไปสนิทกับคุณชายจ้าว แล้วไปสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เขาคงมีเหตุผล”จื่อฟางถอนหายใจ ไป๋ผูอวี้ทำเรื่องใดอยู่ เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบพวกขุนนางที่เอารัดเอาเปรียบ ทั้งเคยเหม็นหน้าเสิ่นจิ้งเฟยแต่กลับมาคบหากับจ้าวเซียวชิง ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย หรือมีเรื่องใดที่เขาไม่รู้ จื่อฟางนึกถึงชายท่าทางเบื่อหน่ายเซื่องซึม เมื่อวันงานเลี้ยงฉลองที่คนผู้นั้นทำดีเป็นเพราะรู้จักกับไป๋ผูอวี้น่ะรึ

“อย่างนั้นก็ดี ข้าจะได้มีเรื่องรายงานหลิวอ๋อง”

“ท่านแน่ใจหรือ”หยางชวีเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าคุณชายจะนำเรื่องนี้ไปบอกท่านอ๋อง

“ข้าคิดว่าไม่เป็นไร เขาเห็นว่าเจ้าตามไปแต่ไม่มีท่าดีคงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายกระมัง”จื่อฟางคาดเดา กลับไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสืออีกครั้ง เงยหน้ามองหยางชวีเมื่อนึกขึ้นได้

“องครักษ์ของฮ่องเต้ยังอยู่นอกจวนหรือไม่”

“อยู่ขอรับ”จื่อฟางถอนหายใจ เจ้าพวกนี้ติดหนึบเชียว!เขาหยิบกระดาษแผ่นใหม่ออกมาสองแผ่นเขียนจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งเขียนสั้นๆถึงหลิวอ๋อง

‘ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่ พักนี้อ่องเต้ส่งคนมาเฝ้าข้าที่จวนคงไม่ค่อยได้มีโอกาสส่งข่าวถึง แต่เรื่องล่าสุดที่ข้ารู้มาทำเอาข้าแปลกใจยิ่งนัก ไป๋ผูอวี้รู้จักกับจ้าวเซียวชิง’

ส่วนอีกฉบับเขียนถึงฮ่องเต้เจี่ยผิง

‘ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องสำคัญต้องการพูดคุยด้วยเป็นเรื่องด่วน ท่านนัดสถานที่มา แต่ต้องไม่ใช่วังหลวงข้าไม่อยากให้หลิวอ๋องสงสัย’

“นำไปให้องครักษ์ของฮ่องเต้ที”เขาพับจดหมายส่งให้หยางชวี ฝ่ายนั้นพยักหน้าก่อนออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ

~•~

หลังจากที่นำจดหมายไปส่งที่ร้านเถ้าแก่จาง จื่อฟางซื้อหนังสือเล่มใหม่มาสองเล่มก่อนมุ่งหน้าไปตามตรอกซีหมาน แม้ไม่อยากออกมาเจอกับอากาศหนาวเย็นแต่เมื่อคิดว่าจะได้เจอไป๋ผูอวี้ด้วย เขาจึงกัดฟันฮึดสู้ทั้งๆที่อยากนอนห่มผ้าหนาๆอยู่บนเตียงมากกว่า หยางชวีและจางต้าติดสอยหอยตามมาด้วยเช่นกัน ในรถม้าจุดกระถางไฟให้ความอบอุ่นระหว่างที่แล่นช้า ๆไปตามทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะบางมุ่งหน้าไปยังโรงน้ำชาหลิวซื่อ แม้อากาศจะหนาวแต่ผู้คนยังมาดื่มชากันตามปกติ


นัดแนะช่างไม้เพื่อมาตกลงราคาคร่าวๆก่อน

“ถึงแล้วคุณชาย”จางต้าเอ่ย ห่อตัวเมื่ออากาศเย็นๆปะทะเข้ามา จื่อฟางรีบลงจากรถม้าก้าวฉับๆเข้าไปในโรงน้ำชาทันที ภายในร้านผู้คนหนาแน่นเช่นเคย เขามองเห็นใบหน้าคุ้นตาของเด็กรับใช้ในร้าน ยกยิ้มเมื่อคิดได้ว่าไม่ได้มาก่อเรื่องที่นี่นานแล้ว เขาต้องเล่นบทเสิ่นจิ้งเฟยเสียหน่อยไม่เช่นนั้นก็น่าเบื่อแย่

“อะแฮ่ม มีโต๊ะว่างหรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถามกับเด็กรับใช้คนหนึ่ง ฝ่ายนั้นสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเอ่ยตะกุกตะกัก

“ยังมีที่ว่างด้านบนขอรับ แต่ห้องส่วนตัวเต็มหมดแล้ว”

“เต็มหมดแล้ว?เจ้าจะให้คุณชายอย่างข้านั่งอยู่ด้านนอกหรือ!”เขาแสร้งเอ่ยเสียงดังทำให้ลูกค้าหลายคนหันมอง ร่างบางกวาดตามองไปรอบ ๆจนพบว่าเว่ยหลงโผล่หน้าออกมาดูจากห้องเก็บชา ร่างนั้นเลิกคิ้วแต่คล้ายกับมองออกว่าเขาแกล้งทำจึงผลุบกลับไปเหมือนเดิม ว่าแต่ไป๋ผูอวี้ไปอยู่ที่ใดกัน เขาได้คำตอบทันทีเมื่อร่างของชายหนุ่มคุ้นตาก้าวออกมาจากห้องดื่มชาส่วนตัวห้องหนึ่ง ข้างกายมีคุณหนูฉินก้าวตามมา จื่อฟางขบกระพุ้งแก้มพยายามไม่แสดงท่าทีใด

“ข้าต้องการห้องส่วนตัว”


แสดงละครต่อ เห็นว่าอดีตนางเอกกวาดตามองด้วยสายตาปั้นปึ่ง นางหงุดหงิดอะไรของนางไม่ทราบ เขาคิดอย่างไม่พอใจเช่นกัน

“แต่ว่าคุณชายเสิ่น…”เด็กรับใช้ก้มหน้าอย่างลำบากใจ หยางชวีและจางต้ามองฉากตรงหน้าอย่างอ่อนใจรู้ดีว่าคุณชายเพียงแค่แกล้งเล่นเท่านั้น ท่านสนุกนักหรือที่ได้แกล้งคนพวกนี้ ผู้ติดตามลอบส่ายหน้าไปมา แต่มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มอย่างห้ามไม่ได้

“ท่านมาโวยวายเรื่องใดหรือคุณชายเสิ่น”ไป๋ผูอวี้เดินมาหยุดอยู่ข้างเด็กรับใช้ที่เขาจำได้ว่าแซ่อิ่น เด็กแซ่อิ่นแสดงสีหน้าโล่งใจเมื่อเห็นเขาพยักหน้าให้หลบไป

“ข้าต้องการห้องดื่มชาส่วนตัว”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 14:25:55 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
“ห้องส่วนตัวเต็มหมดแล้ว แต่ชั้นบนยังมีโต๊ะว่าง คุณชายเสิ่นไม่ลองไปดูหน่อยหรือ”ไป๋ผูอวี้ตอบช้าๆ กวาดตามองคุณชายเสิ่น นึกขำอยู่ในใจที่คุณชายท่านนี้มาแสดงละครในร้านสกุลไป๋ เจ้าคงว่างมากจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นห้องที่ข้าเคยนั่งบ่อย ๆก็เต็มสินะ ช่างน่าเสียดาย ข้าคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ”จื่อฟางยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับตัว คุณหนูฉินขมวดคิ้วมอง

“หากท่านยืนยันว่าต้องการจริงๆก็รออีกสักหน่อยเถิด”ชายหนุ่มกล่าว ฉินเซียงอินทำสีหน้ามึนงง คงไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะยอมพูดจาดีๆกับเขาถึงเพียงนี้ จื่อฟางแค่นเสียงในลำคอพยายามกลั้นรอยยิ้ม จึงเบนสายตามองฉินเซียงอินแทน

“ไม่พบคุณหนูฉินเสียนาน ท่านสบายดีหรือ”ร่างบางเอ่ยทัก คุณหนูฉินเพียงปรายตามองราวกับว่าเขาเป็นเศษฝุ่นที่ติดรองเท้าของนาง

“ข้าสบายดี”ฉินเซียงอินตอบพร้อมรอยยิ้มที่ปั้นแต่งมาอย่างดี ใบหน้ารูปไข่แดงเรื่อเพราะอากาศหนาวเสริมให้นางยิ่งดูน่าถนุถนอม จื่อฟางจ้องมอง อดยอมรับไม่ได้ว่าหญิงตรงหน้างดงาม แต่เสียดายที่นางไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับไป๋ผูอวี้ เขาย้ายสายตาไปหาบุรุษที่ยืนทำสีหน้าห่างเหิน ร่างนั้นส่งสายตาขบขันมาให้ราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา

“คุณชายเสิ่น เชิญด้านบน”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงสุภาพ ก่อนเดินไปส่งคุณหนูฉินที่ด้านนอก เขาหมุนตัวมอง เห็นหยางชวีทำสีหน้าไม่พอใจจึงใช้ศอกกระทุ้ง

“เจ้าเป็นไรไปแล้ว”

“เขาไม่ให้เกียรติคุณชาย”หยางชวีรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองแต่ก็อดพูดไม่ได้ อีกทั้งก็เข้าใจเหตุผลของการแสดงท่าทีเช่นนั้นของไป๋ผูอวี้ ในใจของเขามักต่อต้านคุณผู้นั้นเสมอ หยางชวีไม่สบายใจกับความคิดนี้ยิ่งนัก

“เจ้าบ้าหรือ”จื่อฟางพึมพำ เดินขึ้นไปบนชั้นสอง กวาดตามองก็พบว่ายังมีโต๊ะเหลือ หยางชวีกระแอมก่อนเอ่ยบอก

“ช่างไม้อยู่นั่นขอรับ”เขาพยักเพยิดไปทางโต๊ะด้านใน ดูเหมือนจะนั่งอยู่สักพักแล้ว จื่อฟางรีบเดินเข้าไปหา พยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างไม่มีพิธีรีตองเท่าใดนัก

“ท่านคือช่างไม้ที่ข้าตามหาสินะ”เขาเอ่ยถามพร้อมนั่งลง ช่างไม้พยักหน้า เขาเป็นชายผิวคล้ำสวมเสื้อผ้าไม่เก่าไม่ใหม่ท่าทางแข็งกระด้าง ช่างไม้เทชาให้


 ก่อนทำท่าเชื้อเชิญให้เขาดื่ม จื่อฟางกุมจอกชาไว้ในมือ

“ข้านามว่าชุนเหลียง ยินดีที่ได้รับใช้คุณชายเสิ่น”เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งๆคล้ายคนไม่ชิน จื่อฟางไม่ติดใจถึงอย่างไรก็ต้องทำงานด้วยกัน

“ข้าจะเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน”


หยิบกระดาษซวนจื่อออกมา เป็นแผนผังร้านค้าที่เขาออกแบบไว้ เขาส่งให้อีกฝ่าย ชุนเหลียงยกชาดื่มจนหมดก่อนรับไปดู กวาดตามองเร็วๆแล้วเหลือบมองหน้าเขา

“ท่านออกแบบเองหรือ”

“ใช่แล้ว แต่ข้าคิดว่ายังมีจุดที่ต้องแก้ไขอีกมาก”จื่อฟางไม่ได้เรียนด้านออกแบบแค่รักในการวาดภาพเท่านั้น ชุนเหลียงลูบคาง แววพอใจปรากฏอยู่บนใบหน้า

“อืม แต่ท่านก็วาดออกมาได้ดีจนข้าแปลกใจมากทีเดียว”เขาได้ยินว่าคุณชายเสิ่นมีฝีมือการวาดภาพ ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงเพราะลายเส้นพู่กันบ่งบอกว่าเป็นของคนที่ฝึกหัดมานาน

“ในการก่อสร้างข้าต้องการใช้ไม้แดง ไม้มะเกลือ ราคาไม่สูงมากนัก”


หยิบกระดาษอีกแผ่นออกมาส่งให้ชุนเหลียง เป็นกระดาษสำหรับคำนวณราคาไม้ วัสดุก่อสร้าง ค่าจ้างช่างไม้ คนงานก่อสร้างที่เขาคาดการณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว

“ขาดตกบกพร่องก็บอกข้า แต่งบต้องไม่เกินที่กำหนดไว้”จื่อฟางเอ่ยดัก เขาไม่จำเป็นต้องใช้ของราคาแพงอย่างที่เสิ่นจิ้งเฟยชอบ เขาต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ใครจะอยากทำการค้าแล้วขาดทุนเล่า แม้ว่าเงินทองจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จื่อฟางต้องการพิสูจน์ให้เสิ่นมู่หยางเห็นว่าเขาทำได้ ช่างไม้ชุนเหลียงมองคุณชายเสิ่นด้วยความแปลกใจ นึกว่าคนผู้นี้จะไม่เอาไหนไม่รู้เรื่องพวกนี้เสียอีก ทีแรกเขาตั้งใจจะคิดราคาก่อสร้างงามๆเสียด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนคุณชายเสิ่นจะคิดไว้ล่วงหน้า ใช้ไม้ไม่แพง มิใช่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นพวกหลงใหลของราคาแพงหรืออย่างไร จางต้าและหยางชวีก็ลอบแปลกใจเช่นกันไม่คิดว่าคุณชายจะจริงจังถึงเพียงนี้

“อะแฮ่ม ที่ท่านคำนวณมาก็เรียบร้อยดี แต่อย่างไรค่าใช้จ่ายก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง การก่อสร้างเริ่มปลายเดือนสองอากาศคงเริ่มดีขึ้นแล้วเพราะเข้าใกล้ฤดูวสันต์ ไว้ค่อยตกลงราคากันอีกที”ชุนเหลียงกล่าว

“ย่อมได้ ข้าไม่มีปัญหา”จื่อฟางพยักหน้า การพูดคุยราบรื่นกว่าที่คิด ชุนเหลียงไม่ใช่พวกจุกจิกแม้เขาจะมองออกว่าอีกฝ่ายคิดว่าเขาโง่เสียเต็มประดาจนไม่รู้ว่าควรคิดคำนวณตรงไหน เขาให้ตั๋วเงินสำหรับค่ามัดจำไว้

“ข้าคิดว่าเสนาบดีเสิ่นจะไม่อนุญาตให้ท่านทำการค้าขายเสียอีก ได้ข่าวว่าท่านสอบได้เป็นซิ่วไฉ ท่านไม่อยากเป็นขุนนางหรือ”ชุนเหลียงถามสิ่งที่คาใจ เรื่องที่เสิ่นจิ้งเฟยสอบผ่านเป็นที่พูดถึง ผู้คนในฉางอันต่างก็รู้ดีว่าคุณชายท่านนี้ไม่เอาไหน

“ข้าทำในสิ่งที่ข้าต้องการ ท่านพ่อไม่เกี่ยวเสียหน่อย”เขาไหวไหล่ รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมีคนถามถึงเสิ่นมู่หยาง

“คุณชายกล่าวเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ”จางต้าเอ่ยแย้ง หวาดกลัวว่าคุณชายเสิ่นจะถูกเอาไปพูดว่าเป็นบุตรอกตัญญูจื่อฟางไม่ได้ใส่ใจนักพูดคุยกับช่างไม้อีกสักสองสามประโยคก่อนที่จะแยกย้ายกลับ

“หากคุณชายไม่มีเรื่องใดแล้วข้าขอตัวก่อน”ชุนเหลียงยิ้มก่อนจะก้มตัวให้น้อยๆแล้วเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี


เหลียวมองรอบตัวพบว่าผู้คนเริ่มบางตาเพราะใกล้ถึงเวลาปิดของโรงน้ำชาแล้ว เขาหันมาอีกทีก็พบเว่ยหลงปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ


กระพริบตาไม่รู้ว่าคนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อใด

“คุณชายเสิ่น คุณชายไป๋รอพบอยู่ที่ห้องดื่มชาห้องเดิม”กล่าวจบชายร่างกำยำก็จากไปทันที จื่อฟางลุกขึ้นมองผู้ติดตามและบ่าวคนสนิท

“เจ้าสองคนลงไปรอด้านล่างก่อนก็ได้ คงใช้เวลาสักพัก”

“ขอรับ”จางต้ารับคำ หยางชวีเพียงส่งเสียงในลำคอเป็นการบอกว่ารับรู้

จื่อฟางสืบเท้าเดินมาหยุดอยู่ที่ห้องดื่มชาห้องเดิมที่เคยใช้ มองไปรอบตัวก่อนแหวกม่านมุกเข้าไปด้านใน พบว่าไป๋ผูอวี้นั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังเดินหมากด้วยท่าทางสุขุม

“มานั่งสิ เล่นกับข้าสักตา”เจ้าตัวเอ่ยชวนโดยไม่เงยหน้ามอง จื่อฟางนั่งลงตามคำเชิญ ขยับเสื้อคลุมขนแพะให้เข้าที่ หยิบตัวหมากสีดำมาวาง การเดินหมากครั้งนี้ไม่ได้เป็นการแข่งขัน เขาจึงไม่ได้กดดันว่าต้องชนะ การวางหมากจึงเป็นไปอย่างช้า ๆ

“เจ้าคงมีเรื่องอยากถามข้า”เจ้าท่อนไม้เป็นฝ่ายเอ่ยก่อน

“ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าสนิทกับคุณชายจ้าว ข้าแปลกใจมากทีเดียว”จื่อฟางเงยหน้าสังเกตอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้ายังคงเรียบนิ่ง

“หยางชวีไปรายงานเจ้าจริง ๆเสียด้วย”ไป๋ผูอวี้หัวเราะในลำคอวางตัวหมากสีขาวลงบนจุดตัด “และข้าเดาว่าเจ้าก็คงรายงานหลิวอ๋องแล้วเช่นกัน ถูกต้องหรือไม่”

“เจ้าจงใจหรือ”เขาเอ่ยถาม ขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่าย   

“อืม ข้าจงใจ ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะไม่มีเรื่องรายงานท่านอ๋องแล้วเขาจะสงสัยเอา”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเบา ๆ เขาจ้องมองเพื่อหาร่องรอยการประชดประชัน แต่ก็ไม่พบ

“เจ้าไปสนิทกับจ้าวเซียวชิงตั้งแต่เมื่อไหร่”จื่อฟางพึมพำ เทชาในกาให้ตัวเอง

“ข้าจะเล่าให้ฟังคร่าวๆก็แล้วกัน”ไป๋ผูอวี้ตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนี้ควรบอกเสิ่นจิ้งเฟยอย่างน้อยจะได้รู้ว่าคุณชายจ้าวก็เป็นสหายคนหนึ่ง เขาเล่าว่ารู้จักกับจ้าวเซียวชิงจากการสอบระดับอำเภอเมื่อสองปีก่อน หลังการสอบไป๋ผูอวี้ก็พบกับความเน่าเฟะของระบอบขุนนาง ความไม่เท่าเทียม การใช้อำนาจในทางที่ผิด บุตรขุนนางใช้อำนาจบิดาทำให้ผ่านการเข้าสอบ ผู้คุมบางคนเป็นคนช่วยเสียด้วยซ้ำทำให้เหล่าบัณฑิตที่มีความรู้กับต้องพลาดโอกาส เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรม ชายหนุ่มพบว่าจ้าวเซียวชิงก็มีความคิดเช่นเดียวกัน

ในคราแรกเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะคุณชายจ้าวเป็นสหายของเสิ่นจิ้งเฟยและยังเป็นบุตรขุนนางกังฉิน แต่ความคิดของคุณชายจ้าวค่อนข้างแตกต่างจากสหายคนอื่น ไป๋ผูอวี้ไม่คิดว่าภายใต้สีหน้าเบื่อหน่ายคล้ายคนง่วงนอนของจ้าวเซียวชิงจะเป็นเช่นนี้ เมื่อได้ฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายก็ต้องยอมรับว่าพวกเขามีความเห็นตรงกัน จากวันนั้นเขากับคุณชายจ้าวจึงลอบติดต่อพูดคุยอย่างลับๆเพราะเบื้องหน้าที่แตกต่าง จนก่อตัวเป็นชุมนุมบัณฑิต ตามด้วยผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางเข้ามาเกี่ยวข้อง

“เรื่องก็มีเท่านี้”กล่าวจบเขาก็ยกจอกชาดื่ม มองเสิ่นจิ้งเฟยที่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ราวกับกำลังใช้ความคิด

“ไม่คิดว่าจ้าวเซียวชิงจะมีความคิดเช่นนี้”จื่อฟางมองคนผู้นั้นผิดไป ขมวดคิ้วใส่ชายตรงหน้าเมื่อนึกถึงพฤติกรรมของคุณชายจ้าวเมื่องานเลี้ยงฉลอง

“เจ้าสั่งให้เขาทำดีกับข้าหรือ”

“เปล่า”ไป๋ผูอวี้ยิ้ม “จ้าวเซียวชิงเป็นห่วงเจ้าอย่างสหายคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาขอให้ข้าช่วยจับตามองเจ้าด้วยซ้ำ”ไป๋ผูอวี้บอก จื่อฟางแสดงสีหน้าแปลกใจ ก้มมองกระดานหมากก่อนวางหมากสีดำข้างๆตัวหมากสีขาวของไป๋ผูอวี้ เหลือบมองอีกคนที่กำลังครุ่นคิดว่าจะวางหมากลงที่จุดไหนจึงรู้สึกว่าอยากแกล้งขึ้นมา

“ไป๋ผูอวี้”เขาเอ่ยเรียก หมุนตัวหมากในมือเล่นไปด้วย

“หืม”อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอ ยังคงไม่ละสายตาจากกระดานหมาก

“ข้าคิดถึงเจ้า”จื่อฟางกลั้นยิ้มเมื่อเห็นร่างนั้นชะงักไปเล็กน้อย สายตาตวัดมองคล้ายกับรู้ทัน

“ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วอย่างไร”ไป๋ผูอวี้ตอบเสียงนุ่ม

“แต่ข้าอยากเจอเจ้าทุกวันนี่”จื่อฟางแกล้งทำสีหน้าเง้างอน ไม่รู้ว่าทำสีหน้าเช่นนี้แล้วเสิ่นจิ้งเฟยจะดูเป็นอย่างไร ไป๋ผูอวี้มองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนวางตัวหมากเสียงดังกึก

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าโตแล้วไม่ควรแสดงกิริยาเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้หลบสายตามองกระดานหมากเบื้องหน้า รอคอยให้คุณชายรูปงามเล่นต่อ 

“ข้าได้ยินว่าเจ้าเตรียมตัวทำการค้า”ชายหนุ่มเอ่ยเมื่อได้ยินว่าก่อนหน้านี้หยางชวีประกาศหาช่างไม้ ประจวบกับร้านผ้าของเถ้าแก่ชวีถูกรื้อถอนออกภายในวันเดียว

“ใช่ ข้าไม่อยากอยู่เฉย ๆ ร้านอยู่ใกล้กับโรงน้ำชาหลิวซื่อด้วย ห่างออกไปไม่ถึงสิบก้าวเอง”จื่อฟางตอบระหว่างที่เก็บตัวหมากที่กินได้

“เสนาบดีเสิ่นคงยังไม่รู้เรื่องกระมัง”ไป๋ผูอวี้ไม่คิดว่าเสนาบดีเสิ่นจะยอมให้บุตรชายทำการค้า ไม่เข้าใจคนสกุลเสิ่นนักเพียงเพราะเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่น่ะหรือ

“ไว้ข้าจะบอกเขาทีหลัง…”จื่อฟางตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย เสิ่นมู่หยางไม่ใช่เจ้าของชีวิตของเขา แม้ร่างกายนี้จะเป็นของบุตรชายของคนผู้นั้นก็เถอะ เขาหยิบขนมเบญจมาศเข้าปาก อยากถามไป๋ผูอวี้เรื่องของผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นการข้ามเส้นหรือไม่ 

“ดูเหมือนเจ้ามีเรื่องอยากถามข้า”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเมื่อเห็นสายตาสืบเสาะมองเห็นสีหน้าลังเลของเสิ่นจิ้งเฟย 

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะตอบได้รึเปล่า”

“เจ้าลองว่ามาสิ”

“เรื่องท่านผู้อาวุโสอวิ๋น”เขากระซิบเพราะกลัวมีคนได้ยิน “ข้าสงสัยว่าท่านผู้อาวุโสทำเช่นนี้เพื่อผู้ใดกันแน่”

ไป๋ผูอวี้นึกไปถึงบทสนทนาเมื่อนานมาแล้วก่อนเอ่ยบอกอีกฝ่าย

“ท่านผู้อาวุโสเคยกล่าวกับข้าว่ารอให้กลุ่มก่อกบฏเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักจะเกิดขึ้นเอง เจ้าคิดเห็นอย่างไรเล่า”เขาเคยคิดว่าบุคคลผู้นี้น่ากลัวอยู่ไม่น้อย เพราะผู้อาวุโสรู้ว่ากำลังมีเรื่องเกิดขึ้นกับฮ่องเต้เจี่ยผิง แต่เขาไม่คิดหยุดยั้ง ปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์

“เจ้าว่าไม่แปลกหรือ ท่านผู้อาวุโสปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้น เขารอให้ผู้ใดครองบัลลังก์กัน”จื่อฟางไม่อยากคิดต่อ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

“เจ้าของเดิมกระมัง”ไป๋ผูอวี้มองคุณชายเสิ่น ปกติแล้วเขาเห็นคุณชายท่านนี้ไม่สนใจเรื่องในราชสำนักจึงอยากรู้ความคิดของอีกฝ่ายบ้าง

“เจี่ยอี้นั่นน่ะรึ”จื่อฟางขนลุกซู่ ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยวาบเข้ามา เขาสูดหายใจเข้าลึกๆพยายามทำตัวให้เป็นปกติ

“ข้าไม่เก่งเรื่องการเมือง แต่การที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นคนปลดองค์ชายใหญ่ออก ย่อมต้องมีเหตุผล”

“เพราะเขาถูกใส่ร้าย”โดยปู่ของเจ้าและฮ่องเต้เจี่ยผิง บุรุษหนุ่มไม่ได้เอ่ยออกมาเพียงหยักยิ้มจาง

“การปกครองแผ่นดินไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนดีก็ปกครองได้…”จื่อฟางรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแต่เขาไม่อยากออกความเห็นเรื่องของเสิ่นฉินอี้ ในบางครั้งการเมืองก็ทำให้ผู้คนกลายเป็นปีศาจ

“เจ้าพูดเหมือนรู้จักเขา”ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้ว รู้สึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องปกปิดเขาอยู่

“แค่เคยเห็นเท่านั้น”

ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ นาน ๆครั้งเขาจะพูดเรื่องในราชสำนัก “เสิ่นจิ้งเฟย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ชมชอบฮ่องเต้ แต่เขาก็เป็นเจ้าแผ่นดิน ข้าไม่เห็นดีเห็นงามกับกบฏที่พยายามยึดครองบัลลังก์ การก่อกบฏของเจ้าเป็นเรื่องร้ายแรง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะถอนตัวออกมาทันหรือไม่”

“ข้าคิดทางหนีทีไล่ไว้แล้ว”จื่อฟางตอบเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าควรบอกไป๋ผูอวี้เรื่องที่ร่วมมือกับฮ่องเต้ดีหรือไม่

ชายหนุ่มร่างสูงมองเห็นสีหน้าหนักใจปรากฏอยู่บนใบหน้าหมดจดก็เลิกคิ้ว “เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือไร?”

“เจ้ายังไม่บอกเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังเลย”จื่อฟางตอบกลับหยิบขนมอีกชิ้นเข้าปาก เคี้ยวช้า ๆ ชายตามองชายอีกคนที่ยังคงทำสีหน้าคงเดิม ไม่คิดเอ่ยตอบคำถามของเขา


ยกยิ้ม เรื่องบางเรื่องก็มีเส้นของมันสินะ

“ข้าไม่ไว้ใจท่านผู้อาวุโสแม้ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่าบาทก็เถอะ”จื่อฟางถือโอกาสกล่าวต่อ “เจ้าทำงานให้เขาเท่ากับทำงานให้ฮ่องเต้ ข้าเพียงแค่ไม่สบายใจที่เจ้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก ไหนเจ้าว่าคนสกุลไป๋ไม่ข้องเกี่ยวกับอำนาจอย่างไร”เขาหยิบยกเรื่องนี้มาพูดเพราะเป็นห่วง บางคราไป๋ผูอวี้ก็ดื้อรั้น คนที่ยึดมั่นสูงไม่ว่าจะเป็นผู้ใดมักจะไม่ฟังผู้อื่น บางครั้งก็ทำเรื่องผิดพลาดได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งไป๋ผูอวี้

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลแต่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจัดการได้”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้า ๆ คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย น้ำเสียงของคุณชายเสิ่นคล้ายกำลังตำหนิตนอยู่ ทำให้นึกถึงอาจารย์หย่งสือ

‘สิ่งที่เจ้าทำเป็นการสูญเปล่า ความซื่อตรงของเจ้าจะนำภัยมาสู่สกุลไป๋’

“เอาเถอะ ข้าไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับเจ้า”จื่อฟางถอนหายใจ คิดว่าบรรยากาศในห้องเริ่มอึดอัดจนหายใจไม่ออกไป๋ผูอวี้จึงผ่อนคลายไหล่ที่ตึงเครียดลง

“ช่วงนี้ข้าฝึกเพลงขลุ่ย เจ้าอยากลองฟังหรือไม่”เขาเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ยามนี้ข้ายังเล่นกู่เจิงไม่ได้”จื่อฟางกล่าวเสริม

“ไม่เป็นไร ข้าอยากฟังบทเพลงขลุ่ยของเจ้า”ไป๋ผูอวี้ทำท่าเชื้อเชิญให้เขาเริ่ม เขาจึงกระแอมหยิบขลุ่ยเซียงตี๋ที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา ชายตรงหน้ามองขลุ่ยในมือของเขาดวงตาเป็นคลื่นไหว เป็นขลุ่ยเซียงตี๋ที่ไป๋ผูอวี้มอบให้ จื่อฟางรู้สึกประหม่าอยู่บ้างจึงหลับตาทำสมาธิ เริ่มเป่าบทเพลงที่จำจนขึ้นใจ เสียงขลุ่ยคล้ายกับสะกดให้สิ่งรอบกายเงียบงัน รับรู้ถึงสายตาของไป๋ผูอวี้อาบไปทั่วร่าง เมื่อจบเพลงจื่อฟางก็ลืมตาด้วยใจที่เต้นระรัว

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ ไป๋ผูอวี้ยังคงจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ทำให้ทำตัวไม่ถูก

“ข้าเพิ่งฝึกได้ไม่นาน”เขาพึมพำทำลายความเงียบ

“เจ้าเป่าได้ดี”ไป๋ผูอวี้เอ่ยชม รู้ดีว่าบทเพลงนี้เป็นบทเพลงหาคู่ของเผ่าเซียงตี๋ แม้เป็นบทเพลงง่ายๆแต่จังหวะท่วงทำนองขึ้นอยู่กับผู้เป่า ท่วงทำนองของเสิ่นจิ้งเฟยนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงคนึงหาและความโดดเดี่ยวทำให้เขาอยากสวมกอดร่างบางตรงหน้า ชายหนุ่มลุกจากที่นั่ง รู้ดีว่าเวลานี้ลูกค้าของโรงน้ำชากลับไปหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดมาขัดจังหวะของเขา 

ไป๋ผูอวี้ย่อกายจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกับคุณชายผู้มีใบหน้าหมดจด ร่างนั้นอ้าปากน้อย ๆเหมือนต้องการจะเอ่ยอะไรสักอย่าง 

“เจ้ายังมีข้า”เขากระซิบบอก

จื่อฟางสบตากับไป๋ผูอวี้ เข้าใจความเงียบที่ครอบคลุมโดยไม่ต้องเอ่ยวาจาใด 

~•~

จื่อฟางกลับมาที่จวนสกุลเสิ่นก็ตะวันคล้อยแล้ว หิมะหยุดตกเหลือเพียงอากาศเย็น หวังว่าวันรุ่งขึ้นอากาศจะไม่เลวร้าย เขาคิดระหว่างที่เดินมาถึงเขตเรือนของตนก็พบว่าเสิ่นมู่หยางยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในลานบ้าน มองสำรวจไปรอบตัวราวกับมีสิ่งใดให้มอง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ร่างของเสนาบดีเสิ่นในชุดขุนนางปักลายบอกขั้นตำแหน่งก็หันมามอง สีหน้าของอีกฝ่ายคาดเดาไม่ออกทำให้จื่อฟางหวาดหวั่นอยู่บ้าง

“เจ้าออกไปเที่ยวเตร่อีกแล้วหรือ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามบุตรชาย สอบถามบ่าวไพร่ในเรือนของมันก็ไม่มีผู้ใดรู้ เขาตวัดสายตามองหยางชวีอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ข้าได้ยินว่าเจ้าตามหาช่างไม้ เจ้าคิดทำสิ่งใด”

“ข้าอยากทำการค้า”เขาบอกกล่าวไปตามตรง ถึงอย่างไรก็ต้องบอก เพียงแค่ไม่คิดว่าเสิ่นมู่หยางจะรู้ข่าวเร็ว

“ทำการค้า?เจ้ารู้อะไรกับเขารึ นี่ไม่ใช่การเล่นขายของนะเฟยเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าเอาทองไปละลายทิ้งแน่”เสิ่นมู่หยางอยากจะเจาะศีรษะแข็งๆของบุตรชายดูว่าเจ้าเด็กนี่คิดอะไรอยู่

“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้าจัดการได้ ท่านรอดูเถอะ”

“เจ้ามันอวดดีนัก ข้าจะรอดูว่าเจ้าทำได้จริงไหม”

“เหตุใดท่านไม่เชื่อใจข้าบ้าง”เขาโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด จะมีครั้งไหนบ้างที่เสิ่นมู่หยางจะเอ่ยวาจาสนับสนุนบุตรชาย ขนาดไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงยังรู้สึกแย่ถึงเพียงนี้ 

“ที่ผ่านมาเจ้าทำตัวให้ข้าเชื่อหรือไม่เล่า”เสนาบดีเสิ่นเริ่มมีอารมณ์ขุ่นเคืองบ้างแล้ว สองพ่อลูกจึงขึ้นเสียงใส่กัน บ่าวรับใช้ในจวนต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้เห็นคุณชายเสิ่นถกเถียงกับนายท่านมานานแล้ว

“เจ้าไปเอาเงินจากที่ไหนมาใช้”

“ท่านปู่ทิ้งไว้ให้ข้าจำนวนหนึ่ง ทีนี้ท่านก็ว่าข้าไม่ได้แล้วว่าผลาญเงินท่านเล่น”จื่อฟางกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ เสิ่นมู่หยางต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายทีเพื่อสงบอารมณ์

“ข้าก็แค่บุตรชายไม่ได้เรื่อง ท่านอย่ามากะเกณฑ์กับข้านักเลย สู้เอาเวลาไปยุ่งกับบุตรชายอีกคนของท่านเถอะ”


อดเอ่ยค่อนแขวะไม่ได้ ยกยิ้มเยาะเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเสิ่นมู่หยาง เกิดความเงียบระลอกใหญ่

“ท่านไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำร้ายเขาหรอก ดีเสียอีก เด็กคนนั้นจะได้กู้ชื่อเสียงของสกุลเสิ่นกลับมา ท่านคงหวังให้เขาเป็นขุนนาง สกุลเสิ่นจะได้ไม่ขาดตอน”จื่อฟางเข้าใจดี แต่ความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาหายใจไม่สะดวก

“เฟยเอ๋อร์”เสิ่นมู่หยางพลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไม่คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะเอ่ยออกมาตรง ๆเช่นนี้

“ท่านมีเรื่องใดจะเอ่ยอีกหรือไม่ ข้าหนาว”จื่อฟางมองเสนาบดีเสิ่นทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนพอใจแล้ว เสิ่นมู่หยางไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด อ้าปากหมายจะพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ยอมแพ้หมุนตัวเดินออกมาจากเรือนของบุตรชาย เขามองมองส่ง นึกถึงเรื่องหนึ่งได้จึงเอ่ยถามบ่าวไพร่ในเรือนที่นิ่งเงียบเหมือนเป็นใบ้

“นี่พวกเจ้า ใต้เท้าเฉินยังอยู่ที่เรือนรับรองหรือไม่”

“ขอรับ”หนึ่งในนั้นเอ่ยตอบ เขาหันมองจางต้ากับหยางชวีที่ทำสีหน้าเช่นเดียวกับบ่าวรับใช้ในเรือน

“คุณชาย…”จางต้าเรียกเสียงอ่อย

“ข้าไม่เป็นไร”เขาทำใจยอมรับได้แล้ว จึงยิ้มดีดนิ้วใส่หน้าของบ่าวทั้งสอง

“ข้าจะไปพูดคุยกับใต้เท้าเฉินเสียหน่อย วันรุ่งขึ้นเขาคงกลับเมืองเสียนหยางแล้วกระมัง”

จื่อฟางออกเดินไปยังเรือนที่เฉินฉางเซียนพัก ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง บ่าวรับใช้ประจำตัวของใต้เท้าเฉินออกมารับหน้าก่อนจะเดินนำเข้าไปในเรือน เฉินฉางเซียงนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือ พอเห็นคุณชายรูปงามก็ละสายตาจากตำราเลิกคิ้วมอง

“เจ้ามีเรื่องใด”

“ข้ามาลาท่าน”จื่อฟางเอ่ย รู้สึกใจหายเล็กน้อย

ใต้เท้าเฉินปิดหนังสือดังฉับ “ทำอย่างกับข้าจะจากไปไกล ถ้าอยากเจอก็แวะมาหาข้าที่เสียนหยาง ข้าจะได้สั่งสอนเจ้าได้ถนัดถนี่หน่อย”

เฉินฉางเซียงได้ยินการถกเถียงของสองพ่อลูกก็อดรู้สึกเห็นใจเจ้าเด็กไม่เอาไหนขึ้นมา

“ถ้าข้ามีโอกาสข้าจะแวะไป”แม้จะขัดเขินอยู่บ้างแต่เขาก็ยอบกายนั่งคุกเข่ากับพื้นตรงหน้าใต้เท้าเฉิน กระแอมเบา ๆก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง

“ขอบคุณใต้เท้าเฉินที่สั่งสอนข้า ข้าขออภัยหากทำให้ท่านต้องปวดหัวไปบ้าง”กล่าวจบก็ก้มโขกศีรษะให้เฉินฉางเซียง แม้จะเจ็บแต่เขาก็กัดฟันโขกศีรษะจนครบสามครั้ง ใต้เท้าเฉินรับการคาราวะก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“เอาเถอะๆ ก็ไม่ได้ลำบากถึงเพียงนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย คิดทำสิ่งใดก็ไตร่ตรองให้รอบคอบ”เฉินฉางเซียงมองดูเสิ่นจิ้งเฟยก่อนเอื้อมมือตบบ่าเจ้าเด็กไม่รักดีเบา ๆ เรื่องที่ควรบอกก็บอกไปแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกไม่วางใจ เป็นห่วงเจ้าเด็กนี่ยิ่งนัก

“ยุ่งเกี่ยวกับฮ่องเต้ นับว่าเป็นเรื่องวุ่นวายไหมเล่า”

“อย่ามายอกย้อนข้า”เฉินฉางเซียงว่ากล่าวเสียงดัง มอง


ด้วยแววตาที่ผ่านโลกมามาก

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้ากับไป๋ผูอวี้…คิดทำสิ่งใดก็ระวังตัวให้ดี”

คำเตือนของใต้เท้าเฉินทำให้จื่อฟางนิ่งงันไป ชายชราผู้นี้รู้อย่างนั้นหรือ เขาทำสีหน้าไม่ถูก ใต้เท้าเฉินเอาเวลาใดมาสังเกต

“ข้าไม่ได้หาฝ่าฟาง จะได้ไม่รู้ว่าไป๋ผูอวี้ลอบมาหาเจ้าถึงในจวน”เฉินฉางเซียงส่ายศีรษะไปมา ไม่คิดว่าบุตรชายสกุลไป๋จะทำเรื่องไม่ยั้งคิด

“ข้าจะระวัง อาจารย์”เขาได้แต่พึมพำเบาๆ  รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย “ข้าจะจำคำที่ท่านสอนไว้ให้ดี”แม้จะไม่น่าได้ใช้ก็ตาม

“เฮอะ อย่าดีแต่พูดก็แล้วกัน”ใต้เท้าเฉินทำเสียงขึ้นจมูก โน้มตัวมาใกล้ๆ  “หากมีเรื่องขุ่นหมองก็แวะมาหาข้าที่เสียนหยาง”คำบอกกล่าวสั้นๆทำให้จื่อฟางรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ

“เจ้ากลับไปได้แล้วข้าอยากพักผ่อน”แต่ก็ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เฉินฉางเซียงคว้าไม้เท้ามาเคาะศีรษะของจื่อฟางเบาๆ

“ถ้าอย่างนั้นข้ากลับแล้ว”เขาคำนับก่อนออกมาจากเรือน ยกมือลูบหน้าผากป้อย ๆ ไม่คิดว่าโขกหัวแค่สามทีจะทำให้เจ็บจี๊ดๆได้


กลับมาที่เรือน จดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ที่หมอนกระเบื้อง เขาจึงรีบคลี่เปิดอ่านทันที

‘เช่นนั้นอีกสองวันยามจื่อ*มาพบกันที่หลุมศพกระต่ายที่เดิม’

อ่านจบก็พับจดหมายเก็บ แต่นั่งพักได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ผู้ติดตามก็นำข่าวเข้ามาในห้อง

“มีสหายมาพบคุณชายขอรับ”หยางชวีบอก

“เวลานี้น่ะเหรอ”สหายที่ว่าเป็นผู้ใดกัน

“ขอรับ ฟู่เทียนสือรออยู่ด้านนอก”หยางชวีกล่าวเสียงเรียบ แอบแปลกใจที่ชายเจ้าของคณะร้องรำแวะเวียนมาหาคุณชายเร็วกว่าที่คิด

จื่อฟางนิ่งงันไปอย่างไม่คาดคิด เขาเพิ่งเอ่ยถึงก็โผล่มาเลยหรือ “ให้เขาเข้ามา”

จื่อฟางบอกระหว่างที่หยางชวีก็นำชายมากเสน่ห์เข้ามาในห้อง ร่างนั้นสวมชุดคลุมขนแกะ ขนเตียวพันอยู่รอบคอ ใบหน้าคมแดงเรื่อเพราะอากาศด้านนอก ผู้ติดตามส่งเตาอุ่นให้แขกผู้มาเยือน ร่างสูงก้มตัวน้อย ๆอย่างถ่อมตัว

“ฟู่เทียนสือไม่เจอท่านเสียนานเป็นอย่างไรบ้าง”จื่อฟางเอ่ยทัก เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามานั่ง จัดการเทน้ำชาอุ่นๆใส่จอกให้ตามมารยาท ฟู่เทียนสือส่งเสียงฮัมในลำคอ นั่งลงตรงที่เก้าอี้ว่าง

“ข้าสบายดี วันนี้ตั้งใจแวะมาหาเจ้าโดยเฉพาะ ข้ามีความรู้สึกว่าอยากมาหาเจ้าอย่างบอกไม่ถูก อย่างที่เขาว่าได้ยินชื่อมิสู้พบหน้า”ฟู่เทียนสือกล่าวอย่างอารมณ์ดี

จื่อฟางลอบมองสำรวจบุรุษที่ดื่มชาอยู่เงียบๆ

“เจ้าไม่สบายรึ”ฟู่เทียนสือสังเกตสีหน้าของเสิ่นจิ้งเฟย ตอนเข้ามาได้กลิ่นสมุนไพรอวลอยู่ในห้อง กวาดตามองร่างบอบบางของอีกฝ่ายก็ไม่แปลกใจนัก

“ข้าดื่มยาสมุนไพรเพื่อบำรุงร่างกายเท่านั้น ว่าแต่ท่านตั้งใจมาหาข้าด้วยเรื่องใด”เขาวกเข้าเรื่องเดิม

ฟู่เทียนสือวางจอกชา “ข้าตั้งใจมาลาเจ้า”

“ลาข้า?ท่านจะไปที่ใด”จื่อฟางใจกระตุกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าแสดงสีหน้าแบบไหนออกมาเพราะฝ่ายนั้นหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“ข้าตั้งใจว่าจะออกเดินทางไปกับคณะร้องรำท่องเที่ยวตามสถานที่ใหม่ๆ การเดินทางคงกินเวลาหลายเดือน ข้าจึงคิดว่าควรแวะมาหาเจ้า ข้าตั้งใจไปให้ถึงภูเขาเหลียวตงเชียวล่ะ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่เขาว่ากันว่าที่นั่นสวยงามราวกับเมืองสวรรค์”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 14:27:13 โดย DuenTwinBII »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด