บทสิบเจ็ด:สุรากับคนงามไม่ใช่ของคู่กันกว่าจื่อฟางจะกลับถึงจวนสกุลเสิ่นฟ้าก็มืดแล้ว ที่หน้าประตูจวนมีเงาร่างของจางต้ายืนรออยู่ พอเห็นร่างของเขาลงจากรถม้า บ่าวรับใช้ก็รีบปรี่เข้ามาหาด้วยท่าทางเป็นกังวลทันที
“คุณชาย!”จางต้ารู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด “นายท่านรออยู่ที่ห้องรับรองขอรับ”บ่าวรับใช้รายงาน
จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ หันมองหยางชวีครู่หนึ่งเพื่อย้ำเตือนว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องในวันนี้ให้เสิ่นมู่หยางรับรู้เด็ดขาด ผู้ติดตามถอนหายใจ คิดอยู่เงียบๆว่าเขาหลับตาทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องของคุณชายเสิ่นมากี่ครั้งกี่หนแล้ว เด็กหนุ่มเดินลากขาเข้าไปในจวนที่เงียบสงบเช่นเคย โคมไฟถูกจุดตามทางเดินเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในห้องรับรองก็พบว่าเสิ่นมู่หยางกำลังเดินไปเดินมาด้วยท่าทางวิตกจริต ทันทีที่เห็นบุตรชาย ผู้เป็นบิดาก็รีบเดินมาหาด้วยสีหน้าร้อนใจ
“เหตุใดเจ้าถึงกลับจวนช้า”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามแม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่เขาอยากได้ยินคำตอบจากปากบุตรชายของตัวเองมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานว่าเสิ่นจิ้งเฟยออกจากวังหลวงได้ก็มุ่งหน้าตรงไปที่คฤหาสน์สกุลไป๋ทันที ทำให้เสิ่นมู่หยางถึงกับแปลกใจว่าบุตรชายของตนไปสนิทชิดเชื้อกับไป๋ผูอวี้ถึงขั้นนั้นตั้งแต่เมื่อใด เขาคงต้องสอบถามหยางชวีให้แน่ชัด
“ข้าแวะไปพูดคุยกับสหาย”จื่อฟางตอบเหมือนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าอยากพูดคุยกับไป๋ผูอวี้มากกว่าคุยกับข้า”เสิ่นมู่หยางพินิจมองบุตรชายราวกับต้องการมองให้ทะลุ “เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าเปลี่ยนไปมากจริง ๆ”
จื่อฟางได้ยินคำพูดอีกฝ่ายก็ทำหน้าซื่อ “ท่านพ่อคิดมากไปแล้ว ข้ายังเป็นเสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม จะมีก็แต่ท่านกระมังที่เปลี่ยน”เขาได้ทีย้อนกลับจนเสิ่นมู่หยางทำสีหน้าไม่ถูก
“ท่านพ่อมีเรื่องใดจะคุยกับข้าก็พูดมาเถิด ข้าชักเหนื่อยแล้ว”เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ รู้สึกว่าวันนี้ยาวนานเหลือเกิน เสิ่นมู่หยางกระแอม พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ นับวันยิ่งรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้เปลี่ยนไป แม้กระทั่งแววตาก็ไม่เหมือนเดิม
“ฮ่องเต้เรียกเจ้าไปคุยว่าอย่างไรบ้าง”เขาเอ่ยถามเรื่องนี้แทน
“ฝ่าบาทแค่ต้องการฟังข้าบรรเลงกู่ฉิน พูดคุยเรื่องการสอบระดับอำเภออีกเล็กน้อยเท่านั้น”จื่อฟางหลีกเลี่ยงรายละเอียดที่ไม่จำเป็น แต่คิดว่าเสิ่นมู่หยางคงเดาได้อยู่ดี เพราะสายตาของผู้เป็นบิดาหยุดอยู่ที่
ริมฝีปากของเขา
“เขาไม่ได้ทำเกินเลยเจ้า?”เขามองหน้าบุตรชายอย่างต้องการคำตอบ
“…”จื่อฟางเม้มปากอย่างอึดอัดเพราะถูกจ้องจนไม่สบายตัว
“เฟยเอ๋อร์ อันที่จริงข้ากังวลว่าฝ่าบาทจะเอ่ยเรื่องชายงามกับเจ้าอีก ถึงเจ้าจะเคยปฏิเสธไปแล้วแต่พระองค์คงไม่ยอมลามือโดยง่าย”เสิ่นมู่หยางกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ ฮ่องเต้เจี่ยผิงถึงกับส่งองค์รักษ์มาเฝ้าที่จวน คงไม่คิดปล่อยบุตรชายของเขาไปโดยง่าย แต่สวรรค์ยังเมตตาเพราะในตอนนี้สถานการณ์ในท้องพระโรงยังไม่สงบ ระยะนี้แถบชายแดนกำลังคุกรุ่น ฝ่าบาทจะทำเรื่องเหลวไหลเพิกเฉยต่อปัญหาอีกไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องฟังเสียงของเหล่าขุนนางทั้งหลาย หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้ฝ่าบาทชะลอการตัดสินใจไว้ก่อน
“ที่ท่านพ่อจะกล่าวคือ…”จื่อฟางรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องการจะเอ่ยอะไรสักอย่าง หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาเดือดร้อน
“นอกจากคุณหนูฉิน เจ้าไม่มีหญิงนางใดที่ชอบพอเลยรึ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยอย่างระมัดระวังรู้ดีว่าเรื่องนี้ทำให้บุตรชายอารมณ์เสีย
“เหตุใดท่านต้องอยากรู้”นั่นอย่างไร จื่อฟางแสร้งทำสีหน้ารำคาญใจ เริ่มเห็นเค้ารางว่าบทสนทนานี้จะจบลงที่ตรงไหน
เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายไม่ตอบคำจึงกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าหากเจ้าแต่งหญิงเข้าสกุล ฝ่าบาทอาจไม่กล้าทำเรื่องโจ่งแจ้งกับเจ้าในตอนนี้”จื่อฟางกระพริบตามองชายตรงหน้า เขาได้ยินถูกต้องหรือไม่
แต่งงานหรือ บ้าไปแล้ว
“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจความกังวลของท่าน แต่ข้าอายุยังน้อย เรื่องแต่งงานคงยังไม่จำเป็นกระมัง”เขาไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด เสิ่นจิ้งเฟยเพิ่งอายุเท่าไหร่กันเอง จะรีบแต่งไปไหน ชีวิตยังอีกยาวไกลนัก รีบเกินไปแล้ว
“อายุยังน้อย!ปีนี้เจ้าสิบแปดแล้ว ยังว่าน้อยอยู่อีกหรือ ตอนข้าอายุเท่าเจ้า มารดาเจ้าก็ตั้งท้องแล้ว”เสิ่นมู่หยางกล่าวเสียงดัง จื่อฟางอยากตอบโต้แต่รู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ด้วยยุคสมัยที่ต่างกัน
“ข้าไม่เหมือนท่านเสียหน่อย จะอย่างไรเสียข้าก็ยังไม่มีความคิดแต่งหญิงใด ข้ายังช้ำใจเรื่องคุณหนูฉินไม่หาย”เด็กหนุ่มจำต้องยกชื่อของฉินเซียงอินมาอ้าง
“ถ้าไม่แต่งภรรยาเอกก็แต่งอนุ”เสิ่นมู่หยางนึกอยากโขกศีรษะบุตรชายนัก สีหน้าท่าทางเช่นนี้เขารู้ว่าเจ้าตัวดีไม่มีทางยอมเปลี่ยนใจง่ายๆแน่
“เจ้าเป็นไรแล้ว เจ้าเองก็ไม่มีปัญหาเรื่องแต่งอนุไม่ใช่รึ”เสิ่นมู่หยางหรี่ตาลง จำได้ว่าเคยเกริ่นเรื่องนี้ไว้ ครั้งก่อนบุตรชายไม่ได้มีท่าทีต่อต้านรุนแรงเท่านี้
“ท่านพ่อ ถ้าหากข้าจะแต่งก็ต้องมาจากความต้องการของข้าเท่านั้น”จื่อฟางกล่าววาจาหนักแน่น เสิ่นจิ้งเฟยทิ้งปัญหาไว้ให้เขาจัดการก็หนักหนามากพอแล้ว อย่าให้เขาต้องมารับมือเรื่องแต่งอนุพวกนี้เลย
“ข้าก็ไม่อยากบังคับเจ้า แต่…”เสิ่นมู่หยางตามใจบุตรชายมาตลอด แต่หากจำเป็นก็ต้องบังคับ
“ท่านคิดว่าให้ข้าแต่งงานแล้วจะห้ามฝ่าบาทได้หรือ ข้าเกรงแต่ว่าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่เปล่า ๆ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทยัง…ยังไม่ต้องการข้าในตอนนี้”จื่อฟางพึมพำ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงอยู่ใกล้ตัวฮ่องเต้เจี่ยผิงถึงเพียงนั้น คงทำให้ฝ่าบาทชะลอเรื่องตัวเขาไว้ก่อน อีกอย่างฝ่ายนั้นคงคิดว่าอย่างไรเสียจื่อฟางก็หนีไม่พ้น นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า ชะตาของเสิ่นจิ้งเฟย…คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้วกระมัง
“เจ้าดูเข้าอกเข้าใจฝ่าบาทเสียเหลือเกินนะ”เสิ่นมู่หยางพลันหงุดหงิดขึ้นมา เขารู้ว่าในวัยเด็กบุตรชายเคยใช้เวลากับชายผู้นั้นอยู่บ้าง อา!ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด เสนาบดีเสิ่นได้แต่เดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่านใจ
“หรือเจ้า…เจ้าเกิดเปลี่ยนใจอยากเป็นชายงามของฮ่องเต้ขึ้นมา”เขาลดเสียงลง มองไปรอบตัวราวกับ
กลัวมีผู้ใดได้ยิน บุตรชายปรายตามองเขาอย่างเย็นชา
“ท่านรู้จักข้าดี ข้าไม่มีวันต้องการเช่นนั้น”
“เฮอะ ข้าคิดว่าเคยรู้จักเจ้าต่างหาก”เสิ่นมู่หยางหยุดมองใบหน้าหมดจดของเลือดเนื้อเชื้อไข มีเรื่องใดบ้างที่เจ้าเด็กนี่ปกปิดไว้
“จะอย่างไรก็แล้วแต่ ข้ายังไม่อยากแต่ง เรื่องนี้ให้ข้าตัดสินใจเองเถอะ อย่าทำให้ข้า…”จื่อฟางขบฟัน กลั้นใจเอ่ยคำพูดร้ายกาจออกไป
“อย่าทำให้ข้ามองท่านในแง่ลบไปมากกว่านี้เลย”คำพูดของเขาทำให้เสิ่นมู่หยางมีสีหน้าหลากหลาย เด็กหนุ่มเบนสายตาไปทางอื่น ในอกเริ่มมีอารมณ์แปรปรวนทำให้จื่อฟางอยากออกไปจากห้องรับรองใจจะขาด เขาไม่ต้องการอยู่กับเสิ่นมู่หยางในเวลานี้
“เฟยเอ๋อร์…”เสิ่นมู่หยางจ้องบุตรชายเขม็งอย่างอับจนคำพูด “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกเช่นนี้ เรื่องมารดาของเจ้า…”
“ท่านสัญญาไว้แล้ว”จื่อฟางโพล่งออกมาเป็นคำพูดในความทรงจำของร่างนี้ ความเจ็บปวดของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาตัวสั่น เจ้านั่นอารมณ์รุนแรงถึงเพียงนี้เรื่องของมารดาคงฝังลึกมากจริง ๆ
“ข้าเข้าใจหากท่านต้องการภรรยาใหม่ เพราะฉะนั้นท่านโปรดเข้าใจข้าด้วยเถอะ”จื่อฟางถอนหายใจ อยู่ ๆก็รู้สึกร่างกายใกล้หมดแรง
“ข้าจะกลับไปพักผ่อนที่เรือน”เด็กหนุ่มไม่อยากคุยต่อแล้ว เขาลุกจากที่นั่งรีบเดินออกมาจากห้องรับรองโดยไม่เหลียวมองสีหน้าของเสิ่นมู่หยาง เขาพบหยางชวียืนรออยู่นอกประตูด้วยใบหน้าก้มต่ำทำให้มองไม่เห็นสีหน้า เด็กหนุ่มไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ตามมาด้วย เสิ่นมู่หยางคงใช้เวลาไต่ถามเจ้านั่นอีกพักใหญ่กระมัง
จื่อฟางกลับมาถึงเรือนก็พบว่าจางต้าจัดเตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำไว้ให้เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้คนสนิทไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแค่ช่วยเขาถอดชุดคลุมกับเสื้อตัวกลางออกเงียบ ๆก่อนถอยไปรออยู่นอกฉากกั้น จื่อฟางหย่อนกายลงในถังน้ำ หลับตาผ่อนลมหายใจ น้ำร้อนช่วยผ่อนคลายร่างที่ตึงเครียดมาทั้งวัน เด็กหนุ่มค่อยๆจมไปกับความเหนื่อยล้าที่ครอบงำ
เสียงบรรเลงกู่เจิงแผ่วเบาดังขึ้นเป็นท่วงทำนองห่วงหา ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกเปลี่ยวเหงาไปด้วย แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มด่ำกับบทเพลง เขามาเพื่อยืนยันบางอย่าง เบื้องหน้ามีศาลาเล็ก ๆ หญิงงามนางหนึ่งกำลังจรดนิ้วลงบนกู่เจิง นางไม่ได้งามอย่างนางฟ้านางสวรรค์แต่เป็นความงามที่ทำให้ผู้คนสบายใจ ร่างนั้นก้มหน้าบรรเลงบทเพลงด้วยท่าทางจริงจัง ข้างกายมีเด็กชายตัวเล็กอายุราว ๆเก้าปีนั่งอ่านตำราอยู่ใกล้ ๆ เค้าโครงใบหน้าดูคุ้นตา
เสิ่นจิ้งเฟยขบฟัน กำมือจนเจ็บ จ้องมองฉากตรงหน้าผ่านผ้าคลุมที่สวมปกปิดรูปลักษ์ด้วยสายตาเย็นชา ท่านพ่อไม่เพียงมีอนุแต่ยังมีบุตรชายอีกคนซ่อนอยู่ด้วย จะให้เขารับความจริงเรื่องนี้ได้อย่างไร ท่านแม่ของเขาเล่า เสิ่นมู่หยางเอาไปไว้ที่ใด ไหนเคยตกปากรับคำเอาไว้ว่าจะไม่ให้ผู้ใดมาแทนที่ท่านแม่ ทั้งหมดล้วนเป็นคำพูดโกหกพกลม
ดูเหมือนสายตาชิงชังของเสิ่นจิ้งเฟยจะทำให้หญิงผู้นั้นรู้ตัว นางเงยหน้ามอง เขาตกใจจนก้าวถอยหลังจากต้นไม้ที่ใช้เป็นจุดกำบังจนสะดุดเข้ากับก้อนหินล้มก้นจ้ำเบ้า เสียงกู่เจิงหยุดลง เขาพยุงร่างกายลุกขึ้นหมายจะหมุนตัวหนี แต่หญิงนางนั้นร้องเรียกเสียก่อน
‘คุณชาย หยุดก่อนเถิด ให้ข้าดูว่าคุณชายไม่ได้รับบาดเจ็บ’เสียงของนางนุ่มนวล เสิ่นจิ้งเฟยแค่นเสียงไม่คิดอยากเสวนาด้วย เขาปัดเศษฝุ่นออกจากเสื้อผ้า มองนางปราดหนึ่งระหว่างที่ร่างนั้นก้าวมาถึงตัวเสิ่นจิ้งเฟย
‘ท่านแม่ มีเรื่องใดรึ’เด็กชายก้าวตามมารดาด้วยสีหน้าใคร่รู้ สายตากระจ่างใสมองมาที่เขาอย่างงุนงง
‘เหตุใดเจ้าทำตัวน่าสงสัย คิดร้ายต่อท่านแม่ของข้าหรือ’เด็กคนนั้นก้าวมาอยู่ตรงหน้า กางแขนปกป้องท่านแม่ของตัวเอง เสิ่นจิ้งเฟยจ้องมองจนทั้งเด็กและหญิงนางนั้นก้าวถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น
‘ข้าไม่มีความคิดแทนที่มารดาของคุณชาย’นางเอ่ยด้วยแสงแผ่วเบา แววตาเป็นประกายอ่อนโยน ยิ่งทำให้เสิ่นจิ้งเฟยสะท้านอยู่ในอก เด็กหนุ่มอ้าปากตอบคำแต่ก็ไร้คำพูด เขาอยากเกลียดนาง นอกจากความจริงที่ว่านางเป็นอนุของท่านพ่อ เขาก็หาสิ่งอื่นมาเกลียดชังไม่ได้ ความอ่อนโยนในดวงตาของนางทำให้เขานึกถึงมารดา เสิ่นจิ้งเฟยเลื่อนสายตามองเด็กตรงหน้า ใบหน้าที่ได้เค้ามาจากเสิ่นมู่หยางทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มเจ็บปวดเหมือนถูกกรงเล็บที่มองไม่เห็นบีบคั้น ท่านพ่อคงสมใจแล้ว หากเด็กคนนี้เติบใหญ่ เขาจะยังเป็นที่ต้องการอยู่หรือ? ความคิดนี้ทำให้เสิ่นจิ้งเฟยหนาวเหน็บ
‘ท่านแม่รู้จักคนแปลกหน้าผู้นี้หรือ’
‘ข้าไม่มีวันยอมรับพวกเจ้า’เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวเสียงเย็นชาปรายตามองสองแม่ลูกก่อนรีบหมุนกายจากไป จื่อฟางสะดุ้งตื่นเมื่อรับรู้ว่าน้ำอุ่นกำลังเข้าจมูก เขาจับขอบถังก่อนยันร่างขึ้นมาพิงขอบถังน้ำ จังหวะหัวใจยังคงเต้นถี่รัว อาการปวดหน่วงในอกค่อยๆจางหาย เขายกมือสัมผัสใบหน้าพบว่าน้ำตาไหลจึงเช็ดออกอย่างเลื่อนลอย ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาไม่สบายตัวอีกแล้ว เสิ่นมู่หยางแอบมีอนุจริง ๆทั้งยังมีบุตรชายอีกคนด้วย แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ดูไม่ใช่คนเลวร้าย ถึงอย่างไรเขาก็เข้าใจความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟย เจ้านั่นกลัวถูกบิดาทอดทิ้ง บางทีอาจมีความอิจฉาปะปนอยู่ด้วย เด็กหนุ่มนวดขมับ ย่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านนอก
“คุณชายเสิ่น นายท่านสั่งให้ข้ามาปรนนิบัติคุณชายเจ้าค่ะ”เสียงสาวใช้นางหนึ่งดังขึ้นนอกฉากกั้น จื่อฟางขมวดคิ้ว ปกติอี้เหมยจะเป็นคนมาปรนนิบัติเขา แต่วันนี้ไม่เห็นนางโผล่หน้ามา
“เป็นผู้ใด…”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ขยับตัวนั่งให้ถนัด
“ข้าน้อยลู่เฟยเองเจ้าค่ะ”เจ้าของเสียงตอบ จื่อฟางเลิกคิ้วเมื่อจำได้ว่าสาวใช้ผู้นี้คือสาวใช้ที่เคยปรนนิ
บัติเสิ่นจิ้งเฟยมาก่อน เสิ่นมู่หยางนี่จริงๆเลย เขาถอนหายใจก่อนส่งเสียงบอก “เข้ามา”
ลู่เฟยเดินเข้ามาด้วยท่าทางเรียบร้อย แต่แววตาเป็นประกายเย้ายวน เขากวาดตามองรวดหนึ่ง นางมีทรวดทรงองเอวชัดเจน ไม่แปลกที่เสิ่นจิ้งเฟยจะชอบ แต่อย่างไรเขาก็นึกภาพเจ้านั่นห้อมล้อมไปด้วยสาวงามไม่ออกจริง ๆ
“นานแล้วที่คุณชายไม่เรียกหาข้อน้อย ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปหรือ”นางเอ่ยถามระหว่างที่หยุดอยู่เบื้องหลังของจื่อฟาง
“เปล่า ข้าแค่เบื่อ”จื่อฟางตอบเพื่อตัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง เนื่องจากเด็กหนุ่มหันหลังให้อีกฝ่าย จึงไม่รู้ว่าเจ้าตัวทำสีหน้าอย่างไร
“คุณชายเสิ่น”ลู่เฟยทำเสียงน้อยใจ
“เจ้ารีบๆปรนนิบัติข้า แล้วก็รีบออกไปเสีย ข้าไม่อยากเสียเวลาพักผ่อน”จื่อฟางสั่งเสียงเด็ดขาดจนอีกฝ่ายไม่กล้าแย้งเช่นทุกที ลู่เฟยเม้มปาก หยิบไยบวบมาขัดแผ่นหลังเนียนขาวของคุณชายเสิ่นอย่างเบามือ ในใจครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือข่าวลือที่คุณชายชมชอบบุรุษเป็นเรื่องจริง พักนี้นางได้ยินว่าคุณชายสนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋ ทั้งยังเข้าได้ดีกับหยางชวี ไหนจะข่าวลือกับฮ่องเต้เจี่ยผิงอีก เรื่องล่าสุดที่เกิดขึ้นสดๆร้อนคือคุณชายไม่ยอมแต่งอนุ ลู่เฟยขมวดคิ้วเมื่อคิดว่าโอกาสที่ตนจะได้เป็นอนุยิ่งน้อยลงทุกครา
จื่อฟางหลับตาปล่อยให้สาวใช้ขัดเนื้อขัดตัว นางจงใจลากฝามืออ่อนนุ่มวนเวียนอยู่แถวแผ่นหลังของเขาก่อนลงมือบีบนวดบริเวณบ่าที่ตึงเครียดอย่างชำนาญ
“ให้ข้าน้อยดูแลคุณชายเสิ่นเถอะเจ้าค่ะ คุณชายก็รู้ว่าข้าน้อยมีฝีมือแค่ไหน”นางกระซิบใกล้ ๆ ทำเอาจื่อฟางขนลุกซู่ ร้อนวูบวาบไปทั้งร่าง เขาไม่ได้ชมชอบลู่เฟยแต่ร่างกายของเขาไม่ได้ผ่อนคลายจากอารมณ์ที่ตึงเครียดมานานแล้ว เด็กหนุ่มพยายามเมินเฉยต่อคลื่นอารมณ์ที่ค่อย ๆก่อตัว
“เจ้าขัดหลังให้ข้าเสร็จก็ออกไปได้”เขาออกคำสั่ง ขยับหัวไหล่จนอีกฝ่ายปล่อยมืออย่างเสียดาย นางทำเสียงอิดออดแต่ก็ไม่กล้าขัดคำพูดของเขา
“ข้าน้อยรอคุณชายเสิ่นได้เสมอ”ลู่เฟยกระซิบก่อนเดินออกไปทิ้งกลิ่นหอมจางไว้ จื่อฟางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
“คุณชายขอรับ”จางต้าส่งเสียงเรียกอยู่นอกฉากกั้น
“ว่าอย่างไร”เขาก้าวออกมาจากถังน้ำ คว้าชุดคลุมมาสวม
“ถ้าคุณชายอยากผ่อนคลาย...ข้ารู้จักสถานที่ที่คุณชายน่าจะชอบ”บ่าวรับใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล จื่อฟางเลิกคิ้ว
“ที่ไหนเล่า”
“เอ่อ ที่ที่มีนายบำเรอ...”จางต้าเอ่ยอย่างกระดากอาย
“ข้าไม่ต้องการนายบำเรอ”จื่อฟางกลอกตา เหตุใดเจ้านี่ถึงคิดว่าเขาต้องการนายบำเรอกัน
“อะแฮ่มแต่คุณชายต้องการไม่ใช่หรือขอรับ...”
จื่อฟางไม่ได้ใส่ใจฟังนัก เขาใจลอยไปถึงไป๋ผูอวี้ ดูเหมือนว่าเสิ่นมู่หยางจะเริ่มสงสัยแล้ว เรื่องระหว่างเขากับไป๋ผูอวี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เขาไม่มีทางปล่อยให้พังทลายแน่ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่มั่นใจในหลายๆเรื่องเช่นเรื่องที่ไป๋ผูอวี้ทำงานให้ท่านผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลาง ซึ่งอวิ๋นเซียนหลางเป็นขุนนางเก่าของฮ่องเต้องค์ก่อน คนผู้นี้ต้องการปกป้องฮ่องเต้เจี่ยผิงจริงหรือไม่กันแน่ เขาเดาไม่ออก ตัวไป๋ผูอวี้น่าจะทราบดีว่าการเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสไม่ชัดเจน
“คุณชายกับไป๋ผูอวี้ ข้าไม่อยากให้ท่านหลวมตัวไปกับเขา...”เสียงของจางต้าดังเรียกสติ บ่าวรับใช้คนสนิทเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาที่แฝงไปด้วยความกังวล
“คุณชายรู้จักนายท่านเสิ่นดี นายท่านไม่มีทางเห็นด้วย ตัดใจเสียตอนนี้ดีกว่าเจ็บปวดทีหลังนะขอรับ”
จื่อฟางไม่ได้เอ่ยตอบเพียงยกยิ้มน้อย ๆก่อนก้าวออกมานอกฉากกั้น บ่าวรับใช้สะดุ้งเล็กน้อย คุกเข่าก้มหน้ามองพื้นราวกับกลัวถูกลงโทษ
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ข้าก็ยังอยากเสี่ยง”เขาพึมพำอ้าปากหาวนอน เดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะแต่งตัว มองเงาสะท้อนในคันฉ่อง หยิบกระปุกยาที่ไป๋ผูอวี้ให้มาทาลงบนรอยช้ำที่ฮ่องเต้ทิ้งไว้ จางต้ารีบนำผ้ามาเช็ดผมที่เปียกแฉะให้ผู้เป็นนาย แอบลอบถอนหายใจเบา ๆ ระหว่างนั้นหยางชวีก็กลับมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย แต่จางต้าสังเกตเห็นหัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันของอีกฝ่าย
“คุณชายเสิ่น ข้าน้อยมีเรื่องอยากคุยด้วย”หยางชวีหยุดอยู่หน้าประตู สายตาจ้องมองมาที่คุณชาย
“ข้าต้องออกไปหรือเปล่า”จางต้าเอ่ยหยอกล้อ ผู้ติดตามไม่ได้กล่าวแย้ง ยังคงมองไปที่คุณชายเช่นเดิม เขาพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการพูดกับคุณชายเสิ่นด้วยเรื่องใด แววตาเช่นนี้เขารู้จักดี เป็นแววตาของผู้ที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาปล่อยผ้าเช็ดผมก่อนถอยออกไปนอกห้องอย่างรู้หน้าที่
จื่อฟางเหลือบมองหยางชวี พยักหน้าให้อีกฝ่ายรับรู้ ร่างนั้นก้าวเข้ามาจนอยู่ในระยะที่พอเหมาะ
“เจ้าต้องการคุยเรื่องใด รีบๆหน่อยก็ดี วันนี้ข้าเจอแต่เรื่องปวดหัว”เด็กหนุ่มใช้ผ้าซับผมให้แห้งไปด้วยระหว่างที่กวาดตามองผู้ติดตาม หยางชวีมีท่าทีแปลกไปตั้งแต่เมื่อตอนที่ออกมาจากวังหลวง ชายผู้นี้ดูไม่เป็นตัวเองเหมือนมีเรื่องอยู่ในใจ
“คุณชายยังจำเรื่องที่เคยเอ่ยถามข้าได้หรือไม่ เรื่องเกี่ยวกับนายท่าน”หยางชวีเอ่ยอย่างไม่รอช้า เขาเองก็ไม่อยากกล่าววาจายืดเยื้อ
“อืม”จื่อฟางหยุดมือที่กำลังเช็ดผม มองผู้ติดตามด้วยสายตาจริงจัง “ข้าเคยถามเจ้าว่า
การมารับใช้ข้าถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณให้ท่านพ่อหรือไม่ ข้าจำได้ว่าเจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย”จื่อฟางยิ้ม เมื่อสบกับแววตาตั้งมั่นของอีกฝ่ายรอยยิ้มก็จางลง
“เจ้าพร้อมจะตอบแล้ว?”
“ข้าเคยคิดว่าชีวิตนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการได้ตอบแทนบุญคุณของนายท่าน ข้าเติบโตมาด้วยความคิดเช่นนี้ จนกระทั่งข้าได้พบคุณชาย ข้าไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดแต่ข้าอยากปกป้องท่าน เดิมทีข้าคิดว่าการติดตามคุณชายเป็นงานที่ไร้สาระ ข้าต้องการตอบแทนบุญคุณของนายท่านถึงได้รับคำ แต่นานวันเข้ากลับเปลี่ยนเป็นความตั้งใจของข้าเอง”หยางชวีกล่าวเสียงเบาอย่างไม่เป็นตัวเอง เขาไม่ถนัดเรื่องเช่นนี้ แม้จะรู้สึกผิดต่อศิษย์พี่และนายท่านเสิ่น แต่ความตั้งใจของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว คุณชายไม่เอาไหนผู้นี้เปลี่ยนความคิดของเขา
“เจ้าสารภาพความในใจกับข้ารึ”เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆแกล้งเอ่ยหยอกล้อ แต่หยางชวียังอยู่ในโหมดจริงจังพลานทำให้เขาอึดอัด
“คุณชายเสิ่น ข้าตัดสินใจแล้ว”หยางชวีกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ข้าสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อคุณชาย”
จื่อฟางนิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง สบตากับชายตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ แรงหนักอึ้งในใจค่อยเบาลง “ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนี้”เขาเหนื่อยกับการที่ต้องระแวงคนใกล้ตัวแล้ว
“เรื่องของคุณชายกับไป๋ผูอวี้ข้าไม่ได้บอกนายท่าน”หยางชวีกล่าว รู้สึกบอกไม่ถูกอยู่บ้าง แน่นอนว่า
เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน ในเมื่อเป็นเรื่องของคุณชายเสิ่น เขาไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นหรือเข้าไปสอดได้อยู่แล้ว
“ขอบใจ”จื่อฟางพินิจมองหยางชวี ดูเหมือนคืนนี้เขาจะไม่ได้นอนง่ายๆเสียแล้ว
“จางต้า เข้ามาด้านในเถอะ”เด็กหนุ่มเรียก บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกรีบโผล่เข้ามา อย่างน้อยจางต้าก็อยู่รับใช้ข้างกายเสิ่นจิ้งเฟยมาตั้งแต่เด็ก เจ้าเด็กนี่ก็สมควรรู้ความจริงเช่นกัน
“เอาล่ะ ก่อนอื่นข้ามีเรื่องอยากบอกให้พวกเจ้ารู้ไว้”จื่อฟางมองผู้ติดตามและบ่าวรับใช้ด้วยสายตาจริงจัง ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลิวอ๋อง เขาไม่ได้เล่าให้ฟังทั้งหมดเพียงเล่าคร่าว ๆเท่านั้น สีหน้าของจางต้าและหยางชวีเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่ากบฏ
“คุณชายข้าไม่คิดว่าท่านจะกล้าทำ ข้าคงฝันไปแน่ๆ”จางต้าพึมพำ ลอบหยิกแขนตัวเอง แต่ก็พบว่าตนไม่ได้ฝัน คุณชายเสิ่นของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร หากเล่าให้ผู้คนฟังคงไม่มีผู้ใดเชื่อทั้งยังโดนหัวเราะเยาะแน่
“ข้าคิดอยู่ตลอดว่าท่านมีเรื่องปิดบัง แต่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องนี้ ท่านบ้าไปแล้วหรือ ท่านคิดทำสิ่งใดอยู่”หยางชวีตำหนิ ไม่คาดคิดว่าคุณชายที่ดูไม่เอาไหนคนหนึ่งจะทำเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ทั้งยังร่วมมือกับอ๋องสาม บุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะมาร่วมมือกันได้
“ข้ามีเหตุผล”แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจเหตุผลของเสิ่นจิ้งเฟยก็ตาม “อันที่จริงข้าร่วมมือกับฝ่าบาท เขาถึงส่งคนมาเฝ้าที่จวน”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบาเท่าที่จะทำได้ หยางชวีเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรกับข้อมูลนี้
“ฝ่าบาทไว้ใจท่านด้วยหรือ ข้าหมายถึงท่านคือคนที่ร่วมมือกับหลิวอ๋อง”ผู้ติดตามขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก ตกลงความสัมพันธ์ของฮ่องเต้และคุณชายเป็นเช่นไรกันแน่
“เขามีเหตุผลที่ไว้ใจข้า”จื่อฟางมองหยางชวีครู่หนึ่ง ไม่ได้กล่าวไปมากกว่านั้น ความลับเรื่องที่เขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ถึงเวลาที่ควรบอก และเขาก็ไม่แน่ใจว่าสมควรบอกผู้ใดหรือไม่ แม้ลึกๆแล้วจื่อฟางอยากให้ไป๋ผูอวี้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร เขาไม่อยากใช้ชีวิตใต้เงาของเสิ่นจิ้งเฟยไปตลอดกาล จื่อฟางคือชื่อของเขา
สักวันหนึ่งเขาหวังว่าจะได้บอกชื่อนี้กับไป๋ผูอวี้
~•~
เข้าสู่วันที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง ฤดูวสันต์มาเยือน หิมะตกปกคลุมทั่วฉางอัน ผลการสอบระดับอำเภอประกาศแล้ว ที่น่าแปลกใจก็คือเสิ่นจิ้งเฟยบุตรชายไม่เอาไหนของเสนาบดีกรมพิธีการสอบผ่าน บ่อนพนันต่างไม่คาดคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะสอบผ่าน เสิ่นมู่หยางพอใจมากแม้บุตรชายจะสอบผ่านเป็นแค่บัณฑิตซิ่วไฉแต่ก็ถือว่าดีมากแล้ว ผู้คนที่รู้จักเสิ่นจิ้งเฟยย่อมรู้ดีว่าความเป็นไปได้มีน้อยแค่ไหน เขาจึงจัดงานเลี้ยงฉลองให้บุตรชายที่โรงเตี๊ยม บรรดามิตรสหายของเสิ่นจิ้งเฟยถูกเชิญมาร่วมงานเลี้ยง เสนาบดีเสิ่นยอมให้บุตรชายทำตัวเหลวไหลได้หนึ่งวัน
ในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะ เสียงบรรเลงเครื่องดนตรี และกลิ่นสุรา จื่อฟางกวาดตามองผู้คนรอบตัว โต๊ะห่างออกไปมีไป๋ผูอวี้นั่งอยู่ เขาถูกเชิญมาด้วยเช่นกันเพราะมีส่วนช่วยสอนหนังสือให้เสิ่นจิ้งเฟย ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลานั่งจิบสุราอยู่เงียบ ๆ ใช่แล้ว สุรา!ทีแรกจื่อฟางคิดว่าตัวเองตาฝาดไปเสียด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าคนอย่างท่อนไม้ไป๋จะดื่มสุรา ไป๋ผูอวี้แสดงท่าทางชัดเจนว่าไม่อยากสนทนากับผู้ใดและต้องการนั่งอยู่เงียบ ๆ เว่ยหลงติดสอยห้อยตามยืนเป็นเงาตะคุมอยู่ด้านหลังจนคนไม่กล้าเข้าใกล้ เจ้านั่นไม่แตะจอกสุราแม้แต่นิด
ผิดกับจื่อฟางที่ข้างกายมีหญิงคณิกาขนาบข้าง นางคือลู่เจียงสาวงามหน้าคมที่เขาเคยเจอที่หอผูเยว่ นางกำลังคีบเนื้อย่างใส่ปากเขา เด็กหนุ่มจำต้องอ้าปากรับ เคี้ยวอย่างยากเย็น ผู้ที่ร่วมโต๊ะเดียวกันคือสหายกลุ่มเดิมนั่นคือหลินเจียงหยงที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามานาน ร่างนั้นดื่มสุราเงียบ ๆ สายตาสอดส่องมองมาที่เขาอย่างใคร่รู้ เขาเพียงถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด หมอนั่นหัวเราะก่อนหันไปสนใจสาวงามข้างกายแทน ทางซ้ายมือของเขาคือจ้าวเซียวชิงที่ไม่ได้ดูง่วงซึมอีกต่อไปกำลังคลอเคลียสาวงาม มือหนึ่งถือจอกสุรา อีกมือหนึ่งก็วุ่นวายอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของนาง และแน่นอนคนสุดท้ายจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากหลี่ฮุ่ยจือที่กำลังยกจอกสุราดื่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายตาปราดมองมาที่เขาบ่อยครั้ง ไม่ได้เจออีกฝ่ายนานเขาพบว่าร่างนั้นดูผ่ายผอมไปไม่น้อย
“เจ้าป่วยหรือ หลี่ฮุ่ยจือ”จื่อฟางแกล้งเอ่ยถามราวกับเรื่องระหว่างหลี่ฮุ่ยจือไม่เคยเกิดขึ้น เจ้าตัวคล้ายกับไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ่ยทัก
“อ้อ เปล่า ข้าเพียงคิดถึงเจ้าเท่านั้น”หลี่ฮุ่ยจือยังคงเป็นเช่นเดิม สายตาที่มองมายังหวานเยิ้มชวนขนลุก เขารับรู้ว่าถูกสายตาของไป๋ผูอวี้ที่อีกฝากหนึ่งจ้องมองจึงทำทีหันมองรอบกายก่อนสบตากับชายหนุ่ม ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วน้อยๆเหมือนต้องการสื่ออะไรสักอย่าง จื่อฟางเลิกคิ้วกลับ
ข้าไม่เข้าใจ“อะแฮ่ม”หยางชวีกระแอมกระไอมาจากด้านหลัง เขาหันมอง หรี่ตาลง “อะไรติดคอเจ้าไม่ทราบ”
“ระวังหน่อยคุณชาย นายท่านยังอยู่”ผู้ติดตามโน้มตัวมากระซิบเบา ๆ ลมหายใจเป่ารดต้นคอของจื่อฟาง เขามองไปทางเสิ่นมู่หยางที่ร่วมโต๊ะกับขุนนางในกรม คนที่มาร่วมงานฉลองส่วนมากเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าเคยเห็นที่จวนเป็นบางครั้ง จื่อฟางเบนสายตากลับมามองหยางชวีที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกครั้ง จะว่าไปหยางชวีก็รอบคอบมาก ไหสุราของเขาจึงเต็มไปด้วยน้ำเปล่าผสมสุราเพียงน้อยนิดพอให้มีกลิ่นป้องกันไม่ให้เขาเมาแล้วทำเรื่องเหลวไหล ลู่เจียงหญิงคณิกาคล้ายกับเดาออกแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางรินสุราให้เขาเงียบ ๆ
“คุณชาย ไม่คิดมาเยี่ยมหาข้าน้อยเลยหรือ”นางเอ่ยใกล้ๆใบหูชวนให้จั้กจี้
“ข้าไม่ค่อยว่าง แต่ไม่ต้องห่วง ข้าหาได้ลืมเจ้า”เด็กหนุ่มจำต้องเอ่ยไปตามสถานการณ์ ลู่เจียงยกยิ้มเอนกายเข้าใกล้ หลี่ฮุ่ยจือไม่ค่อยพอใจนัก โน้มตัวมาหาเขาจนได้กลิ่นสุราจากอีกฝ่าย