37ความสุขของครอบครัว
“ถอดเสื้อออกสิ”น้ำเสียงอันเรียบนิ่งสั่งก่อนที่จะวางกะละมังน้ำอุ่นลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ร่างสูงโปร่งของขนมผิงนั่งลงที่ริม
ขอบเตียงเช่นเดียวกับปิญญ์ชานนท์ มือขาวพลางบิดผ้าขนหนูชุ่มน้ำอุ่นให้แห้งหมาด
“ถอดให้ฉันหน่อยสิ”
ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายก่นจะถอนหายใจ เขาคงจะปฏิเสธอะไรไม่ได้มากหากปิญญ์ชานนท์ยังคงรับบทบาทของ
คนเจ็บและสาเหตุก็คือตัวเขาเองที่ทำให้เป็นแบบนี้ กระดุมเม็ดเล็กๆค่อยๆถูกปลดทีละเม็ดเผยให้เห็นแผงอกแน่นไปด้วยกล้าม
เนื้อแน่นขนัด ไล่ลงมาก็เป็นหน้าท้องที่พอกระดุมถูกปลดออกปิญญ์ชานนท์ก็สูดสายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนที่หน้าท้องที่ขนม
ผิงเห็นแวบๆว่ามันนูนออกมาจะหายไป
“หึหึ”อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาเล็กๆ ปรายตามองหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายก่อนจะจัดการถอดเสื้อของปิญญ์ชานนท์
ออก
“นายหัวเราะอะไร”
“ผมเปล่าหัวเราะ คุณคงจะคิดไปเอง”ขนมผิงปฏิเสธเสียงเบาหันไปหยิบผ้าผืนเล็กที่เตรียมเอาไว้เช็ดลงบนแผงอก
“ก็เห็นๆกันอยู่”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิดครับ”
“ช่วงนี้งานฉันยุ่ง อีกอย่างก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาล ฉันเลยไม่มีเวลาไปเข้าฟิตเนสน่ะ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณ”
“ก็นายหัวเราะเยาะฉันนี่”
“ผมเปล่า”
“ช่างเถอะ พอฉันหายดีแล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม คอยดูนายจะต้องอึ้งถ้าได้เห็นมัน”
“ครับ ขอให้มันเป็นอย่างนั้น”ขนมผิงตอบรับ ริมฝีปากบางอมยิ้มเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าความอึดอัดที่
มีมันเริ่มค่อยๆจางหายไปทีละน้อยทำให้เขานั่งต่อปากต่อคำกับปิญญ์ชานนท์ได้โดยที่ไม่โดยที่ไม่ลุกหนีเสียก่อน
“ว่าแต่นายได้คิดเอาไว้รึยัง”
“มีอะไรที่ผมจะต้องคิด?”
“ชื่อลูกสาวคนนี้ของเราไง นายได้คิดเอาไว้รึยัง”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงเบา ดวงตาคู่คมกริบทอดมองมายังเสี้ยวหน้านิ่งๆ
ของอีกฝ่าย มือใหญ่เอื้อมเข้ามาหาก่อนจะวางลงบนแผ่นท้องของขนมผิงอย่างเบามือและลูบไปมาอย่างทะนุถนอม น่าแปลกที่
ขนมผิงกลับยอมให้เขาสัมผัสโดยที่ไม่ปัดมือของเขาออกเสียก่อน
“เรื่องนั้นผมยังไม่ได้คิด แล้วคุณรู้ได้ไงว่าเด็กที่อยู่ในท้องของผมเป็นผู้หญิง”ทั้งที่เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเด็กในท้องเป็น
เด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย
“ก็ฉันอยากได้ลูกสาวนี่ เด็กผู้หญิงน่ารักๆ ฉันคิดเอาไว้แล้วนะว่าจะให้ลูกชื่ออาลัว มันเป็นชื่อของขนมที่ฉันกินบ่อยๆก่อน
หน้านี้”
“แล้วถ้าเกิดว่าไม่ใช่ผู้หญิงล่ะ”ขนมผิงถามออก จริงๆแล้วเขาจะต้องห้ามไม่ให้ปิญญ์ชานนท์ก้าวล้ำเส้นที่ขีดเอาไว้มากเกิน
ไป แต่ทำไมเขาถึงยังรับฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมาเกี่ยวกับลูกในท้องและหนำซ้ำยังตอบกลับราวกับเป็นบทสนทนาที่ไม่มีอะไร
เคลือบแคลง
“ต้องเป็นผู้หญิงสิ เพราะว่าฉันอยากได้ลูกสาว”
“มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้ทุกอย่างที่ต้องการหรอกนะ”
“ทำไมล่ะ นายไม่คิดเหมือนกันเหรอ”
“แล้วทำไมคุณถึงอยากให้ใช้ชื่อนั้นล่ะ”
“อาจเป็นเพราะว่าชื่อนี้มันหวานเหมือนกับชื่อของนายก็เป็นได้ ถึงฉันจะยังไม่เคยกินขนมผิงก็เถอะแต่ฉันก็คิดว่ามันต้องทั้ง
หอมแล้วก็หวานมากแน่นอน”คำพูดของปิญญ์ชานนท์ทำให้ใบหน้าของขนมผิงร้อนวูบ ดวงตาคู่สีโศกวูบไหวเมื่อใบหน้าหล่อ
เหลานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ฝ่ามือร้อนประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ให้หยุดนิ่งไม่สามารถเบือนหนีไปทางไหนได้
จมูกโด่งแตะลงบนแก้มของเขาเบาๆ ดวงตาคมกริบนั้นจ้องมองเข้ามาในตาของเขาราวกับกำลังสะกดให้มันยินยอมและ
หลับตาลงตอบรับริมฝีปากได้รูปที่บดเบียดลงมาอย่างบางเบา ลิ้นร้อนชื้นแตะลงมาบนกลีบปากสอดแทรกเข้ามาภายในตักตวง
และป้อนความหวานเจือความขมให้กับเขา หัวใจของขนมผิงสั่นรัวเมื่อมือใหญ่ของปิญญ์ชานนท์นั้นแตะเข้ามาที่บั้นเอวสอดเข้า
มาใต้เสื้อเชิ๊ตก่อนจะสัมผัสกับผิวหนังของเขา มือนั้นมันช่างร้อนผ่าวราวกับเปลวไฟทำให้ต้องสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะผลักร่างของ
ปิญญ์ชานนท์ออก
“ผมคิดว่าผมเช็ดเสร็จแล้ว ผม…จะเอาของไปเก็บที่เดิม”พูดจบขนมผิงก็เดินถือกะละมังน้ำอุ่นหนีเข้ามาในห้องน้ำ
ขนมผิงจ้องมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก ใบหน้าที่ช่างน่าอายเมื่อสีของมันแดงเรื่อไปจนถึงใบหูหัวใจเจ้า
กรรมที่มันอยู่ในอกก็ยังคงเต้นรัวจนต้องยกมือขึ้นมาทาบไว้บนอก
ทางด้านปิญญ์ชานนท์เขายังรู้ดีว่าขนมผิงนั้นเช็ดตัวให้เขายังไม่เสร็จแต่เนื่องด้วยอะไรบางอย่ามันทำให้เขาไม่สามารถรั้ง
ขนมผิงเอาไว้ได้ กายที่ผงาดอยู่ภายใต้ร่มผ้านั่นทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนจะใช้มือขยี้ไปที่ผมของตัวเองแรงๆเมื่อมัน
ไม่เป็นดั่งใจ ความจริงแล้วเขาเองก็เป็นผู้ชาย ยิ่งอยู่ใกล้ชิดกับคนรักแล้วมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะระงับอารมณ์ของตัวเอง
เอาไว้ได้เมื่อเทียบกับการที่เขาไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากขนมผิงในสี่ปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอีก
ครั้งและอีกครั้งพยายามสะกดจิตให้สิ่งที่มันกำลังคำรามอยู่ภายใต้ร่มผ้าอย่างบ้าคลั่งให้มันสงบลง
เขาเอนกายลงนอนก่อนจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ถ้าหากว่าขนมผิงเข้ามาใกล้เขาอีกแบบเมื่อครู่อีก ครั้งหน้าเขาจะสงบใจ
ตัวเองไม่ให้ดึงเอาร่างนั้นมากดลงบนเตียงได้ไหวไหม จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พยายามกดร่างนั้นลงบนเตียง ลูกที่อยู่ในท้องก็
ทำพิษส่งสัญญาณห้ามออกมาให้เขารู้ว่าไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องคนเป็นแม่ไปมากกว่านี้พอคิดไปคิดมาความง่วงก็ค่อยๆคืบ
คลานเข้ามา
กว่าขนมผิงจะออกมาจากห้องน้ำปิญญ์ชานนท์ก็หลับไปแล้ว ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปใกล้เตียงจ้องมองร่างสูงใหญ่นอนทอด
ลำไปกับความยามของเตียงทั้งที่ท่อนบนยังเปลือยเปล่า มือผอมเอื้อมไปหยิบรีโมทแอร์มาปรับระดับความเย็นให้อุ่นขึ้นก่อนจะ
ยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายให้กับอีกฝ่าย พอหลับแล้วปิญญ์ชานนท์ก็ดูเหมือนเด็กเล็กๆคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีพิษภัยอะไรสักเท่าไร ภาย
ใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทนั้นกำลังซ่อนดวงตาคู่คมกริบเอาไว้ ตาที่ใช้จ้องมองเขาด้วยอารมณ์ที่หลากหลายทั้งโกรธเกลียด ตัดพ้อ
และอ่อนโยน เขาควรจะเชื่ออย่างไหนดีที่จะรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของปิญญ์ชานนท์ จะทำอย่างไรกับคำว่ารักที่ได้รับมา
-----------------------------------------------------------------------
“เฮือกกก!!”ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกดวงตาคู่คมเบิกตาโพล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ ทั้งที่อากาศภายในห้องนั้นเย็นกำลังดีแต่
ทว่าร่างกายกลับโทรมไปด้วยเหงื่อ
ปิญญ์ชานนท์ได้แต่นกมือขึ้นมาปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขาจ้องมองไปรอบๆก็พบเพียงแต่คามว่างเปล่า ไร้ร่างของขนมผิง
อยู่ในห้องนี้ทิ้งเพียงแต่เขาที่เผลอหลับเอาไว้อยู่คนเดียวชายหนุ่มก้มมองท่อนกายที่ถูกผ้าห่มคลุมกาย อะไรบางอย่างที่มันมีผล
มาจากความฝันที่ทำให้เขาแทบบ้านั่นค่อยๆปรากฏออกมาทีละเล็กทีละน้อย
ให้ตายสิ!!ปิญญ์ชานนท์อยากสบถออกมาดังๆเมื่อเขาเองก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปดที่ต้องมาเก็บกดกับเรื่องอย่างว่า
แล้วเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ เขาดันฝันว่ามีอะไรกับขนมผิงโดยที่อีกฝ่ายยินยอมแต่โดยดี มันช่างเป็นอะไรที่ทั้งน่าเจ็บใจและ
น่าเสียดาย ชายหนุ่มสะบัดหัวไปมาพยายามไล่ความคิด
รีบแต่งตัวแล้วเดินลงมายังชั้นล่าง ทอดมองเข้าไปในห้องนั่งเล่นห้องรับแขกแต่ก็ไม่พบวี่แววของแขกกิตติมาศักดิ์ของเขา
เลย หรือว่าขนมผิงจะกลับไปแล้วชายหนุ่มได้แต่คิดในใจ ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงเขาคงจะต้องบุกไปถึงบ้านของอีกฝ่ายให้มันรู้ๆ
กันไปเลย
คิดได้ดังนั้นก็เดินหลบเข้ามาในครัวเพื่อที่จะถามความเอากับแม่บ้านทว่ายังไม่ทันก้าวเข้าไปในห้องครัว แผ่นหลังของคนที่
หันหน้าเข้าหาเตาก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์ลอบยิ้มออกมาก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับแม่บ้านเป็นเชิงรู้กัน
ร่างสูงใหญ่ย่างก้าวเข้าไปหาใครบางคนที่ถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพังในห้องครัวโดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัว ปิญญ์ชานนท์ฉวย
โอกาสที่ขนมผิงเผลอเอาแต่จ้องหม้อแกงจืดที่กำลังเดือดใช้อ้อมแขนแข็งแรงกอดเข้าที่เอวสอบก่อนจะรวบเข้ามาหาตัวเอง
“คุณ!! ทำอะไรของคุณ”ขนมผิงส่งเสียงออกมาอย่างตกใจก่อนจะรีบกดปิดเตาที่กำลังทำงาน
“ฉันแค่อยากกอดลูก”อ้างได้อย่างหน้าตาเฉยทั้งที่สีหน้าของอีกฝ่ายนั้นดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าหากหม้อต้มมันหกลงมามันจะเป็นยังไง ทำไมคุณถึงไม่คิดซะบ้าง”
“ฉัน…”
“คุณมันก็ยังคงทำตามใจของตัวเองโดยไม่คิด”ขนมผิงผละตัวออกจากอ้อมกอดทิ้งให้ชายหนุ่มเริ่มหน้าเจื่อนกับคำบ่น
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ช่างเถอะยังไงซะบ่นไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร”ขนมผิงหันไปหยิบถ้วยที่แม่บ้านเตรียมเอาไว้ให้มาตักแกงจืดร้อนๆจนควัน
กรุ่นใส่ลงไป
“ฉันช่วย”
“ไม่ต้อง คุณไปนั่งรอเถอะ”ขนมผิงออกปากไล่
“เถอะน่าฉันช่วยเอง”พูดจบก็แย่งเอาถ้วยต้มร้อนๆไปถือแล้วเอามันออกไปวางลงบนโต๊ะกินข้าวก่อนจะเดินกลับเข้ามาอีก
ครั้ง
คราวนี้ดูให้แน่ใจว่าจะไม่โดนต่อว่าอะไรอีก ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้แล้วคว้าร่างที่กำลังจะเดินออกไปจากครัวเข้ามากอด
อีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่รอให้เจ้าของริมฝีปากได้รูปนั้นต่อว่า ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มออกมาก่อนจะดันร่างสูงโปร่งถอยหลังชิด
กำแพง ไร้ซึ่งทางหนีเมื่อทั้งถูกกอดแล้วแผ่นหลังก็ชิดติดกำแพงอยู่ ริมฝีปากร้อนผ่าวของคนป่วยฉกจูบลงไปอย่างจาบจ้วงไม่
รีรอให้โอกาสนี้หลุดลอยไปอีกครั้ง ภาพในความฝันยังคงเด่นชัด ส่งให้ลิ้นร้อนสอดเข้าไปกวาดต้อนในโพลงปากนุ่ม ความ
ต้องการในตัวของอีกฝ่ายเริ่มคุกกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ
มือร้อนผ่าวของปิญญ์ชานนท์สอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของขนมผิงอีกครั้ง และครั้งนี้อารมณ์ที่ค้างคามันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่า
ตัวเองไม่อยากหยุดและจบอยู่แค่ตรงนี้ และต่อให้ต้องการหยุดเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหยุดความต้องการที่ร้อนรุ่มของตัวเองได้
คิดได้ดังนั้นมือก็เลื่อนสูงขึ้นไป ลากผ่านหน้าท้องนูนก่อนจะกอบกุมแผ่นอกแบนราบ
“อะ โอ้ยยยย ขนมผิง!!”
ไม่ทันไรปิญญ์ชานนท์ก็ร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด กายสูงใหญ่งอตัวเข้าหากันก่อนจะกอบกุมโรงงานผลิต
ทายาทของตัวเองเอาไว้ทั้งที่สีหน้านั้นแดงก่ำ
“คุณมันจิตไม่หายจริงๆ”
ขนมผิงสบถทิ้งท้ายก่อนจะเดินหนีออกไป ทิ้งให้ปิญญ์ชานนท์ได้แต่แบกรับกับความเจ็บปวดอยู่เพียงคนเดียว ใครจะรู้ว่า
ขนมผิงจะยังมีไม้ตายซ่อนเอาไว้ ดันใช้เข่ากระทุ้งเข้ามากลางเป้าเขาซะได้ ถึงแม้มันจะไม่แรงมากก็เถอะแต่มันก็จุกจนตัวงอเลย
ทีเดียว สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความงี่เง่าของตัวเองอีกครั้ง เขาจะต้องรออีกเมื่อไรกันถึงจะได้แตะต้องร่างกายนั้น
โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรมาขัดอยู่ตลอด
“เป็นอะไรไปซะล่ะ ทำไมแกถึงหน้าเขียวหน้าแดงเดินตัวงอออกมาจากครัวแบบนั้น”อาทิตย์ทักลูกชายเมื่อเห็นถึงความผิด
ปรกติ
“ปะ เปล่าครับ”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้ารัวพยายามยืดตัวตรง จ้องมองใครบางคนที่นั่งตรงกันข้าม
“พ่อปินเจ็บแผลเหรอฮะ”ปลากริมเงยหน้าขึ้นมาถาม
“เจ็บสิ เจ็บมากเลย”ปิญญ์ชานนท์ยังเล่นบทเดิมต่อ
“เจ็บมากไหมฮะ หลิ่มอยากให้พ่อปินหายไวไว”ตากลมโตจ้องมองมาที่ชายหนุ่มตาแป๋ว แยกไม่ออกระหว่างการแสดงกับ
เรื่องจริง
“ไม่ต้องห่วงอีกเดี๋ยวก็หาย แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่าแขนไม่มีแรงเลย คงจะตักข้าวกินไม่ไหว นายช่วยป้อนฉันหน่อยสิ”
เพราะคำอ้อนทำให้ผู้เป็นพ่ออย่างอาทิตย์เกือบจะทำช้อนหลุดมือ เงยหน้ามองลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะหันไป
มองอีกฟากที่ยังคงมีใบหน้าที่เฉยชาไม่ทุกข์ร้อนกับคำขอของลูกชาย สมกับที่เป็นขนมผิงจริงๆ ไม่หลงเล่ห์กลของลูกชายเขา
คนนี้
“ไม่ครับ”
“แต่ว่า…”
“ไม่ก็คือไม่ครับ”ขนมผิงตัดบทหันไปป้อนข้าวให้ลูกชายไม่สนใจคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะ ได้ยินเสียงหัวเราะเหมือน
จะสมน้ำหน้าดังแว่วมาจากหัวโต๊ะอยู่ไกลๆ
“งั้นเดี๋ยวกิมป้อนพ่อปินเองฮะ พ่อปินไม่สบาย”กลับกลายเป็นเด็กๆที่พากันใสซื่อพากันสงสารคนชายหนุ่มทั้งที่ไม่รู้ความ
จริงเบื้องหลัง
“เดี๋ยวหลิ่มป้อนพ่อปินด้วยฮะ”สองแฝดแสดงท่าทีแข็งขันอาสาช่วยพ่อเต็มที่ สุดท้ายปิญญ์ชานนท์ก็ไม่ได้ดั่งที่ตัวเองหวัง
แต่อย่างน้อยขนมผิงกับลูกๆก็ยังมาหาเขาในเวลาที่เขาต้องการมากที่สุด