แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]  (อ่าน 223010 ครั้ง)

pickki_a

  • บุคคลทั่วไป
อย่าให้ทนมากนักนะ เดี๋ยวคนอ่านจะเป็นโรคความดัน (ดันอยากจะรู้ซะงั้น)  :m16:

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
ไผ่หวั่นไหวซะอย่างนั้น
น่าสงสารจริง

ลป.ขอให้องค์ลงทีเดียวสามเรื่องเลยได้ป่ะป้า  o18



mama

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
ต้นอย่าปล่อยให้ไผ่คิดมาก รีบมาหาแล้วมาเคลียร์กันไว ๆ นะ  :impress3:

ออฟไลน์ Shumi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ชอบจังองค์ป้าลง ขอให้ลงตลอดไป จนจบทุกเรื่องนะ 555+

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
จะให้อดทนถึงไหน เดี๋ยวนายเอกเป็นโรคหัวใจตายพอดี  :a5:

พี่หนึ่ง อย่างนี้เค้าเรียกว่าดักม้าย 555 แวบมาจากนิยายจินเมะแล้วเหรอค้า (แอบรู้จากในกระทู้คนอื่น อิๆ)


ไผ่หวั่นไหวซะอย่างนั้น
น่าสงสารจริง

ลป.ขอให้องค์ลงทีเดียวสามเรื่องเลยได้ป่ะป้า  o18

เอ่อ เอ่อ เอ่อ (เหงื่อตก ตอบไม่ถูก)

ชอบจังองค์ป้าลง ขอให้ลงตลอดไป จนจบทุกเรื่องนะ 555+

อืม เป็นคำอวยพรที่เข้ากับอิป้ามากที่สุดแล้วจริงๆ -*- ขอบคุณเจ้าคะ (โอม ว่าแล้วก็ไปจุดธูปปลุกผีตัวเองด่วน)





ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
ไผ่ อ่ะคิดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

รักกันไปเห้อ  ชิวๆ ..

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ผมขออนุญาตลบข้อความออกนะครับ เพราะคุณน้องคนเขียนได้อ่านแล้ว

Andreas
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2009 00:35:01 โดย Andreas »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
Dear P'Andreas, thank you so much for the compliment. I'm flattered you read my story!!

"Some words are out of sync" <-- น้อมรับคอมเม้นต์ค่า อาจเพราะเขียนเรื่องนี้เรื่องแรก ยอมรับเลยว่าสำนวนตอนหลังๆเริ่มเปลี่ยนเพราะพักไปเขียนเรื่องอื่นเสียนาน (โดยเฉพาะสามตอนหลัง แต่ไม่รู้คนอ่านรู้สึกอ๊ะป่าว หรือคิดไปเองก็ไม่รู้แฮะ -.-")

เคยอ่านวีรกรรมของภูผากับฟ้าลั่นเมื่อตอนเข้าเล้าใหม่ๆ พอเห็นเม้นต์พี่จ๋อมเลยไปอ่านอีกรอบ และก็ยังทำให้น้ำตาซึมได้เหมือนเดิม อยากอ่านเรื่องใหม่ๆจัง ขอบคุณมากที่มาอ่าน + เม้นต์ให้นะคะ :L2:

ถึงนักอ่านคนอื่นๆ คิดถึงจ้า ยังไงจะรีบพาต้น-ไผ่มาลงเร็วๆนะ
 :L1:

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ผมขออนุญาตลบข้อความออกนะครับ เพราะคุณน้องคนเขียนได้อ่านแล้ว

Andreas

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2009 00:35:45 โดย Andreas »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
จะให้อดทนถึงไหน เดี๋ยวนายเอกเป็นโรคหัวใจตายพอดี  :a5:

พี่หนึ่ง อย่างนี้เค้าเรียกว่าดักม้าย 555 แวบมาจากนิยายจินเมะแล้วเหรอค้า (แอบรู้จากในกระทู้คนอื่น อิๆ)
แอร๊ยยยส์ มีคนรู้ความลับเราแล้ว  :m23: ถึงจะติดจินเมะไปแล้วแต่ยังมาอ่านของ บีบี นะ  :กอด1:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ขอบคุณน้องคนเขียนที่อุตสาห์แวะมาตอบคอมเมนต์ของผม....แปลกใจครับที่น้องคนเขียนเคยอ่านนิยายของผม เพราะตามปกติแล้วเด็กรุ่นใหม่ๆๆจะไม่ค่อยทราบกัน.....
ต้องขอสารภาพว่าผมเองยังเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร....ภาษายังไม่นุ่มเท่าที่ควร....ยังมีส่วนที่ขรุขระอยู่ค่อนข้างมาก....สาเหตุสำคัญเนื่องจากไม่ได้ใช้ภาษาไทยมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโทแล้วครับ

แวะกลับมาถึงนิยายของน้องคนเขียน.....ส่วนแรกที่ติดใจจนต้องเข้ามาอ่านคือ ชื่อเรื่อง...... นักเขียนหลายคนไม่ค่อยใส่ใจกับชื่อเรื่องเท่าที่ควร โดยเฉพาะเด็กสมัยใหม่ที่มักจะตั้งชื่อเรื่องเป็นภาษาอังกฤษ หรือไม่ก๊อขาดการเรียบเรียงคำสัมผัส....ซึ่งทำให้ดูกระด้างและไม่เรียกร้องความสนใจ.... นักเขียนควรจะใส่ใจกับชื่อเรื่องมากพอๆๆกับบทนำและจุดไคล์แมกซ์ เพราะคือจุดขายของนิยายเรื่องนั้นๆๆ.....นอกจากนั้นชื่อเรื่องยังคือกุญแจสำคัญในการใช้โทนภาษาทั้งหมดของเรื่อง

ต้องชมว่าน้องคนเขียนมีทักษะทางภาษาไทยดี และถ่ายทอดได้เก่ง..... ยิ่งพอทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ผมก๊อต้องขอปรบมือให้....เพราะหายากที่เรื่องแรกจะเขียนได้ดีขนาดนี้.....

แต่อย่างไรก๊อตาม ทุกอย่างคงไม่สมบูรณ์ไปเสียทั้งหมด....นักเขียนทุกคนทราบดี..... ผู้อ่านนั้นคือกระจกบานสำคัญที่จะช่วยสะท้อนสิ่งที่บกพร่องออกมาให้นักเขียนได้แก้ไข.....
ผู้อ่านไม่จำเป็นที่ต้องเขียนนิยายเก่ง...หากแต่เพราะชอบอ่านและจินตนาการตามเนื่องเรื่องที่ผ่านตา ก๊อย่อมสามารถที่จะจับจุดที่ผิดปกติได้....

ณ เวลานี้ ผมขอทำตัวเป็นผู้อ่าน และขออนุญาตแนะนำน้องผู้เขียน เพื่อที่จะนำไปปรับปรุงสำหรับเรื่องต่อๆๆไป

ผมเคยเขียนไว้นานแล้วว่า บทนำคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คนอ่านตัดสินใจอ่านต่อหรือไม่.... รวมถึงบทนำจะเป็นตัวคุมภาษาที่ใช้ในเรื่องทั้งหมด....
น้องคนเขียนเขียนบทนำได้ดี หากแต่ว่าผมมีข้อแนะนำบางประการ....ที่อาจช่วยทำให้ดีขึ้น
จำประโยคที่ผมกล่าวไว้มั้ยครับว่า some words are out of sync ซึ่งหมายความว่า บางคำนั้นไม่เข้ากับองค์รวม.... ลองดูที่ผมแก้ให้นะครับ....

อ้างถึง
อะไรคือเหตุผลในการโคจรมาพบกันของคนสองคนบนโลกใบนี้ โชคชะตา พรหมลิขิต หรือเจตจำนงของใครบางคน?

การได้ใช้วันเวลากับคนที่ทำให้หัวใจอบอุ่น...แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ
ทว่าความประทับใจที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของกันและกันนั้นสถิตอยู่นานเนิ่นเหนือขีดจำกัดของกาลเวลา


*************

นิ้วมือเรียวแต่แข็งแรงจับไม้ขนไก่ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนชั้นวางหนังสือขนาดกะทัดรัดซึ่งตั้งอยู่ข้างๆบันไดไม้ซึ่งทอดตัวสู่ชั้นบนของอาคารกึ่งไม้กึ่งปูนสูงสี่ชั้นซึ่งดัดแปลงจากบ้านเก่า ทั่วทั้งบ้านเงียบเชียบยกเว้นเสียงเข็มนาฬิกา เสียงไม้ปัดขนไก่กระทบชั้นหนังสือ และเสียงหายใจของเจ้าของบ้านที่อีกมือหนึ่งคอยจัดหนังสือให้เป็นระเบียบเท่านั้น

เสียงเปาะแปะค่อยๆดังขึ้นภายนอก ตามมาด้วยเสียงซู่ซ่าที่ดังมากขึ้นๆจนอื้ออึงพร้อมกับความรู้สึกเย็นชื้นที่สัมผัสได้ทางผิวกาย ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะละมือจากไม้ปัดขนไก่เดินไปเลื่อนปิดประตูกระจกหลังบานมุ้งลวดตรงระเบียงที่ตอนแรกเปิดไว้ให้ไอเย็นที่อวลอยู่ในอากาศตั้งแต่เช้ามืดได้ถ่ายเทเข้ามาภายในบ้าน นัยน์ตาคมใต้คิ้วโก่งได้รูปทอดมองไปยังร่มไม้ดกครึ้มรอบบริเวณบ้านที่ดูจะปรีดีไปกับสายฝนที่เทลงมาราวได้น้ำทิพย์ชโลม แล้วใบหน้าเนือยๆเมื่อชั่ววินาทีก่อนก็คลี่ยิ้มบางๆ

“เอาเถอะ ยังไงหน้าฝนอย่างนี้ก็คงไม่ค่อยมีคนขึ้นมาพักที่เกสต์เฮ้าส์เล็กๆ บนตีนเขานอกเมืองอย่างนี้สักเท่าไหร่”

เสียงทุ้มทว่าใสราวกระดิ่งเงินพึมพำกับตนเองเบาๆ ก่อนนัยน์ตาคู่สวยจะฉายแววเหงาๆ ออกมา ความทรงจำหวนกระหวัดไปยังเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนหน้า วันนั้น ฝนก็ตกกระหน่ำเหมือนกับวันนี้...........
เมื่อเปลี่ยนเป็น

อะไรคือเหตุผลของการโคจรมาพบกันของคนสองคนบนโลกใบนี้....พรหมลิขิต?
ยามเมื่อหัวใจสองดวงโคจรมาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว.....ภายใต้ห้วงหนึ่งของกาลเวลา.....
ความอบอุ่นของไอรักที่เกิดขึ้น....แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ หากกลับประทับตราตรึง....เนิ่นนานในความทรงจำ


************

นิ้วมือเรียวแต่แข็งแรงจับไม้ขนไก่ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนชั้นวางหนังสือขนาดกะทัดรัดซึ่งตั้งอยู่ข้างๆบันไดไม้ซึ่งทอดตัวสู่ชั้นบนของอาคารสูงสี่ชั้นกึ่งไม้กึ่งปูนซึ่งดัดแปลงมาจากบ้านหลังเก่า ภายใต้ความเงียบสงัดที่ปกคลุมบ้านทั้งหลัง มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาโบราณเรือนใหญ่ที่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ แทรกด้วยเสียงกระทบเบาๆๆของปกหนังสือเล่มหนากับแผ่นไม้สักของชั้นวางฯเพราะผู้เป็นเจ้าของกำลังจัดวางให่้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเก่า

ไม่นาน.....เสียงสายฝนโปรยปรายก็ค่อยๆดังขึ้นจากภายนอก ตามมาด้วยเสียงลมที่พัดมาพร้อมกับความรู้สึกเย็นชื้นที่สัมผัสได้ผ่านผิวกาย

ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะละมือจากการจัดหนังสือ และเดินไปเลื่อนปิดประตูกระจกตรงระเบียงหลังบ้านที่เปิดไว้ให้อากาศถ่ายเทเข้ามาภายใน
นัยน์ตาคมใต้คิ้วโก่งได้รูปทอดมองไปยังร่มไม้ดกครึ้มรอบบ้านที่ดูเหมือนว่ากำลังยิ้มต้อนรับสายฝนที่ตกลงมาจากผืนฟ้ากว้าง.....ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวายามเมื่อฝนหลั่ง....ข้อยกเว้นคงมีเพียงแต่ใบหน้าเรียบปราศจากความรู้สึกของเขา

“อืม....หน้าฝนอย่างนี้ก็คงไม่น่าจะมีแขกมาพักที่เกสต์เฮ้าส์เล็กๆนอกเมืองอย่างนี้สักเท่าไหร่” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองเบาๆพร้อมกับความเหงาที่ฉายออกมาจากนัยน์ตาคู่สวย

วันนั้น....วันที่หัวใจยังคงมีความหวัง.....เมื่อสองปีก่อน.....ฝนก็ตกกระหน่ำเหมือนกับวันนี้.........เช่นกัน





ลองดูนะครับ..... ว่าชอบหรือป่าว

สวัสดีครับ

Andreas


พออ่านที่พี่จ๋อมรีไรท์ให้แล้วเขินไปเลย  :-[ ขอบคุณมากค่ะสำหรับความเห็นและแนวทางการปรับปรุง โดยส่วนตัวแล้วชอบการบรรยายของพี่จ๋อมมาก (เห็นความต่างของมือใหม่กับมืออาชีพชัดเจนเลย เหอๆ) แต่เนื่องจากเราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า สำหรับคนที่มีใจนิยมในการเขียน ไม่ว่าใครก็ย่อมมีวิธีการใช้สำนวนในแบบของตัวเองเหมือนเป็น signature ของคนๆนั้น อีกอย่างในฐานะเจ้าของเรื่องที่รู้ว่าเรื่องจะดำเนินไปทิศทางไหน ดังนั้นเราขอรับบทรีไรท์ที่พี่จ๋อมอุตส่าห์เขียนให้มาศึกษาเป็นแนวทาง แต่ขอไม่เอามาใช้แล้วกันนะคะ (ด้วยความเคารพจริงๆจ้า อย่าเข้าใจผิดว่าเค้าหยิ่งน้า)

ส่วนเรื่องสำนวนการใช้ภาษา ตอนเขียนเราก็พยายามถ่ายทอดให้ออกมาใกล้เคียงกับโทนที่ต้องการที่สุด ถ้าคนอ่านไม่งงและเห็นภาพตามก็ดีใจแล้วค่ะ เพราะตอนเรียนมหาลัยสี่ปีก็ไม่ได้ใช้ภาษาไทยในการเรียนเลยเหมือนกัน แต่อาศัยว่าชอบอ่านหนังสือเลยได้ซึมซับมาจากตรงนั้น ก็หวังว่าจากที่ได้ฝึกเขียนมากขึ้นเราคงมีพัฒนาการในการเขียนขึ้นบ้าง แม้จะเป็นเพียงงานอดิเรกในเวลาว่างก็ตาม (จริงๆงานหลักก็เกี่ยวข้องกับการขีดๆเขียนๆเหมือนกันแหละ แต่คนละแนวกับการเขียนนิยายเลย)

ขอบคุณพี่จ๋อมมากๆอีกครั้งสำหรับคอมเม้นต์นะคะ ได้อ่านบทวิเคราะห์จากนักอ่านที่ช่วยเป็นกระจกเงาให้แบบนี้ก็ปลื้มใจ มีกำลังใจจะขัดเกลาการเขียนให้ดียิ่งขึ้นต่อไปค่า
:pig4:


จะให้อดทนถึงไหน เดี๋ยวนายเอกเป็นโรคหัวใจตายพอดี  :a5:

พี่หนึ่ง อย่างนี้เค้าเรียกว่าดักม้าย 555 แวบมาจากนิยายจินเมะแล้วเหรอค้า (แอบรู้จากในกระทู้คนอื่น อิๆ)
แอร๊ยยยส์ มีคนรู้ความลับเราแล้ว  :m23: ถึงจะติดจินเมะไปแล้วแต่ยังมาอ่านของ บีบี นะ  :กอด1:

ไม่เป็นไรมะว่ากันจ้า ยังแวะกลับมาอ่านนิยายเค้าก็พอ (ไม่ขอมากไปนิ อิๆ  :man1: ) ขนาดเค้าเขียนนิยายตัวเองไปด้วยยังแอบแว้บไปอ่านแฟนฟิคบลีช กินทามะ ไฟนอลแฟนตาซี บลาๆๆอยู่เร้ยยย (หวาย คนอ่านรู้หมดว่าอิป้าติดหนังสือการ์ตูน ก๊ากกกก)  :jul3:

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ผมขออนุญาตลบข้อความออกนะครับ เพราะคุณน้องคนเขียนได้อ่านแล้ว

Andreas
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2009 00:36:29 โดย Andreas »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog

N19T

  • บุคคลทั่วไป
ความรักระหว่าง ไผ่กับต้น ท่าทางจะยากมากอยู่นะค่ะ แต่ก็เอาใจช่วยทั้งคู่ค่ะ
กว่าจะ happy คงจะต้องผ่านอะไรกันอีกเยอะ อุปสรรคจากรอบข้างอีกมาก
ทางเดียวที่จะสมหวัง คือ อดทนและเชื่อมั่นในคนที่เรารักค่ะ ... สู้ สู้ค่ะ คนแต่งด้วยนะค่ะ

เนื้อเรื่อง การผูกเรื่อง ทำได้ดีค่ะ
ตัวละครแต่ละตัวน่าสนใจ การเขียนอ่านแล้วลื่นไหนดี ไม่สะดุดค่ะ ... เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะค่ะ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
23.

รถจี๊ปสีเขียวเข้มเทียบจอดริมถนนในตรอกแคบก่อนที่คนขับจะล็อกรถแล้วรีบสาวเท้าไปยังจุดหมาย ตระการยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะผลักประตูรั้วเข้าไปภายในบริเวณบ้านของเพื่อนสนิทของคนรัก หลังจากที่นรพัฒน์โทรมาบอกเขาว่าพรพฤกษ์มาถึงแล้วและไม่ได้แสดงท่าทางผิดปกติอะไรเขาจึงคุยกับเจนใจต่ออย่างโล่งใจขึ้น แต่กระนั้นชายหนุ่มก็พยายามจำกัดเวลาและรีบขอตัวออกมาเมื่อผ่านไปได้เพียงครึ่งชั่วโมง หญิงสาวก็ดูจะเข้าใจความเร่งรีบของเขาจึงเพียงยื่นนามบัตรของตนให้เผื่อติดต่อก่อนจะลาจากกันที่ร้านกาแฟกลางเมืองนั่นเอง

“อ้าวต้น ว่าจะโทรตามพอดี”

นรพัฒน์หันกลับไปทักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ตระการกวาดสายตาไปทั่วแล้วพบว่าเจ้าของบ้านนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงลำพังโดยไร้วี่แววของคนที่เป็นห่วงจึงเอ่ยถาม

“แล้วไผ่อยู่ไหนล่ะครับ? หรือว่าไม่ได้รอผมเลยกลับไปแล้ว?”

“เปล่าๆ นอนอยู่บนห้องด้านในสุดที่ชั้นสอง ตั้งแต่พี่โทรไปบอกต้นก็ยังไม่เห็นไผ่มันออกมาจากห้องเลย สงสัยจะหลับไปแล้วมั้ง”

“เหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปหาแล้วกัน”

ใบหน้าคมระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอกพลางหมุนตัวเตรียมจะเดินไปที่บันได แต่แล้วก็ถูกมือผอมเกร็งรั้งไหล่ไว้จนเขาต้องหันไปหาเจ้าของมือพลางขมวดคิ้ว

"พี่นอมีอะไรหรือเปล่าครับ?"

“ตกลงเมื่อกี้มีเรื่องอะไรกัน ไผ่บอกแค่ว่าต้นเจอเพื่อนเก่าเลยขอแยกมาที่นี่ก่อน แต่จริงๆแล้วคงไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาหรอกใช่ไหม?”

นรพัฒน์ปล่อยมือที่ยึดบ่าหนาไว้พลางกอดอกมองใบหน้าของคนที่ทำท่ากระอักกระอ่วนด้วยแววตาเยียบเย็น ตระการจึงต้องเรียบเรียงคำพูดอย่างระมัดระวังก่อนจะเอ่ยตอบ

“ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนครับ แต่ผมไม่รู้ว่าไผ่จะเข้าใจอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะงั้นผมถึงได้เป็นห่วงตอนที่เค้าแยกมาก่อนว่าจะไปที่อื่นแทนที่จะมาหาพี่นออย่างที่พูด”

ตระการมองตอบสายตาค้นหาของอีกฝ่ายก่อนจะยกมือลูบหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพรพฤกษ์ต้องคิดมากไปเองแน่ๆแม้ฝ่ายนั้นจะไม่ได้สื่อท่าทางกังวลใจให้ใครเห็นก็ตาม นรพัฒน์จึงพยักหน้าโดยที่ยังไม่คลายมือที่กอดอกไว้ออก

“เข้าใจล่ะ มิน่าเจ้าตัวถึงได้ทำท่าแบบนั้น ว่าแต่ช่วงหลังนี้ไผ่ดูซึมๆไปหรือเปล่า? เมื่อก่อนเพื่อนพี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ ต้นรู้ใช่มั้ย?”

“ครับ เพราะงั้นผมถึงต้องรีบไปคุยกับไผ่ตอนนี้เลยก่อนเค้าจะคิดมากอีก ยังไงเราค่อยคุยกันทีหลังเถอะนะครับ”

ร่างสูงรีบตัดบทพลางหันกลับไปยังบันได แต่แล้วก็ถูกเจ้าของบ้านเรียกตัวไว้อีกครั้งจนเขาชักจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา

“ครับ?”

“ขอโทษที่ต้องเรียกไว้อีกที แต่พี่ต้องขอถามในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทกับไผ่มานาน ตกลงต้นจะเอายังไงกันแน่ คงไม่คิดจะอยู่กันไปเรื่อยๆอย่างนี้โดยไม่เคลียร์เรื่องที่บ้านหรอกใช่ไหม?”

ตระการชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดก่อนจะหันกลับไปมองคนถาม นัยน์ตาคมเต็มไปด้วยประกายสงสัยจนคนถามต้องถอนหายใจ

“คือจริงๆทั้งพี่ทั้งไอ้ย่ามก็เคยคุยเรื่องนี้กันแต่ไม่ได้บอกไผ่มันหรอก แต่ว่าต้นคิดจะทิ้งงานทิ้งครอบครัวที่กรุงเทพฯมาอยู่ที่นี่กับไผ่โดยไม่ติดต่อกับทางนั้นเลยเหรอ แล้วเคยคุยกับไผ่เรื่องอนาคตอย่างจริงจังบ้างหรือยัง พี่ไม่สงสัยหรอกว่าต้นแคร์ไผ่จริงๆถึงได้พักงานมาดูแลมันตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แต่ว่าหลังจากนี้ไปล่ะ ต้นจะทิ้งความจริงที่ว่าตัวเองยังมีความรับผิดชอบอยู่ที่กรุงเทพฯหรือไง แล้วพ่อของต้นอีกล่ะ นี่มันไม่ใช่นิยายที่พระเอกนางเอกหนีตามกันไปสร้างครอบครัวแสนสุขอยู่ที่กระท่อมปลายนานะ นอกจากจะง้อไผ่เรื่องเจอแฟนเก่าแล้ว ลองเปิดใจคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังดูสักครั้งเถอะ พี่มีเรื่องจะพูดแค่นี้แหละ”

นรพัฒน์เอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ทิ้งให้ร่างสูงใหญ่ยืนอึ้งมองตามหลังคนพูดอยู่บนบันได มือแข็งแรงบีบราวบันไดแน่นพลางคิดตามสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ทุกอย่างที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมากระทบใจเขาหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องในส่วนที่เกี่ยวกับบิดา ถึงแม้เขาจะไม่เคยปริปากเล่าเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนๆของพรพฤกษ์หรือแม้แต่เจ้าตัวฟังก็จริง แต่ข่าวของธุรกิจของตฤณ สุวรรณฤทธิ์ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อยู่เป็นระยะก็คงไม่รอดพ้นการสังเกตของคนที่รู้จักเขาไปได้อยู่ดี

เป็นความจริงที่ว่าตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขามัวแต่พยาบาลคนเจ็บจนไม่ทันคิดถึงเรื่องการพูดคุยกับพรพฤกษ์ในเรื่องระยะยาว เขาไม่ต้องการให้คนรักไม่สบายใจหากได้รู้ว่าบิดาเคยยื่นคำขาดกับตนเรื่องของอีกฝ่ายไว้อย่างไร ประกอบกับท่าทางเซื่องซึมของคนเจ็บหลังออกจากโรงพยาบาลเป็นต้นมา เขาจึงได้แต่หลีกเลี่ยงที่จะคุยถึงเรื่องในอนาคตกันอย่างจริงๆจังๆมาตลอด

การที่ได้ไปร่ำเรียนในต่างประเทศหลายปีทำให้ตระการได้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่ต้องพึ่งตนเอง เขาจึงไม่ใส่ใจนักหากจะต้องทิ้งมรดกและตำแหน่งหน้าที่ไปเพราะถึงอย่างไรก็มีวิชาความรู้ที่หาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเขากับบิดาจะห่างไกลคำว่าใกล้ชิดหรือแม้แต่ราบรื่นอยู่มากโข เขาก็คงไม่สามารถทิ้งบิดาที่มีโรคประจำตัวร้ายแรงเอาไว้กับธุรกิจในเครืออันยิ่งใหญ่เพียงลำพัง แม้จะไม่เคยมีใครมาบอกกับเขาตรงๆแต่เขาก็รู้ดีว่าตฤณตั้งความหวังกับเขาในการรับช่วงกิจการที่ถูกก่อร่างขึ้นมาตั้งแต่ก่อนเขาเกิดมากเพียงใด และหากเขาเลือกพรพฤกษ์โดยไม่ปรับความเข้าใจกับบิดา ความรู้สึกผิดที่คงจะตามกัดกร่อนจิตใจว่าตัวเองเป็นลูกอกตัญญูก็คงทำให้เขามีความสุขกับคนที่รักได้ไม่เต็มที่อย่างแน่นอน  

ตระการส่ายหน้าก่อนจะรีบก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ถึงอย่างไรสักวันเขาก็คงต้องคุยเรื่องนี้กับพรพฤกษ์เพื่อช่วยกันหาทางออกว่าจะทำอย่างไร แต่สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำในตอนนี้คือการสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่ายก่อนว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต พรพฤกษ์จะเป็นคนสุดท้ายที่เขาจะยอมปล่อยมือต่อให้เขาต้องหันหลังให้กับทุกอย่างในชีวิตก็ตาม

มือใหญ่เคาะประตูห้องที่นรพัฒน์บอกไว้ก่อนจะบิดลูกบิดเข้าไป ไหล่หนาลู่ลงด้วยความโล่งใจที่เห็นร่างของคนรักเพียงนอนตะแคงหันหลังให้เขาอยู่บนเตียงจึงเข้าไปนั่งใกล้ๆ ปลายนิ้วแกร่งยกขึ้นลูบผมที่ปรกอยู่บนหน้าผากแล้วก็ต้องเอะใจที่อีกฝ่ายนอนนิ่งไม่ส่งเสียงตอบรับจึงพลิกไหล่บางให้หันมาหา แล้วชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหยาดน้ำใสอาบบนใบหน้าเนียนที่กำลังมองสบตาเขานิ่งอย่างไม่แสดงความรู้สึก

“ไผ่! เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม?”

อ้อมแขนแข็งแรงรีบฉุดร่างที่นอนอยู่ให้ลุกนั่งแล้วกอดไว้แนบอกพลางลูบหลังบางขึ้นลง ทว่าคนในอ้อมแขนก็ยังคงไม่ยอมอธิบายว่าเป็นอะไรจนตระการต้องจับไหล่บางสองข้างดันออกเพื่อมองหน้าอย่างค้นหา แต่คนที่ถูกจ้องก็เพียงแค่หันหน้าหนีสายตาแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบ

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร”

คิ้วเข้มบนใบหน้าคมขมวดมุ่นขณะจ้องคนตรงหน้าที่มองไปทางอื่น นี่พรพฤกษ์คิดว่าตัวเองยังเล่นบทพี่ชายอยู่ต่อหน้าเขากับเจนใจหรืออย่างไรกัน

“ไผ่ ตอนนี้ไผ่อยู่กับต้นแค่สองคนนะ และไผ่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไผ่ไม่ใช่พี่ชายของต้น เพราะงั้นเลิกเรียกตัวเองแบบนั้นได้แล้ว”

ตระการเอ่ยเสียงเข้มตามอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งแง่ห่างเหิน ไหล่บางใต้ฝ่ามือแข็งแรงสั่นไหวเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบที่เพิ่มน้ำหนักขึ้น แต่ถึงกระนั้นใบหน้าหวานก็ยังปฏิเสธที่จะหันมาสบตากับคนพูด

“ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อแม่พี่กลายไปเป็นแม่ของต้น เราก็ต้องเป็นพี่น้องกันไม่ถูกเหรอ ถ้าไม่ให้เป็นพี่ชาย แล้วเราสองคนยังจะเหลือความสัมพันธ์แบบไหนให้เรียกได้อีกล่ะ?”

ประโยคคำถามที่เจือด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทำให้คนฟังต้องรีบรั้งร่างเพรียวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ตระการรู้สึกเจ็บแปลบในอกเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นที่หลุดออกมาจากปากของคนในอ้อมแขนแม้อีกฝ่ายจะพยายามกดเสียงไว้ก็ตาม ริมฝีปากอุ่นแนบลงบนขมับเนียนก่อนจะลูบหลังอีกฝ่ายไปมาเมื่อคนในอ้อมกอดเริ่มสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ

“ต้น...ต้นไม่น่ามาเจอไผ่เลย”

คำตัดพ้อที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงสะอื้นทำให้คนฟังยิ่งใจแป้ว ตระการหลับตาอย่างข่มอารมณ์เมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นจากน้ำตาของอีกฝ่ายที่ซึมผ่านเสื้อของตนพลางกอดร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก

“ไม่เอานะไผ่ อย่าพูดอย่างนี้ ต้นอยากเจอไผ่ต้นถึงมาตามหา ต้นเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าต้นรักไผ่ เพราะงั้นอย่าพูดอย่างนี้อีก”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยขอเสียงพร่า แต่เขาก็รู้ดีว่าในเวลาเช่นนี้หากเขาไม่เป็นหลักที่มั่นคงให้อีกฝ่ายยึดไว้พรพฤกษ์คงยิ่งสูญเสียความมั่นใจในตัวเขามากเข้าไปอีก นัยน์ตาคมกระพริบถี่ไล่ไอร้อนในกระบอกตาก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก อ้อมแขนอุ่นดันร่างเพรียวออกห่างพลางจูบซับน้ำตาและลูบผมที่ชื้นเหงื่อจนแนบหน้าผากออกให้ แต่นัยน์ตาหวานคมก็ยังคงไม่ยอมลืมขึ้นสบตากลับอยู่ดี

“ไผ่...ลืมตามองต้นสิ”

คนถูกขอยิ่งหลับตาแน่นขึ้นพลางส่ายหน้า แต่แล้วนัยน์ตาคู่สวยก็เบิกโพลงอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงตวาด

“ไผ่ ต้นบอกว่าให้มองต้นไง!!”

ตระการหอบหายใจแรงจนตัวโยน แต่แล้วเมื่อเห็นแววตาที่สะท้อนความกลัวซึ่งจ้องตนกลับพร้อมกับไหล่บางที่สั่นไหวขึ้นมาอีกก็ต้องหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด

นอกจากจะไร้น้ำยาที่จะทำให้คนรักสบายใจแล้ว นี่เขายังทำให้อีกฝ่ายกลัวตัวเองเพิ่มขึ้นอีกงั้นหรือ

“ขอโทษที่ขึ้นเสียง แต่ขอร้องล่ะไผ่ อย่าทำตัวเย็นชาแบบนี้ ฟังสิ่งที่ต้นจะพูดบ้าง”

พรพฤกษ์สะดุ้งเมื่ออ้อมแขนของอีกฝ่ายรั้งเอวตนเองไปโอบไว้หลวมๆขณะที่ใบหน้าคมก้มลงซบบนบ่า ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่านั้นราวกำลังสำนึกผิดที่ทำให้เขาตกใจเมื่อครู่ ร่างเพรียวเงียบฟังเสียงหายใจแรงของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆเลื่อนมือขึ้นกอดร่างสูงใหญ่ตอบ แก้มเนียนแนบลงกับศีรษะของคนที่ยังคงซบไหล่ตนเองก่อนจะระบายลมหายใจยาว แต่แล้วความเข้มแข็งที่ถูกดึงกลับมาชั่วครู่ก็พังทลายลงอีกเมื่อได้ยินเสียงสูดน้ำมูกจากเจ้าของแผ่นหลังใหญ่ที่มือของตนทาบอยู่

“ต้น ต้น ขอโทษ ไผ่ขอโทษ”
  
ทำนบน้ำตาที่หยุดไหลดูจะทลายลงมาอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม ทั้งสองร่างโอบกอดกันและกันแน่นขณะที่เอ่ยคำขอโทษและปลอบโยนให้แก่กันไม่หยุด ครั้งนี้ตระการยอมให้คนในอ้อมแขนร้องไห้อย่างเต็มที่เพราะเขารู้ว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายเก็บกดความอัดอั้นตันใจเอาไว้มานานจนเกินพอแล้ว

“ไผ่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ตั้งแต่ต้นกลับมาหาก็ดีใจ แต่ก็มีเรื่องพ่อของต้น แล้ววันนี้ก็เจอผู้หญิงคนนั้นอีก ไผ่กลัว...กลัวจริงๆว่าถ้าเราคบกันต่ออนาคตจะเป็นยังไง ไผ่ไม่อยากรู้สึกแบบนี้แล้ว ต้น...ต้น”

ตระการสูดหายใจเข้าลึก ใช่ว่าเขาจะไม่คุ้นกับอาการร้องไห้แล้วพูดเพ้อของอีกฝ่ายเพราะตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาต้องตื่นมาคอยปลอบยามอีกฝ่ายร้องไห้ละเมออยู่แล้ว แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พรพฤกษ์แสดงอาการแบบนี้ทั้งที่มีสติครบถ้วนและพูดกับเขาตรงๆถึงเรื่องที่รบกวนจิตใจมาตลอด

“ต้นอยู่ตรงนี้ตลอดนะไผ่ ต้นไม่ทิ้งไผ่ไปไหนแน่นอน ต้นสัญญา”

ชายหนุ่มประคองท้ายทอยเหนือลำคอเรียวให้เงยขึ้นรับจูบที่แนบลงบนริมฝีปากนิ่มอย่างแผ่วเบา พรพฤกษ์กระพริบตาที่ชุ่มด้วยหยาดน้ำขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก่อนจะเอนหน้าลงซบบ่าอีกฝ่ายตามฝ่ามือที่กดเบาๆลงบนหลังคอ อ้อมแขนเรียวกระชับรอบเอวหนาแน่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังทำเช่นเดียวกับตนก่อนจะปล่อยน้ำตาให้หลั่งไหลโดยไม่อดกลั้นไว้อีก

ร่างเพรียวสูดหายใจเข้าลึกเพื่อชดเชยอากาศที่ดูจะถูกแย่งไปตอนที่เขาร้องไห้อย่างหนักเมื่อครู่ ชายหนุ่มกำเสื้ออีกฝ่ายแน่นก่อนจะเอ่ยถามเสียงเครือ เขาแค่ต้องการฟังความจริงจากปากของคนที่รักเพื่อให้ความกระวนกระวายที่เกาะกุมจิตใจหลุดไปเสียที

“ผู้หญิงคนที่เจอเมื่อกี้...แฟนเก่าของต้นใช่มั้ย?”

ตระการเงี่ยหูฟังคำถามที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน ชายหนุ่มลูบหลังบางไปมาก่อนจะประทับจูบบนเรือนผมนุ่ม เขารู้นิสัยพรพฤกษ์ดีว่าเปล่าประโยชน์หากคิดจะโกหกอีกฝ่ายเพื่อเอาใจ และเขาเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องราวที่ผ่านเลยมาแล้วเพราะถึงอย่างไรเจ้าตัวก็คงจะพอเดาได้อยู่ดี

“ต้นยอมรับว่าเคยคบกับเค้าจริง แต่เราเลิกกันมาสามปีแล้วล่ะ อีกอย่างเค้าเป็นคนบอกเลิกต้นก่อนด้วยซ้ำ”

“งั้นถ้าเค้าไม่ได้บอกเลิก ตอนนี้ต้นก็คงยังคบกับเค้าอยู่สินะ?”

เสียงที่เอ่ยถามไม่ได้แฝงแววน้อยใจ เหมือนอีกฝ่ายถามเป็นทำนองความเป็นไปตามหลักเหตุผลเสียมากกว่า ตระการจึงหัวเราะในคอเบาๆก่อนจะกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น

“ถึงเจนจะไม่บอกเลิกก่อน พอถึงวันที่ต้นจะกลับมาก็คงต้องบอกเลิกเจนอยู่ดี เพราะต้นตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าเรียนจบกลับมาจะตามหาคนที่อยากพบให้เจอ แล้วก็เพราะคนคนนั้นน่ะแหละที่ทำให้เจนเค้ารู้ว่าต้นมีใครอยู่ในใจมาตลอด เค้าถึงได้ขอเลิกไง”

พรพฤกษ์ปล่อยให้ความหมายของสิ่งที่ได้ยินค่อยซึมซับเข้าในหัวอย่างช้าๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่าหน้าร้อนวูบขึ้นขณะที่ในอกพองฟูด้วยความดีใจ เขายังจำได้ดีถึงความจริงที่ตระการเคยเล่าให้ฟังตอนเลิกกันครั้งแรกว่าอีกฝ่ายรู้จักตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยปักใจเชื่อมาก่อนว่าการที่แค่ได้เห็นรูปถ่ายกับได้ฟังเรื่องราวของเขาจากมารดาเท่านั้นจะทำให้ตระการยึดติดกับเขาถึงเพียงนี้

หรือว่าความจริงยังมีเรื่องอะไรที่อีกฝ่ายยังไม่เล่าให้เขาฟังกันแน่นะ...

“งั้นต้นก็นิสัยไม่ดีน่ะสิ ทั้งที่ไม่ได้รักเขาแล้วยังไปคบกับเขาอีก”

ตระการยิ้มกับคำตำหนิของคนที่กำลังซุกตัวเข้าหาอ้อมอกของเขา น้ำเสียงที่แจ่มใสขึ้นทำให้เขาโล่งใจว่าอีกฝ่ายคงเริ่มอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว ร่างสูงใหญ่จึงพลิกตัวคนในอ้อมแขนให้เอนลงบนเตียงก่อนจะเท้าศอกคร่อมไว้

“ก็ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าจะได้เจอคนนี้ไหมนี่นา แต่ตอนนี้เจอแล้ว รักแล้ว จะไม่ไปหาคนอื่นอีกแล้วด้วย”

ใบหน้าหวานแดงเรื่อขึ้นกับคำบอกรักอย่างแน่วแน่ของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องตัวเองนิ่ง เจ้าของนัยน์ตาสีนิลวาววับปิดเปลือกตาลงเมื่อคนเบื้องบนก้มหน้าลงหาแล้วประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากอิ่ม พรพฤกษ์เผยอริมฝีปากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าปลายลิ้นอุ่นกำลังไล้มุมปากของตนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะอนุญาตให้อีกฝ่ายลิ้มรสหวานภายในด้วยความเต็มใจ

ตลอดช่วงสองเดือนที่ผ่านมา พรพฤกษ์ใช้เวลาทุกวันที่ไหลผ่านหมดไปกับความไม่มั่นใจ ทั้งที่มีคนที่รักคอยห่วงใยและอยู่เคียงข้าง แต่เขากลับรู้สึกราวกับความสุขที่มีนั้นพร้อมจะถูกกระชากกลับไปได้ตลอดเวลา เขาไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของตระการเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนรออยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากปล่อยมือจากความอบอุ่นที่คอยค้ำจุนตัวเองไว้ยามอ่อนแอ และบางทีความขัดแย้งในตัวเองของความรู้สึกทั้งสองนั้นคงเป็นสาเหตุให้เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละน้อย จวบจนความอึดอัดใจที่ทยอยเก็บสั่งสมไว้ถึงคราวระเบิดออกเพราะการได้เห็นคนรักเก่าของตระการกระมัง

นัยน์ตาหวานคมเหลือบขึ้นทันทีที่รู้สึกถึงความร้อนรุ่มซึ่งกำลังกดทับตนจากร่างเบื้องบน ร่างเพรียวสั่นสะท้านเมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนเข้าลูบแผ่นอกตึงแน่นขณะที่ซอกคอถูกริมฝีปากร้อนขบเม้มจนเขาต้องบีบต้นแขนแกร่งด้วยความตกใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2009 09:43:13 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
“ต้น...เดี๋ยวก่อน”

“อืมม์...ไม่เดี๋ยวแล้ว คิดว่าต้นรอมานานแค่ไหน สองปีกว่านี่คนอื่นเค้ามีลูกเดินได้แล้วนะไผ่ โอ๊ย”

ตระการอุทานด้วยความเจ็บเมื่อโดนมือที่บีบแขนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นหยิกแทน แต่กระนั้นมืออุ่นก็ยังไม่หยุดการเล้าโลมผิวเนื้อเนียนแน่นขณะที่จงใจเบียดหน้าขาของตนลงกับร่างเบื้องล่างมากขึ้นอีก พรพฤกษ์ตวัดสายตามองอีกฝ่ายตาเขียวทั้งที่หน้าซับสีเลือดจนแดงก่ำไปทั้งหน้า

“แต่นี่มันบ้านคนอื่นนะ! เกิดนอขึ้นมาตามจะบอกว่ายังไง!?”

เสียงครางที่เล็ดลอดออกมาเมื่อมือใหญ่จงใจเลื่อนลงไปลูบผิวใต้ขอบกางเกงอีกฝ่ายทำให้ใบหน้าคมยิ้มทะเล้นขณะที่พรพฤกษ์รีบยกมือขึ้นปิดปาก ตระการก้มลงจูบปลายจมูกโด่งก่อนจะดึงชายเสื้อเนื้อบางขึ้นให้พ้นตัวคนในอ้อมแขนทั้งที่อีกฝ่ายพยายามขืนไว้เต็มที่  

“ก็ไม่เห็นต้องบอกว่าไง เค้าก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นอะไรกัน อีกอย่างเค้าอยากให้เรารีบๆดีกันจะตาย ไม่ขึ้นมาขัดจังหวะอยู่แล้วล่ะ”

“แต่ว่า...ไผ่...ยัง...”

พรพฤกษ์เอ่ยตะกุกตะกักเมื่อรับรู้ถึงอุณหภูมิของร่างสูงใหญ่ที่ถอดเสื้อตัวเองออกบ้างแล้วทาบทับลงหา จริงอยู่ว่าเขาคุ้นเคยกับการนอนกอดอีกฝ่ายโดยที่ตระการเปลือยท่อนบน แต่ด้วยความที่ช่วงนั้นเขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลบวกกับตระการเองก็ดูจะเข้าใจว่าสภาพจิตใจของเขาไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ทางกาย อีกฝ่ายจึงไม่เคยเร่งเร้าหรือแสดงความต้องการให้เขาอึดอัดเลยสักครั้ง แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้คนตัวโตกว่าจะไม่ยอมอดทนเป็นสุภาพบุรุษให้อีกแล้ว

ถึงแม้จะไม่เคยมีคนรักมาก่อนแต่พรพฤกษ์ก็พอจะรู้ว่าคู่รักวัยเดียวกับเขาที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งทั้งที่คบกันมาสองปีกว่าคงฟังแล้วแปลกเต็มที แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้เตรียมทำใจมาก่อนว่าจู่ๆจะถูกคนรักรุกไล่เอากะทันหันแบบนี้ทั้งที่เพิ่งมีเรื่องผิดใจกัน ร่างเพรียวสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงมืออุ่นที่กำลังโอบรอบส่วนอ่อนไหวของตัวเองโดยที่ไม่ทันรู้ตัวเลยว่ากางเกงถูกดึงออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาหวานปิดแน่นเมื่อมือข้างนั้นยิ่งเร่งการเคลื่อนไหวมากขึ้น แม้จะไม่ถึงกับรุนแรง แต่ก็ปลุกเร้ากระแสความต้องการให้ซึมซาบไปถึงปลายนิ้วจนจวนเจียนจะคลั่ง

“ต้น...ไม่เอา...”

เสียงใสพยายามจะเอ่ยทัดทานเมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วอุ่นที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกาย สัมผัสอุ่นชื้นจากปลายลิ้นที่แหย่เย้าบนยอดอกทำให้ใบหน้าหวานส่ายหน้าชื้นเหงื่อไปมาขณะกัดริมฝีปากแน่น

“ไผ่ อย่ากัดปากสิ ไม่มีใครได้ยินหรอก”

คนที่กำลังถูกฉวยโอกาสปรือตาขึ้นมองคนพูดราวสติกำลังล่องลอยไปไกล แม้ส่วนลึกในหัวที่กำลังเบลอจะนึกแย้งแต่เมื่ออีกฝ่ายใช้นิ้วหัวแม่มือข้างที่ว่างดุนที่ริมฝีปากอิ่ม พรพฤกษ์ก็เข้าใจคำขออย่างไร้เสียงนั้นและเผยอปากออกดูดดุนนิ้วใหญ่นั้นอย่างขวยเขิน ตระการยิ้มกับท่าทางของคนรักก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากกับหน้าผากเนียนพลางถอนนิ้วที่วนไล้อยู่ในร่างอีกฝ่ายเพื่อให้ตัวเองเข้าแทนที่

“อ๊ะ! ต้น…เจ็บ!”

“ชู่ววว ไม่เป็นไร ไผ่หายใจออกช้าๆนะ อย่าเกร็ง ต้นไม่ทำแรงหรอก อย่าเกร็งนะ”

พรพฤกษ์กัดฟันขณะพยายามเต็มที่ที่จะผ่อนคลายตามที่อีกฝ่ายบอก ทว่าความแข็งแกร่งอันไม่เคยคุ้นซึ่งกำลังแทรกเข้ามาภายในไม่ใช่สิ่งที่เขาจะบอกร่างกายให้รับได้ง่ายๆ นิ้วเรียวจิกเล็บลงบนไหล่กว้างแน่นจนตระการต้องสูดลมหายใจลึกพลางลูบต้นขาและส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่ายเพื่อเบนความสนใจจนเขาค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าลึกขึ้นได้ทีละนิด

“ไม่เป็นไรนะไผ่ เข้าไปหมดแล้วนะ”

ตระการหอบหายใจพลางเอ่ยปลอบเจ้าของใบหน้าหวานที่ปิดตาแน่นเพราะความสุขสมปนทรมาน  ริมฝีปากอุ่นก้มลงจุมพิตซับน้ำตาที่ไหลลงจากหางตากลมโต เขาเองเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกับคนที่รักและเฝ้าดูแลมานานก็แทบจะทนที่จะไม่ทำตามความปรารถนาในใจไม่ไหว แต่เขาก็ไม่ต้องการให้พรพฤกษ์มีประสบการณ์ไม่ดีกับครั้งแรกจนหวาดกลัวครั้งต่อไปจึงพยายามข่มใจแล้วอ่อนโยนกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่

ร่างสูงใหญ่ค่อยๆขยับตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อให้คนในอ้อมแขนได้คุ้นชินกับร่างกายของตน พรพฤกษ์หลับตาแน่นด้วยความอายขณะที่คนเบื้องบนพรมจูบลงบนใบหน้า เขารับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของคนรักและความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจากรสสัมผัสจนไม่กล้าลืมตาขึ้นสบตากับอีกฝ่าย แต่กระนั้นความสุขสมที่ได้รับก็ทำให้ร่างเพรียวหลุดเสียงครางเป็นระยะแม้ว่าจะพยายามยกมือขึ้นปิดปากแล้วก็ตาม

“อื้อออ....ต้น...อึ๊...ฮึก!”

จังหวะการขยับกายของร่างสูงโหมเร้ายิ่งขึ้นเมื่อคนในอ้อมแขนเริ่มตอบรับการรุกรานของตนบ้างแล้ว พรพฤกษ์กรีดร้องเมื่อความหวานซ่านที่ได้รับจากคนเบื้องบนนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ตระการประสานปลายนิ้วเข้ากับมือทั้งสองข้างของพรพฤกษ์และก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มเมื่อรู้สึกถึงพายุอารมณ์ที่กรรโชกขึ้นถึงขีดสุด ร่างแกร่งกระตุกเกร็งเมื่อรับรู้ถึงความอุ่นแน่นที่รองรับตนอยู่ก่อนจะปลดปล่อยความปรารถนาไปตามพายุอารมณ์ที่เกินจะควบคุมอีกต่อไป

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกอดคนในอ้อมแขนที่ตัวอ่อนปวกเปียกไปหมดเอาไว้แน่นอย่างหวงแหน เสียงหอบหายใจแรงดังประสานจากสองร่างที่ต่างลูบไล้ร่างชื้นเหงื่อของกันและกันไปมา ตระการแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากที่มีปอยผมเปียกชื้นระอยู่อย่างรักใคร่ ความรู้สึกเต็มตื้นจากความสุขที่ผู้เป็นที่รักมอบให้ทำให้ร่างสูงใหญ่ไม่อยากปล่อยแขนจากร่างเพรียวในทันที แต่แล้วเสียงครางจากคนในอ้อมแขนก็ทำให้เขาต้องชันศอกขึ้นพลางค่อยๆถอยตัวออกแล้วล้มลงนอนข้างคนรักแทน

นัยน์ตาหวานของพรพฤกษ์ยังคงปิดสนิท แผ่นอกเรียบกระเพื่อมถี่ตามจังหวะการหอบหายใจหลังความสุขสมที่ร่างกายเพิ่งได้รับ ใบหน้าเนียนซึ่งเป็นสีชมพูเรื่อมีหยาดเหงื่อฉาบบางๆจนล้อแสงในห้องเป็นประกาย ตระการยิ้มก่อนจะรั้งร่างที่นอนข้างๆมากอดแนบอกจนได้ยินเสียงหัวใจที่ยังเต้นแรงของอีกฝ่ายชัดเจน

“นึกว่าจะตายแล้ว...”

ตระการเลิกคิ้ว แต่ร่างในอ้อมแขนกลับซุกเข้าหาอกเขามากขึ้นเพื่อเลี่ยงการสบตา ชายหนุ่มจึงลูบแผ่นหลังที่ชื้นเหงื่อของพรพฤกษ์ไปมาพลางกระซิบถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“บอกแล้วว่าต้นไม่ทำไผ่เจ็บหรอก คราวนี้จะเชื่อได้หรือยัง?”

มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นทุบไหล่กว้างอย่างอ่อนแรง แต่ท่าทางเขินอายกลับทำให้คนถูกทุบหัวเราะเสียงเบา การได้แนบกายชิดใกล้กันเมื่อครู่ยิ่งทำให้ตระการตระหนักยิ่งขึ้นว่าความรู้สึกที่เขามีให้คนขี้อายคนนี้ลึกซึ้งมากแค่ไหน และต่อให้ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคยิ่งใหญ่เพียงใดเขาก็จะไม่มีวันปล่อยพรพฤกษ์ไปอย่างแน่นอน

“ไผ่ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ นี่กะจะไม่มองต้นทั้งวันเลยเหรอ?”

น้ำเสียงตัดพ้อของคนถามที่กำลังนวดท้ายทอยให้เบาๆทำเอาคนถูกถามทำสีหน้าไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นร่างเพรียวก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอยู่ดี พรพฤกษ์เคยนึกกลัวการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระการเพราะไม่มีคนรู้จักรอบกายที่จะขอคำปรึกษาได้ อีกอย่างพอจะลองเปิดหาข้อมูลจากหนังสือหรือเว็บไซต์ก็เกิดอาการเขินอายเมื่อจินตนาการภาพของเขาทั้งคู่ขึ้นมาจนสุดท้ายก็ไม่เคยอ่านคำแนะนำได้ตลอดรอดฝั่งสักครั้ง เขาจึงไม่เคยรู้สักทีว่าควรจะคาดหวังอะไรหรือต้องทำอะไรระหว่างการมีสัมพันธ์กับคนรัก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่จู่ๆก็ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงทั้งที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลย

มือใหญ่ที่เลื่อนลงบีบเนินเนื้อด้านหลังฉุดคนที่กำลังคิดฟุ้งซ่านให้กลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน จริงอยู่ว่าเมื่อครู่ตระการอ่อนโยนกับเขา และ 'ความเจ็บ' ที่ตนเคยหวาดกลัวก็ไม่ได้มากเท่ากับที่ใจนึกหวั่น แต่กระนั้นความระบมที่ยังตกค้างอยู่ก็ทำให้ชายหนุ่มไม่คิดว่าตนจะพร้อมให้คนรักย่ามใจได้ติดต่อกัน พรพฤกษ์รีบคว้ามือที่กำลังอยู่ไม่สุขเอาไว้แล้วถอยตัวมองอีกฝ่ายตาเขียวทันที

“อย่านะต้น ถ้าทำอีกรอบคราวนี้ไม่พูดด้วยจริงๆด้วย”

ทั้งที่เอ็ดด้วยเสียงดุจนคาดว่าคงได้เห็นสีหน้าผิดหวัง แต่ใบหน้าคมที่มองคนดุกลับนั้นทอยิ้มจนนัยน์ตาเป็นประกาย เมื่อร่างเพรียวเห็นสีหน้าเช่นนั้นจึงเพิ่งคิดได้ว่าเสียรู้อีกฝ่ายเสียแล้ว ใบหน้าหวานเป็นสีแดงจัดพลางรีบลุกหนีทันที แต่กระนั้นก็ไม่ไวไปกว่าร่างสูงใหญ่ที่ลุกนั่งแล้วคว้าเอวอีกฝ่ายกลับมาไว้ในอ้อมแขนได้เสียก่อน

“ต้น...อื้อม...”

พรพฤกษ์เรียกชื่ออีกฝ่ายยังไม่ทันขาดคำก็ถูกมือใหญ่บิดคางให้หันไปรับจูบ แต่ทว่าแทนที่จะเป็นจูบที่เรียกร้องการสนองตอบทางกาย สัมผัสที่อีกฝ่ายถ่ายทอดมาให้ผ่านทางปลายลิ้นอุ่นคือคำขอบคุณและการตอกย้ำความรู้สึกที่มีให้ ร่างเพรียวจึงค่อยผ่อนแรงต่อต้านและหันไปกอดคออีกฝ่ายไว้เมื่อใบหน้าคมถอนริมฝีปากออกแล้ว

“ขอบคุณนะไผ่ ต้นรักไผ่จริงๆนะ”

คำหวานที่มอบให้กับริมฝีปากอุ่นที่แนบลงบนหัวไหล่ทำให้คนในอ้อมแขนหลับตาลงพลางระบายลมหายใจยาว แม้จะยังเขินอายอยู่บ้างกับสิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่พรพฤกษ์ก็รับรู้ว่าความจริงใจและการกระทำทุกอย่างที่อีกฝ่ายมอบให้เป็นหลักฐานยืนยันว่าเขาจะไม่ต้องถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในอนาคตที่เพียงพอ อ้อมแขนเรียวจึงกระชับไหล่กำยำแน่นเข้าก่อนจะกระซิบตอบเสียงเบา

“พี่ชายก็รักต้นเหมือนกัน”

ร่างหนารีบดันคนในอ้อมแขนออกทันทีก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นมองคนที่กำลังอมยิ้ม

“บอกว่าห้ามเรียกตัวเองว่าพี่แล้วไง”

“ก็ไม่ได้เรียกว่าพี่นี่นา เรียกว่าพี่ชายต่างหาก อีกอย่างไผ่ก็แทนตัวเองว่าพี่ชายมาตั้งนานแล้วนี่”

น้ำเสียงหยอกล้อและเสียงหัวเราะสดใสที่ตามมาทำให้คนฟังที่หน้าบึ้งเริ่มจะผ่อนคลายคงและยิ้มตามบ้าง ถึงแม้จะยังไม่เต็มร้อย แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะได้คนรักคนเก่าของเขาก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุกลับมาเสียที

“เอ้า พี่ชายก็พี่ชาย ว่าแต่ต้นชักหิวแล้วสิ ยังไงอาบน้ำกันแล้วลงไปทานข้าวที่ร้านก่อนกลับบ้านดีมั้ย?”

พรพฤกษ์กระพริบตามองคนถาม แล้วก็พยักหน้าก่อนจะรู้สึกว่าผิวแก้มร้อนขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงประโยคที่ว่า ‘อาบน้ำกัน’ ทั้งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเรื่องให้เขินกันอีกแล้วแท้ๆ เพราะตอนที่เขายังแขนหักใส่เฝือกตระการก็ต้องเช็ดตัวให้เขาเป็นประจำ แต่ทว่าเหตุการณ์เมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมาทำให้พรพฤกษ์รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ใช่แค่การคบหาดูใจกันธรรมดา แต่ว่าเป็นอะไรที่ก้าวไปไกลกว่านั้นไปอีกก้าวแล้ว และการอาบน้ำคราวนี้ก็จะเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ในสถานะที่ต่างไปจากที่เคยเป็นมาแต่ก่อน

ดูเหมือนตระการจะมองออกว่าคนรักกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าคมจึงเพียงยิ้มบางๆก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ไม่ต้องห่วง บอกแล้วไงว่าอาบน้ำเฉยๆ ดูทำหน้าเข้าสิ พี่ชายชักทะลึ่งแล้วนะเนี่ย”

“บ้า ใครกันแน่ที่ทะลึ่ง”

พรพฤกษ์ค้อนคนพูดยิ้มๆแต่ทว่าก็ยอมลุกไปอาบน้ำด้วยแต่โดยดี ตระการรักษาคำพูดที่ว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลยแม้จะบอกให้เขาออกมาเช็ดตัวก่อนก็ตามทำให้พรพฤกษ์อุ่นใจขึ้นบ้าง แต่แล้วขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้ารอตระการอยู่ในห้องชายหนุ่มก็เพิ่งนึกขึ้นได้

ไม่ใช่แค่เรื่องอาบน้ำด้วยกันเมื่อครู่เท่านั้น ที่ผ่านมาตระการไม่เคยผิดคำพูดกับเขาเลยสักครั้ง หากอีกฝ่ายออกปากกับเขาเองว่าจะทำอะไรให้ตระการจะทำตามที่พูดเสมอ ไม่เคยหลอกลวงหรือให้ความหวังลมๆแล้งๆหากไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำไม่ได้เป็นอันขาด

“เสร็จแล้วไผ่ ไผ่... ร้องไห้ทำไม?”

ร่างที่พันผ้าขนหนูผืนเดียวไว้รอบเอวเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องรีบสาวเท้าไปนั่งลงข้างคนรักบนเตียงเมื่อเห็นขอบตาอีกฝ่ายที่แดงเรื่อ พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมแล้วก็ส่ายหน้าก่อนจะกอดเอวหนาไว้แน่น แม้จะไม่เข้าใจว่ามีอะไร แต่ตระการก็กดจมูกลงบนเรือนผมนุ่มพลางโอบคนในอ้อมแขนตอบโดยไม่ถามอะไรต่ออีก

พรพฤกษ์หลับตารับความอบอุ่นนั้น แล้วก็นึกโทษตัวเองที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของตัวเองฝ่ายเดียว แต่ไม่เคยคิดในมุมกลับมาก่อนเลยว่าคนรักยอมเสียสละมากแค่ไหนที่ทิ้งชีวิตสุขสบายมาคอยดูแลเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา และไม่ว่าอะไรจะเป็นสาเหตุให้ตระการรักเขามากขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งเจอตัวจริงกันแค่เมื่อสองปีก่อนก็ตาม เขาก็คิดว่าตัวเองโชคดีที่สุดแล้วที่ได้คนคนนี้มาอยู่ข้างๆและคอยดูแลเอาใจใส่เช่นนี้

ตระการระบายลมหายใจยาวพลางนึกถึงสิ่งที่นรพัฒน์เอ่ยเตือนเขาไว้ก่อนที่จะขึ้นมาปรับความเข้าใจกับพรพฤกษ์ แม้จะหลบเลี่ยงปัญหาไปอีกนานแค่ไหน อย่างไรเสียปัญหาก็ยังคงมีอยู่ตราบใดที่ไม่จัดการให้หายไปต่อให้พยายามทำเป็นไม่เห็นแล้วก็ตาม สำหรับเรื่องการทำให้พรพฤกษ์มั่นใจในตัวเขาชายหนุ่มคิดว่าตนประสบความสำเร็จไปมากกว่าครึ่งแล้ว แต่ปัญหาเรื่องอนาคตยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทั้งสองยังต้องปรึกษากันต่อ

“ไผ่...คิดถึงแม่มั้ย?”

คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้ร่างเพรียวต้องถอยตัวออกมองหน้าคนถามอย่างไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าเขามีความทรงจำเกี่ยวกับคนที่ถูกเอ่ยถึงน้อยนิดเต็มทีเพราะอีกฝ่ายจากเขาไปตั้งแต่ยังเด็กมาก แต่ถ้าจะบอกว่าไม่คิดถึงเลยก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำอันเลือนลาง แต่เขาก็พอจะระลึกถึงความอ่อนโยนยามที่ถูกมารดาโอบกอดซึ่งคงได้รับถ่ายทอดจากผู้เป็นตาได้ และหลายครั้งที่ชายหนุ่มคิดว่าความอ่อนโยนของตระการอาจเป็นสิ่งที่คนรักได้รับตกทอดมาจากการเลี้ยงดูของผู้ให้กำเนิดของเขานั่นเอง

“ก็มีบ้าง แต่แม่เค้าก็เสียไปนานแล้วนี่ต้น”

ชายหนุ่มจำได้ดีถึงเรื่องที่ตระการเล่าให้ฟังว่าเพราะมารดาเสียระหว่างเจ้าตัวเรียนอยู่เมืองนอก จึงเป็นจุดพลิกผันให้อีกฝ่ายมุ่งมั่นที่จะมาตามหาเขาให้เจอตามสัญญาที่ฝ่ายนั้นขอไว้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆคนตรงหน้าจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในเวลานี้

“อยากไปไหว้แม่มั้ยล่ะ?”

ตระการดึงมือเรียวทั้งสองข้างไปกุมไว้แล้วจ้องคนข้างกายนิ่ง พรพฤกษ์มองตอบสายตาที่มองเขาอย่างคาดหวังนั้น ประกายที่ฉายอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มราวจะวอนขอเขาว่าอย่าปฏิเสธ หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งคนถูกถามจึงพยักหน้า พรพฤกษ์มองท่าทางระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งใจของอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยถามเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ แล้วก็ได้แต่หวังว่าตนคงไม่ได้คิดถูกเพราะเขาไม่คิดว่าตัวเองพร้อมสำหรับการเผชิญหน้าที่คนรักต้องการ...อย่างน้อยก็ในตอนนี้

“ต้น...ว่าแต่ที่ที่จะพาไปไหว้แม่น่ะ อย่าบอกนะว่า...”

ตระการลืมตาขึ้นสบตากับอีกฝ่ายอีกครั้ง ไม่มีประโยชน์ที่จะเฉไฉต่อไป เพราะถ้าพรพฤกษ์ถามแบบนี้แปลว่าอีกฝ่ายคงพอจะเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาได้แล้วเช่นกัน

“อืม ที่บ้านต้นเอง เราจะกลับไปไหว้แม่ แล้วก็ไปเจอพ่อของต้นด้วยกัน”


+------+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2009 12:08:13 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
นิยายเรื่องนี้ยังไม่ถูกทิ้งนะจ๊ะ (แม้จะอยู่ในโหลมาหลายเดือน) พอดีเสาร์นี้ได้หยุดทั้งทีเลยคิดว่าควรจะให้เวลาเรื่องที่ทิ้งไปนานเสียหน่อย หวังว่าคนอ่านคงยังไม่ลืมต้นกับไผ่ไปซะก่อน เพราะตอนนี้ป้าวางโครงไปจนจบเรื่องแล้ว เพราะงั้นก็น่าจะได้ติดตามกันจนจบในปีนี้ละค่า

ก่อนจะไป ขอออกตัวอีกนิดว่าแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่าสำนวนตัวเองเปลี่ยนไป เพราะระหว่างที่หายไปนี่ไปโรมรันพันตูกับเรื่องอื่นอยู่ ยังไงหวังว่าเนื้อหาที่ต่อเนื่องกันคงไม่ทำคนอ่านสะดุดนะ ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อด้วยนะจ๊ะ ขอบคุณมากก๊าบ
:o8:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
:mc4: โหลแตกแว้ววววววววววววววว

 :z7:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ได้อ่านต่อแล้ว  ดีใจจัง

ทำไมนะ พระเอกของป้าแต่ละคนเนี่ย มันถึงได้น่ารักน่ากินได้ขนาดนี้ ง่ำง่ำ น้ำลายหยด :กอด1:
ขอให้ต้นของเราสามารถแก้ปัญหาพ่อผัวกะลูกสะใภ้ได้สำเร็จเรียบร้อยนะจ๊ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ moonlight

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 985
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-0
กลิ่นตุๆ ดองได้ที่พอดี :laugh:

ได้กันแล้วๆ  :-[

เรื่องกำลังเข้มข้น เมื่อลูกสะไภ้จะไปไห้วพ่อตา

แล้วกว่าป้าสุดสวยจะมาต่ออีก :เฮ้อ:

มาต่อเร็วๆนะจ๊ะป้าสุดสวย  :call:

mizzzzz u na ja :กอด1:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
กลิ่นตุๆ ดองได้ที่พอดี :laugh:

ได้กันแล้วๆ  :-[

เรื่องกำลังเข้มข้น เมื่อลูกสะไภ้จะไปไห้วพ่อตา

แล้วกว่าป้าสุดสวยจะมาต่ออีก :เฮ้อ:

มาต่อเร็วๆนะจ๊ะป้าสุดสวย  :call:

mizzzzz u na ja :กอด1:


ตรงประโยคที่เป็นตัวหนานี่อ่านแล้ว ‘ฉึก’ จริงๆแฮะ คริคริ

คิดถึงเช่นกันนะจ๊า ตอนนี้ที่นู่นร้อนแย่เลยสินี่
  :L2:

วันนี้ราชการประกาศให้หยุด แต่ออฟฟิศป้าไม่หยุดอะ แงงงง (บ่นได้อีก)

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
 :mc4:  ต้องฉลองกันหน่อยป้ามาอัพต่อแล้ว

ไชโยๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
โหยไปรื้อความจำอยู่หลายตอนเลยนะ  :impress2: และแล้วเค้าก้ได้เสียกัน  :laugh:

อยากอ่านอีกอะ ต่อไวๆนะ

kittyfun

  • บุคคลทั่วไป
หลังจากรอคอยมานานแสนนาน

ไหดองก็แตก

อย่างนี้ต้องฉลองกันค่ะ


ป.ล. ไหแรกแตกแล้ว ไหต่อไปต้องแตกตามด้วยนะคะ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
24.

ร่างสูงท้วมนั่งเท้าคางมองโทรทัศน์จอใหญ่ที่แขวนอยู่เหนือเคาน์เตอร์บาร์ในร้านที่ตนเป็นหุ้นส่วน มือใหญ่หยิบขวดเบียร์สีเขียวเข้มที่ตนเปิดออกมาตั้งไว้นานจนไอน้ำที่เกาะรอบขวดหยดลงจับพื้นโต๊ะขึ้นดื่มอึกใหญ่ รายการแข่งกีฬาทางโทรทัศน์ช่วงบ่ายไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาเท่าใดนัก เพราะสิ่งที่กำลังทำให้ชายหนุ่มครุ่นคิดจนคิ้วขมวดคือเรื่องที่เพื่อนสนิทเพิ่งเล่าให้ฟังมากกว่า


‘ไผ่กับต้นอยู่ที่บ้าน ท่าทางจะทะเลาะกันอยู่ ยังไงถ้ามึงอยู่ที่ร้านก็ช่วยดูให้หน่อยแล้วกัน’


ดิษยะนึกถึงคำพูดของเพื่อนทวนไปพลางก็เกาผมที่มัดรวบไว้ด้านหลังหลวมๆจนยิ่งพันกันยุ่งมากขึ้นไปด้วย เจ้าตัวคนพูดก็พูดราวกับตัวเองเป็นพ่อของพรพฤกษ์ไปได้ แล้วจะมาฝากฝังอะไรกับเขาในเมื่ออีกฝ่ายก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนถนัดเล่นบทนักการทูตหรือกามเทพเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นคนที่เขาตามจีบอยู่ทุกวี่ทุกวันนี้ไม่ตอบตกลงคบด้วยไปนานแล้วหรือ

ทั้งที่วันนี้ชายหนุ่มตั้งใจจะมาหาเพื่อนและนั่งเล่นรอร้านเปิดเพราะเด็กนักเรียนกลุ่มที่มีเรียนดนตรีกับเขาติดเข้าค่าย แต่กลายเป็นว่าพอมาถึงที่แล้วคนที่มาหากลับไม่อยู่ พอโทรหาก็ได้ความว่าเจ้าตัวออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้ว แถมยังมาฝากกำชับเขาให้ช่วยดูเพื่อนอีกคนและตรวจรับของที่มาส่งที่ร้านแทนให้ด้วยอีกต่างหาก

ดิษยะไม่ได้ถามนรพัฒน์ว่าพรพฤกษ์กับตระการมีเรื่องผิดใจกันเพราะอะไร และอีกฝ่ายก็ท่าทางจะกำลังรีบร้อนจึงไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้เขาฟัง แต่กระนั้นก็ใช่ว่าเขาจะชอบสอดแส่เรื่องของคนอื่นมากมายอยู่แล้วโดยนิสัย จริงอยู่ว่าตอนที่พรพฤกษ์พาเจ้าหนุ่มตัวสูงใหญ่ท่าทางสุขุมแต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลูกคนมีเงินมาแนะนำนั้นเขาก็ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหมอนั่นอยู่ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คบหากับเพื่อนมานานและรู้ว่าพรพฤกษ์ไม่เคยแสดงความสนิทสนมกับใครที่เพิ่งได้รู้จักกันง่ายเช่นนั้นมาก่อน แต่หลังจากที่ได้รับรู้ปัญหาของเพื่อนมากเข้า บางครั้งเขาก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรจะสนับสนุนความสัมพันธ์ของเพื่อนต่อไปดีหรือเปล่า

ไอ้เรื่องปัญหาที่เห็นชัดๆเช่นว่าเพื่อนของเขากับคนรักเป็นผู้ชายเหมือนกันนั่นก็เรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าในสายตาของเขาแล้วจะไม่ได้นึกรังเกียจก็ตามเพราะถึงอย่างไรก็เป็นการตัดสินใจของคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วสองคน แต่เป็นเพราะสถานะทางบ้านของตระการที่เขาได้เรียนรู้ภายหลังซึ่งทำให้เขาค่อนข้างเป็นห่วงเพื่อนพอสมควรในเรื่องการคบกันระยะยาว และถึงแม้ว่าตระการจะแสดงความจริงใจแค่ไหนจากการทิ้งงานมาคอยดูแลพรพฤกษ์ในช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าต่อไปในอนาคตเพื่อนของเขาจะไม่ถูกละเลยหากฝ่ายนั้นต้องแต่งงานสร้างครอบครัวตามที่มาตรฐานสังคมขีดบังคับให้ทำเพราะความจำเป็น

ชักจะคิดมากเหมือนเป็นพ่อไอ้ไผ่ไปอีกคนแล้วสิกู...ดิษยะหยิบหลอดพลาสติกที่เสียบอยู่ในกระบอกเสตนเลสบนหลังเคาน์เตอร์ขึ้นมาดีดเล่นเพื่อแก้อาการมือว่าง ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาต้องโทษนรพัฒน์เต็มๆที่มาจุดชนวนทำให้เขาที่ไม่ค่อยชอบเอาเรื่องของคนอื่นมาคิดให้รกสมองต้องมากังวลเรื่องของเพื่อนอย่างห้ามไม่ได้

เสียงคนพูดคุยกันพร้อมกับเสียงสั่นของกระดิ่งที่แขวนไว้เหนือประตูด้านในเรียกความสนใจของคนที่กำลังนั่งเบื่ออยู่คนเดียว แล้วดิษยะก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อเห็นคนทั้งสองที่ตนกำลังคิดถึงอยู่เดินเข้ามาในร้านอย่างได้จังหวะพอดิบพอดี

“ไงวะไผ่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไอ้แพะภูเขา หายดีแล้วเรอะ?”

น้ำเสียงห้าวทุ้มจากเพื่อนสนิทร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ลำพังหน้าเคาน์เตอร์ในร้านทำให้พรพฤกษ์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาคนทักพลางมองไปรอบร้านที่ว่างเปล่าก่อนจะหันกลับไปหาคนถาม

“ทำไมวันนี้มาร้านเร็วได้ล่ะ ว่าแต่นอไม่อยู่เหรอย่าม?”

ดิษยะยักไหล่พลางหยิบขวดเบียร์ขึ้นจิบอึกใหญ่ก่อนจะตอบคำถามเพื่อน “วันนี้ลูกศิษย์ติดไปเข้าค่ายทั้งกลุ่มเลยว่างยาวว่ะ  ส่วนไอ้นอเห็นบอกว่าออกไปเยี่ยมไอ้บอยเพราะไอ้ลูกลิงมันดันไม่สบาย เลยให้กูช่วยดูเด็กเตรียมเปิดร้านแทนเนี่ยแหละ”

ชายหนุ่มร่างสูงท้วมยกมือทักทายตระการที่ยืนอยู่หลังเพื่อนตัวเองก่อนจะหันไปพยักหน้าให้คนส่งน้ำแข็งที่เดินหายเข้าไปหลังร้าน พรพฤกษ์เดินอ้อมเข้าไปหลังเคาน์เตอร์พลางเปิดขวดน้ำเย็นออกมารินใส่แก้วสองใบแล้วก็หันกลับไปยื่นใบหนึ่งให้กับคนที่ทรุดลงนั่งข้างดิษยะ คนที่นั่งอยู่ก่อนจึงยกมือขึ้นเท้าคางมองท่าทางของผู้มาใหม่ทั้งสองแต่ไม่ได้พูดอะไร

...ดูๆไปก็ไม่เห็นจะเหมือนคนเพิ่งทะเลาะกันตรงไหน หรือจะโดนไอ้นออำเข้าให้ซะแล้วก็ไม่รู้ แต่น้ำเสียงซีเรียสของเพื่อนตอนที่ย้ำกับเขาผ่านโทรศัพท์ก็ฟังดูสมจริงเกินกว่าจะคิดว่าอีกฝ่ายเล่นละครจนดิษยะชักไม่แน่ใจ

“ต้นจะกินข้าวผัดมั้ย ตอนนี้ในครัวคงกำลังเตรียมของกันอยู่ แต่ถ้าขอใช้ของนิดหน่อยคงไม่เป็นไร”

“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวต้นไปช่วย”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยตอบแล้วก็ทำท่าจะลุกจากเก้าอี้เพื่อตามคนถามเข้าไปในครัว แต่กลับช้ากว่าเจ้าของท่อนแขนใหญ่ที่ยื่นมาล็อกคอแกร่งไว้เสียก่อนจนชายหนุ่มชะงัก ทั้งตระการและพรพฤกษ์จึงหันไปมองเจ้าของใบหน้าอูมที่กำลังยิ้มกริ่มผ่านเครารกเฟิ้มด้วยสายตามีคำถาม

“แหมๆ แบบว่ากูก็มานั่งจนน้ำลายบูดอยู่คนเดียวนานแล้วน่ะนะ ยังไงแค่ข้าวผัดเนี่ยมึงคงทำคนเดียวได้ใช่มะ งั้นกูขอต้นนั่งคุยเป็นเพื่อนกูหน่อยละกัน”

ตระการเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำขอ จริงอยู่ว่าเขามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับเพื่อนของคนรัก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสนิทสนมจนเป็นเพื่อนคุยกันได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยท้วงอย่างลังเล

“แต่ว่าผม...”

“ไม่เป็นไรต้น อยู่คุยเป็นเพื่อนให้ย่ามไปแล้วกัน ในครัวมีเด็กหลายคน เดี๋ยวมีอะไรให้เขาช่วยก็ได้”

พรพฤกษ์เอ่ยบอกคนรักก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัวด้านหลังร้าน ตระการมองตามหลังร่างที่ลับสายตาไปแล้วก็ถอนหายใจ ดิษยะมองท่าทางของคนข้างตัวก่อนจะถอนมือกลับและหยิบขวดเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้ง

“จะว่าไปไผ่มันก็ออกจากโรงพยาบาลมาสองเดือนแล้วนา กระดูกกระเดี้ยวคงเข้าที่แล้วล่ะมั้ง อีกอย่างปกติมันก็ไม่ได้เป็นคนขี้โรคอะไร อย่าไปโอ๋มันมากเลยเดี๋ยวได้อึดอัดตายกันพอดี”

“ครับ...”

ตระการเอ่ยรับสั้นๆพลางยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นดื่ม ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าพรพฤกษ์เป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้อยู่แล้ว แต่เพราะความที่ตลอดช่วงเวลาที่คบกันนั้นเขาได้ใช้เวลาจริงๆกับคนรักน้อยเต็มที ชายหนุ่มจึงอยากคอยแบ่งเบาภาระหรือเสนอความช่วยเหลือในเรื่องใดก็ตามที่ตนทำได้เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ตนเสียไป

ชายหนุ่มทั้งสองต่างนั่งเงียบกันไปโดยไม่มีใครชวนคุยก่อนอยู่เป็นนาน ดิษยะเหลือบมองคนข้างๆแล้วก็เกาคางตัวเองซึ่งเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติยามเจ้าตัวกำลังครุ่นคิดอะไร ตระการเหลือบเห็นท่าทางนั้นเข้าจึงเอ่ยถาม

“พี่ย่ามมีอะไรจะถามผมหรือเปล่าครับ?”

ดิษยะสะดุ้งนิดหน่อยเพราะเขาไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายจะอ่านท่าทางตัวเองออก ชายหนุ่มโยกขวดเบียร์ที่วางอยู่บนหลังเคาน์เตอร์ไปมา แต่แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยถามตรงๆ ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาสให้แล้วเขาก็ไม่รู้จะอมพะนำต่อเพื่ออะไร

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่แปลกใจนิดหน่อยที่ดูไผ่มันก็คุยกับต้นเป็นปกติดี ตกลงที่ทะเลาะกันเมื่อกี้นี่ดีกันเรียบร้อยแล้วสิ?”

คนถูกถามขมวดคิ้วพลางมองคนถามอย่างพิจารณา แววตาที่จ้องกลับราวจะรอให้อีกฝ่ายอธิบายว่ารู้เรื่องราวเบื้องลึกมากเพียงใด ดิษยะจึงยักไหล่ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นจิบอีกอึก

“พอดีพี่ได้คุยกับไอ้นอแล้วมันเล่าให้ฟังว่าเราสองคนมีปัญหากันอยู่น่ะ แต่มันไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไรแล้วพี่ก็ไม่ได้ถามด้วย แต่ถ้าหากว่าดีกันแล้วก็แล้วไปเถอะ ไผ่มันนิสัยเสียตรงที่ไม่ชอบเล่าปัญหาของตัวเองให้เพื่อนๆรู้นี่แหละ”

ตระการได้ฟังคำตอบแล้วก็พยักหน้า ชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกขึ้นบ้างที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก เพราะถึงแม้เขาจะไม่ต้องการปิดบังเพื่อนๆของพรพฤกษ์เรื่องสถานะการคบหากันของพวกตน แต่ถึงอย่างไรเรื่องบางเรื่องก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต้องเที่ยวป่าวประกาศให้คนนอกรู้ไปเสียหมด

“พี่นอบอกผมแล้วเหมือนกันเรื่องที่เค้าคุยกับพี่ย่าม ยังไงขอบคุณครับที่เป็นห่วงไผ่ แต่หลังจากนี้ไปผมจะจัดการทุกอย่างเอง ไม่ต้องเป็นห่วง”

ดิษยะเลิกคิ้ว แต่แล้วมุมปากที่ถูกบดบังด้วยไรเคราก็ยกยิ้มเมื่อเห็นแววตาของตระการที่มองมาที่ตน แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่เขาก็ตีความออกว่าคนรักของเพื่อนกำลังเอ่ยเป็นนัยว่าไม่จำเป็นต้องให้มือที่สามออกความเห็นหรือยุ่มย่ามเรื่องของทั้งคู่มากไปกว่านี้ หากคนที่นั่งฟังอยู่ไม่ใช่เขาแต่เป็นนรพัฒน์ ฝ่ายนั้นคงไม่ชอบใจแน่เพราะว่านรพัฒน์สนิทสนมกับพรพฤกษ์มานานกว่าเขามากและผูกพันเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่สำหรับเขาซึ่งปกติก็ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นและไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งเรื่องของตัวเองเช่นกัน เมื่อได้เห็นท่าทางของตระการที่สะท้อนจุดยืนของตัวเองอย่างแน่วแน่เช่นนั้นจึงวางใจว่าเพื่อนคงได้พบคนที่จะฝากฝังอนาคตไว้ด้วยได้แล้ว

“เอาเถอะ ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ เฮ่อ...จะว่าไปพี่ก็เพิ่งรู้นี่ล่ะว่าอารมณ์ของพ่อที่ลูกกำลังจะจากอ้อมอกตัวเองไปนี่มันเป็นยังไง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้รู้สึกแบบนี้เพราะเพื่อนตัวเองเลยแฮะ”

ตระการยิ้มบางๆพลางพลิกแก้วน้ำที่ว่างเปล่าในมือไปมา พรพฤกษ์เดินออกมาจากครัวพร้อมถาดที่มีข้าวผัดจานใหญ่และชุดจานพร้อมช้อนส้อมสามชุดพอดี ชายหนุ่มจึงลุกจากเก้าอี้เข้าไปช่วยถือให้แทน มือเรียวหยิบจานเปล่าออกเรียงบนหลังเคาน์เตอร์แล้วก็หันไปหาเพื่อนที่นั่งเงียบอยู่

“โทษทีย่าม เมื่อกี้เราก็ลืมถามว่าจะกินด้วยหรือเปล่า เลยทำเผื่อมาให้เลย”

“เออ จัดมาๆ ที่จริงกูกินข้าวกลางวันไปแล้วแหละแต่กินอีกก็ได้  ต้องรีบกินอาหารฝีมือมึงไว้ก่อน เดี๋ยวต่อไปไม่ได้กินแล้วจะมาเสียดายทีหลัง โอ้ว ข้าวผัดกุ้งของโปรดซะด้วยเว้ย เอ้า แล้วมึงจะยืนทื่ออยู่ทำไมวะ รีบมานั่งกินด้วยกันเร็วๆสิ”

พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับคำพูดเป็นน้ำท่วมทุ่งของเพื่อน แต่เมื่อหันไปมองตระการเป็นเชิงถามก็ไม่ได้คำตอบเพราะอีกฝ่ายเพียงหัวเราะในคอเบาๆ ชายหนุ่มจึงถอนหายใจพลางคิดว่าเรื่องบางเรื่องตัวเองไม่ต้องรู้ก็คงไม่ขาดทุนนักกระมัง


*************


“เมื่อกี้คุยกับย่ามเรื่องอะไรเหรอต้น?”

หลังจากที่ทั้งสามทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตระการกับพรพฤกษ์ก็ขอตัวแยกกลับก่อนโดยไม่รอร้านเปิดทั้งที่นรพัฒน์ยังไม่กลับมา ทว่าแววตาแปลกๆของเพื่อนตอนที่ร่ำลากันก็ยังคงสะกิดใจพรพฤกษ์ไม่หายจนเขาต้องรอถามตระการหลังมาถึงที่รถแล้ว

“เค้าก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปแหละ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก”

ท่าทางของคนขับที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางมองไปข้างหน้าไม่ได้ทำให้คนถามเชื่อถือนัก แต่ถ้าหากอยู่กันแค่สองคนแล้วอีกฝ่ายยังไม่ยอมบอก ก็หมายความว่าต่อให้เขาตื๊อถามอย่างไรก็โดนจะเฉไฉไปอีกอยู่ดี พรพฤกษ์จึงเอนหลังพิงพนักตัวเองโดยที่ยังไม่ละสายตาจากคนข้างตัว ตระการรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องตนอยู่จึงปรายตามองแวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปยังถนนด้านหน้าเช่นเดิม

“ไม่มีอะไรจริงๆไผ่ นี่สงสัยขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?”

“เปล่า ไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นแล้ว ที่จริงตอนนี้สงสัยเรื่องอื่นมากกว่าอีก”

คนฟังเลิกคิ้วก่อนจะแตะเบรกเมื่อถึงสี่แยกที่สัญญานไฟเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ใบหน้าคมหันไปหาคนข้างตัวก่อนจะยิ้มให้

“เรื่องอื่นนี่เรื่องอะไรล่ะ นอกจากเจนต้นก็ไม่เคยมีคนอื่นอีกแล้วนะ”

พรพฤกษ์ได้ยินคำถามก็ย่นจมูก ความจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกแล้ว แต่ดูเหมือนตระการจะคิดว่าเขากำลังหึงหวงอดีตของอีกฝ่ายอยู่ ชายหนุ่มไพล่นึกไปถึงข่าวที่ตนเคยเห็นในโทรทัศน์ของคนรักกับนางแบบสาวเมื่อนานมาแล้วจึงถือโอกาสถามเสียเลยเพราะไหนๆอีกฝ่ายก็เกริ่นขึ้นมาเอง

“งั้นนางแบบคนสวยที่เคยเป็นข่าวนั่นล่ะว่าไง ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันทำไมต้นต้องไปออกงานกับเค้าด้วยล่ะ?”

ตระการรีบหันขวับไปมองคนข้างตัวที่เอามือเท้าหน้าต่างแล้วมองไปอีกฝั่งทันที แต่แล้วเสียงบีบแตรไล่จากด้านหลังก็ทำให้เขาต้องหันไปมองด้านหน้าและเปลี่ยนเกียร์ออกรถเพราะสัญญานไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว

“ลิลลี่เนี่ยนะ? ต้นเคยบอกแล้วนี่ว่าไม่ได้เป็นอะไรกับเค้า อีกอย่างที่เห็นว่าออกงานด้วยกันนั่นเพราะเราไปงานเดียวกันเฉยๆหรอกไผ่ นี่ยังไม่ลืมเรื่องนี้อีกเหรอ?”

น้ำเสียงคนถามเหมือนจะน้อยใจนิดๆแต่พรพฤกษ์ก็ยังไม่ยอมหันกลับไปมองทั้งที่ความจริงแอบอมยิ้ม ชายหนุ่มพอจะรู้อยู่แล้วว่าตระการพูดจริงเพราะตอนที่เจอกับปฏิมาครั้งแรกหญิงสาวก็ช่วยอธิบายกับเขาไปแล้วเหมือนกัน แต่ในเมื่อคนข้างตัวอยากคิดว่าเขายังหึงหวงเรื่องนั้นเขาจึงทำทีว่ายังไม่ลืมเพื่อแกล้งเสียเลย

“ไม่ลืมง่ายๆหรอก ความจริงได้ควงคนสวยขนาดนั้นต้นน่าจะดีใจนะ เค้าพร้อมทั้งฐานะทางบ้าน ทั้งหน้าตาทางสังคม ออกจะเหมาะสมกับต้นทุกด้านเลย...”

ทั้งที่เพิ่งคิดว่าตนเองไม่ได้ติดใจแล้ว แต่ทว่าเมื่อพลั้งปากพูดไปชายหนุ่มก็ให้รู้สึกยอกในอกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคนรักเก่าของตระการหรือนางแบบสาวที่เป็นข่าวด้วย แต่ละคนล้วนคู่ควรกับคนรักของเขาที่จะพาไปแสดงตัวที่ไหนต่อไหนโดยไม่ต้องกลัวคำครหาได้ทั้งสิ้น ในขณะที่เมื่อหันกลับมามองตัวเองแล้วก็ต้องสะท้อนใจที่ไม่มีอะไรให้เอาไปเทียบกับผู้หญิงสองคนนั้นได้เลยไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตาม

มือใหญ่ที่เอื้อมมาจับมือเรียวซึ่งวางอยู่บนตักทำให้นัยน์ตาคู่สวยที่ยังมองไปนอกหน้าต่างรื้นน้ำตาขึ้นมา พรพฤกษ์กะพริบตาถี่ไล่ไอน้ำในตาเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นที่ประทับลงบนหลังมือของตัวเอง

“ก็ทำไมเราจะต้องปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินล่ะว่าใครเหมาะหรือไม่เหมาะกัน อีกอย่างถ้าคนที่เหมาะสมกันแต่อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข ไผ่ไม่คิดว่าคนที่ยัดเยียดมาตรฐานแบบนั้นให้เค้าใจร้ายไปหน่อยเหรอ?”

คำพูดเปรียบเปรยของอีกฝ่ายทำให้คนที่สายตาจับจ้องภายนอกหน้าต่างหันกลับมาหาคนพูด ตระการยิ้มให้ใบหน้าหวานที่ขอบตาแดงเรื่อแล้วก็กระชับมือข้างที่บีบมือเรียวแน่นขึ้น พรพฤกษ์มองมือตัวเองในอุ้งมือใหญ่แล้วริมฝีปากแดงอิ่มก็ยกยิ้มเพราะความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งอก เขารู้แล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาคือการยืนยันว่าถึงใครจะพูดอย่างไรแต่ว่าคนรักของเขาก็จะไม่หวั่นไหวตามไปอย่างแน่นอน

จริงสินะ...ความสุขเป็นของเรา ทำไมจึงต้องปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินให้กัน...

ใบหน้าหวานระบายลมหายใจยาวก่อนจะเอนศีรษะลงพิงไหล่หนาของคนที่กำลังขับรถ มือเรียวบีบมือใหญ่อบอุ่นตอบก่อนจะเงียบไปนาน แต่แล้วประโยคคำถามถัดมาจากคนข้างตัวก็ทำให้ตระการต้องเลิกคิ้ว

“ที่จริงเรื่องอื่นที่บอกว่าสงสัยน่ะไม่ใช่เรื่องนี้นะ เพราะต้นมาทักเลยเขวไปเลย”

“อ้าว ถ้างั้นเรื่องไหนล่ะ ต้นไม่ได้มีความลับอะไรกับไผ่แล้วนี่นา”

ชายหนุ่มพยายามคิดทบทวนว่าตัวเองยังมีเรื่องอะไรที่เขาควรจะเล่าให้พรพฤกษ์ฟังแต่ยังไม่ได้เล่าอีก ร่างเพรียวเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของคนรักแล้วก็หัวเราะเบาๆก่อนจะถอยไปพิงพนักเช่นเดิมแต่ยังไม่ปล่อยมือออก

“ก็ไม่เชิงความลับอะไรหรอก แต่ต้นจำได้มั้ยว่าเคยเล่าให้ฟังว่ารู้จักไผ่ได้ยังไงน่ะ?”

นัยน์ตาคมเหลือบมองคนรักที่กำลังยิ้มให้แล้วก็พยักหน้า เขาหวนคิดถึงความทรงจำวัยเด็กที่มารดาเลี้ยงเอารูปของเด็กชายอีกคนให้ดูและเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของเด็กคนนั้นจนเขานึกอิจฉา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นความประทับใจที่ยืนยาวมาจนได้เจอตัวจริงของอีกฝ่ายในที่สุด

“อืม ก็ตอนเด็กน่ะเวลาแม่ได้ข่าวหรือได้รูปถ่ายใหม่ๆของไผ่ทีไรเป็นต้องแอบเล่าให้ต้นฟังทุกที ตอนนั้นต่อให้น้อยใจแค่ไหนแต่พอเห็นท่าทางดีใจของแม่ต้นก็พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายไปๆมาๆเลยกลายเป็นว่าคอยคะยั้นคะยอให้แม่เล่าเรื่องของไผ่ให้ฟังเองตลอดเลย”

พรพฤกษ์มองสายตาของอีกฝ่ายที่เหม่อมองไปไกลราวกำลังนึกถึงอดีตแล้วก็เม้มริมฝีปาก เขาพยายามนึกภาพตามถึงใบหน้าดีใจของมารดาที่แม้ตัวเองก็ยังจำหน้าไม่ค่อยได้แล้วก็รู้สึกเจ็บในอกขึ้นมา แต่เขาก็พอจะเข้าใจได้ถึงความน้อยใจที่ตระการเล่าให้ฟัง เพราะหากเป็นเขาเองที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันไม่แน่ว่าเขาอาจจะร้องไห้แล้วก็ไม่ยอมทนฟังเรื่องราวเหล่านั้นเลยก็เป็นได้

“แล้ว...แค่นั้นทำให้ต้นยึดติดกับไผ่ได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ? ไผ่หมายถึงที่ต้นเล่าว่าสาเหตุที่แฟนเก่าเค้าขอเลิกเพราะรู้ว่าต้นคิดถึงคนอื่นอยู่น่ะ คือ...”

พรพฤกษ์พยายามคิดหาคำพูดมาอธิบายแต่แล้วก็จนปัญญา เขาไม่แน่ใจว่าตระการจะเข้าใจคำถามที่ตนต้องการจะสื่อหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าคนข้างตัวจะรับรู้ว่าคนรักกำลังนึกสงสัยเรื่องอะไรจึงหัวเราะเบาๆ

“เข้าใจล่ะ ไผ่จะถามว่า ทำไมต้นถึงได้หลงรักคนที่แค่เคยเห็นรูปถ่ายกับได้ยินเรื่องจากปากคนอื่นทั้งที่ไม่เคยเจอตัวสินะ?”

คนถามยิ้มพลางจับมือที่ตัวเองกุมอยู่เขย่าเบาๆ เจ้าของมือเรียวจึงพยักหน้าตอบ ก็จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรในเมื่อนี่มันไม่ใช่เรื่องในวรรณคดีที่บรรดาตัวเอกหลงคนในรูปจนถึงขั้นประกาศสงครามกันได้เสียหน่อย และที่สำคัญกว่านั้นคือเขารู้ว่าตระการเองก็ไม่ใช่คนเพ้อฝันที่จะมาหลงเขาแค่เพียงเพราะได้เห็นรูปถ่ายเท่านั้นอยู่แล้ว

“ก็จริงอยู่ที่ต้นไม่เคยเจอตัวจริงไผ่เลยจนกระทั่งไปที่เกสต์เฮ้าส์ครั้งแรกนั่นแหละ แต่ว่าเราเคยคุยกันสองสามครั้งก่อนหน้านั้นนานแล้วนะ แต่ไผ่คงจำไม่ได้หรอกมั้ง”

ตระการเอ่ยลอยๆแต่กลับทำให้คนข้างตัวหันขวับมามองเขาตาโตทันที ชายหนุ่มเห็นสีหน้าสงสัยของคนรักแล้วก็ยิ้มอีก

“จำไม่ได้จริงๆล่ะสิเนี่ย เดี๋ยวถึงบ้านก่อนแล้วกันเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”


*************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2009 00:09:35 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
สุดท้ายแทนที่จะกลับเข้าบ้าน ตระการก็เปลี่ยนใจแล้วบอกว่าไปรอดูพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวบนเขากันดีกว่า พรพฤกษ์ไม่ได้ปฏิเสธเพราะอย่างไรเสียช่วงนี้บ้านนฤมิตรก็ปิดรับแขกอยู่แล้วจึงไม่มีเหตุผลต้องรีบเข้าบ้าน หลังจากที่จอดรถตรงไหล่เขาและพากันเดินไปยังศาลาชมวิวแล้วนัยน์ตาสีนิลก็หันไปมองคนข้างตัวที่กำลังหัวเราะเบาๆอย่างสงสัย

“ขำอะไรต้น”

“นึกถึงวันแรกที่ไผ่พาขึ้นมาดูวิวที่นี่ ตอนนั้นไผ่เกือบสะดุดก้อนหินล้มด้วย”

คนถามหน้าเป็นสีชมพูเรื่อขึ้นมาทันทีก่อนจะค้อนคนที่ยังมองตัวเองแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ ชายหนุ่มไม่ได้มีปัญหากับการที่อีกฝ่ายเป็นคนความจำดี แต่กับเรื่องบางเรื่องที่ไม่น่าจำนี่ก็ไม่เข้าใจว่าจะจำไปทำไม

“ไผ่! ระวัง!!”

“เฮ้ย!”

อ้อมแขนใหญ่เอื้อมออกคว้าเอวของคนที่กำลังจะสะดุดล้มได้ถูกจังหวะพอดี ลมหายใจอุ่นที่มาพร้อมเสียงกระซิบข้างหูทำให้พรพรพฤกษ์รีบหันไปทุบไหล่คนที่กำลังหัวเราะแล้วก็รีบเดินหนี ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้บนพื้นไม่มีอะไรเลย แต่ตระการเล่นแกล้งส่งเสียงให้ตกใจจนเขาเกือบจะล้มเอาจริงๆ


‘เห็นมั้ย ซุ่มซ่ามจริงๆด้วย’


ร่างสูงใหญ่ยังหัวเราะไม่หยุดเมื่อเร่งฝีเท้าจนมาทันคนที่กำลังจะเดินถึงศาลา ชายหนุ่มนึกขอบคุณตาของพรพฤกษ์ที่มาสร้างบ้านอยู่บนที่ที่ไม่ค่อยมีคนนิยมมาแบบนี้ทำให้แทบจะเหมือนกับว่าเขาทั้งลูกนี้เป็นของเขากับพรพฤกษ์แค่สองคน ใบหน้าคมยิ้มให้คนรักที่กำลังทำหน้าบึ้งเพราะโดนแกล้งทั้งที่มีริ้วสีแดงพาดบนใบหน้าเนียนขาวนั้น มือใหญ่กระตุกร่างเพรียวให้นั่งลงข้างกันเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินไปนั่งอีกฝั่ง

“ขอโทษ แหย่เล่นหน่อยเดียวเอง นี่งอนจริงๆเหรอเนี่ย?”

“ก็แล้วมันน่ามั้ยล่ะ เล่นอะไรเป็นเด็กๆไปได้”

“โอ๋ๆ งั้นไม่แกล้งแล้วครับ ไผ่อย่างอนนะ”

ตระการเอ่ยยิ้มๆก่อนจะกอดรั้งเอวบางให้เข้าใกล้แล้วกดจมูกลงบนแก้มที่ยังซับสีเลือดเป็นสีชมพูเรื่ออยู่ พรพฤกษ์ได้แต่หลับตาแล้วถอนหายใจ ท่าทางคนที่กำลังกอดเขาอยู่จะได้ใจที่เห็นว่าเขาเริ่มอารมณ์ดีแล้วตั้งแต่ปรับความเข้าใจกันได้เมื่อตอนกลางวันเป็นต้นมา ตอนนี้จึงเหมือนเป็นเวลาเอาคืนเพื่อชดเชยช่วงที่เสียโอกาสไปกระมัง

ร่างสูงใหญ่เอนตัวพิงพนักศาลาก่อนจะดึงตัวคนในอ้อมแขนให้เอนลงพิงอกตัวเอง ชายหนุ่มยิ้มพลางลูบไหล่ของคนในอ้อมแขนที่ไม่ส่งเสียงทัดทานอะไรอีกไปมา ช่วยไม่ได้จริงๆที่เขานึกอยากให้พรพฤกษ์ได้ผ่อนคลายบ้าง เพราะช่วงเวลาตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเป็นต้นมาคนรักของเขาก็ทั้งพูดน้อยทั้งเงียบขรึมจนชายหนุ่มเป็นห่วงสภาพจิตใจของอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นโอกาสที่จะได้ทำให้คนที่รักกลับมาร่าเริงเช่นเดิมได้เขาจึงไม่อยากปล่อยเวลาอันมีค่าให้สูญเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว

สายตาสองคู่ทอดมองแสงอาทิตย์อัสดงที่กำลังทาบทับขอบฟ้า ลมเย็นพัดเอื่อยระยอดหญ้ารอบศาลาจนไหวลู่ พรพฤกษ์พยายามกะพริบตาถี่เพื่อไล่ความรู้สึกง่วงงุนที่จู่ๆก็คืบคลานเข้ามาแล้วเงยหน้าขึ้นหาคนที่ตัวเองพิงอกอยู่

“ต้น ตกลงที่จะเล่าให้ฟังล่ะว่าไง ไผ่เคยไปคุยกับต้นตอนไหน ทำไมไม่เห็นเคยจำได้เลย”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบลงสบกับนัยน์ตาสีนิลวาวแล้วก็กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ชายหนุ่มพยายามเรียบเรียงคำพูดว่าจะเล่าอย่างไรดี สุดท้ายใบหน้าคมจึงเกยคางลงบนบ่าของคนในอ้อมแขนก่อนจะเริ่มเล่า

“ไผ่จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกเพราะว่ามันก็นานแล้ว ตอนเด็กต้นเคยโทรมาที่บ้านไผ่น่ะ ตอนนั้นต้นคงราวๆ 11-12 ขวบได้ ส่วนไผ่ก็คงประมาณ 13-14 มั้ง”

พรพฤกษ์รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่ระอยู่บนผิวแก้มขณะที่เจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง ชายหนุ่มพยายามเรียกความทรงจำในช่วงเวลาดังกล่าวให้กลับคืนมา แต่ถึงกระนั้นก็จำไม่ได้เลยว่าเคยได้คุยกับตระการอย่างที่เจ้าตัวบอก

“ถ้าให้พูดตามตรงก็จำไม่ได้หรอก แต่ว่าตอนนั้นต้นโทรมาทำไม?”

ตระการถอนหายใจ ความทรงจำที่ไม่น่าพึงระลึกถึงช่วงหนึ่งในอดีตย้อนกลับเข้ามาในมโนสำนึก แต่แล้วชายหนุ่มก็ส่ายหน้าเบาๆ

“วัยเด็กของต้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่มีความสุขเท่าไหร่หรอกนะไผ่”

ชายหนุ่มเอ่ยแล้วก็เงียบไปราวกับจะรอให้อีกฝ่ายเอ่ยความเห็นขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่าคนรักไม่พูดอะไรตระการจึงเล่าต่อ

“อย่างที่เคยบอกไปครั้งนึงแล้วว่าตอนเด็กๆต้นขี้โรค เวลาไปโรงเรียนเลยชอบโดนเพื่อนล้อเพราะขาดเรียนบ่อย พอกลับบ้านก็ยังต้องนั่งเรียนพิเศษกับครูที่พ่อจ้างมาให้ หลายครั้งที่เครียดจนแทบทนไม่ไหวแต่เพราะว่ามีแม่อยู่ด้วยต้นเลยทนได้ จนกระทั่งวันนึงที่ไปได้ยินพ่อทะเลาะกับแม่เข้า...”

เสียงทุ้มที่กำลังเล่าเรื่องขาดช่วง ตระการสูดหายใจเข้าลึกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตทีเขาแอบได้ยินบิดาตวาดมารดาเลี้ยงที่กำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้องนอน


‘หยุดติดต่อกับพ่อของเธอได้แล้ว เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าต้นมันเคยเกือบตายมาแล้วครั้งนึงเพราะเธอจะหนีไปนั่นแหละ อยากให้มันตายจริงๆหรือไง!!’


“ต้น...ถ้าเล่าแล้วทำให้นึกถึงเรื่องไม่ดีก็ไม่ต้องเล่าก็ได้นะ”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลืมขึ้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของคนที่อยู่ในอ้อมแขน มือเรียวข้างหนึ่งลูบไปมาบนหลังมือแกร่งราวจะปลอบใจ ชายหนุ่มจึงกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นก่อนจะยิ้มบางๆ ไม่ว่าจะในอดีตหรือตอนนี้เขาก็ได้คนคนนี้ช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาตลอดแม้เจ้าตัวจะไม่เคยรู้เลยก็ตาม

“ไม่เป็นไรหรอก ก็คือวันหนึ่งหลังกลับจากโรงเรียนที่ต้นก็โดนล้อกลับมาเหมือนเดิม ต้นกำลังจะไปหาแม่ที่ห้อง แต่ปรากฏว่าไปได้ยินพ่อตวาดใส่แม่ แล้วพ่อก็ยกเรื่องที่ว่าต้นขาดแม่ไม่ได้มาเป็นเหตุผลให้แม่เลิกติดต่อกับตาของไผ่”

แสงอาทิตย์ที่ลอยต่ำลงเรื่อยๆฉาบไล้ยอดเขาที่อยู่ไกลลิบให้เป็นสีเทาเหลือบแดง อากาศรอบตัวทั้งสองเริ่มเย็นขึ้น แต่ถึงกระนั้นตระการก็รู้ว่านั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ไหล่ของคนในอ้อมแขนสั่นขึ้นมา

“วันนั้นต้นเครียดมาจากเรื่องที่โรงเรียนอยู่แล้ว พอได้ยินพ่อพูดกับแม่แบบนั้นเลยย้อนคิดว่าหรือตัวเองจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่มีความสุขจริงๆ อีกอย่างพ่อเองก็ไม่เคยมาใกล้ชิดกับต้นเหมือนพ่อของเพื่อนคนอื่นเลย ถ้าอย่างนั้นต้นจะมีชีวิตไปให้หนักโลกนี้ทำไม แล้วคืนนั้นแหละที่ต้นแอบค้นสมุดแม่แล้วหาเบอร์เพื่อโทรมาบ้านไผ่”

คนในอ้อมแขนผละตัวออกแล้วหันมาขมวดคิ้วให้คนที่กำลังเล่าเรื่องทันที ทว่าตระการเพียงยิ้มตอบสีหน้าที่เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ของเจ้าของใบหน้าหวานตรงหน้า

“อย่าบอกนะว่าตอนนั้น...ต้นคิดจะฆ่าตัวตาย?”

น้ำเสียงที่ถามแหบเครือ นัยน์ตาสีนิลวูบไหวราวปวดร้าวไปกับเรื่องที่ได้ฟัง ร่างสูงใหญ่จึงรั้งร่างเพรียวเข้าหาอ้อมแขนของตนอีกครั้งแล้วสางผมนิ่มไปมา

“ก็แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวน่ะ บอกแล้วไงว่าวัยเด็กของต้นไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่”

“แล้วตอนนั้นต้นโทรมาทำไม?”

พรพฤกษ์ซุกตัวเข้าหาอ้อมอกอุ่นมากขึ้นขณะที่โอบแขนรอบเอวแกร่งหนาราวจะถ่ายทอดความอบอุ่นของตนให้อีกฝ่ายบ้าง เขาไม่เคยรู้เลยว่าตระการมีวัยเด็กที่ขมขื่นเช่นนี้ หากเทียบกับเขาที่มีความทรงจำเพียงน้อยนิดเกี่ยวกับผู้ให้กำเนิด แต่ก็ไม่เคยขาดความรักและความเอาใจใส่จากตาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง วัยเด็กของเขาก็นับว่าดีกว่าตระการมากอย่างเทียบกันไม่ได้

ใบหน้าคมยิ้มให้กับการแสดงความห่วงใยของคนรักในอ้อมแขน นอกจากพรพฤกษ์แล้วเขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อนเลยแม้แต่มารดาเลี้ยงที่ตนสนิทด้วยที่สุดก็ตาม และหากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ทำให้เขามุ่งมั่นกับตนนักขึ้นมาเขาก็คงไม่คิดจะปริปากถึงเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต

“ตอนนั้นต้นยังเด็ก ก็คิดอะไรแบบเด็กๆ ต้นกะว่าจะโทรมาบอกไผ่ว่าต้นจะคืนแม่ให้ แม่จะได้กลับไปอยู่กับลูกแท้ๆของตัวเองเสียที ตอนนั้นก็ไม่ทันคิดหรอกว่าถ้าหากคนที่รับสายไม่ใช่ไผ่แต่เป็นตาจะทำยังไง แต่ปรากฏว่าไผ่ก็เป็นคนที่มารับสายจริงๆ”

พรพฤกษ์หลับตาลง เขาจำไม่ได้จริงๆว่าเคยมีโทรศัพท์นิรนามเช่นนั้นมาหา แต่เมื่อนึกจินตนาการถึงสภาพจิตใจของเด็กชายคนหนึ่งที่ตั้งใจจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้คนที่รักมีความสุขก็รู้สึกนัยน์ตาร้อนผ่าวจนแสบไปหมด

“ทั้งๆที่คิดไว้แล้วว่าพอได้คุยกันจะพูดอะไร แต่ปรากฏว่าพอได้ยินเสียงไผ่รับสายว่า ‘ฮัลโหล’ เท่านั้นแหละ ต้นมือสั่นไปหมด ที่เคยคิดว่าจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก ยิ่งพอโดนถามว่า ‘ใครครับ?’ ต้นก็ร้องไห้เลย”

“แล้วตอนนั้นไผ่พูดอะไรกับต้นบ้าง?”

คนถามพยายามสูดน้ำมูกเสียงเบา ถึงแม้ว่าเสียงหัวเราะในคอจากคนที่โอบกอดตนอยู่จะบ่งบอกว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังร้องไห้ก็ตาม

“ตอนแรกไผ่ก็เอาแต่ถามว่าใครครับๆ แต่ต้นก็ได้แต่ร้องไห้ สุดท้ายไผ่เลยพยายามพูดปลอบว่า ‘ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ถ้าอยากร้องก็ร้องเถอะ แต่ยังไงก็ต้องเข้มแข็งไว้นะ’ สำหรับไผ่มันอาจเป็นแค่คำปลอบใจคนที่ไม่รู้จักเพราะไม่รู้จะพูดอะไร แต่ว่าเพราะคำพูดพวกนั้นแหละที่ทำให้ต้นเปลี่ยนใจ ไม่อยากคิดสั้นอีก”  

ร่างสูงใหญ่ดันคนในอ้อมแขนออกก่อนจะใช้ปลายนิ้วกรีดน้ำตาจากหางตากลมโตให้ พรพฤกษ์มองใบหน้าของคนรักที่กำลังส่งยิ้มให้ตนท่ามกลางแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันผ่านม่านน้ำตาแล้วก็รู้สึกราวกับน้ำตาจะไหลลงมาอีก

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”

“หลังจากวันนั้นต้นเลยแอบพ่อกับแม่โทรหาไผ่อีกสองสามครั้งได้ ทุกครั้งต้นไม่ได้พูดอะไรแต่ไผ่คงจะรู้ว่าเป็นคนเดียวกันเพราะต้นโทรไปเวลาเดิมทุกครั้ง ไผ่ก็จะถามว่าเป็นไงบ้าง ไม่ร้องแล้วใช่มั้ย แล้วก็พยายามจะชวนต้นคุย แต่เพราะความขี้ขลาดต้นเลยไม่กล้าตอบอะไรเลย จนสุดท้ายพ่อเริ่มสงสัยว่าทำไมบิลค่าโทรศัพท์ถึงมีโทรไปต่างจังหวัดเลยไปคาดคั้นกับแม่อีก ต้นเลยต้องหยุดโทร แต่เพราะอย่างนี้ต้นถึงได้รู้สึกว่าไผ่เป็นคนสำคัญมาตลอดตั้งแต่ก่อนที่จะได้เจอกันอีกไง”

“ขอโทษนะต้น ไผ่ไม่น่าถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเลย”

พรพฤกษ์ปิดตาลง แต่ก็ยังช้ากว่าหยาดน้ำตาที่กลิ้งลงมาบนผิวแก้มเนียนไม่หยุด ตระการจูบเปลือกตาที่เริ่มบวมช้ำของอีกฝ่ายก่อนจะกอดร่างเพรียวของคนสำคัญไว้แน่นแล้วลูบแผ่นหลังบางไปมา

“ไม่เป็นไรหรอก ดีเหมือนกันที่ต้นได้เล่าเรื่องนี้ให้ไผ่ฟัง ไผ่จะได้เข้าใจว่าไผ่มีส่วนสำคัญในชีวิตต้นแค่ไหน ทั้งเมื่อก่อนแล้วก็หลังจากนี้ไปด้วย”

พรพฤกษ์กำเสื้ออีกฝ่ายแน่นขณะพยายามบังคับร่างกายไม่ให้สั่นเพราะแรงสะอื้น เขาไม่เคยรู้เลยจริงๆว่าเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของตัวเองที่อาจแค่พูดเพื่อปลอบใจเด็กน้อยคนหนึ่งจะส่งอิทธิพลกับเด็กคนนั้นมากถึงขนาดนี้ และไม่ว่าจะเพราะชะตากรรมหรือพรหมลิขิตใดก็ตามที่ทำให้ทั้งสองมาพบกัน เขาก็มั่นใจแล้วว่านับจากนี้ไป นอกจากจะมีเขาอยู่ในอนาคตของตระการแล้ว อีกฝ่ายก็จะเดินเคียงคู่ไปในอนาคตของเขาด้วยเช่นเดียวกัน

“กลับบ้านกับต้นนะไผ่ ไปไหว้แม่ด้วยกัน”

ตระการทวงขอคำสัญญาเดียวกับเมื่อตอนอยู่ที่บ้านนรพัฒน์ซ้ำอีกครั้ง แม้อีกฝ่ายจะละใจความสำคัญอีกส่วนซึ่งหมายถึงการเผชิญหน้ากับบิดาของตนเอาไว้ แต่ตอนนี้พรพฤกษ์ก็มั่นใจแล้วว่าแม้จะต้องถูกปฏิเสธหรือคัดค้านอย่างไรก็ตาม จากนี้ไปเขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากคนตรงหน้าที่เขาเคยให้ความหวังในการใช้ชีวิตต่อไปอย่างเด็ดขาด

อ้อมแขนเรียวกระชับรอบลำคอแกร่งแน่นเข้าก่อนจะกระซิบตอบรับเสียงเบา แล้วใบหน้าหวานที่เปื้อนน้ำตาก็ยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นที่แนบลงบนขมับแทนคำขอบคุณ


*************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2009 00:10:02 โดย bellbomb »

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจที่มาต่อยาวซะด้วย

อ่านแล้วอุ่นจังเลย ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กเลยเนอะ  ไผ่จะได้เลิกคิดมากซะที

อย่าลืมจัดการกับอุปสรรคขั้นสุดท้ายให้ด้วยนะจ๊ะ อีตาพ่อใจร้ายนั่นน่ะ ช่วยเป่ามนต์ให้กลายเป็นคุณพ่อใจดีซะทีเหอะ คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของป้าหรอกนะ

 :กอด1: มาต่อไวๆนะจ๊ะป้าจ๋า จุ๊บๆๆๆๆ

ออฟไลน์ moonlight

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 985
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-0
เย้ๆๆๆ ป้าสุดสวยมาต่อแล้ว :mc4:

อบอุ๊นอบอุ่น ^__^

รอตอนต่อไปนะจ๊ะ :กอด1:


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
อุปสรรคอะลดๆลงหน่อยจิ สงสารทั้งคู่  :monkeysad:

แล้วรีบมาต่อตอนต่อไปนะ รออยุ่จ้า  :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด