หลังตะวัน : 5
ไหนบอกจะรอคำตอบจากผมไง แล้วทำไมถึงเป็นฝ่ายหนีไปซะเอง
แบบนี้มันมัดมือชกกันนี่หว่าตี๋ ใจร้ายชิบเป๋ง
“วันนี้ก็ไม่มา” ไอ้นายหันมาบอกทันทีที่คนข้างตัวสะกิดบอกว่าผมเข้ามาในร้านแล้วชะเง้อคอมองหลังเคาน์เตอร์หาคนที่ไม่ได้เจอมาหลายวัน
พอได้ยินแบบนั้นผมก็ถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งหลังเคาน์เตอร์อย่างหมดอาลัยตายอยาก
ผมไม่เจอไอ้ตี๋อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น... ทั้งที่ถูกยื่นข้อเสนอให้ แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่าผมไม่สามารถเลือกอะไรได้เลย
ผมยังอยากเจอหน้ามัน แต่ในทางกลับกัน ก็ไม่อาจจะทำเป็นลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้...
ทุกร่องรอย ทุกสัมผัส กลิ่นหอมกรุ่นทั่วร่าง หรือแม้กระทั่งรสชาติของจูบที่ได้ลิ้มลองยังคงตราตรึงอยู่ในใจราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน
แต่สิ่งที่ติดแน่นอยู่ในความทรงจำไม่แพ้กัน ก็คือสายตาคู่นั้น...
สายตาที่ผลักไสให้ผมต้องยอมถอยห่างออกมาอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดๆ รู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเลวทรามแค่ไหนก็ตอนที่ได้เห็นแววตาเจ็บปวดแสนจะบรรยาย
เพื่อพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองผมถึงกับทำแบบนั้นลงไป... ถึงแม้จะไม่ได้รุนแรง และแน่ใจว่าทุกสัมผัสที่มอบให้ล้วนซื่อตรงจากใจ แต่พอมีสติก็เพิ่งคิดได้ว่านั่นมันไม่ต่างจากการขืนใจอีกคนเลยไม่ใช่หรือไง?
สมควรแล้วล่ะที่จะโดนไล่ สมควรแล้วที่ไอ้ตี๋มันจะไม่อยากเจอหน้าผมอีก ก็ใครใช้ให้เผลอทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับมันอย่างไม่น่าให้อภัย
จะทำให้มีความสุขอะไรกัน... นอกจากจะทำไม่ได้แล้ว ยังกลับกลายเป็นคนหยิบยื่นความเจ็บปวดให้มันเสียเอง
“ถามจริง พี่กับพี่โชมีเรื่องอะไรกัน” ไอ้นายกระชากผมออกจากภวังค์เอ่ยคำถามเดิมที่ไม่ได้คำตอบมาหลายวัน
“มึงเจอมันหรือเปล่า” วันนี้ก็เหมือนกัน
เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่อะไรที่จะบอกให้คนภายนอกรับรู้ ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องน่าอาย แต่เพราะกลัวอีกคนจะเสียหาย ต่อให้อึดอัดแทบตายก็บอกใครไม่ได้ ปรึกษาใครไม่ได้เลย
“เจอ” ไอ้นายถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ผม “แต่พี่โชไม่ได้อธิบายอะไร แค่บอกว่าคืนนี้มาทำงานไม่ได้ ให้มิ่งมาอยู่กะแทน” ผมเหลือบสายตามองเจ้าของชื่อที่กำลังรับออเดอร์จากลูกค้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์อย่างไม่รู้จะทำยังไง
อยากเจอ... อยากขอโทษ... อยากกอด อยากบอกความรู้สึกตัวเองออกไป... แต่จะกล้าไปสู้หน้ามันอีกได้ยังไง ในเมื่อการกระทำของอีกฝ่ายก็ย้ำชัดแล้วว่ายังไม่ให้อภัย
บางทีมันอาจจะเกลียดผมไปแล้วด้วยซ้ำ
“พี่ซัน” ไอ้นายเรียกชื่อผมอีกครั้ง น้ำเสียงมันจริงจังเมื่อผมยังไม่ยอมบอกอะไร “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” คราวนี้คำถามยิ่งเจือปนไปด้วยน้ำเสียงคลางแคลงใจ
“...”
“ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างพี่โชที่ถึงขนาดทำงานจนเป็นลมคาร้าน จะขาดงานไปโดยไม่มีเหตุผล”
“...”
“แล้วสภาพพี่สองคนตอนนี้แม่งโคตรทำให้ผมเป็นห่วงเลย”
“มันเป็นยังไงบ้าง” ผมเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามแทนที่จะตอบคำถามอีกครั้ง
“แย่” ไอ้นายเบ้หน้า ให้คำจำกัดความ้พียงคำเดียว “พี่เองก็ไม่ต่าง”
“กูไม่ได้เป็นอะไร”
“ที่พูดเนี่ยส่องกระจกหรือยัง” เป็นคำพูดเหน็บแนมที่ปกติผมคงด่ากลับไป แต่คราวนี้กลับไม่คิดต่อปากต่อคำ เพราะลึกๆ รู้ดีว่าตัวเองกำลังแย่แค่ไหน ในใจมันอัดอั้นเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างกำลังควบแน่นอยู่ในนั้นรอวันระเบิดออกมา
“กูไม่เป็นไร” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนยันคำโกหกเดิม ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง ถอนหายใจหนักๆ อีกครั้งพลางลุกขึ้นยืน หยิบบางอย่างออกมาจากในกระเป๋ายื่นให้ไอ้นายเหมือนทุกวัน
หลอดยาเล็กๆ ที่ตั้งใจซื้อมาให้ เพราะจำได้ดีว่าเท้าที่โดนโจ๊กร้อนๆ ลวกของไอ้ตี๋มันแดงแค่ไหน ตอนนั้นผมตกใจแทบตาย แต่ไอ้ตี๋กลับนิ่งเฉย และมองผมด้วยสายตาเย็นชา... สายตาที่ทำเอาผมตัวชาไม่ต่างกัน
รู้ว่ามันผ่านมาตั้งหลายวันแต่ก็อดห่วงไม่ได้... ผิวบอบบางขนาดนั้นถ้าเป็นรอยแผลเป็นขึ้นมาจะทำยังไง
ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงไม่มีทางรับผิดชอบได้ เหมือนกับความรู้สึกที่เสียไป ผมไม่รู้เลยว่าจะใช้อะไรบรรเทาความเจ็บปวดที่คงจะฝังลงไปในหัวใจของมันไม่ต่างจากรอยแผลเป็น
“ขอโทษนะพี่” ไอ้นายปฏิเสธ ก่อนจะหันไปหยิบหลอดยาอีกสามหลอดมาวางให้ตรงหน้า
ผมได้แต่แค่นยิ้มอย่างสมเพชตัวเองจับใจ ก่อนจะโยนยาอีกหลอดลงไปในกองความหวังดีที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ
“พี่ซัน” กำลังจะหมุนตัวเดินออกจากร้านมาแต่ว่าเสียงเรียกจากไอ้นายก็ทำให้หยุดฝีเท้าตัวเองไว้ “ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกพี่มีปัญหาอะไร”
“...” ไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของมัน
“แต่พี่รู้ตัวแล้วใช่มั้ย”
“...” น้ำเสียงที่บ่งบอกว่ามันจับได้มาตั้งนานว่าผมรู้สึกยังไง
“รู้แล้วใช่มั้ยว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร”
“...”
“รู้หรือยัง ว่าสิ่งที่พี่ทำให้พี่โช... มันไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาทำกัน”
คราวนี้ผมหันไปตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ ...ยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทุกความรู้สึกที่ค่อยๆ เผยตัวในทุกวินาทีตอกย้ำว่าผมโง่และขี้ขลาดแค่ไหน
เพราะที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัว แต่ไม่เคยยอมรับต่างหาก
เอาแต่หลอกตัวเองอยู่ได้... ทั้งที่ทุกอย่างออกจะชัดเจน
ผมชอบผู้หญิง และคิดว่าตัวเองยังชอบผู้หญิงมาตลอด
เพราะแบบนั้นถึงได้ตกใจที่อยู่ๆ วันหนึ่งตัวเองก็เผลอใจมองผู้ชายขึ้นมา
ไม่ได้รังเกียจ... เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไม
ตอนแรกคิดว่าเพราะไอ้ตี๋มันหน้าตาน่ารัก มองทีไรก็ไม่อยากละสายตา แต่ยิ่งได้รู้จัก ก็รู้ว่ามันมีอะไรที่มากกว่าหน้าตา นิสัยปากร้ายแต่ใจดี ชอบตีหน้าบึ้งใส่ แต่ผมก็รู้ว่ามันจริงใจกับผมแค่ไหน กับคนอื่นที่มักจะปั้นหน้ายิ้มให้ เหมือนเสแสร้งแต่ผมก็รู้ว่ามันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แค่เพียงปกป้องตัวเองไม่ให้กลับไปอยู่ในวันร้ายๆ แบบที่เคยเจอ
เป็นคนที่ภายนอกดูสดใส แต่ในแววตากลับฉายความเหงา... ความเศร้าที่ผมไม่อาจสัมผัสได้
คิดมาตลอดว่าเพราะแบบนั้นก็เลยสงสาร รู้สึกผิดที่เคยอยู่ในโลกใบเดียวกัน แต่กลับไม่เคยสนใจ ไม่เคยช่วยอะไรมันได้ ซ้ำยังเป็นส่วนหนึ่งในสาเหตุของปมในใจที่จนป่านนี้ก็ยากที่จะบอกได้ว่าหายดีหรือยัง
รู้สึกผิด อยากจะรับผิดชอบ อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไข จนพยายามพาตัวเองเข้าไปหลังเส้นที่มันขีดไว้...กระทั่งหลงลืมเจตนาที่ตั้งใจ พอได้เข้าใกล้ ก็ยิ่งอยากจะใกล้มากกว่า ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าขาตัวเองตกลงมาในหลุมลึกที่ยากจะกลับหลัง
นานวันก็ยิ่งรู้ว่าความรู้สึกมันไปไกลกว่าแค่สงสาร หรือรู้สึกผิด... ยังมีอีกหลายอย่างปะปนอยู่ในนั้น
ชัดเจนขึ้นทุกวันจนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
อยากเจอหน้า อยากได้ยินเสียง อยากกวนตีนให้มันถอนหายใจใส่ซ้ำๆ ยิ่งถูกตีหน้าบึ้งใส่ก็ยิ่งชอบใจ... เพราะมันทำให้รู้ว่าพอไอ้ตี๋ยิ้มให้ หัวใจของผมเต้นแรงขนาดไหน... รอยยิ้มที่มีอิทธิพลกว่าที่ตัวเองเข้าใจ ได้เห็นครั้งหนึ่งก็เฝ้ารออยากจะเห็นครั้งต่อไป
และถ้าเป็นไปได้... ก็อยากจะครอบครองรอยยิ้มนั้นไว้แค่คนเดียว
ทุกอย่างเป็นเพียงความคิดที่ถูกเก็บงำไว้ในส่วนลึกของหัวใจ จนกระทั่งคืนนั้น...
คืนที่กำแพงของผมพังทลาย เหมือนกล่องแพนโดร่าที่ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย เพียงเพราะสัมผัสเดียว
สัมผัสที่ลึกล้ำเกินตั้งใจ ทว่าหอมหวานกว่าที่เคยจินตนาการ เหมือนก้าวเข้าไปยืนอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความฝัน สุขสมเหมือนได้ขึ้นสวรรค์... แต่ในขณะเดียวกันก็ทรมานด้วยรสชาติของความจริง
ความจริงที่ว่านั่นไม่ใช่สวรรค์ที่คนเห็นแก่ตัวอย่างผมจะอาจเอื้อม
ทั้งที่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่านี่คือผลของสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เอาเข้าจริงมันก็ยากที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ดีแก่ใจว่าการกระทำทุกอย่างที่อยู่เหนือความยับยั้งชั่งใจ... ล้วนเกิดจากความต้องการลึกๆ ของหัวใจตลอดมา
ยิ่งทบทวนก็ยิ่งรู้ว่าสิ่งเดียวที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำได้ คือการกระชากความรู้สึกที่เคยซ่อนไว้ในใจออกมาอย่างไร้การปิดบัง ดังนั้นผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้เวลาย้อนกลับได้ ผมก็คงจะทำมันลงไปอีก โดยไม่คิดจะไตร่ตรองใดๆ ...
ปล่อยให้ไฟปรารถนาควบคุมร่างกายอย่างสิ้นเชิง
“หมดสภาพเลยนะมึง” เสียงเพื่อนรักเอ่ยทักทายหลังจากที่ผมเปิดระตูให้และถูกมองหัวจรดเท้าอย่างระอาใจ
“มึงมาทำไม” ถามขณะเดินนำเข้ามาในห้องทิ้งตัวนั่งบนโซฟาใหญ่ที่ใช้ซุกหัวนอนต่างเตียง
เพราะเคยชินกับการนอนบนโซฟาแคบๆ จากห้องของอีกคน พอต้องกลับมานอนห้องตัวเอง ถึงได้ใช้มันเป็นตัวผสานความรู้สึกให้เหมือนได้อยู่ในห้องนั้นอีกครั้ง
“น้องนายบอกให้ช่วยมาตาม” ไอ้ตรีว่าพลางขยับเข้ามายืนกอดอกค้ำหัวกัน “มึงเป็นอะไร ทำไมไม่ไปทำงาน”
“กูป่วย” ตอแหลตอบไป ก่อนจะจับชายผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวไว้ กดเลื่อนช่องทีวีที่นั่งจ้องมาทั้งวันแต่ไม่ได้โฟกัสอะไร จนมาหยุดอยู่ตรงช่องที่ฉายหนังที่เคยชอบพอดี
Love Rosie...
รีบปิดทันทีพร้อมกับโยนลงไปในลิสต์ของหนังที่ไม่คิดจะดูอีกต่อไป ไม่ใช่แค่เพราะพระเอกแม่งโง่ชิบหาย แต่เพราะมันเตือนให้นึกถึงคนที่กำลังทรมานผมด้วยความคิดถึงแทบบ้าตาย
“เมาเหรอ?” มันถาม ยื่นหน้าเข้ามาดมตัวผมก่อนจะถอยกลับไป “ก็ไม่ได้กลิ่นเหล้านี่หว่า”
เออ จะได้กลิ่นได้ไง ยังไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เลย
แตะไม่ได้ เมาไม่ได้... ถ้ากินเข้าไปต้องใช้เป็นข้ออ้างเพื่อไปหาแน่
ถึงอยากเจอหน้าแค่ไหนก็ต้องห้ามใจไว้ ไม่อยากถูกเกลียดยิ่งกว่าเดิม ไม่อยากถูกผลักไสไปตลอดกาล... ถ้าเป็นแบบนั้นคงได้ตายจริงๆ
“น้องบอกว่ามึงกับโชมีปัญหากัน ปัญหาอะไร?” ถูกยิงคำถามนี้อีกครั้ง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง
“...”
“ไอ้ซัน”
“มึงกลับไปได้แล้วไป ไม่งั้นกูจะฟ้องพี่เชนว่ามึงมาอ่อยกูถึงห้อง” พอตอบไม่ได้ผมเลยงอแง
“พี่เชนรออยู่ข้างล่าง” แต่ไอ้ตรีกลับไม่สะทกสะท้าน
“...”
“ฝากมาบอกมึงด้วยว่าอย่าโง่นัก” ด่าหน้าตายก่อนจะเบียดลงมานั่งข้างปลายเท้าผม กอดอกมองมาอย่างไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้คำตอบ
“ทีนี้บอกได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ไม่รู้ว่าพอคบกับพี่เชนแล้วซึมซับความโหดมาหรือยังไง ออร่าความน่ากลัวของไอ้ตรีถึงได้เหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเลเวล
“ไม่มีอะไร” แต่ผมก็ยังดื้อด้านดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงหนีปัญหามันซะเลย
ต่อให้เป็นไอ้ตรี ก็ไม่รู้จะอธิบายถึงสิ่งที่ตีรวนอยู่ในหัวผมจนยุ่งเหยิงยากจะเข้าใจนี่ยังไง
“ไอ้ซัน กูเพื่อนมึงนะ”
“...”
“โชก็เพื่อนกูเหมือนกัน”
“มันเป็นไงบ้าง... กลับมาทำงานหรือยัง?” พอได้ยินชื่อคนที่คิดถึงอยู่ทุกวัน ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ยัง” มันตอบก่อนจะถอนหายใจ “เหมือนจะไม่สบาย”
ผมชะงักไป ก่อนจะโงหัวขึ้นมามองหน้าคนส่งสารอย่างต้องการคำอธิบาย “มันเป็นอะไร”
ไอ้ตรีส่ายหน้า “ไม่รู้ ที่แน่ๆ คงไม่ได้ป่วยการเมืองแบบมึง”
ผมไม่ได้สนใจคำประชดประชัน หัวใจกำลังสั่นไหวจนสัมผัสได้
ทั้งที่ผมถอยออกมาเพราะกลัวว่าการทู่ซี้ไปรอเจอหน้ามันจะทำให้ไอ้ตี๋ไม่สบายใจ แล้วนี่อะไร ทำไมถึงมีข่าวว่าไม่สบายกายขึ้นมาอีกวะ
“ไอ้ตรี” ผมลุกขึ้นมานั่ง ยกมือกุมขมับอย่างไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
แค่คิดว่ามันกำลังไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ก็เริ่มทรมานในอกขึ้นมาอีกแล้ว “มึงไปหามันหน่อยได้มั้ย”
“...”
“ไปดูมันให้กูที”
อย่างน้อยถ้าเป็นไอ้ตรี ก็คงไม่ถูกผลักไส ดีไม่ดีมันอาจจะมีกำลังใจ หายป่วยไวขึ้นก็ได้... ใช่มั้ย?
“ไม่เอา” แต่คำขอร้องของผมกลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นทำไมไม่ไปดูเอง”
ไอ้ตรีขมวดคิ้วมองมาอย่างไม่เข้าใจ เมื่อผมส่ายหน้า สบตากลับไปด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย
“กูไปไม่ได้... ยังไปตอนนี้ไม่ได้”
“ไอ้ซัน...” คงเพราะจับอะไรได้จากแววตา สีหน้าไอ้ตรีถึงได้เปลี่ยนไป “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
คราวนี้มันไม่ได้ใช้น้ำเสียงคาดคั้น แต่กลับแสดงความเป็นห่วงชัดจนผมเงียบไป
“กู...” สีหน้าที่ทำให้ผมไว้ใจ และยอมสารภาพสิ่งที่อึดอัดอยู่ในใจมาหลายวันให้ฟัง “กูเผลอทำไม่ดีกับไอ้ตี๋”
“เรื่องไม่ดีอะไร?”
“กูทำเรื่องฝืนใจมัน”
“เรื่องฝืนใจ? หมายถึง...”
“...”
“ไอ้ซัน!” คงเพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ถึงไม่ได้อธิบายอะไรมากกว่านั้น แค่สบตากันไอ้ตรีก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร มันเรียกชื่อผมเสียงดังพร้อมกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“กูไม่ได้ตั้งใจ... ไม่สิ กูตั้งใจ” ผมพูดกลับไปมา พร้อมกับยกมือกุมขมับอีกครั้งอย่างสับสนในตัวเอง “วันนั้นกูเมา แต่กูมีสติ มึงเข้าใจมั้ย”
“...”
“กูรู้ว่ากูทำอะไร แต่กูควบคุมไม่ได้... ไม่ได้อยากควบคุมด้วยซ้ำ”
“มึงทำ... จริงๆ เหรอ?” ไอ้ตรีเหมือนยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด ถึงได้ถามย้ำ และผมก็ยืนยันด้วยการพยักหน้าตอบไป
“ทั้งที่เขาไม่เต็มใจเหรอ?”
“...” คราวนี้ผมตอบไม่ได้
ไม่รู้ว่าการไม่ขัดขืนคือความเต็มใจมั้ย รู้แต่ว่าสายตาที่มันมองผมหลังจากตื่นขึ้นมามีแต่ความเจ็บปวดแค่ไหน เป็นสายตาแบบที่ผมบอกตัวเองมาตลอดว่าไม่อยากเห็น ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะเป็นต้นเหตุเสียเอง
ทั้งที่เฝ้าถะนุถนอมมาตั้งนาน แต่กลับเป็นคนทำร้ายมันอย่างไม่น่าให้อภัย
“แล้วทีนี้จะทำยังไง” ไอ้ตรีขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ได้ คงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันเหนือความคาดหมาย
“กูไม่รู้” ผมถอนหายใจเบาๆ “กูอยากรับผิดชอบความรู้สึกไอ้ตี๋... แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง มันไม่ให้โอกาสกูได้อธิบายอะไรเลย” ผมลูบหน้าตัวเองแรงๆ อย่างจนปัญญา นึกถึงคำพูดทุกคำที่ไอ้ตี๋พูด แล้วรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
“มึงจะอธิบายอะไร?”
“...”
“มึงทำแบบนั้นลงไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะเมา” ไอ้ตรีขมวดคิ้วถามอย่างคาดคั้น ด้วยสีหน้าหนักใจ คงเพราะผมเอาแต่พูดวกไปวนมาอย่างหาทางออกไม่ได้ มันถึงพยายามจะช่วยกระตุ้นให้
“กู...อยากรู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับมัน” ผมเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะสารภาพออกไปตามตรง รู้สึกหมดหนทางจนต้องยื่นมือออกไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคน
“...”
“มึงก็เห็น... หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างกูกับไอ้ตี๋... มันแปลก... เป็นความแปลกที่กูคิดว่าเข้าใจ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย มึงเข้าใจกูมั้ย”
“เข้าใจ” ไอ้ตรีขยับเข้ามาใกล้ ตบบ่าผมเบาๆ สายตาที่มองมาบ่งบอกว่าไม่ได้ตอบไปงั้นๆ มันเข้าใจจริงๆ และอาจจะเข้าใจตัวผมมากกว่าตัวผมเองด้วยซ้ำ
“กูไม่ได้รังเกียจนะ แต่ไม่รู้ว่ะ กูไม่แน่ใจว่าจะยอมรับความรู้สักตัวเองได้”
“...”
“กูสับสน อยากรู้ว่ามันคืออะไร อยากแน่ใจ...” ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง ขณะพรั่งพรูความรู้สึกออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง
“แล้วมึงแน่ใจหรือยัง”
คำถามของไอ้ตรีทำให้ผมชะงัก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “แน่ใจ ไม่เคยแน่ใจเท่านี้มาก่อนเลย”
“...”
“กูควรทำยังไงดี ตอนนี้กูไม่รู้แล้วว่าจะสู้หน้ามันยังไง” ความผิดที่ทำไว้ มันเลวร้ายจนตัวเองยังไม่อยากจะให้อภัย
“แล้วมึงจะหนีแบบนี้ต่อไปเหรอ?”
“...”
“ทนได้เหรอถ้าไม่ได้เจอหน้าอีก”
ผมส่ายหน้ารัวโดยไม่ต้องหยุดคิด “ไม่ได้... แบบนั้นกูคงไม่ไหว”
แค่ตอนนี้ก็ทรมานจนจะบ้าตายอยู่แล้ว
“งั้นคำตอบมันก็ชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” มันว่า มองหน้าผมแล้วส่งยิ้มจางๆ มาให้ด้วยสายตาที่เหมือนจะช่วยชี้ทางออกจากเขาวงกตอันซับซ้อนนี้ให้...
ทางออกที่อยู่ตรงหน้าผมมานานแต่ไม่ยอมก้าวออกไป เหมือนเด็กขี้ขลาดที่ถ้าไม่มีคนดันหลังก็จะไม่ยอมเดินหน้าไปไหน
“ไอ้ตรี”
“...”
“กูรักไอ้ตี๋ว่ะ... รักจริงๆ” ยอมจำนน สารภาพหมดเปลือกอย่างไม่คิดจะปิดบังอะไรอีก
พอได้ยินแบบนั้นไอ้ตรีก็หัวเราะเบาๆ “รู้แล้ว คนเขาดูออกกันทั้งบาง มีแต่มึงนั่นแหละที่งั่ง ไม่รู้ใจตัวเองสักที”
ผมยิ้มออกมาบ้าง นึกขำในความโง่เง่าของตัวเอง
“มีคนนึงที่ยังไม่รู้” แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วอีกครั้งด้วยความหวั่นใจ “กูบอกมันได้มั้ย?”
“...”
“ถ้าขอโอกาส มันจะให้กูหรือเปล่า”
“มาถามกูแล้วได้อะไร”
“กูกลัว... กลัวว่ามันจะยังตัดใจจากมึงไม่ได้ กลัวว่ามันจะยังไม่อยากมีใคร... กลัวว่าถ้าสารภาพออกไป แล้วมันจะหนีกู...”
ไอ้ตรีมองหน้าผมนิ่งพักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเหมือนเหนื่อยใจ
“มึงรู้มั้ยว่าทำไมกูถึงกลับมารู้สึกสบายใจกับโชได้”
ผมส่ายหน้า ไม่แน่ใจว่ามันยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดทำไม แต่ก็รอฟัง คงเพราะรู้ว่าคำพูดของมันจะยืนยันบางอย่างให้ผมมั่นใจ
“เพราะมึงไง”
“...”
“เพราะมีมึงกูถึงเห็นโชยิ้มได้ เพราะมีมึงกูถึงมั่นใจว่าโชจะตัดใจจากกูได้”
“...”
“คราวนี้ก็เหมือนกัน ถึงมึงจะเผลอข้ามขั้นไปหน่อย แต่ตอนนี้มึงรู้ใจตัวเองแล้ว กูเชื่อว่ามึงจะแก้ไขทุกอย่างได้”
“...”
“บนโลกนี้ ถ้าไม่ใช่มึงกูก็นึกไม่ออกแล้วว่าใครจะทำให้โชมีความสุขได้อีก... มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ย”
ผมนิ่งไปนาน ก่อนจะพยักหน้าเมื่อคิดตามได้ ไอ้ตรีจึงยิ้มบางๆ แล้วลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสบายใจ
“ทีนี้มึงได้คำตอบหรือยังว่าต้องทำยังไงต่อไป”
“อืม” คราวนี้ผมตอบได้อย่างง่ายดาย เพราะมีคำตอบเดียวที่อยู่ในใจ
เดิมที... มันคือสิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอด เพียงแต่วิธีการมันยังไม่ใช่... แต่คราวนี้สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำ มันต่างออกไป
ไม่แน่ใจหรอกว่าตัวเองจะแก้ไขทุกอย่างได้เหมือนที่ไอ้ตรีพูดมั้ย ไม่แน่ใจสักนิดว่าไอ้ตี๋จะให้อภัย
แต่สาบานว่าผมจะทำทุกทางเท่าที่จะทำได้
หลังจากนี้ผมจะทำให้ไอ้ตี๋มีความสุขให้ได้... ด้วยตัวผมเอง
----------------------------------------------------------------
เขียนตอนนี้แล้วก็ได้แต่บ่นกับตัวเองว่าซันนี่มันหลงตี๋จริงๆ นะ
หลงขนาดนี้ทำไมไม่รู้ตัววะ 55555
ตอนแรกตั้งใจจะอัพอาทิตย์ละตอน เพราะกำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน
แต่เอาเข้าจริงก็ค้างเองจนต้องรีบมาเขียนต่อซะงั้น ฮืออ
หวังว่าจะชอบกันนะคะ
ตอนหน้าจบพาร์ทหลังตะวันแล้ววว มานับถอยหลังรอกินของหวานกันเถอะค่ะ 55555
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่เป็นกำลังใจให้เสมอมานะคะ ^^