บทที่ 7 (ต่อ)
“คุณมาทำอะไรที่นี่” อทิฏฐ์ถามเมื่อเห็นป้ายชื่อหน้าห้องพักในหอผู้ป่วยพิเศษ
“มาทำให้เรื่องมันถูกต้องไง” นรกรกระซิบ “อทิฏฐ์ ไม่ว่าต่อจากนี้คุณจะได้ยินอะไรคุณมีสิทธิ์ที่จะโกรธผม ต่อว่าผม แต่ผมขอได้ไหม อย่าเกลียดผมเลยนะเพราะแค่นี้ผมก็เกลียดตัวเองจะแย่แล้ว” เขาเคาะมือลงบนบานประตูห้องพักและเปิดเข้าไป “ขออนุญาตครับ”
หญิงสาวในชุดคนไข้นอนอยู่บนเตียง หน้าตาของเธอดูซีดเซียวแต่ยังคงดูสวยทั้งที่ปราศจากเครื่องสำอางแต่งแต้ม บนหลังมือข้างหนึ่งต่อสายให้น้ำเกลือไว้ มีเลือดไหลย้อนขึ้นมาเต็มสายเมื่อเธอพยายามลุกขึ้นนั่ง เพียงพิรุณตกใจและลนลานหันไปคว้าออดที่หัวเตียงเพื่อเรียกพยาบาลที่เคาน์เตอร์
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมดูให้” นรกรก้าวเข้าไปยืนข้างเตียง คว้ามือมาตรวจดูบริเวณจุดที่ให้เมื่อเห็นว่าปกติดีจึงเปิดเร่งน้ำเกลือให้ไหลเร็วขึ้นเพื่อไล่เลือดเข้าไปก่อนจะปรับกลับมาที่อัตราหยดเท่าเดิม
“พี่ปอไม่อยู่เพิ่งโดนโทรตามออกไปเมื่อกี้เอง” เธอกระซิบพร้อมกับชักมือกลับมากุมไว้บนหน้าตัก
“ดีแล้วครับเพราะผมนั่งรอจังหวะที่คุณจะอยู่คนเดียวอยู่ตั้งนาน” นรกรกล่าวเขาทราบเรื่องที่เธอต้องเข้าพักรักษาตัวมาจากวินทร์
เพียงพิรุณเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและขยับตัวนั่งให้ถนัดพลางผายมือเชิญแขกให้นั่งลง “มีธุระอะไรกับฝนคะ”
นรกรเหลือบตาลงมองที่พื้นก่อนจะตวัดขึ้นมาสบตาเธอเต็มที่ “รองเท้าสวยนะครับ” มันคือรองเท้าส้นเข็มคู่เดียวกันกับที่เขาเห็นที่ร้านอาหารเมื่อหลายวันก่อน
“แล้วทำไมคะ”
“คนท้องไม่น่าใส่รองเท้าแบบนี้นะครับ โดยเฉพาะคนที่ฉลาดและรอบคอบอย่างคุณ”
เพียงพิรุณทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอทำปากขมุบขมิบที่อ่านได้ว่า ‘พี่วินทร์’ ก่อนจะพูดด้วยเสียงปกติ “แล้วยังไงคะ คุณจะบอกพี่ปอเรื่องที่ฝนไม่ได้ท้องเหรอ”
“เปิดเผยความลับคนไข้ไม่ใช่สิ่งที่หมอควรทำ”
เธอไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “แล้วคุณมาทำไม”
“มาขอโทษ” นรกรเอ่ยขึ้นและนั่นยังความแปลกใจให้หญิงสาวอย่างที่สุด เพียงพิรุณหันมาสบตาเขาเต็มตาเป็นครั้งแรก “ถ้ามันเป็นเพราะผม ไม่ว่าจะมากหรือน้อยได้โปรดยกโทษให้ผม... ที่ทำให้คุณต้องเสียลูกไป”
นัยน์ตากลมเบิกโพลง อทิฏฐ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เองก็ตกใจไม่แพ้กัน
นรกรเม้มปากแน่นก่อนจะพูดต่อ “คุณอย่าโกรธพี่ปอเลย ผู้ชายไม่ละเอียดอ่อนคนนั้นจำไม่ได้หรอก... แต่ผมรู้ และทั้งๆ แบบนั้นผมก็ตอบรับคำชวนไปกินข้าวกับเขาในวันครบรอบวันแต่งงานของพวกคุณ”
...ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร แค่อยากมีสักเศษเสี้ยวหนึ่งที่รู้สึกว่าได้ช่วงชิงเวลาของตนคืนมา...
“คุณ...” เสียงของเพียงพิรุณแหบพร่าในทันที เธอยกมือขึ้นปิดปากแน่นก่อนจะไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป “คุณมัน...”
“ผมขอโทษ คุณจะด่าว่าผมยังไงก็ได้แต่ผมคงให้คุณได้แค่คำว่าขอโทษ”
เพียงพิรุณเหลือบมองคนในชุดกาวน์ สองมือกำเป็นหมัดแน่น จินตนาการมาตลอดว่าอยากจะทำอะไรไม่ว่าจะต่อยตี หรือถ้อยคำต่อว่ารุนแรง แต่เมื่อเห็นศีรษะที่ก้มลงต่ำจนแทบชิดหัวเข่าสิ่งเดียวที่เธอทำคือเอื้อมมือไปคว้ากล่องทิชชูหัวเตียงมาซับน้ำตาก่อนจะเงยหน้ามองเพดานและสูดลมหายใจเข้าจนสุด
“คุณไม่ใช่คนเดียวที่ผิด” เสียงของเธอยังติดสะอื้นนิดๆ “ฉันมันก็บ้าไปเอง... ทั้งๆ ที่เขาก็ขออนุญาตกับฉันแล้วว่าจะออกไปไหน ทั้งๆ ที่เขาก็กลับมาตรงตามเวลาที่บอกแต่ฉันก็ยังไม่หยุดคิดอะไรไร้สาระ ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอนเอาแต่นั่งทำงานเพื่อให้หายฟุ้งซ่าน... เขาจากฉันไปตอนเช้าวันรุ่งขึ้น อายุสองเดือนมันจะมีอะไรมากไปกว่าก้อนเลือดเล็กๆ แต่ถึงยังไงเขาก็คือลูกของฉัน”
นรกรปล่อยให้เธอได้พูดระบายและร้องไห้จนพอใจจึงพูดต่อ “จากนี้ไปคุณสบายใจได้แล้วนะครับ คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องผม ถ้าคุณไม่อยากให้ผมมาเจอเขาอีกผมจะไม่ทำ... พี่ปอรักคุณนะ ไม่ได้รักแค่ลูกของคุณ เห็นตอนที่ตกบันไดไหม เขาแทบไม่สนใจผมสักนิด”
“เขาก็แค่เป็นห่วงลูก”
“อยากคิดแบบนั้นก็ตามใจครับ แต่คุณรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่”
เพียงพิรุณนิ่งไปเล็กน้อย ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งกุมมืออยู่ข้างเตียงเฝ้าปลอบซ้ำๆ ว่าเธอจะไม่เป็นไรจนกระทั่งปาวัสม์รุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ห้องฉุกเฉินต้องออกปากไล่เพราะขัดขวางการตรวจรักษา รวมทั้งเรื่องที่ขอแอดมิทให้น้ำเกลือทั้งที่ไม่จำเป็นนี่ถ้าไม่ถูกโทรตามเพราะคนไข้อาการไม่ดีก็คงไม่ยอมผละไป เธอโยนทิชชูที่ปั้นจนเป็นก้อนลงถังขยะข้างเตียงและพยักหน้า
“ฝนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะเรื่องหมาของคุณ”
“เลิกปกป้องพี่ปอได้แล้วครับ” นรกรว่า “ถ้าคุณเกลียดจนอยากจะฆ่ามันจริงๆ คุณคงไม่ลงทุนหาหมาตัวใหม่ที่เหมือนกันมาและตั้งชื่อมันว่าบิชอฟ... ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับจริงๆ แล้วมันตายยังไง มันทรมานไหม”
“พี่ปอไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้มันตายแต่ตอนนั้น...”
เพียงพิรุณไม่เคยลืมภาพสุนัขหงอยๆ ที่นั่งรอเจ้าของกลับบ้านเป็นชั่วโมงๆ แต่คณิณแทบไม่สนใจมันเลยสักนิด ไม่แม้จะเล่นด้วยหรือแลดูมันด้วยหางตา แม้ในยามที่มันป่วยข้าวปลาไม่ยอมกินเป็นวันๆ
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอรู้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเธอพามันใส่รถไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ประจำมหาวิทยาลัยซึ่งมีสมุดประวัติการฉีดวัคซีนอยู่
สุนัขที่นอนซมอยู่ในตะกร้าผงกศีรษะขึ้นมาเลียมือเบญจพัฒน์สัตวแพทย์หนุ่มที่เรียกชื่อมันอย่างสนิทสนมก่อนเขาจะหันมาหาเธอและถามหาชื่อเจ้าของที่เธอไม่เคยได้ยิน
‘แล้วฮาร์ฟไปไหนครับทำไมถึงปล่อยให้คุณพามา’
“มันดีขึ้นอยู่พักหนึ่งค่ะก่อนที่มันจะตาย หมอเบลล์บอกว่ามันเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจ”
นับจากวันนั้นคณิณก็ยิ่งเศร้าซึมหนักขึ้น เธอจึงหาสุนัขตัวใหม่ที่เหมือนเดิมมาให้เลี้ยงและทันทีที่เห็นบิชอฟตัวใหม่วิ่งหูปลิวเข้ามาในบ้าน คณิณก็ยกมือขึ้นปิดหน้าคุกเข่าลงกับพื้นและยอมปริปากเล่าทุกอย่างในใจให้เธอฟังจนหมดหลังจากที่อยู่กินกันมาถึงหนึ่งปีเต็ม
ถึงเป็นการแต่งงานทางการเมืองเพราะญาติผู้ใหญ่ตกลงกันไว้ แต่เป็นฝ่ายเธอที่รักเขาหมดใจจึงยอมทนทุกอย่างและตลอดแปดปีที่อยู่กินกันมานอกจากเรื่องอดีตที่ตามหลอกหลอนเขาก็ดูแลเธออย่างดีและไม่เคยทำให้เสียใจ แม้ตอนที่เธอรั้นจะไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่อเมริกาเขาก็หาเวลาบินตามมาดูแลตลอด
“อย่าโกรธพี่ปอเลยนะคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมเองก็ผิดเหมือนกัน ผมควรจะเอามันคืนมาไม่ใช่ยังปล่อยไว้แบบนั้น... ขอบคุณคุณฝนอีกครั้งนะครับที่ช่วยดูแลมัน บิชอฟรักคุณนะถึงมันจะดื้อไม่ค่อยยอมเล่นกับคุณก็เถอะและมันก็ชอบตุ๊กตาหมีที่คุณซื้อให้มันมากด้วย”
จริงๆ แล้ววันนั้นบิชอฟไม่ได้เห่าเพราะเห็นอทิฏฐ์ แต่มันเห่าเพราะเห็นหมาอีกตัวในบ้าน บิชอฟตัวเดิมที่เคยอยู่ มันนั่งอยู่ที่ประตู กระดิกหางให้เขาและร้องเสียงงึมงำเหมือนพยายามจะบอกให้ช่วยขอบคุณใครบางคนแทนมันที
เพียงพิรุณหลุดขำออกมาเล็กน้อย “ฝนใช้เวลาตั้งสามเดือนเชียวนะกว่าทำให้มันญาติดียอมกินข้าวที่ฝนเทให้ได้... เดี๋ยวนะคุณรู้เรื่องตุ๊กตาหมีได้ยังไง”
“พี่เบลล์โทรมาเล่าให้ฟังน่ะ”
“แต่หมอเบลล์...”
ประตูห้องเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับที่คณิณก้าวเข้ามา นรกรจึงไม่ต้องปั้นเรื่องโกหกไปมากกว่านี้ เขารีบลุกขึ้นยืนและเอ่ยคำลา “ผมไปก่อนนะ พวกคุณจะได้คุยกัน”
“เดี๋ยวสิฮาร์ฟ พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”
“ถ้าเป็นเรื่องบิชอฟ คุณฝนเล่าให้ผมฟังหมดแล้วครับ”
คณิณหน้าเจื่อนไปทันทีเขาตั้งใจหาโอกาสบอกเรื่องนี้มาหลายหนแต่ก็ยังไม่มีความกล้าพอเสียที “พี่ขอโทษนะที่ไม่ดูแลมันให้ดี”
“ครับ”
“แล้วก็เรื่องไปกินข้าวน่ะ พี่ขอโทษนะฝนป่วยแบบนี้คงไปไม่ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรครับพี่ปอทำถูกแล้ว” นรกรบอก “แล้วก็ไม่ใช่แค่วันนี้แต่วันต่อๆ ไปด้วย ผมว่าเราเจอกันเฉพาะเวลางานก็พอครับ”
คณิณเหลือบมองหญิงสาวบนเตียงสลับกับเขาก่อนจะพยักหน้าครั้งหนึ่ง “ฮาร์ฟ” เรียกไว้อีกครั้งเมื่อเขาเดินไปถึงหน้าประตู
“มีอะไรครับ”
“ขอบคุณนะที่ช่วยฝน”
นรกรยิ้มบางให้คู่สามีภรรยาตรงหน้าก่อนจะปิดประตูลงพร้อมๆ กับอดีตและความรู้สึกที่หนักอึ้งในหัวใจ
“ไม่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอ” หันไปถามคนที่ยืนมองเขาเงียบๆ
อทิฏฐ์ส่ายหน้า
“จะต่อว่าผมก็ได้นะ ผมทำร้ายแฟนคุณนะ”
“ผมคิดว่าคุณเจ็บมากพอแล้วล่ะ” อทิฏฐ์บอก “ฝนเองก็ผิดที่ไม่ยอมปรับความเข้าใจกับผู้ชายคนนั้น ถึงจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรักแต่ผมว่ามันก็คงมีอะไรมากกว่าแค่คำว่าอยู่ไปวันๆ แหละ ทั้งสองคนถึงอยู่กินกันมาได้ตั้งแปดปี ที่ผมอยากบอกก็คงมีแค่เรื่องที่ฝนไม่เคยเป็นแฟนผม มันเป็นรักข้างเดียวและผมก็ไม่เคยบอกให้เธอรู้ด้วย... ดังนั้นไม่ใช่เธอที่ทำร้ายผมแต่เป็นตัวผมที่ไม่รักตัวเองและทำร้ายตัวเอง”
“ให้ผมพูดให้ไหม”
“ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้าไม่ได้พูดด้วยตัวเองจะมีค่าอะไร ต่อให้ผมย้อนเวลากลับไปได้ ต่อให้ผมยังมีชีวิตผมก็ไม่คิดจะบอกเธออยู่ดี”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ถ้าผมสมหวังกับเธอ ผมก็จะไม่ได้มาเจอคุณน่ะสิ”
นรกรหยุดฝีเท้าและหันไปมองคนที่เดินตามให้เต็มตา นับตั้งแต่อทิฏฐ์หายไปและกลับมาเมื่อคืน แม้จะพยายามพูดตลกกวนประสาทเหมือนเดิม แต่เขารู้สึกได้ถึงความไม่ปกติเหมือนกับกำลังฝืน “ตกลงคุณเป็นใครกันแน่”
ร่างโปร่งแสงเองก็หยุดยืนมองคนตรงหน้าเช่นกัน
...อาจารย์องค์อินทร์พูดถูก บางครั้งคนเราก็แค่ลืมเพื่อที่จะจดจำให้ได้อีกครั้ง และไม่ลืมอีกเป็นครั้งที่สอง...
“เป็นอทิฏฐ์... เป็นเพื่อนของคุณแค่นี้ได้ไหม”
นรกรอยากจะถามต่อแต่เมื่อเห็นความวูบไหวในแววตาที่ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดแต่มีอะไรมากมายที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นเขาก็พยักหน้าและตัดสินใจจะรอจนกว่าวันที่เจ้าตัวพร้อมพูดมันออกมาเอง “ได้สิก็ผมให้สัญญาไปแล้วนี่นา”
“ขอบคุณนะฮาร์ฟ”
“คุณขอบคุณผมทำไม ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคุณ”
“ขอบคุณที่ให้ผมได้รู้จักคุณ” อทิฏฐ์ไม่ขยายความอะไรอีก กับความรู้สึกมั่นคงทว่าก็เปราะบางเพียงแค่ลมพัดผ่านก็อาจแหลกสลาย ตอนนี้ไม่สำคัญแล้วว่าจะอยู่หรือไป ขอเพียงที่ข้างๆ นี้ยังมีสำหรับเขาเขาก็จะอยู่ต่อไป
oooooo
นรกรไปเยี่ยมลลินที่หอผู้ป่วย อาการของเธอเป็นปกติดี สามารถหายใจได้เอง ไม่มีอาการชักอีก ส่วนตำแหน่งและขนาดของก้อนในสมองที่ชัดเจนยังต้องรอผลสแกนสมองโดยวิธิการฉีกสารทึบรังสีเพื่อดูให้ละเอียดอีกครั้งแต่โดยรวมก็ถือว่าพ้นภาวะวิกฤตแล้ว
“ไง” วินทร์ร้องทักเมื่อเห็นเขาเดินพ้นออกมาจากหอผู้ป่วย “ทุกอย่างเรียบร้อยไหม”
“ครับ”
“ดีแล้ว”
“ขอบคุณนะครับ”
“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืนก็ช่างเถอะ ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ทำอะไรมากมายสักหน่อย”
“เรื่องพี่ปอ” นรกรบอก “พี่วินทร์พูดถูก ผมยังลืมเขาไม่ได้จริงๆ”
“แล้วมาบอกฉันทำไม”
“เพราะคนเราไม่จำเป็นต้องลืมความรักครั้งก่อนๆ เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไป”
ไม่มีใครหรอกที่ไม่เจ็บปวด ชีวิตมันก็เหมือนกับลมฟ้าอากาศ ใช่ว่าจะมีแต่วันที่ฟ้าใส ในเมื่อมีจุดหมายที่ต้องไปให้ถึง ต่อให้พายุมาเราก็ต้องกางร่มเดินออกไปไม่ใช่ยืนรอให้ฝนซาเสียเมื่อไหร่ หรือถ้าไม่มีร่มก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงพอจะวิ่งฝ่ามันไป
แต่มันก็คงจะดีกว่า ถ้าจะมีใครสักคนหยิบยื่นร่มมาให้และชักชวนให้เดินไปด้วยกัน
“นั่นนายกำลังยิ้มอยู่เหรอ”
“คงใช่ครับ”
“แน่ะ ยอมรับได้แบบนี้แสดงว่าตอนนี้มีใครที่แอบชอบอยู่ล่ะสิ”
ทั้งที่คำตอบในใจค่อนข้างแน่ชัดว่ายังไม่มีใครมาจับจอง แต่สายตากลับเผลอเหลือบมองคนข้างๆ โดยไม่รู้ตัว “ไม่มีครับ”
“จริงเหรอ”
“จริงสิครับ ถามแต่ผม พี่วินทร์เหอะป่านนี้แล้วยังไม่ยอมพาแฟนมาเปิดตัวสักที”
“ก็...” ยังไม่ทันได้ตอบ คนในชุดกาวน์สั้นอีกคนที่เดินผ่านมาก็เข้ามาร่วมวง
“ไงวินทร์”
“ว่าไงไอ้เต้” วินทร์หันไปหาธเนตรเพื่อนที่เรียนอยู่แผนกตาพลางขยับตัวเล็กน้อยคล้ายกับพยายามจะบังใครให้พ้นจากสายตา
“ไม่ว่าไง แค่จะถามว่าแว่นที่แกมาชี้นิ้วสั่งให้ฉันทำพิเศษแบบด่วนๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะตกลงมันยังไงวะ”
“ไว้คุยกันวันหลังนะ” วินทร์พยายามเปลี่ยนเรื่องและดันไหล่ให้รีบกลับไปทำงานต่อ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมหยุด
“นี่ถ้าจะเอาไปจีบสาวก็คิดใหม่เหอะมีอย่างที่ไหนวะให้แว่น ถึงพวกฉันจะชอบแซวกันบ่อยๆ ว่า ‘รักใครให้แว่นเพราะอยากเป็นคนในสายตา’ ก็เหอะ แต่ในชีวิตจริงมันไม่เวิร์คนะเว้ย นี่พูดเลย!” แล้วจักษุแพทย์ก็อึ้งไปเล็กน้อยเมื่อหันไปเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังร่างสูง และที่วางอยู่บนสันจมูกโด่งนั้นคือแว่นตาอันที่เขากำลังพูดถึง
“ไอ้เต้!” วินทร์แทบจะกระโดดบีบคอธเนตรแล้วตอนนี้
ธเนตรยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดว่าเป็นของที่ตนนั่งหลังขดหลังแข็งทำแน่ๆ ก่อนจะเหลือบมองวินทร์ที่เอามือเกาหน้าผากพยายามตีหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ เขาพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วหันไปยิ้มกว้างให้นรกร “แว่นสวยนะครับ”
“ไอ้เต้!”
ไม่ใช่แค่นรกรที่พูดไม่ออก อทิฏฐ์ครางในลำคอพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก ทำไมเขาจะไม่สังเกตว่าแว่นอันนี้ออกแบบได้เข้ากับรูปหน้าคนใส่ทั้งยังสีที่รับกับเรือนผมและสีตาเหมือนกับถูกสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ นึกนินทาในใจมาตลอดว่าถ้ามีแว่นที่ดูดีและสวยขนาดนี้ก็น่าจะเอามาใส่ตั้งแต่แรก แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นของที่คนอื่นให้มา
“โอ๊ะ! นึกขึ้นได้พอดีว่าต้องรีบไปดูคนไข้ ฉันไปก่อนนะ วันหลังค่อยคุยกัน” ถอดสลักระเบิดวางไว้แล้วธเนตรก็รีบเดินจากไป
ทันทีที่ธเนตรคล้อยหลัง วินทร์หยุดเกาศีรษะพลางเหลือบตามาดูคนที่ยืนมองจ้องเขาอยู่ “เอ่อ...”
“ตกลงนี่ไม่ใช่แว่นตาอันเก่าของพี่วินทร์เหรอครับ” นรกรถาม
“ถ้าบอกไปตรงๆ ก็กลัวนายจะไม่รับนี่...” วินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะลดมือลงล้วงกระเป๋า “แล้วตกลงชอบไหมล่ะ”
“ครับ”
“งั้นก็รับไว้นะ”
“แล้วทำไมพี่วินทร์ถึงทำให้ผมล่ะครับ”
“ฉันแค่ไม่อยากให้นายฝืน” วินทร์บอก “นายไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่คนอื่นคิดว่าดี แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว ถ้าใครๆ เขาจะชอบนายก็ควรจะชอบในแบบที่นายเป็นไม่ใช่คนที่เขาต้องการให้เป็น” เว้นวรรคไปเล็กน้อยและกวาดตามองไปรอบตัวราวกับกำลังหาใครสักคนก่อนจะมาหยุดลงที่คนตรงหน้า “อย่างแว่นตา มันก็ไม่ได้มีแบบเดียวสีเดียวสักหน่อย นายแค่ยังไม่เจออันที่เข้ากับนายก็เท่านั้น... ก็ตามใจนายนะว่าจะลองหาแว่นที่ใช่หรือเปลี่ยนไปใส่คอนแทคเลนส์”
นรกรเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อย “ผมชอบใส่แว่นมากกว่า”
“ฉันก็ชอบเหมือนกัน” คำตอบกำกวมกับอมยิ้มหวานมุมปากที่ส่งมาจากร่างสูง ทำให้นรกรต้องเสทำเป็นใช้ปลายนิ้วดันสันแว่นให้เข้าที่เพื่อหลบสายตา กำลังจะคิดหาคำตอบให้อีกฝ่ายเมื่อเสียงห้าวเรียกดังก้องมาตามทางเดิน
“ฮาร์ฟ!”
ยังไม่ทันจะได้หันไปมองผู้ที่เพิ่งมาถึงเต็มตาท่อนแขนแข็งแรงก็เอื้อมมารั้งร่างโปร่งเข้าแนบอกพร้อมกับเบียดหน้าแนบแก้มจนชิด
“ไม่เจอกันนานคิดถึงเป็นบ้าเลย”
“ธีร์!”
บางครั้งฝนฟ้าก็เล่นตลก เพราะในขณะที่เราเพิ่งจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับพายุลูกแรก เราก็ไม่ได้เตรียมใจไว้รับมือกับพายุลูกที่สองหรือลูกเห็บเม็ดใหญ่ที่ซัดเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัว
*****************************************************TBC*************************************
Talkเขียนมา 7 ตอนเกือบร้อยหน้า A4 แล้วก็พบว่าไม่เคยคุยกะคนอ่านเลย
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้ค่ะ
บางคนคงทราบแล้ว แต่ขออนุญาตพูดซ้ำอีกครั้งว่านี่เป็นภาคต่อของ
ER นาทีหัวใจ แต่ไม่ใช่ความต่อของตัวเนื้อหา แต่เป็นในส่วนของ 'แก่นเรื่อง' ที่เรา(ดันทุรัง)อยากจะเขียนให้ได้
จากนาทีของหัวใจ ที่ยื้อชีวิตและลมหายใจคืนมา สู่เรื่องราวของสิ่งที่ไม่ได้จบแค่การช่วยชีวิต แต่คือการทำให้ 'มีชีวิต' ก็เลยมาเจอกันใน พลิกตำรารักษาหัวใจ
Spoilจนถึงตอนนี้เรายังยืนยันว่าสำหรับเรา ER คือนิยายฟีลกูดโทนสีชมพูอมเทา แต่ Text book เป็นนิยายโทนสีเทาอมชมพู
ปล1. เรายังยืนยืนอีกครั้งว่าเป็นน้องใหม่มากสำหรับเล้า อะไรที่ลงผิดๆ ถูกๆ บอกเราด้วยน้าาาา
ปล2. เราจะอัพนิยายทุก ศ. ส. อา. ถ้าอาทิตย์ไหนปางตายจริงๆ เราจะบอกล่วงหน้าในเฟส
ปล3. ขอบคุณคุณParacetamol คุณfanglestและcocococoa สำหรับ การแนะนำนิยายในกระทู้ค่ะ
ปล4. รักนะจุ๊บๆ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ อ่านกี่ครั้งก็ยิ้มแก้มแตกทุกครั้ง นอกจากคำขอบคุณเราคงไม่มีอะไรจะให้นอกจาก ตอนพิเศษจากเรื่องER(คู่ไหนขออุบไว้ก่อนอาทิตย์หน้ารออ่านนะคะ)