ปีใหม่ที่ใจไม่เหงา
{20}
คุณมีการฉลองวันขึ้นปีใหม่ของคุณอย่างไรบ้าง กินเลี้ยงกับครอบครัว หรือ สังสรรกับเพื่อนฝูง? สำหรับผมถ้าถามถึงวันขึ้นปีใหม่ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่ากิจกรรมที่ทำเป็นประจำกับครอบครัวอย่างการ..สวดมนต์ข้ามปี
ด้วยความบังเอิญที่ช่วงปิดเทอมหลังสอบปลายภาคของมหาวิทยาลัยคาบเกี่ยวกับช่วงเทศกาลปีใหม่พอดีทำให้ผมได้ใช้ช่วงเวลาสำคัญของปีร่วมกับครอบครัว
ถ้าคุณกำลังจินตนาการภาพของผมที่อิ่มบุญอย่างมีความสุขในตอนนี้อยู่แล้วล่ะก็..คุณคิดผิด สภาพผมตอนนี้ไม่ได้ต่างไปจากตอนที่เข้าเรียนในช่วงเช้าเลยสักนิด หลังจากนั่งพนมมือสัปปะหงกอยู่พักใหญ่จนข้ามเวลาฉลองปีใหม่ที่หลายคนนับถอยหลังจุดพลุกันเฉลิมฉลองวันแรกของปีศักราชใหม่ผมก็ต้องทำหน้าที่ขับรถพาสมาชิกของครอบครัวใหญ่ทั้งหมดของผมกลับบ้านเพื่อพักผ่อนในคืนวันส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่
ผมอาบน้ำอีกครั้งทันทีที่ทานอาหารว่างมื้อดึกเมื่อกลับถึงบ้านเรียบร้อยเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาสักหน่อย ก่อนจะส่งข้อความไปบอกใครคนหนึ่งที่คงกำลังนั่งรอข้อความจากผมอยู่ว่าผมกลับถึงบ้านแล้วและทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว
GunGunktn :ถึงบ้านแล้ว
GunGunktn :ทำอะไ../
ตื้ด~
ยังไม่ทันที่ผมจะพิมพ์ข้อความที่จะส่งไปจบประโยคโทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นแจ้งเตือนการโทรเข้าจากปลายสายคนเดียวกับที่ผมส่งข้อความหาเมื่อสักครู่ขึ้นทันที
[ช้าจังวะ]
“ก็อาบน้ำด้วยไง อยู่ไหนเนี่ย”
[บ้าน นั่งกินเบียร์รอเมียสวดมนต์]
“ใครเมียเหรอ?”
[เดี๋ยวกลับมาได้รู้แน่ใครเมีย]
“เพ้อเจ้อ ไม่ไปฉลองกับสาวที่ไหนเหรอปีนี้”
[อยากฉลองกับเด็กบริหารเตี้ยๆคนหนึ่งว่ะ แต่เขาหนีกูกลับบ้าน เสียใจเลย] ผมหัวเราะออกมาเบาๆกับน้ำเสียงยียวนกวนประสาทที่อีกฝ่ายพูดออกมาพร้อมกับเดินออกจากห้องมาที่ระเบียงเพื่อดูแสงสียามค่ำคืนที่กระทบบนท้องฟ้าในวันปีใหม่เป็นเแดสีไล่ระดับไปราวกับเป็นภาพวาดในหอศิลป์
“น่าสงสารเนอะ”
[ใช่ครับ แล้วจะกลับเข้าหอวันไหน?]
[ให้ไปรับไหม กูเหงาแม่ไปต่างประเทศอีกแล้ว]
“ไม่เป็นไร น่าจะอีกสองสามวันมั้ง” จะว่าไปแล้วช่วงเวลาปิดเทอมนี่ก็ช่างสั้นเสียจริงๆ ผมยังแทบไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ต้องการด้วยซ้ำก็ต้องกลับไปเตรียมตัวเรียนและทำกิจกรรมในภาคเรียนที่สองเสียแล้ว
“จะนอนตอนไหนเนี่ย”
[ง่วงแล้วเหรอหน้ามึน?]
[ถ้าง่วงก็นอนไอ้เด็กน้อย กูคงอีกสักพัก]
“งั้นไม่วางสายนะ” ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กับการที่จะนอนไม่หลับถ้าไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก่อนนอนจนตลอดช่วงปิดเทอมที่กลับมาบ้านสัปดาห์กว่าๆผมต้องโทรหาพี่ปั่นก่อนนอนทุกคืน หรือว่า..ผมจะโดนทำเสน่ห์ใส่กันวะ
[ได้ แต่กูกำลังจะอาบน้ำ ให้เปิดกล้องไหม ฮ่า ฮ่า]
“อุบาทว่ะไอ้พี่เวร”
[อายทำไมก็มีเหมือนกัน หรือคิดอะไรกับกู อะแหนะๆ]
“พูดมากว่ะ ไปอาบได้แล้ว” ผมตัดบทคนหื่นปลายสายที่กำลังพูดจาสองแง่สองง่ามกวนประสาทผมอยู่ แต่ทำไมใบหน้าผมถึงร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีอย่าควบคุมไม่ได้แบบนี้ บ้าน่าไอ้กัน..
ซ่า~
ผมนอนฟังเสียงน้ำที่ไหวออกจากฝักบัวกระทบผิวของพี่ปั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะทำธุระส่วนตัวเสร็จและมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเช่นเดียวกันกับผม
[หลับรึยัง?]
“ยัง”
[นอนดึกนะมึงอะเด็กน้อย]
[อยู่รออะไร?]
“รอหมาอาบน้ำ”
[เข้านอนกัน] ผมดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้อุ่นสบายพร้อมเข้านอนหลังจากที่ได้ยินพี่ปั่นพูดจบ
“อือ”
[สวัสดีปีใหม่นะไอ้เด็กน้อย กูอยากให้มึงอยู่กับกูแบบนี้ไม่ใช่แค่ตลอดปีแต่..ตลอดไปเลยนะ]
“โอเค”
“สวัสดีปีใหม่ ฝันดีครับ”
[ฝันดีเหมือนกันนะครับ]
เขาว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักจะหมดไปโดยแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำและก็เป็นเช่นนั้นจริงเพราะปิดเทอมที่แสนสงบสุขของผมหมดไปอย่างรวดเร็วภายในไม่ถึงสองสัปดาห์ หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่บ้านมาเป็นเวลาสิบวันเต็มผมก็ต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่หอเช่นเคยเพื่อเตรียมตัวเรียนและทำกิจกรรมต่างในภาคเรียนที่สอง
ชีวิตเด็กหอในช่วงก่อนเปิดเทอมสองถึงสามวันคงไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่าการเล่นเกมข้ามคืนหรือการออกไปเที่ยวแล้วกลับมานอนอืดเล่นในห้องอยู่กับเจ้าแมวอ้วนของผมอีกแล้ว นี่คือวันแรกที่ผมกลับเข้าหอหลังจากกลับบ้านไปในช่วงปิดเทอมที่ตรงกับวันขึ้นปีใหม่พอดี
ผมนอนกลิ้งตัวไปมาบนเตียงก่อนจะนึกขึ้นได้และหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกหาเพื่อนรักอย่างไอ้พีเพื่อชวนมันออกไปเที่ยวแก้เซ็งกันสักหน่อย
“อยู่ไหนไอ้พี”
[บนรถ]
“อ้าว..กำลังมาหอเหรอ”
[เปล่า กำลังจะไปหาอะไรกิน กูกลับถึงหอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว]
“ไม่ชวนเพื่อนเลยว่างั้น เออใช่สิตั้งแต่..”
[กูจะรู้ไหมว่ามึงจะมาวันนี้ไอ้น้องกัน มึงก็โทรชวนพี่ปั่นของมึงนู่น แค่นี้ก่อนนะกูจะทะเลาะกับไอ้เวรเหนือต่อ]
“อ๋อ โอเคเพื่อนสู้ๆนะมึง” ผมกดวางสายเพื่อนสนิทอย่างไอ้พี่อย่างงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรจะรบกวนเวลาส่วนตัวของมันระหว่างที่กำลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ลงอยู่
แทนที่จะโทรหาพี่ปั่นตามที่ไอ้พีบอกแต่ผมเลือกที่จะขับรถออกจากหอคนเดียวเพื่อไปหาอะไรกินที่ห้างเพียงลำพัง เพราะคิดว่าคุณชายเขาคงยังไม่ทันกลับจากบ้าน ผมจึงตัดสินใจขอไปเดินห้างคนเดียวชิวๆดีกว่า ผมรู้สึกว่าการกินปิ้งย่างคนเดียวดูเป็นเรื่องที่คนเหงาเท่านั้นที่จะทำแต่ตอนนี้ผมกำลังตั้งใจว่าจะลองทำแบบนั้นอยู่
พอถึงเวลาที่ตัวเองมานั่งกินปิ้งย่างบาร์บีคิวคนเดียวแบบนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติและดูไม่ได้แปลกตาเหมือนกับตอนที่มองคนอื่น ระหว่างนั่งรออาหารที่สั่งไปอยู่ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเพื่อเช็คความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับโพสต์ล่าสุดจากเพจเฟสบุ้คชื่อดังของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเพียงคำบรรยายโดยไม่มีรูปภาพประกอบอย่างที่เคยแต่กลับมีจำนวนการแชร์และการแสดงความคิดเห็นมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว
My Single Boysสวัสดีปีใหม่ค่าาาาาาาาทุกคน หายกันไปพักใหญ่เลยที่ไม่ได้ลงรูปเพราะว่าแอดไปฉลองปีใหม่มาค่ะ เดี๋ยวหลังจากวันนี้ก็จะเริ่มกลับมาอัพเดตความเคลื่อนไหวของหนุ่มโสดกันต่อแล้ว วันนี้แอดมีอีกเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทุกคนทราบนะคะ แอดจะขออนุญาตทำการลบรูปและโพสต์ที่ในอดีตที่เกี่ยวของกับหนุ่มโสดสองคนออกจากเพจเนื่องจากเจ้าตัวส่งข้อความมาบอกหลังไมค์ว่า ‘ผมไม่โสดแล้วนะครับ’ ตอนแรกแอดก็แอบเศร้าใจและสงสัยนะคะว่าสาวคนไหนกันนะที่ได้ครอบครองหนุ่มโสดสุดหล่อของแอดไป แต่แล้วแอดก็ต้องกรี้ดอย่างบ้าคลั่งพร้อมเลือดสาววายที่สูบฉีดหลังจากที่ได้อ่านข้อความของเขาคนนั้นต่อว่า ‘ช่วยลบรูปแฟนผมด้วยนะครับ’ เรียกได้ว่าเป็นการเสียผู้ชายในเพจที่แอดไม่เสียใจเลยค่าาาาาาา เรียกได้ว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่แอดฟินมาก ขอให้คบกันนานๆนะคะ รักกันมากๆ
#พี่ว้ากโหดไม่โสดแล้ว #หนุ่มหล่อบริหารไม่โสดแล้ว #ไม่ได้ใบ้เลยจริงจริงนะแต่ฟินมากMINNIEMIND ใคร ใคร แอดทำให้อยากแต่บอกไม่สุดแบบนี้ไม่ได้นะ หนูอยากรู้!!!
AMMY_T พี่ปั่นกับกันเหรอคะ แอดดดดดด โอ้มายก้อด
PAPANG สุดในรุ่น นี่พูดเลย
ผมนั่งอ่านข้อความที่เห็นไปก็แอบขำไปแต่ในใจกลับเกิดความรู้สึกกลัวเล็กน้อยขึ้นมา ผมกลัวว่ากระแสนี้จะเป็นปัญหาอุปสรรคที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของผมพังลงอีกหรือเปล่า ผมพยายามสลัดความรู้สึกและความคิดต่างๆออกจากหัวก่อนจะเริ่มนำของสดที่เพิ่งถูกนำมาเสิร์ฟขึ้นปิ้งบนเตาบาร์บีคิวตรงหน้า เวลาแบบนี้ไม่ควรคิดเรื่องแบบนี้นะโว้ยยไอ้กัน ผมไม่อยากให้เกิดความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นระหว่างทานการทานอาหารโปรดของผมเลย
ตื้ด~
ระหว่างที่ผมกำลังนั่งดื่มด่ำความสุขกับหมูย่างบนเตาบาร์บีคิวตรงหน้าอยู่โทรศัพท์มือถือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นแจ้งเตือนสายเรียกเข้าอย่างต่อเนื่องโดยที่ชื่อที่แสดงขึ้นมาบนหน้าจอก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่พึ่งถูกพูดถึงในข่าวจากเพจชื่อดังเช่นเดียวกันกับผม
[ให้เดาว่ากูอยู่ไหน?]
“จะรู้เหรอ”
[ไม่คิดจะชวนกูเลยเหรอ]
“ชวนอะไร?”
[...]
จู่ๆเสียงในสายของอีกฝ่ายก็เงียบไปอย่างน่าสงสัยพร้อมๆกับร่างสูงของพี่ปั่นที่เดินตรงเข้ามานั่งลงร่วมโต๊ะเดียวกันกับผมบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างน่าตกใจ แล้วพี่ปั่นมาอยู่ในร้านนี้ได้ยังไงกันวะ ผมกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“มาได้ยังไงวะ”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง มึงนัดผู้ชายที่ไหนมากินด้วย”
“เพ้อเจ้อ มาคนเดียว” ผมส่ายหน้าไปมาใส่คนตรงหน้าที่มองหน้าผมอย่างหาเรื่อง
“ให้มันจริงเถอะ อย่าให้กูรู้นะ”
“แล้วมาได้ยังไง ตอบก่อนสิ”
“มาทำธุระให้แม่ แล้วก็เดินผ่านมาเจอมึงนั่งหน้าโง่กินปิ้งย่างคนเดียวนี่แหละ”
“ทำธุระเสร็จแล้วรึยังไง?”
“อือ แต่คงจะกลับแล้วเพราะไม่มีคนแถวนี้ชวนกินด้วย” พี่ปั่นทำท่าเหมือนจะเก็บของที่ถือมาและเหมือนจะลุกขึ้นยืนก่อนที่ผมจะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความเอือมระอาในอาการแกล้งน้อยใจของเจ้าตัวเสียจนเจ้าตัวต้องนั่งลงเหมือนเดิม
“กินด้วยกันไหมครับพี่ปั่น”
“พูดเพราะแบบนี้ตลอดได้รึเปล่าครับ?” คนตรงหน้าเอียงคอนิดๆพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ถ้าเป็นไอ้แป้งได้ยินคงกรี้ดไปแล้วแต่กับผมมันกลับรู้สึกขนลุกขนพองเสียมากกว่า
“ไม่ได้ครับ แล้ว..จะสั่งอะไรเพิ่มไหม?”
ป๊อก!
“กินไป กูอิ่มแล้ว” มือหนาดีดเข้าที่หน้าผากผมตามเคยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นระหว่างนั่งรอผมทานอาหารอยู่
“แล้วจะกลับตอนไหน?”
“เดี๋ยวกลับคอนโดไปเปลี่ยนชุดแล้วไปหาที่หอ”
“อือ”
หลังจากผมทานอาหารเสร็จเรียบร้อยผมก็ตั้งใจจะไปเดินซื้อของสดและของใช้ที่หมดก่อนกลับห้องคนเดียว ย้ำอีกครั้งว่าคนเดียว แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าตลอดเวลาที่ผมกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่จนชำระเงินค่าสินค้าที่ซื้อเสร็จจนเดินออกมาถึงลานจอดรถกลับเหมือนมีคนกำลังเดินตามผมอยู่ตลอด
ผมเปิดประตูหลังคนขับก่อนจะรีบโยนของทั้งหมดที่ซื้อเข้าไปในรถพร้อมกับรีบปิดประตูและกระโดดเข้ารถไป ผมก็งงว่าทำไมต้องกลัวขนาดนี้แต่รู้ตัวอีกทีผมก็ต้องใช้วิชาความยืดหยุ่นที่เรียนมาในการปีนจากเบาะหลังของรถมานั่งในที่นั่งของคนขับ แต่ยังไม่ทันที่จะสตาร์ทรถก็มีเสียงเคาะกระจกฝั่งด้านข้างคนขับดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก
ผมหลับตาปี๋ด้วยความกลัวคิดไปเรื่อยว่าอาจะเป็นโจรที่มาดักปล้นหรือจะเป็นแฟนคลับไอ้พี่ปั่นที่พอรู้เรื่องเข้าจะมาดักทำร้ายร่างกายผม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เอาวะเป็นไงเป็นกัน!
ผมทำใจดีสู้เสือก่อนจะตัดสินใจลืมตาขึ้นช้าๆพร้อมกับหันไปมองทางหน้าต่างก่อนจะพบกับสิ่งที่ผมรู้สึกผิดหวังมาก ไม่ใช่ผิดหวังกับสิ่งที่เห็น แต่ผิดหวังกับความกลัวปัญญาอ่อนของตัวเองเพราะนอกกระจกนั่นไม่ใช่โจรหรือแฟนคลับพี่ปั่นอย่างที่คิดไว้ แต่กลับเป็นไอ้แป้งที่กำลังยิ้มแป้นให้ผมผ่านกระจกรถอยู่
“แป้ง ไอ้เพื่อนเวร”
“กูขำ ฮ่า ฮ่า” ผมลดกระจกลงเพื่อพูดคุยกับเพื่อนสนิทที่ยืนหัวเราะคิกคักไม่หยุด
“ขำห่าอะไร กูกลัวชิพหาย ทำตัวลับๆล่อๆนะมึงอะ”
“ก็กูบังเอิญเจอมึงพอดี อยากแกล้งน้องกันนิดนึงอะไรอย่างนี้”
“กวนตีน แล้วจะไปไหนต่อเนี่ย”
“กลับห้อง ไปส่งกูทีสิ”
“เออๆ ขึ้นมา”
“เลิศ” ไอ้แป้งพูดก่อนจะเปิดประตูขึ้นรถมานั่งข้างคนขับและโยนของพะลุงพะลังที่มันน่าจะพึ่งช้อปปิ้งมาอย่างหนักหน่วงไปไว้เบาะหลัง
หลังจากออกจากห้างมาได้พักใหญ่แต่ด้วยการจราจรที่ค่อนข้างติดขัดทำให้ผมต้องนั่งฟังไอ้แป้งสาธยายเรื่องราวของมันในช่วงปีใหม่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆจนผมเริ่มรู้สึกเซ็งๆจึงตัดสินใจตัดบทขึ้นมาด้วยเรื่องของตัวเองที่คิดว่าเพื่อนสนิทที่ช่างสอดรู้สอดเห็นของผมก็คงอยากพูดคุยในหัวข้อสนทนานี้เช่นกัน
“มึงเห็นโพสต์ในเพจนั้นรึยัง?”
“โพสต์ไหนวะ..อ๋อ เออมึงแซ่บมาก พี่ปั่นเป็นคนไปบอกแอดมินเหรอวะ”
“ไม่รู้ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้”
“กระแสคือแรงกว่าไอ้เหนือได้เดือนมออะมึง”
“เพ้อเจ้อ เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ”
“แหมจ้า มึงพูดย่างกับพี่ปั่นเป็นคนโนเนมในมอ”
“อะไรๆถึงแล้ว ลงไปเลยมึงอะ” ผมขำเล็กน้อยกับการที่ไอ้แป้งดูจะอยากคุยต่อแต่ดันโชคร้ายที่ผมขับรถมาถึงหน้าคอนโดมันพอดีทำให้มันต้องเก็บของทั้งหมดของมันลงรถไป
“มีอะไรอัพเดตด้วยนะมึง ขาดตอนมาก”
“เออ ไว้เจอกัน”
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment มาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**