คาบเรียนที่ยี่สิบสอง “คือ... ผม....”
TRRRRRR
เสียงมือถือดังแทรกขึ้นมาอีกรอบ แต่คราวนี้มาจากเครื่องของผม ไอ้น้องไนท์ปล่อยข้อมือของผมทันทีที่ได้ยินเสียงมือถือนั้น ผมจึงรีบล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยความรวดเร็วก่อนจะรีบรับสายเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งที่โทรเข้ามาเป็นคุณกมลชนกนั่นเอง
“ว่าใดแม่?”
“
จะกลับบ้านแล้วหรือยังน่ะเรา”
“กำลังจะกลับเนี่ย มีอะหยังอะแม่”
“
ฝากซื้อน้ำปลาหน่อย”
“ห๊ะ!!!?”
“
น้ำปลาก็น้ำปลายังไงล่ะ บ่รู้จักน้ำปลาเรอะ”
“รู้จักๆ แค่สงสัยว่าฝากซื้อน้ำปลานี่มันถึงขั้นต้องโทรมาเลยเหรอ ไลน์มาก็ได้มั้งแม่”
ผมเอ่ยแซวกลับไปพลางหัวเราะไปด้วยเบาๆ
“
นี่เราบ่รู้เหรอว่ามือถือเขาสร้างมาไว้ให้โทรหากัน”
อึก!!!
“
อีกอย่าง แม่ส่งไลน์ไปหาเราตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้ว แต่หมาบางตัวมันบ่ยอมกดอ่านสักทีน่ะสิ ก็เลยต้องโทรมาเนี่ย”
อึก!!!
“โหย แค่นี้ต้องด่ากันด้วย”
“
ก็มันน่าด่ามั้ยล่ะ แค่นี้นะ อย่าลืมซื้อเข้ามาด้วยล่ะ”
“ครับๆ คุณหญิง แค่นี้นะครับ”
หลังจากกดวางสาย ผมก็เปิดไลน์ขึ้นมาดูทันที ซึ่งก็พบว่ามีข้อความจากคุณกมลชนกส่งมาจริงๆ ด้วยแฮะ
คนเรา อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องให้โดนด่าเสียอย่างนั้น
“เอ่อ พี่นันท์...”
“เฮ้ย เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ แม่โทรมาตามแล้วเนี่ย ไปละนะ บาย”
พูดจบ ผมก็โบกมือลาพร้อมกับหันตัวเดินออกมาทันทีพร้อมกับเสียบกุญแจแล้วสตาร์ทรถขี่ออกมาอย่างรวดเร็วโดยทิ้งให้ไอ้น้องไนท์เอาไว้ข้างหลังคนเดียว
ขอโทษด้วยนะเว้ยไอ้น้องไนท์ กูรีบจริงๆ พอดีว่าคำสั่งของคุณกมลชนกนั้นถือเป็นที่สิ้นสุด ขัดขืนไม่ได้ด้วย
“เดี๋ยวอาทิตย์หน้าแม่จะไปปายนะ”
“ไปกี่วันน่ะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปเมื่อได้ยินคุณกมลชนกซึ่งกำลังล้างจานอยู่ในครัวพูดเช่นนั้น พลางตักข้าวเข้าปากคำโต
“ก็น่าจะสองอาทิตย์ล่ะมั้ง เห็นยายว่าช่วงนี้ลูกค้าไปเที่ยวเยอะ ก็เลยว่าจะไปช่วยแกหน่อยน่ะ ส่วนเราน่ะ อยู่ทางนี้คนเดียว ก็ทำตัวดีๆ อย่าเถลไถลล่ะ”
“โหย แม่ เถลไถลที่ไหน บ่มี๊ หนูออกจะเป็นเด็กดีซะขนาดนี้”
“ให้มันจริงเถอะ เห็นป้าข้างบ้านเขาบอกว่าช่วงที่แม่บ่อยู่ เราน่ะชอบกลับบ้านค่ำตลอด”
ผมหรี่ตาหันออกไปมองบ้านข้างๆ ผ่านหน้าต่างทันที
“บ่ต้องหันไปมองเลย เขาบ่ได้มาฟ้อง แม่นี่ล่ะที่เป็นคนไปถามป้าเขาเอง“
อึก โดนรู้ทันอีก ว่าแต่คุณกมลชนกรู้ได้ไงวะเนี่ย ว่ากำลังหันไปมองบ้านป้าข้างๆ
หลังจากที่เสร็จกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็เดินกลับเข้ามาเปิดคอมพ์ฯ ในห้องแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพาดคอไว้ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งหน้าคอมพ์ฯ เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ผมลากเมาส์วนไปมาก่อนจะกดเข้าเว็บเฟซบุ๊ก พร้อมเลื่อนสกรอเมาส์ขึ้นลงเพื่อดูข่าวสารความเป็นไปต่างๆ รวมไปถึงเรื่องราวของเหล่าเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊ก หรือจะเรียกว่า “เสือก” ก็คงจะไม่ผิด ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจเท่าไหร่นัก ผมเลื่อนเมาส์ไปยังมุมขวาบนของหน้าจอเพื่อกดปิดเว็บแล้วจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ
ทว่า ...
แค่เพื่อนเท่านั้น แต่มันเกินห้ามใจ ... สเตตัสสั้นๆ ประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าข่าวสารของผม ซึ่งก็สร้างความแปลกใจให้ผมเล็กน้อย เพราะสเตตัสที่ว่านั้นถูกโพสท์โดยคนๆ หนึ่งที่ปกติแล้วแทบจะไม่เคยโพสท์อะไรเลยสักนิด หากจะให้ผมพูดเพื่อให้นึกภาพออกน่ะเหรอ ก็เอาเป็นว่าตั้งแต่ผมเป็นเพื่อนกับคนๆ นี้ในเฟซบุ๊กผมเคยเห็นเขาโพสท์แค่ครั้งเดียวเมื่อหลายเดือนก่อนเห็นจะได้
หากพูดมาถึงตรงนี้แล้วนั้น ก็น่าจะพอนึกออกแล้วใช่มั้ยครับว่าคนที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นั้นคือใคร
ใช่แล้วครับ คนๆ นั้นก็คือแบงค์นั่นเอง
หากเป็นเวลาตามปกติแล้วนั้นผมเองก็คงไม่ได้สนใจอะไรมากมายนักกับสเตตัสนั้น คงจะเห็นเป็นแค่ประโยคธรรมดาๆ จากเพลงๆ หนึ่งที่เจ้าตัวฟังแล้วอาจจะรู้สึกชอบก็เลยโพสท์ลงไป
แต่จากเหตุการณ์วันนั้น มันทำให้ตัวผมเองรู้ถึงความหมายในประโยคนั้นได้เป็นอย่างดี
ผมเลื่อนสายตาไปยังด้านขวาของหน้าจอ ก็สังเกตเห็นจุดสีเขียวซึ่งกำลังแสดงให้เห็นถึงสถานะของอีกฝ่ายว่ากำลังออนไลน์อยู่
“......”
ทั้งๆ ที่เพียงแค่ผมกดคลิกไปยังรายชื่อนั้น ผมก็สามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ทันทีแท้ๆ
“......”
แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ทำ
ได้แต่นั่งนิ่งมองจุดสีเขียวนั้นอย่างเงียบๆ จนในที่สุดจุดสีเขียวนั้นก็หายไปซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายได้ออฟไลน์ไปแล้ว
มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ
ผมถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ ก่อนจะกดปิดเว็บแล้วตามด้วยปิดคอมพ์ฯ จากนั้นจึงลุกตัวขึ้นไปอาบน้ำอย่างเชื่องช้า
วันต่อมา
ผมยังคงปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเหมือนเช่นเคย ไม่ยุ่งไม่สุงสิงใดๆ กับใครทั้งนั้น และดูเหมือนว่าแต่ละคนก็ไม่ได้คิดสนใจอะไรกับท่าทีนั้นของผมด้วย ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ เพราะผมในเวลานี้นั้นยังไม่อยากคุยกับใครจริงๆ
“นี่ก็ใกล้จะสอบปลายภาคกันแล้วนะ อีกไม่นานพวกเธอก็จะขึ้นชั้น ม.หกกันแล้ว ยังไงก็ตั้งใจกันด้วยล่ะ เอาล่ะ แยกย้ายได้”
ผมรีบลุกขึ้นสะพายกระเป๋านักเรียนแล้วเดินออกจากห้องทันทีเพื่อไปยังลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว
“อ้าว นันท์ จะรีบไปไหนเหรอจ๊ะ”
เสียงใสเอ่ยเรียกทักผมทันทีที่ผมเดินลงมาถึงชั้นล่างสุด ผมหันไปยังต้นเสียงนั้นก็พบว่าคนที่เอ่ยเรียกผมคือมายด์นั่นเอง
“เอ่อ รีบกลับบ้านน่ะ พอดีมีธุระ”
ผมพยายามตอบปัดพร้อมหลบสายตาคู่สนทนาเล็กน้อย
“ช่วงนี้บ่ค่อยเห็นที่ชมรมเลยนะ”
อึก!!!
“ก็...ก็อย่างที่บอกน่ะล่ะ ช่วงนี้มีธุระที่บ้านนิดหน่อยน่ะเลยบ่ค่อยได้ไป ทำไม คิดถึงเหรอ”
ผมพยายามแซวเพื่อเปลี่ยนเรื่อง คู่สนทนาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เผยยิ้มกลับมา
“ก็คิดถึงนะ พอนันท์บ่อยู่แล้วบรรยากาศในชมรมมันดูเหงาๆ ยังไงก็บ่รู้น่ะ”
นี่ชมหรือด่า
“แต่...”
มายด์ทิ้งช่วงไปครู่หนึ่งพร้อมเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มพร้อมจ้องมองผมด้วยแววตาที่ดูสดใส
“มีคนนึงที่ดูจะเหงาและคิดถึงนันท์มากกว่ามายด์อยู่เหมือนกันนะ”
“ค่ะ ใครน่ะ...?”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย แต่สิ่งได้รับกลับมาก็มีแต่เพียงรอยยิ้มของอีกฝ่ายเท่านั้น
“นันท์ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าใคร เอาเป็นว่ารีบๆ กลับมาที่ชมรมนะ มีคนเขารออยู่ ไปละ บายจ๊ะ”
พูดจบ มายด์รีบหันหลังเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งผมให้ยืนนิ่งอยู่คนเดียว
“......”
ใช่ มายด์พูดถูก ผมรู้ดีว่าคนๆ นั้นที่มายด์พูดถึงนั้นหมายถึงใคร
แต่จะว่าไปจากการพูดจาของเธอ ดูเหมือนเธอจะรู้เรื่องอะไรกลายๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ แบงค์ได้บอกอะไรกับเธอบ้างหรือเปล่านะ แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะคนที่ปกติเอาแต่นิ่งเงียบไม่ค่อยพูดจาอะไรกับใครมากนักอย่างแบงค์ไม่น่าจะพูดเรื่องนี้กับใครแน่ๆ
หรือจะเป็นแค่การคาดเดาของเธอคนเดียวรึเปล่านะ
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สงสัยที่มีคนเคยพูดเอาไว้ว่าผู้หญิงมักจะมีสัมผัสเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไวก็อาจจะเป็นความจริงก็เป็นไปได้แฮะ
ผมเดินทอดน่องพลางครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยอยู่ในหัว พอรู้ตัวอีกที ก็เผลอมาหยุดอยู่แถวบริเวณโรงอาหารเสียแล้ว
ให้ตายสิ ทั้งๆ ที่คิดจะเดินไปยังลานจอดรถแท้ๆ แต่ไหงสัญชาตญาณมันถึงได้พามาตรงนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ ฉิบหายแล้ว เกิดเจอแบงค์ขึ้นมาจะทำหน้ายังไงวะเนี่ย
ผมหันมองไปยังรอบบริเวณได้ใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายพร้อมด้วยคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวทันที ซึ่งคำถามนั้นก็คือ
แบงค์ไปไหน ?
ปกติเจ้าตัวจะมานั่งทบทวนตำราเรียนที่นี่ทุกเย็นไม่เคยขาดเลยสักครั้งนี่หว่า แล้ววันนี้หายไปไหนวะ
“......”
ว่าแต่กูจะอยากรู้ไปทำไมวะเนี่ย รีบเผ่นออกไปจากที่นี่ก่อนเจ้าตัวจะมาดีกว่า
ทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็รีบสาวเท้าด้วยความเร็วเพื่อเดินออกจากบริเวณโรงอาหารให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
และในจังหวะที่กำลังหมุนตัวนั่นเอง
!!!!
“นายนันทการ มาทำอะหยังตรงนี้น่ะ บ่กลับบ้านกลับช่องเหรอ”
เสียงของอาจารย์ประจำชั้นที่กำลังยืนดักผมไว้เอ่ยถามขึ้นโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงเล่นเอาหัวใจผมแทบจะหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยทีเดียว
“ตกใจอะหยังน่ะ นายนันทการ ไปทำอะหยังผิดมาหรือเปล่าน่ะเรา”
“ผิดเผิดอะหยัง บ่มี๊ ผมออกจะเป็นเด็กดีซะขนาดนี้ ‘จารย์น่ะล่ะ อยู่ๆ ก็โผล่มาข้างหลัง ผมก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาสิ”
พูดจบ อาจารย์ก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้นของผม
“เออ บ่ได้ทำอะหยังผิดก็ดีแล้ว เพราะงั้นมานี่เลย มาช่วยครูขนของหน่อยนะ”
“เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย”
“บ่เกี่ยว แต่มาเถอะ”
“ค้าบบบ แต่ขอคะแนนจิตพิสัยด้วยนะค้าบบบ”
“เดี๋ยวตีหัวแตกเลยนี่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ว่าแล้ว ผมก็เดินตามหลังอาจารย์ไปด้วยความเฮฮาอย่างเด็กว่านอนสอนง่าย เห็นมั้ย บอกแล้ว ว่าเป็นเด็กดีจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า
แต่ก็เฮฮาได้แค่แป๊บเดียวนั่นล่ะ เพราะทันทีที่อาจารย์เปิดประตูห้องพักครูเข้าไป ผมก็พบใครบางคนที่กำลังยืนอยู่ตรงบริเวณโต๊ะของอาจารย์ประจำชั้นของผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว
ใช่ คนๆ นั้นที่ว่า ก็คือแบงค์นั่นเอง
“......”
“......”
ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบด้วยความความตกใจเล็กน้อยกันทั้งคู่ ไม่มีเสียงใดๆ ภายในห้องนอกจากเสียงจัดเอกสารของอาจารย์ประจำชั้น
“อะ เอาไปไว้ที่ห้องชมรมภาษาที่ชั้นสี่ให้หน่อยนะ เสร็จแล้วก็ไปเอาน้ำปั่นฟรีได้ที่ร้านค้าที่โรงอาหารได้เลย ครูบอกเขาไว้แล้ว ขอบใจมาก”
พูดจบ อาจารย์ก็นั่งลงเช็คเอกสารอีกกองที่ตั้งอยู่ข้างๆ ทันทีโดยไม่ทันได้สังเกตถึงบรรยากาศที่ดูเงียบงันประหลาดๆ นี้
“ไปกันเถอะครับ”
แบงค์เอ่ยทักผมพร้อมกับยกกองเอกสารขึ้นมาก่อนจะเดินผ่านผมออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว ลมที่เกิดขึ้นจากการเดินผ่านตัวผมของแบงค์นั้นทำให้ผมได้กลิ่นหอมจากตัวของอีกฝ่าย
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“......”
“เอ้า ยืนนิ่งอะหยังอยู่ล่ะ รีบๆ ตามติวเตอร์เราไปสิ”
อาจารย์เอ่ยเรียกสติของผมให้กลับมาด้วยสีหน้าสงสัยในท่าทีของผมเล็กน้อย แต่ก็ดูจะไม่ได้สนใจใคร่รู้อะไรมากนัก ผมจึงเดินเข้าไปยกกองเอกสารที่โต๊ะแล้วรีบเดินออกมาด้วยความรวดเร็ว
และสิ่งที่เห็นทันทีที่เดินออกมาจากห้องพักครูก็คือภาพของแบงค์ที่กำลังยืนรอผมอยู่ตรงหัวบันได ก่อนที่จะเดินนำขึ้นไปทันทีเมื่อเห็นผมเดินออกมาจากห้องพักครู
คนใจดี ... “......”
“......”
ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น
“......”
“......”
จะมีก็เพียงเดินฝีเท้าของผมและแบงค์ที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ
“......”
“......”
ผมได้แต่หลุบตาก้มลงมองพื้นเดินตามคนตัวสูงที่กำลังเดินนำหน้าผมขึ้นไปเรื่อยๆ
“......”
“......”
จนในที่สุดก็มาถึงห้องชมรมภาษา
แบงค์ใช้หัวไหล่ตัวเองดันประตูห้องชมรมซึ่งไม่ได้ล็อกไว้เข้าไปพร้อมเว้นช่องว่างไว้ประมาณหนึ่ง ซึ่งผมเองก็พอจะสังเกตได้ว่าการกระทำเช่นนั้นก็เพื่อเปิดทางให้ผมเดินเข้าไปก่อน ผมจึงรีบเดินเข้าไปพร้อมก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ
คนใจดีเหมือนเดิม ... แบงค์พยายามใช้มือข้างหนึ่งพยุงกองเอกสารเอาไว้เพื่อเอื้อมมืออีกข้างไปกดสวิทช์ไฟเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับห้อง แล้วจึงเดินไปยังโต๊ะของอาจารย์ทันทีและวางกองเอกสารอันแสนหนักลงบนโต๊ะด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะขยับตัวหันหลังเพื่อหลีกทางให้ผมได้วางกองเอกสารบ้าง ผมรีบวางมันลงบนโต๊ะทันทีที่เดินเข้าไปถึง เพราะคิดว่าหากต้องอุ้มกองเอกสารที่แสนจะหนักอึ้งเหล่านี้อีกสักสองหรือสามนาที ผมคงได้หมดความอดทนแล้วโยนมันทิ้งลงข้างทางแน่ๆ
“......”
“......”
บรรยากาศภายในห้องกลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง จะมีก็แค่เพียงเสียงจากผู้คนภายนอกเล็ดลอดเข้ามาบ้างแต่ก็ไม่ได้ดังอะไรมากมายนัก
“......”
“......”
ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า ณ ตอนนี้นั้น คือแผ่นหลังที่ดูใหญ่ของอีกฝ่าย
แผ่นหลัง...ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“......”
“......”
ในสถานการณ์แบบนี้ ผมควรจะพูดอะไรออกไปหรือควรจะทำตัวอย่างไรดีนะ
“......”
“......”
ผมค่อยๆ ยกฝ่ามืออันหยาบกร้านของตัวเองขึ้นมาช้าๆ
“......”
“......”
ซึ่งหากจะถามว่าผมกำลังคิดสิ่งใดอยู่ล่ะก็ ผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ รู้แค่เพียงว่าลึกๆ ในใจนั้นเหมือนอยากจะสัมผัสแผ่นหลังนั้นอีกสักครั้งยังไงก็ไม่รู้
“......”
“......”
ระยะห่างเพียงแค่นี้ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ในจังหวะนั้นเอง
“เดี๋ยวผมขอตัวไปก่อน ยังไงก็รบกวนฝากปิดไฟให้ด้วย ไปก่อนนะครับ”
สิ้นประโยค แบงค์ก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดแม้แต่จะหันมามองผมเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ผมเองก็ได้แต่ยืนนิ่งพร้อมกับฝ่ามือที่ยังคงค้างเอาไว้เช่นนั้น
ฝ่ามือที่เคยคิดจะคว้าบางสิ่งเอาไว้ ทว่าตอนนี้จะเหลือก็แต่เพียงความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“......”
ความรู้สึกที่จุกแน่นอยู่ข้างใน
ความรู้สึกที่ดูหม่นหมองแบบนี้
ความรู้สึกมากมายที่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้นี่มันคืออะไรกัน
“......”
สมองผมในตอนนี้ไม่สามารถรับรู้หรือประมวลใดๆ ได้สักอย่าง จึงได้แต่เดินไปปิดสวิทช์ไฟแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ผมก้าวเดินลงบันไดไปอย่างช้าๆ อย่างคนไร้จุดหมายสิ่งเดียวที่รับรู้ในตอนนี้คือ “น้ำปั่น” ที่เป็นค่าแรงสำหรับขนกองเอกสารขึ้นมา
และทันทีที่เดินมาถึงร้านน้ำปั่น
“สตรอว์เบอร์รี่ปั่นใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
“ได้แล้วค่ะ”
ผมรับน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นนั้นมายังงงๆ ก่อนจะดูดมันขึ้นมาดับกระหาย พลางฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“พี่ ผมสั่งน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นเหรอ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางชี้ไปยังสตรอว์เบอร์รี่ปั่นในมือ แม่ค้าเองก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น
“เปล่าค่ะ น้องบ่ชอบเหรอคะ เดี๋ยวพี่เปลี่ยนให้ใหม่มั้ยคะ”
“เปล่าๆ ผมชอบๆ แต่ผมแค่สงสัยว่าถ้าผมบ่ได้สั่ง แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าผมจะสั่งน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นน่ะ”
ทันทีที่ถามจบ พี่เขาก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอเล็กน้อย ซึ่งก็สร้างความสงสัยให้กับผมมากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีกเมื่อเห็นท่าทีนั้น
“ก็พอดีมีน้องผู้ชายตัวสูงๆ ใส่แว่น เขามาเอาน้ำปั่นไปก่อนหน้าน้อง แล้วเขาก็เลยสั่งเผื่อไว้ให้เพราะเห็นบอกว่าน้องชอบน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นน่ะค่ะ”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”
ผมพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคำตอบนั้น
ยังคงเป็นคนใจดีเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ... ผมเดินออกมาอย่างเงียบๆ พลางดูดน้ำปั่นในมือไปพลางพร้อมกับหันไปมองยังโต๊ะกินข้าวของโรงอาหารตัวที่ผมกับแบงค์เคยใช้ติวหนังสือร่วมกัน
“......”
ความรู้สึกที่กำลังก่อตัวอยู่ภายในใจนี่มันคืออะไรกัน ...
มันคือความรู้สึกโหยหาอย่างนั้นเหรอ ?
ผมเดินไปยังลานจอดรถอย่างเชื่องช้าพร้อมทิ้งน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นที่ยังไม่หมดในมือลงถังขยะทันที ทั้งๆ ที่ในเวลาปกติน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นคือสิ่งผมโปรดปรานมากแท้ๆ ทว่าคราวนี้ลิ้นของผมกลับไม่สามารถรับรสใดๆ ได้เลยสักนิด
“......”
แต่พอมาคิดอีกที เสียดายว่ะ ไม่น่าทิ้งแม่งเลย เป็นไงล่ะมึง ทำตัวติสท์เกิน คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกเอ็มวีหรือไงวะ สมน้ำหน้าอดแดกไป
“กลับมาแล้วค้าบบบ”
ผมเอ่ยทักทายให้กับแม่ที่กำลังอยู่ในครัวเมื่อตัวเองกลับมาถึงบ้าน
“น่าแปลกนะ วันนี้กลับเร็วได้”
คุณกมลชนกเอ่ยทักกลับมาด้วยประโยคที่ฟังดูเหมือนเหน็บแนมเล็กน้อย แหม คุณกมลชนกล่ะก็ เดี๋ยวนี้พูดจาไม่เพราะเลยนะครับ
“เออๆ รีบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป แล้วลงมากินข้าวเย็นกัน”
“ค้าบบบ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่งเล็กน้อยพร้อมเปิดประตูห้องเข้าไปก่อนจะโยนกระเป๋าสะพายลงไปกองข้างๆ เตียงนอน
หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ผมก็รีบเดินลงมายังชั้นล่างทันทีด้วยความรวดเร็วด้วยความกลัวว่าจะโดนคุณกมลชนกด่า ทันทีที่ลงมาถึงภาพของเหล่าสำรับอาหารเย็นทั้งหลายก็ถูกจัดตั้งวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับภาพของคุณกมลชนกที่กำลังตักข้าวใส่จานให้กับทั้งผมและตัวเอง
ผมนั่งลงพร้อมรับจานข้าวนั้นมาจากคุณกมลชนก ก่อนจะค่อยๆ ตักกับข้าวมาใส่จานตัวเองและตักมันเข้าปากด้วยความหิว
“จะว่าไปช่วงนี้ดูซึมๆ นะเรา เป็นอะหยังรึเปล่าน่ะ”
แม่เอ่ยถามขึ้นพลางตักข้าวใส่ปาก
“หืม ก็เปล่านะ บ่ได้เป็นอะหยังสักหน่อย”
“เหรอ ก็นึกว่ามีปัญหาอะหยังที่โรงเรียนซะอีก ถ้าบ่มีอะหยังก็ดีแล้ว ยิ่งแม่บ่ค่อยได้อยู่บ้านก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยล่ะ”
“ค้าบค้าบบบ”
ผมตอบรับแบบขอไปที พร้อมกับคิดในใจว่าสัมผัสของคุณกมลชนกแม่นอยู่เหมือนกันแฮะ น่าจะพาไปเปิดสำนักดูดวงทำนายทายทักยังไงไม่รู้ แต่ก็ได้เก็บเงียบเอาไว้ในใจ เพราะรู้ตัวดีว่าขืนพูดออกไปคงไม่มีชีวิตรอดแน่ๆ
หลังจากที่ท้องอิ่มด้วยกับข้าวฝีมือของคุณกมลชนกแล้วนั้น ผมก็จัดเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อยทันทีก่อนจะหยิบกองจานใช้แล้วไปล้าง แล้วจึงเดินกลับขึ้นไปยังห้องตัวเองพร้อมเปิดคอมพ์ฯ เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ทันทีที่คอมพ์ฯ ถูกเปิดเสร็จเรียบร้อย ผมก็กดเข้าเว็บเฟซบุ๊กทันทีด้วยความเคยชินก่อนจะเลื่อนสกรอเมาส์ขึ้นลงเพื่อดูเรื่องราวต่างๆ ของเพื่อนและเพจต่างๆ ที่ผมได้กดถูกใจเอาไว้
เฮ้ออออออออ
เสียงถอนหายใจเบาๆ ถูกปล่อยออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ชีวิตที่ผ่านมาในช่วงสัปดาห์นี้ทำไมมันดูซ้ำๆ เดิมๆ ยังไงก็ไม่รู้ ผมเหลือบสายตาไปมองยังแถบด้านขวาเพื่อดูรายชื่อผู้ที่กำลังออนไลน์อยู่ แต่ก็ไม่มีรายชื่อของคนๆ นั้นปรากฏให้เห็นในหน้าจอ
คนๆ นั้นที่มีชื่อแบงค์
โอ๊ย อะไรวะเนี่ยทั้งๆ ที่ก่อนที่ผมจะรู้จักแบงค์ ผมก็เคยใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อนแท้ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา
แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ ...
ผมคิดทบทวนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องชมรมภาษาเมื่อตอนเย็น ภาพของอีกฝ่ายที่เดินจากผมไปโดยไม่คิดจะหันมามองผมเลยแม้แต่นิดเดียวมันยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผมเป็นอย่างดี
น่าแปลก ทั้งๆ ที่หลายวันที่ผ่านมา ผมเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าตัวแท้ๆ แต่ทำไมในเวลานี้ผมกลับรู้สึกโหยหาเสียเองนะ
ผมจะปล่อยให้มันคาราคาซังอย่างนี้ จะเอาแต่คอยหนีต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้นเหรอ
“......”
หากผมยังคงหนีต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ มันคงจะไม่เป็นการดีแน่ๆ
“......”
ใช่แล้ว ผมต้องเคลียร์ทุกอย่างให้มันจบ ก่อนที่ผมจะเป็นบ้าไปมากกว่านี้
“......”
ทันทีที่คิดเช่นนั้นผมก็รีบกดไปยังช่องสนทนาไล่หาชื่อของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว และทันทีที่รายชื่อนั้นโผล่ขึ้นมา
นันทการ: มึงอยู่ไหน ทำอะหยังอยู่วะ
ผมพิมพ์ข้อความส่งไปทันทีอย่างไม่รอช้า ก่อนจะนั่งรอดูด้วยจิตใจกระวนกระวาย ทว่ากลับไม่มีการตอบรับใดๆ จากอีกฝ่ายกลับมาเลยสักนิด ไม่สิ ไม่ขึ้นว่าอีกฝ่ายกดอ่านเลยด้วยซ้ำ
ซึ่งก็แหงล่ะ แบงค์จะกดอ่านได้ยังไงในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ออนไลน์อยู่นี่หว่า กูนี่ก็โชว์โง่อีกแล้ว
ด้วยความร้อนใจ ผมจึงหยิบมือถือที่ตั้งอยู่หน้าคอมพ์ฯ ขึ้นมาทันทีก่อนจะกดโทรออกไปยังหมายเลขของอีกฝ่ายด้วยความเร่งรีบ
“ขออภัยค่ะไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาฝากข้อความหลังได้ยินเสียงสัญญาณ...” ติดต่อไม่ได้แฮะ เกิดอะไรขึ้นหว่า ไหนลองโทรดูอีกทีซิ
“ขออภัยค่ะไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาฝาก...” โอ้ย อะไรวะเนี่ย อยู่ๆ ก็ติดต่อขึ้นมาไม่ได้ซะงั้นทำเอารู้สึกอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมายังไงชอบกล เดี๋ยวแม่งก็บุกไปหาที่หอให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวเสียเลยนี่
“......”
ล้อเล่นน่ะ
ดึกขนาดนี้แล้วใครจะออกไปกันล่ะ เดี๋ยวก็ได้โดนวิชาก้านมะยมพิฆาตมารของคุณกมลชนกเข้าพอดีน่ะสิ ยิ่งช่วงนี้มีคดีติดตัวอยู่ ต้องทำตัวดีๆ หน่อย เอาเป็นว่าใจเย็นๆ ก่อนนะไอ้นันท์ ยังไงพรุ่งนี้ ค่อยไปเจอกันที่โรงเรียนก็ยังได้นี่หว่า
ผมปิดคอมพ์ฯ ทันทีที่คิดเช่นนั้น โดยไม่ลืมที่จะหยิบมือถือไปชาร์จพร้อมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ด้วย แล้วจึงลุกขึ้นไปปิดไฟก่อนจะกระโจนลงบนเตียงด้วยหวังว่าจะรีบนอนหลับไวๆ เพื่อให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ
ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ต่อให้ร่างกายจะอ่อนเพลียแค่ไหน แต่สมองของผมในตอนนี้กลับมีแต่เรื่องราวต่างๆ มากมายวิ่งวุ่นวายเต็มไปหมด จนทำให้กว่าจะข่มตาหลับสนิทลงได้ก็ใช้เวลานานมากพอสมควรอยู่เหมือนกัน
อนิจจาตัวกูจริงๆ
จบคาบเรียนที่ยี่สิบสอง
มุมแคปชั่นไร้สาระKnight Night Nice ได้แชร์โพสต์
นอกสายตา - Cover by. Calories blah blahจางกว่าหมอกก็กูเนี่ยล่ะ สัส