16 – กลิ่นของไฟสำหรับเป็นไท ถ้าให้เลือกจีบผู้หญิงสักคน กับแก้โจทย์แคลคูลัสสักเล่ม เขาขอเลือกอย่างหลัง ด้วยรู้สึกว่าจะยุ่งยากซับซ้อนเพียงใดก็ย่อมมีคำตอบตายตัว ขณะที่ผู้หญิงนั้นต่อให้คิดว่าเข้าใจแล้ว ได้บทสรุปแล้ว พลันเมื่อเลื่อนอ่านใจอีกบรรทัดอาจพบกับความคิดความรู้สึกที่บิดพลิ้วไปมาจนบางทีชวนให้เขาขนลุกขนพองอย่างไม่อาจอธิบาย
แต่ก็ใช่ว่าเป็นไทไม่เคยจีบหญิง เขาเคย และนั่นแหละที่พบแต่ความกระด้างกระเดื่องในสนทนา เป็นไทไม่รู้วิธีเอาใจผู้หญิง ไม่รู้วิธีรับมืออารมณ์ของพวกหล่อน สุดท้ายแล้วเขาก็เหนื่อย เดินหันหลังออกจากความสัมพันธ์ กระทั่งผู้หญิงที่เข้าหาเขาเองและเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ เป็นไทก็ไม่แม้จะหันไปมอง
“เราไม่ดีตรงไหนเหรอ”
จำได้ตรึงใจว่าหล่อนถามเขาแบบนั้นในวันสุดท้ายที่หล่อนยอมแพ้
“ที่มาชอบเราล่ะมั้ง”
และนั่นก็เป็นคำตอบของเป็นไท อันที่จริงเขาก็ตั้งใจจะเกลาคำพูดให้ดีกว่านี้ แต่คิดว่านี่ก็ตรงตัวแล้วเพราะรู้สึกว่าหล่อนโชคร้ายที่เข้ามาในชีวิตเขาช่วงที่ยังรับมือกับความสัมพันธ์ไม่ได้ หารู้ไม่ว่านั่นเป็นไฟเผาใจหล่อน แบบที่เขาลืมไปแล้วว่าเคยตั้งใจจะเป็นไฟแผดเผาทุกสิ่งรอบกายเพียงเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเจ็บปวด
หากแม้ไฟนั้นจะเงียบสงบฝังลึกเหมือนเปลวไฟบนเชิงเทียน มันก็ไม่เคยมอดดับ ยืนยันได้จากทุกวันนี้เขายังปฏิปักษ์ต่อสัมพันธ์ที่ดูซับซ้อนยุ่งยาก โดยที่ลืมไปว่ามีบางสัมพันธ์กำลังปั่นป่วนเขาอยู่ในความไม่เข้าใจหลายๆ อย่าง แต่เหมือนถูกกลบเกลื่อนด้วยหอมหวานของดอกไม้ แบบที่บอกไม่ได้ว่าดอกอะไร แต่กลบกลืน...แนบสนิท
และวันนี้อาจจะเป็นดอกเยอบีร่า มีตั้งแต่สีขาว ชมพูอ่อน ชมพูจัด แดง ส้ม เหลือง อัดกันกลมในแจกันแก้วที่เขาคุ้นตา ภายในซุ้มไม้ที่ห่มคลุมด้วยม่านบาหลี และคนที่นั่งข้างๆ ก็หมุนแจกันนั้นให้รอบเพื่อดูสีที่สะพรั่งอยู่ภายใน
“เป็นไทชอบเยอบีร่าสีอะไร”
เหมือนเดิมที่ใจเย็นจะชอบพูดเรื่องดอกไม้ จนระยะหลังเป็นไทก็เริ่มชินและไม่คิดจะว่าอะไร
“ขาว” กระนั้นก็ตอบส่งๆ ไปอยู่ดี “เรียนได้ยัง”
“วันแรกไม่เรียนไม่ได้เหรอครับ”
“นี่เรียนพิเศษนะเว้ย ไม่ใช่โรงเรียน”
“ก็ยังไม่อยากเรียนเลย”
“แล้วที่รบเร้าให้กูมาสอนคืออะไร”
“ก็ผมอยากเจอเป็นไท”
ถึงคำตอบนี้เขาก็อยากจะถอนหายใจใส่ ไม่เข้าใจว่าทำไมใจเย็นติดเขาแจ จะว่าเห็นเขาเป็นแบบอย่างที่อยากทำตามก็ไม่ใช่ เห็นเป็นพี่ชายก็ไม่ได้ให้ความเคารพ ในเชิงชู้สาวเขาก็ไม่ได้รู้สึกถึง แม้ว่าใจเย็นจะชอบอยากสัมผัส อยากกอด หรืออะไรต่อมิอะไรที่ทำแล้วเขาถีบออก เพราะใจเย็นก็ดูเป็นแค่คนที่อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด แถมบางทีก็ดูไม่เข้าใจอะไรในโลกนี้เลยสักอย่าง
“เป็นไทไม่อยากเจอผมเหรอ”
ซึ่งบางทีก็เหมือนว่าใจเย็นจะปล่อยเชื้อความไม่เข้าใจอะไรเลยเข้าสู่กระแสเลือดช้าๆ เพราะเป็นไทก็ยังไม่เข้าใจอะไรใจเย็นเลยเหมือนกัน
“ไม่อะ”
“เรายังไม่สนิทกันอีกเหรอครับ”
คำถามนี้ทำให้เป็นไทเงียบ ทบทวนช่วงที่ผ่านมาแล้วก็รู้สึกเหมือนจะขมวดคิ้วคิดหนัก ก่อนจะถูกคลายปมนั้นเมื่อใจเย็นพูดมาอีกประโยค
“เป็นไทก็ยอมบอกเรื่องของเป็นไทแล้ว”
“ไม่ใช่ว่ามึงมัดมือชกเหรอ”
ถาม หากใจเย็นกลับยิ้ม ยิ้มแบบรู้ตัวว่าเป็นจริงตามคำพูด “แต่ยังไงเป็นไทก็สัญญาไว้นะครับ”
“เออๆ ก็เพราะงั้นไงกูเลยบอก” เขาตัดบท แต่ใจเย็นไม่ยอมจบ
“แล้วเป็นไทไม่มีเรื่องที่อยากเล่าเองบ้างเหรอครับ”
“ไม่มี”
“งั้นเหรอ”
ตอบรับราบเรียบแบบที่เคยๆ ดูเหมือนจะผิดหวังแต่ก็ยากคาดเดา เป็นไทคร้านจะคิดวิเคราะห์จึงหยิบปากกาขึ้นมาเตรียมเข้าเรื่องสอน แต่ใจเย็นก็เอ่ยมาเสียก่อน
“ตอนเด็กผมชอบดูสารคดีสัตว์โลกมาก” ได้ฟังก็อยากถามว่าบอกทำไม จนประโยคต่อมาถึงรู้สึกว่าปล่อยให้เล่าไปนั่นแหละ “แต่ก็ไม่ได้ดูอีกเลยหลังจากทันใจตาย”
“ไม่ได้ดูเลยเหรอ”
“ครับ จนเป็นไทบอกว่าผมอาจจะแค่หลีกเลี่ยงเพราะกลัวเสียใจ ผมเลยลองกลับไปเปิดดูใหม่ แล้วก็ได้รู้ว่ายังชอบอยู่ แต่เรื่องเป็นสัตวแพทย์นี่ผมก็ไม่แน่ใจ”
แล้วคำอธิบายเพิ่มเติมที่บอกว่าอะไรๆ ในชีวิตใจเย็นเริ่มจะเป็นเพราะเขา มีอิทธิพลจากเขา ก็ทำให้เป็นไทเงียบ ครุ่นคิด ชั่วครู่
“เออ ก็ค่อยๆ ดูไปว่าอยากทำอะไร” แล้วเอ่ยไปเสียงเรียบ แม้จะรู้สึกว่ากลิ่นดอกไม้ฉุนขึ้นมาในจมูกทั้งที่ทุกสรรพสิ่งอยู่เฉยกับที่
“ครับ” ใจเย็นยิ้มรับ “ผมเล่าเพราะผมอยากเล่าให้เป็นไทฟังนะ”
“เออ”
“ไม่มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังจริงๆ เหรอ”
“ไม่มีเว้ย เรียนๆ เสียเวลา”
เป็นไทตัดบท เพราะเขาก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีอะไรจะเล่าให้ใจเย็นฟัง เรื่องที่เป็นเรื่องของตัวเองเขาก็รู้สึกว่าไม่อยากเปิดแง้มมันออกมาอีก ซ้ำยังรู้สึกว่าผิดที่ผิดเวลาต่อให้ใจเย็นจะพร่ำบอกว่าอยากฟังก็ตาม
กลับบ้านไปเย็นวันนั้น ในโต๊ะอาหารที่ปรายจะนั่งเงียบราวกับไม่มีตัวตน เป็นไทรู้สึกมีอะไรฝืดเคืองอยู่ในบทสนทนาระหว่างเขากับแม่ ไม่ใช่เรื่องที่แม่เอาแต่เจื้อยแจ้วเจรจาเล่าเรื่องของตัวเอง แต่เป็นเรื่องที่แม่วกมาถามเรื่องของใจเย็น ถามว่าสอนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง แบบที่นานๆ ครั้งจะถาม
“ก็” เป็นไทเกริ่น “เป็นเด็กที่คำถามเยอะดี”
พลันก็รู้สึกอึดอัดที่ตอบไปแม่ก็พูดลากไปเล่าเรื่องคุณเกษรา เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ให้เห็นชัดว่าก็แค่เกริ่นเพื่อจะเล่าเรื่องที่ตนเองอยากเล่า ถึงเป็นไทจะชินแล้ว แต่ครั้งนี้รู้สึกมีอะไรฝืดเคืองในใจกว่าครั้งไหนๆ แบบที่ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง แม้ออกไปร้านนั่งเล่นในช่วงดึก กับเพื่อนสนิทที่เขามักจะพูดคุยหลายสิ่งหลายอย่างให้ฟังแทนแม่ของตนเอง แต่เป็นไทก็ยังรู้สึกฝืดเคือง จนสุดท้ายได้แต่ปล่อยให้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนผ่านลำคอ รับฟังเรื่องของเพื่อนไปเงียบๆ และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ได้หรือบางทีเขาอาจจะเริ่มเมา กลิ่นดอกไม้ถึงอวลอบในบรรยากาศของความนึกคิด
และก็เหมือนจะยิ่งคลุ้งในนาสิกประสาทเมื่อได้เห็นเยอบีร่าสีขาวชูช่อเต็มแจกันแก้วใสในวันเสาร์ถัดมา
“เป็นไทเคยเลี้ยงสัตว์ไหม” เหมือนเดิมที่ใจเย็นจะเอ่ยถามอะไรนั่นนี่จากเขาเต็มไปหมด
“เลี้ยงตัวเองยังจะไม่รอดเลย”
“ให้ผมช่วยเลี้ยงก็ได้นะครับ”
“ไอ้สัด กวนตีนเหรอ”
เขาด่า ด้วยถ้อยคำแบบนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะพูดเล่น...หรือจริงจังก็ไม่รู้ได้ กระนั้นใจเย็นก็ยิ้ม ยิ้มเหมือนเด็กๆ แบบที่ก็แทบจะลืมรอยยิ้มบางเบาในช่วงแรกๆ ไปแล้ว
“เคยเล่าเรื่องกูให้ใครฟังไหม” แล้วก็อาจเป็นรอยยิ้มนั้นที่ทำให้เป็นไทเอ่ยถามขึ้นมา
“ผมไม่ค่อยเล่าอะไรอยู่แล้วครับ” ใจเย็นเอ่ยบอก เสียงเรียบ ฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาแม้แต่ประโยคต่อมา “แต่เรื่องเป็นไทผมถามนะ”
“ฮะ? ถามอะไรวะ”
“ก็ถามว่าคนที่ทำแบบนี้ ชอบอะไรแบบนี้ เขาเป็นคนยังไง”
“เพื่ออะไรวะ”
“ก็อยากรู้น่ะครับ”
อีกครั้ง เสียงเรียบ ราวเรื่องธรรมดา หรือไม่ก็เพราะไม่เข้าใจอะไรเลยบนโลกใบนี้จึงทำให้เอ่ยออกมาได้เรียบๆ แบบนั้น
“เพราะงั้นผมก็เลยอยากฟังเรื่องของเป็นไทเยอะๆ”
“เห็นกูเป็นนักเล่านิทานเหรอ” ทันควันที่เขาสวนกลับ แต่ก็เห็นใจเย็นยิ้มอยู่ดี “บางทีสนิทกันก็ไม่จำเป็นต้องเล่าทุกเรื่องก็ได้”
พอพูดประโยคนั้นก็เห็นแววตาที่ดูจะไม่ค่อยเข้าใจของใจเย็น ตอนแรกก็ตั้งใจจะปล่อยผ่าน แต่คิดอีกทีคงไม่ได้สอนอย่างสงบ อย่างน้อยก็สงบในแววตาที่จ้องมองมา เป็นไทจึงอธิบาย
“คือเข้าใจไหมว่าบางทีมันก็เป็นเรื่องของจังหวะ ช่วงเวลา แต่ก่อนจะถึงจังหวะนั้น ก็ต้องสบายใจที่จะอยู่ด้วย”
อธิบายพลางคิดว่ามันซับซ้อน ซับซ้อนแบบที่เขาไม่ชอบ แต่หากคิดกลับอีกตลบ ทั้งหมดนี้คือการปล่อยให้สัมพันธ์เป็นไป เรียบง่าย แบบที่เขาก็มีกับเพื่อนสนิททุกคน
“เหมือนจะเข้าใจแล้วครับ”
“ดูหน้าโง่ๆ ไม่เข้าใจมากกว่า” ด่า แต่นั่นแหละ ใจเย็นไม่เคยโกรธอะไร
“แต่สรุปเป็นไทสนิทกับผมแล้วใช่ไหมครับ”
แล้วก็อีก ที่ดูจะถามแบบไม่เข้าใจอะไรเลยบนโลกใบนี้
“เออ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจมึงก็เหอะ”
ให้เป็นไทกลายเป็นฝ่ายตอบ ฝ่ายอธิบาย ทั้งที่ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรซับซ้อนในความสัมพันธ์นัก และอีกครั้งที่กลิ่นดอกไม้ดูจะหอมองอึลขึ้นมาในความคิด กลบกลิ่นไฟที่เงียบสงบฝังลึกอยู่ในใจ
หรือไม่ ก็อาจเพราะมอดดับลงไปแล้วเขาถึงไม่รู้สึกอะไรถึงมันอีกเลยเมื่ออยู่กับใจเย็น
ใจเย็น : งี้ก็อยากเจอผมแล้วดิ
เป็นไท : ก็ไม่อยากอยู่ดี
ใจเย็น : งั้นเหรอ...
__________________________________________________________________________________
ทำไมหลังๆเริ่มมีแถมท้ายตอนล่ะ 555
อาจจะรู้สึกว่าเรียบๆ ไม่มีอะไรพีคนะคะทั้งที่เปิดใจมากขึ้นทุกทีแล้ว แต่แยมชอบความเรียบๆ แบบนี้แหละ ซึมลึกดี
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ยังไงติดตาม #ใจเย็นกับเป็นไท กันต่อไปเรื่อยๆ น้อ