เพราะนายคือของฉํน [ll] : 16
หลังจากพี่โชไม่อยู่ ภาพที่เคยเกิดก็ค่อยๆ ทยอยโผล่ขึ้นมา... ห้องที่เคยเดินชนกันบ่อยๆ เตียงนอนคิงไซส์ที่ตื่นมาแขนขาพันกันทุกครั้ง ไหนจะห้องน้ำที่ผมชอบตดทิ้งไว้หลังอาบน้ำเพื่อให้พี่โชเข้าต่อ โซฟาที่ชอบมีคนขายาวๆ นอนพาดจนผมต้องลงไปนั่งที่พื้น โทรทัศน์ที่มีไว้สำหรับดูหนังพ่อมดซ้ำๆ แถมชอบด่าเวลาที่ผมกวน
วันนี้ไม่มีแบบนั้นแล้ว และไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะได้เป็นแบบนั้นอีก
นี่ผมดราม่า น้ำตาคลอทำไหมเนี่ย
อันที่จริง พอพี่โชถึงที่นู้นก็โทรมาหา บ้างก็เฟซไทม์มา แม้เจ้าตัวจะง่วงสักแค่ไหนก็ตาม แต่ก็พยายามถ่างตาดูหน้าผม ก็แบบนี้จะไม่ให้รักปีศาจในคราบเทพบุตรได้ไงเล่า อีกอย่าง เดี๋ยวนี้เวลาผ่านไปไวจะตาย แป๊บๆ ก็ปี อย่างที่ผมคบกับพี่โช เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ พอได้ลองนับนิ้วทีตาแทบบอด เพราะเอานิ้วจิ้มตา แฮ่ (มุกบ้าบอ) เวลามันผ่านไปไวจริงๆ นะครับ
เช่นตอนนี้ ผมมายืนอยู่หน้าโรงเรียนสอนศิลปะที่รุ่นพี่แนะนำ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตอบรับจดหมายขอเข้าฝึกงานของผมด้วย และก่อนจะมาถึงจุดนี้ ผมแทบอยากลงไปกราบไอ้สักเพื่อนรัก ที่มันช่วยปั่นรายงานสำหรับพรีเซ็นต์ให้ ถ้าไม่ได้มันละก็ ผมคงไม่มีหน้ามาเสนออยู่ที่โรงเรียนนี้หรอก
ทันทีที่ยื่นขาก้าวแรกเข้าโรงเรียนไป เหมือนกำลังจะผ่านเข้าไปในสวรรค์ เพราะอากาศเย็นเฉียบ ต่างจากด้านนอกที่ดั่งนรกกำลังสุมไฟรอเผาผมอยู่ ความเงียบทำเอาขาแขนเกร็งไปหมด จะเดิน จะยิ้มก็ติดๆ ขัดๆ พอคนที่นั่งด้านหน้าเคาน์เตอร์เงยขึ้นมาสบตากับผม เธอส่งยิ้มหวานมาให้พลางเอียงคอมอง
“สนใจคอร์สเรียนไหน ถามได้นะคะ” คงเพราะเป็นแพทเทิร์นในการทักทาย ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนโบกมือปฏิเสธไป “อ่าว แล้วมารับใครหรือเปล่าคะ?”
“พอดีผมเป็นนักศึกษาที่จะมาฝึกงาน...”
“อ๋อ” ลากเสียงยานครางซะผมทำหน้าไม่ถูกเลย “นึกว่าอยู่มัธยมซะอีก หน้าเด็กนะคะ”
“ขอบคุณที่ชมครับ”
ไม่มีการถ่อมตัวใดๆ ทั้งนั้น รู้หรอกว่าชมไปงั้นๆ เพราะผมสวมชุดนักศึกษามาซะเต็มขนาดนี้ พี่พนักงานขำออกมา ก่อนขอเอกสารผมไปตรวจสอบ พลางให้นั่งรอคุณเจ้าของที่กำลังเดินทางมา ระหว่างรอผมก็ฆ่าเวลาด้วยการมองนั่นนี่ เป็นโรงเรียนไม่ใหญ่มาก แต่ภาพคนมาเรียนที่ติดผนังมันเยอะซะจนติดทับซ้อนๆ กัน
“อีกเดี๋ยวจะมีน้องอีกคนมาฝึกด้วยนะ” อยู่ๆ ก็มีคำบอกเล่า ทำให้ผมหันไปมอง “เป็นผู้หญิง”
“อ่า ครับ” พยักหน้ารับไป แน่ๆ ไม่ใช่มหาลัยผม เพราะผมไล่ถามมาจนแน่ใจแล้ว “เอ่อ ที่นี่เปิดสอนเด็กตั้งแต่อายุเท่าไหร่เหรอครับ” ใช้ความตีเนียนสอบถาม พี่พนักงานยิ้มส่งคืนพลางยื่นเอกสารแผ่นพับมาให้
“ที่นี่เปิดรับเด็กตั้งแต่ 5 ขวบ ไปจนถึงคนมีอายุเลย มีหลายคอร์สให้เลือก แล้วก็มีแบบตัวต่อตัวด้วย”
โรงเรียนแบบนี้ สมัยตอนอยู่มัธยมผมก็อยากเรียนนะ แต่ไม่มีเพื่อนเรียนด้วย ไม่งั้นฝีมือผมคงเก่งกว่าไอ้สักแน่ๆ มันบอกว่าเคยเรียนตั้งแต่ขึ้นมอปลาย ฝีมือไอ้สักเลยสวยกว่าใครเพื่อนบวกพรสวรรค์ของมันนั่นแหละ
“แล้วเด็กฝึกงานต้องทำอะไรบ้างเหรอครับ” รู้ก่อน ได้เปรียบ
“ส่วนใหญ่ก็จะช่วยครูผู้สอนดูแลเด็กในคลาสนั่นแหละ พี่ก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอก”
“ขอบคุณครับ”
ยิ้มหวานส่งคืนไป ก็แหม คนออกตัวว่าไม่รู้นี่แหละ คือรู้มากที่สุด ผมขอบอกตรงนี้ไว้เลย รอไม่นานประตูก็เปิดออก คราวนี้เป็นผู้หญิงสวมชุดนักศึกษาท่าทางดูรีบร้อน คงคิดว่าตัวเองมาสายแน่ๆ
“ขอโทษนะคะ พอดีรถติด”
“ไม่เป็นไรค่ะ นั่งรอกับเพื่อนก่อนนะ เดี๋ยวเจ้าของโรงเรียนกำลังมา”
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังมาจากคนข้างๆ และเธอคงรู้ว่าผมมองอยู่ เลยหันมายิ้มแห้งๆ ส่งให้
“มาฝึกที่นี่เหมือนกันเหรอ” น้ำเสียงใสถามผม ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบ “ดีจัง อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุย ไม่งั้นคงเหงาแย่”
“นั่นสิครับ” ดูเป็นคนเข้ากับคนง่ายดีนะครับ วางใจได้ อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องเหงาเป็นเด็กฝึกงานคนเดียว คิดแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย
รออีกไม่นาน เจ้าของโรงเรียนก็มา พลางเรียกผมกับอีกคนเข้าไปคุย ส่วนใหญ่จะเป็นรายละเอียดยิบย่อยของที่นี่ พร้อมการฝึกงานว่ามีอะไรบ้าง ก็เคลียร์ดี จะได้รู้หน้าที่ของกัน ซึ่งแน่นอนว่าผมกับผู้หญิงอีกคนจะได้ช่วยครูของที่นี่ดูแลเด็กในห้องที่กำลังเรียน โดยที่แต่ละสัปดาห์ เราสองคนจะถูกครูผู้สอนเทสด้วย ซึ่งแต่ละรุ่นก็ฝึกแบบนี้ เอาวะ ในเมื่อมาแล้ว จะไปกลัวอะไร ไอ้กลอยประเกรียนสุดหล่อแม่นเว่อร์ซะอย่าง ช่วงกำลังเดินลงมาถึงชั้นสอง ขาที่ก้าวลงบันไดต้องหยุดชะงัก เมื่อมีแรงกระตุกข้อศอกเสื้อด้านหลัง พอหันไปมองเจอเด็กผู้ชายตัวอ้วนจ้ำม่ำทำหน้าซีดอยู่
“เป็นอะ...”
“ปวดขี้”
“ฮะ?”
“ปวดขี้ พาผมไปหน่อย เร็วๆ”
“ห้องน้ำอยู่ไหนวะ”
พึมพำกับตัวเอง แต่ขาก็ต้องรีบจูงมือเด็กไปหาห้องน้ำ วันแรกก็เจอเด็กปวดขี้ซะแล้ว
“ห้องน้ำ”
เด็กอ้วนก็ร้องหาห้องน้ำ ไอ้ผมก็ไม่รู้ โชคดีที่เดินมั่วๆ ไปก็เจอ ทันทีที่เห็นว่ามันคือที่ปลดทุกข์ เด็กอ้วนก็วิ่งปรู๊ดเข้าไป ก่อนไปยังฝากกลิ่นอันน่าพิศวงไว้ด้วย เอาซะขมคอเลยเชี้ยเอ้ย รู้สึกเหมือนกรรมเริ่มจะตามทันเวลาแกล้งพี่โชแบบนี้ ผมลังเลว่าจะลงไปชั้นล่างเลยไหม หรือต้องอยู่รอก่อน พอจะก้าวขา ก็ชักกลับ แต่ถ้ารอแล้วจะได้อะไร ก่อนตัดสินใจว่าลงไปเถอะ แต่ดันมีแรงกระตุกที่แขนเสื้ออีกรอบ
“ขี้เสร็จแล้ว” ยิ้มแป้นโชว์แก้มยุ้ยๆ เอาซะผมพูดไม่ออก ไม่ใช่เพราะความน่ารักหรอกนะครับ แต่เพราะกลิ่นที่ลอยตามหลังออกมา
กินข้าวบูดมาหรือเปล่าวะ เหม็นเกิน
“กลับห้องได้” กลั้นหายใจอยู่นานกว่าจะพูดได้ และพอพูดจบ เด็กอ้วนก็ยักคิ้วกวนผมไปทีแล้ววิ่งปรู๊ดกลับไปทางที่เดินมา
อ่าว วันแรกก็โดนเด็กเล่นแล้วไหมล่ะไอ้กลอย
เดินลงมาชั้นล่าง เจอผู้หญิงที่จะมาร่วมฝึกกับผม อ่อ เธอชื่อมะยม นี่ถ้าเป็นผู้ชายนะ ผมจะขอเรียกมันว่า ไอ้ยมเลยทีเดียว แต่พอเป็นผู้หญิง ดูไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่ มะยมเป็นสาวรูปร่างผอมสูงที่สูงเกือบจะตัวเท่าผมแล้วซะด้วยซ้ำ หน้าตาก็จัดว่าน่ารักดี แต่เรื่องที่ต้องยกนิ้วให้คือการตีสนิทที่ทำอย่างกับเรารู้จักกันมาเป็นปี
ความตีเนียนให้ห้า ความบ้า (กว่าผม) ให้สิบ ต้องบอกว่า เหนือกลอยประเกรียน ยังมีมะยมโคตรเพี้ยนมาจุติบนโลก
และแล้ววันแรกก็ผ่านพ้นไปอย่างงงๆ ผมกะจะเก็บทุกอย่างไปเล่าให้พี่โชฟัง แต่คนอีกฝั่งกลับงัวเงียอยู่บนที่นอนผมเลยยกยอดความแสบของเด็กอ้วนเอาไว้ก่อน
“พี่โชจะตื่นกี่โมง” ถามไป ตาก็มองถนนไป วันนี้มีนัดกับพวกไอ้ทูที่ร้านยาดองหลังมหาลัย ไม่ใช่เพราะอยากไปกิน แต่เพราะเป็นวันเกิดของเพื่อนร่วมรุ่น แน่นอนว่าผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นสายโครหัสกัน ง่ายๆ ก็ดองรหัสกันตั้งแต่สมัยรุ่นก่อนๆ นั่นแหละครับ “พี่โช”
(เดี๋ยวก็ตื่นแล้ว) ตอบทั้งที่ตายังปิด (ห้ามกลับดึก ห้าแก้วอย่าลืม)
“ไม่ลืมหรอกน่า กลอยเคยลืมที่ไหนกัน” ทำตาลอกแลกสุด พี่โชขำออกมาก่อนลุกขึ้นมานั่ง ทรงผมชี้ตั้งอย่างกับรังนก “พี่ตื่นสายนะวันนี้ ไม่ไปเทคคอร์สเหรอ” เทคคงเทคคอร์สอะไรนี่ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง พี่โชเล่ามายาวๆ ก็ฟังไปงั้นๆ ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่มันไม่รู้เรื่อง
(มีตอนบ่าย นี่เพิ่งจะแปดโมงเช้าเอง)
“เมื่อคืนนอนกี่โมง”
(ช่วยป้าเก็บร้านถึงตีสอง)
“ร้านขายอาหารอะไรเปิดถึงตีสอง” บ่นแต่ออกเสียง พี่โชขำออกมาพลางยกมือขยี้ผมตัวเอง “รีบไปอาบน้ำ แล้วกินข้าว ห้ามลืมกินข้าวให้ครบทุกมื้อนะ ถ้ากลับมาแล้วผอม กลอยจะ...” จะอะไรดีวะ “จะกินหมูกระทะให้อ้วนแทนเลย”
(ไอ้เพี้ยน)
คิดถึงพวกคำด่าแบบนี้เวลาถูกด่าใส่หน้าจัง แล้วเบื่อตอนขับรถจะมองหน้าพี่โชอย่างเต็มตาก็ไม่ได้ เดี๋ยวไปจูบท้ายคันข้างหน้าอีก
“คิดถึง”
(คิดถึงมากกว่าอีก)
“รีบๆ เรียนแล้วรีบๆ กลับมา กลอยเหงา”
(อย่าพูดแบบนี้สิ เดี๋ยวพี่ก็เก็บของกลับหรอก)
“ทำให้ได้อย่างที่พูดก่อน”
(เอาไหมล่ะ วันนี้เลย)
ท้าไม่ได้นะครับบอกเลย ผมรีบแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ โชคดีหน่อยตอนนี้ติดไฟแดง ทำให้มองหน้าคนห่างไกลได้อย่างถนัดตา พี่โชผมยาวขึ้นเยอะ จากกันไม่นานแท้ๆ
“จะถึงแล้ว เดี๋ยวกลอยต้องวาง...”
(ตอนกลับโทรมาหาพี่ด้วย แล้วตอนถึงห้องก็ต้องส่งข้อความมาบอกด้วย โอเคไหม)
“รับทราบครับท่านครับ พี่ก็รีบไปอาบน้ำกินข้าว อ่อ อย่าแต่งตัวหล่อมาก เดี๋ยวสาวๆ จะเข้ามาจีบ”
(หวงเหรอ)
“พอดีเป็นคนขี้หึงมาก”
(เตือนตัวเองเถอะ)
ทำไมผมถึงโดนตลอดวะ
“แค่นี้นะ เดี๋ยวกลอยโทรหาใหม่”
พี่โชไม่ได้ตอบนอกจากยิ้มแล้วจูบผ่านกล้องมา ผมเลยจูบกลับบ้าง โคตรคิดถึงเลยให้ตาย แต่ยังตายไม่ได้ เพราะต้องอยู่รอให้กลับมา คนรักจริงก็แบบนี้แหละ (อวยตัวเองไปอีก)
ผมถอยรถเข้าจอดข้างรถไอ้ทูที่มันเพิ่งมาถึงเหมือนกัน โชคดีที่ไม่ต้องเดินเด๋อด๋าเข้าไปคนเดียว ไอ้ทูมันไปฝึกงานบริษัทของเพื่อนพ่อ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า มันไปฝึกงานอะไร ตำแหน่งไหน เพราะเอาที่เพื่อนสะดวกจะเล่านั่นแหละ แต่ถ้าเรื่องไหนที่ต้องรู้ ผมก็ต้องรู้ แปลง่ายๆ คือ ขี้เผือกเฉพาะเรื่องนั่นเอง
เสียงเพลงเพื่อชีวิตดังออกมาถึงนอกร้าน วันนี้ปิดร้านเพื่อเลี้ยงฉลองเลยนะครับ ก็แน่ล่ะ เจ้าของร้านเป็นรุ่นพี่คณะของผม เด็กในคณะคนไหนจะจัดงานแล้วมาร้านแกๆ จะปิดร้านเลี้ยงแทบทุกครั้ง โคตรใจป้ำเลยจริงๆ
“ไอ้กลอย ไอ้ทู ทางนี้ๆ” ไอ้ต๋องกวักมือเรียกยิกๆ เพราะมันนั่งจ๋องอยู่ที่โต๊ะคนเดียว
“ไอ้เคล่ะ” ผมถามขณะหย่อนก้นนั่ง มือก็ยกรับไหว้บรรดารุ่นน้อง ที่มากันแน่นร้าน พอของฟรีละรีบเชียวไอ้พวกนี้ “คนเยอะจริงสัด”
“ไอ้เคถูกพี่ขุนลากไปดวลเหล้านู้น พวกมึงมาโคตรช้า” ไอ้นี่บ่นเก่ง
“กว่ากูจะเลิกก็ค่ำแล้วไหมล่ะไอ้ห่า” ผมตอบ ส่วนไอ้ทูก็พยักหน้าเห็นด้วย “เสียดายไอ้สัก ไปต่างจังหวัด”
“ถ้ากลัวมันไม่ได้แดกเหล้าละก็ ไม่ต้องห่วง ตอนนี้มันก็อยู่ร้านเหล้า” ไอ้ต๋องว่าอย่างขำๆ
“ไอ้นี่ขาดผู้หญิงได้ แต่ขาดเหล้าไม่ได้” ไอ้ทูสรุป
คุยกันได้ไม่นาน ไอ้เคก็หอบสังขารครึ่งๆ กลางๆ มานั่ง หน้ามันเริ่มแดงอย่างเห็นได้ชัด ผมว่า ที่บอกถูกลากไปดวลคงไม่ใช่แล้วล่ะ สภาพนี้คงโดนลากไปมอมมากกว่า
“มาช้าไอ้เหี้ย” เจอหน้าก็สาดคำด่าเลยไอ้นี่
“เมาแล้วเหรอมึง” ลองหยอดไป ไอ้เครีบยกนิ้วชี้ส่ายไปมาพลางเล่นหูเล่นตาอย่างตอแหล
“คนอย่างกู ยาดองทำอะไรกูไม่ได้” อยากถีบความมั่นใจนี้จริงๆ แต่ผมทำได้แค่คิด เพราะไอ้ทูถีบมันแทนไปแล้ว เกือบตกเก้าอี้ ยังดีที่ไอ้ต๋องคว้าไว้ทัน
และทันทีที่โหลยาดองมา ก็ถึงเวลาแจกแก้ว บนโต๊ะมีสารพัดยำมาวางเป็นกับแกล้ม มีถั่วกับข้าวเกรียบกุ้งที่ผมชอบด้วย เมื่อก่อนตอนมากิน ผมจะพกถุงก๊อบแก๊บมาด้วย เพื่อขอข้าวเกรียบกลับหอ ด้านได้ อายอด คือคติผมเอง
ไอ้ทูทำหน้าที่แจกยาดอง ผมก็ยกจิบไปนิดๆ เพราะไม่อยากรีบ กลัวครบกำหนดห้าแก้วไว ต่างจากคนอื่นที่ดื่มเอาๆ เดี๋ยวเถอะ ต้องมีคนเมาเหมือนหมา บรรยากาศภายในร้านก็คึกคัก เด็กรุ่นน้องบางคนพาแฟนมาด้วย อย่างไอ้รอนที่ควงแฟนบัญชีมานั่งด้วย ตอนเข้าร้านมาเมื่อกี้ เห็นมันยักคิ้วให้ผมทีหนึ่งคล้ายอวด แต่ผมก็ไม่ได้แคร์ แค่ส่งนิ้วกลางคืนกลับไปก็เท่านั้น
กวนมากวนกลับไม่โกง
“ไอ้กลอย” เสียงเรียกชื่อผมยางคางมาแต่ไกล “มาดวลกับพวกพี่ๆ เร็ว”
“ผมขับรถมา ไม่อยากมีถังขยะเดินตัดหน้าอีก” รีบออกตัว แม้แขนจะถูกฉุดกระชากให้ลุก แต่ก็พยายามจับเก้าอี้ไว้
“ป๊อดเหรอมึง เมื่อก่อนไม่เมาไม่กลับไม่ใช่เหรอวะ”
“ให้มันเถอะพี่ เดี๋ยวผัวด่า” ถลึงตาใส่ไอ้ทู ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขำ เมื่อมันซวยถูกลากไปแทน
โชคดีเพื่อนทูของกลอย
พอไอ้ทูถูกลากไป ผมก็คุยเรื่องฝึกงานวันแรกให้เพื่อนฟัง ไอ้ต๋องส่ายหัวรัวๆ เพราะมันไม่ค่อยถูกกับเด็ก ส่วนไอ้เคขำอย่างเดียว อย่างว่า ยาดองในเส้นเลือดมันสูงเกินไป สติเลยมาครึ่งๆ กลางๆ
“โชคดีที่กูไม่ต้องอยู่กับเด็ก ไม่งั้นกูคงได้แดกยาพาราวันละกระปุก” ไอ้ต๋องว่า
“พรุ่งนี้ฝึกแล้วจบเลยได้ไหมวะ แม่ง” ผมว่าอย่างหัวเสีย ไอ้ต๋องยักไหล่พลางชูแก้วยาดองมาชนกับผม
“คิดมาก ฝึกๆ ไปเดี๋ยวก็จบ”
“ก็จริงของมึง ไอ้เค ตามึงเยิ้มเกินไปนะสัด”
“ตากูไม่ได้เยิ้ม ตากูมันหวานต่างหาก มึงดูน้องขวัญสิ โคตรน่ารัก” ไอ้เคทำตาลอยๆ ชี้ไปทางโต๊ะรุ่นน้องปีสองที่นั่งหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ยิ่งมองยิ่งน่ารัก”
“น่ารักแต่ห้ามแตะ เดี๋ยวมึงได้โดนตีนผัวน้องเขา” เตือนเพื่อนด้วยความหวังดี
“มึงไปเอาข่าวที่ไหนมา น้องเขาไม่มีผัว” ไอ้เคเถียงเสียงสูง
“ไม่ได้เอาข่าวไหนมา แต่กูเห็นมากับตา ว่าเขาควงผัวไปดูหนังไอ้สัด แทบจะจูบปากกันในโรงอยู่แล้ว”
“มั่ว”
“พี่โชก็เห็น”
“ไอ้สัด กูเสียใจ อยากร้องไห้”
“ตอแหลสัดหมา”
ไอ้ต๋องด่าเสร็จก็ยกยาดองดื่ม ไอ้เคมองตาขวาง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากตักยาดองใส่แก้วตัวเองแล้วยกดื่มรวดเดียวหมดแก้ว หากเป็นเมื่อก่อน ผมก็ทำแบบพวกนี้แหละ ตักแล้วเท แล้วดื่ม โหลหนึ่งไม่เคยพอ ต้องต่อด้วยโหลสอง โหลสาม คอแข็งจนรุ่นพี่ต้องยกนิ้วให้ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้แตะ แค่แก้วเดียวยังมึนๆ เลย (ไม่นับแอลกอฮอล์อื่น)
อยากคืนสังเวียน แต่คำสัญญาค้ำคอ...ห้าแก้ว
เวลาเริ่มดึกเท่าไหร่ ทั้งเพลงและคนก็เริ่มคึก หน้าเวทีที่มีดนตรีสดก็เต็มไปด้วยพวกสติครึ่งๆ กลางๆ สองในนั้นคือไอ้ต๋องกับไอ้เค ส่วนไอ้ทูนั่งคอพับอยู่ข้างๆ ผม ถูกมอมไปหลายโหล โชคดีของผมแล้วที่ไม่ได้ไป แต่ถึงแม้ไม่ไปร่วมก๊งกับรุ่นพี่ แต่ก็ยังมีคนเดินมาชนไม่ขาดสาย คนฮอตก็งี้แหละ อยู่เฉยๆ ก็มีคนเข้ามาหา (วอนหาเรื่องให้ตัวเองอีกแล้ว)
“มึงขับรถกลับไหวหรือเปล่าไอ้ทู” สะกิดถามเพื่อน ไอ้ทูยกมือโบกแทบจะทันที “งั้นเดี๋ยวกูไปส่ง”
“กูส่งข้อความให้พี่เบมารับ มึงจะได้ไม่ต้องวนไปวนมา” ไอ้ทูบอกอู้อี้ ตาคงจะหนักเพราะยกไม่ขึ้น “เชี้ยเอ้ย พรุ่งนี้กูจะไหวไหมเนี่ย”
“สู้ๆ เพื่อน”
“เพราะมึงนั่นแหละ”
“กูผิดอะไร”
“ก็กูปกป้องมึง เลยซวย”
ผมไม่ตอบอะไรนอกจากหัวเราะ ไอ้ทูง้างมือจะตบหัวผม แต่พอยกปุ๊บก็ร่วงปั๊บ...อาการหนักมากจริงๆ ผมขำเพื่อนสนิทไม่นานโทรศัพท์ไอ้ทูก็ดังเลยล้วงออกมารับให้แทน พี่เบโทรถามไม่เยอะเพราะกำลังขับรถมารับ ก่อนวางมีบ่นว่าขี้เกียจขับรถด้วย แหม ปากแข็ง ฟังน้ำเสียงก็รู้ว่าห่วงเพื่อนผม
“พี่กลอย ชนแก้วหน่อย” เสียงห้วนๆ โดยคนพูดเดินเก็กหล่อมาหา
“มึงเตรียมตัวนอนเลยเหรอวะไอ้ไม้” ยกแก้วชนพลางหยอก สภาพกางเกงบอลกับเสื้อยืดย้วยๆ มันชุดนอนชัดๆ
“เผื่อเมาก็ขอนอนร้านนี้เลยไง” มันว่ายิ้มๆ “ไม่เจอนาน พี่ยังปากหมาเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“แน่นอน หมาในปากกูมีเป็นฟาร์ม เกิดมาเรื่อยๆ ไม่มีวันตาย รู้จักไหมคำว่าเนเวอร์ดายส์” ร่ายยาวเป็นชุดจนได้นิ้วโป้ง ไอ้ไม้ขำก่อนขอตัวกลับไปนั่งโต๊ะตัวเอง แต่พอเห็นหน้ามันแล้วก็พาลนึกถึงแก๊งเก่าตอนปีหนึ่ง ที่ตอนนี้หนึ่งในกลุ่มมันย้ายไปเรียนอีกที่ เพื่อจะสะดวกเฝ้าแฟนตัวเองอย่างไอ้เม่น
ยอมใจในความทุ่มเทจริงๆ
ชนแก้วไปเรื่อยๆ จนพี่เบเดินเข้ามาสะกิดไอ้ทู ผมยกมือไหว้พลางไล่มองคนบอกว่าขี้เกียจที่แต่งตัวจัดเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้า
“รถจอดที่นี่ได้ใช่ไหม” ถามขณะหิ้วไอ้ทูขึ้น ผมพยักหน้าลงรัวๆ “เมาเหมือนหมาเลยไอ้ห่า”
“เมียพี่เป็นหมา งั้นพี่ก็ เชี่ย” ถูกตีนถีบเข้าเต็มน่อง ยาดองกระฉอกเลย
“มึงก็รีบๆ กลับ อย่ามานั่งอ่อยให้เพื่อนกูหึง”
“อ่อยที่ไหนวะ”
“หรือจะให้กูไปส่ง?”
“ไม่เป็นไร ผมเพิ่งยกแก้วที่สามเอง”
“เออดี งั้นกูกลับล่ะ แม่ง ไอ้นี่ก็หนักเกิน แดกควายลงท้องหรือเปล่าสัด”
ผมขำตามหลังพี่เบที่บ่นไอ้ทู คนอะไร ปากบ่นแต่สายตาโคตรเป็นห่วง ไม่เหมือนปีศาจของผมเลย เพราะถ้าบ่น ตาก็ดุ ไม่มีมองแบบนี้หรอก นึกได้ก็อยากกลับ ผมเดินซุยๆ เข้าไปด้านในเพื่ออวยพรเจ้าของวันเกิดที่เมาหลับไปแล้วๆ ก็ต้องรีบชิ่งหนีออกมา ก่อนจะถูกจับมอมเหล้าไปด้วย สภาพโซนด้านหน้าเหมือนสงครามเลย ฟาดฟันกันด้วยจำนวนโหลและการเต้น คนรับกรรมก็รุ่นน้อง โดยเฉพาะปีหนึ่ง การรวมตัวของรุ่นพี่ที่จบไปแล้วแบบนี้ มันคือขุมนรกดีๆ นี่เองถ้ามีแอลกอฮอร์ในวง
ใช้เวลาขับรถไม่นานก็ถึงคอนโดของพี่โช ห้องแสนกว้างแต่อยู่คนเดียวความเหงาก็วิ่งเข้าชน ทั้งที่เมื่อก่อนตอนอยู่หอผมก็อยู่คนเดียวได้แท้ๆ เข้าห้อง อาบน้ำ แล้วขึ้นเตียงเตรียมตัวนอน แต่ยังไม่ง่วงเลยหยิบหนังสือการ์ตูนมาอ่านสายตามองไปยังโทรศัพท์ที่นิ่งสนิท ส่งข้อความไปบอกพี่โชแล้วแต่ยังเงียบ สงสัยจะยุ่งอยู่... อยากคุยจังเว้ย
ไอ้กลอยกำลังอาการหนักครับพี่น้องทั้งหลาย
“ไอ้เชี่ย ทำไมตลก” ทั้งที่การ์ตูนมันตลก แต่น้ำตากลับไหล “แม่งเอ้ย”
ผมปิดหนังสือการ์ตูน ปิดไฟ ข่มตาให้หลับ ดึงหมอนข้างที่มีกลิ่นพี่โชมากอด คิดถึงมากๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมเริ่มนับตัวเลขโดยใช้พี่โชเป็นตัวแปลให้กระโดดข้ามรั้ว นับไปขำไป แล้วสติก็ค่อยๆ ลดลงจนหลับไปในที่สุด
วิธีนี้ดีจริง สงสัยต้องทำทุกวันแล้ว ปล่อยให้ตาเป็นแพนด้ามาตั้งนาน (แล้วยายจะเป็นอะไร แป๋ว แว่ว แว่ว)
พี่โช...รีบๆ กลับมานะ
...TBC
กลอยประเกรียนในยามเศร้าช่างน่าสงสารจริงๆ (ตีหน้าเศร้าแต่ปากฉีกยิ้ม)
ขอบคุณทุกคนที่รักกลอยค่าาา (ก้มกราบงามๆ) แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ (>/l\<)