ตอน ๔.๑
คริษฐ์จอดรถที่หน้าร้านอาหารร้านเดิมเพราะเป็นทางผ่านจากที่ทำงานไปที่พัก รสชาติอาหารก็จัดว่าอร่อยในราคาย่อมเยาว์ อาจเพราะเขามาบ่อยเสียจนพนักงานร้านจำได้ จึงทักทายคุยเล่นกันเป็นปรกติ ดวงตาคมกวาดมองพนักงานในเครื่องแบบเหมือนๆกัน ทว่าไม่เห็นไตติลา บางทีอาจจะมีเรียน เขายิ้มก่อนจะรับเมนูอาหารมาเปิดพลิกดู
“แหม คุณคริษฐ์มาบ่อยดีจังค่ะ ติดใจอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะเนี่ย?” เจ๊เจ้าของร้านวันนี้ออกมารับออเดอร์เองทัก คนฟังหัวเราะ
“ก็อาหารที่นี่อร่อยดีนี่ครับ”คริษฐ์สั่งอาหารแล้วนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างร้าน สักครู่อาหารร้อนๆก็มาถึงโต๊ะ
“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ ขอทบทวนรายการอาหารนะครับ” คนพูดยกถาดอาหารวาง ทบทวนรายการอาหารด้วยภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อโดยไม่สนใจจะมองหน้าลูกค้าแม้แต่น้อย คริษฐ์เท้าคางมองแล้วอมยิ้ม
“ไง ลืมปิดไฟในรถหรือเปล่าวันนี้” ดวงตาวาววับที่วันนี้ถูกแว่นสายตากรอบหนาบังทอประกายคมปลาบแวบหนึ่งก่อนจะหลุบตาลงอึดใจ แล้วจ้องมองคนถามกลับไปบ้าง
“เปล่าครับ รายการอาหารครบแล้วนะครับ ขาดเหลืออะไรเรียกได้เลยนะครับ” ไตติลาพูดแล้วยิ้มมุมปากนิดหนึ่งเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ ก่อนจะเดินกลับไปทำงานอื่นๆอีก
“เดี๋ยวสิ วันนี้เอาสมูธตี้สตรอเบอร์รี่นะ ขอท๊อปปิ้งเยอะๆ”ลูกค้าทำท่าใส่ท๊อปปิ้งประกอบ
“แหมน่ารักจริงๆเลย คุณคริษฐ์เนี่ย” เจ๊เจ้าของร้านเปรยอย่างปลื้มๆ
“น่ารักตรงที่เป็นลูกค้าประจำใช่ไหมเจ๊”
“แน่สิยะ”
“ฉันว่าเขาเป็นแน่เลยว่ะแก” เพื่อนสาวคนสนิทที่วันนี้มาทำงานด้วยกันรีบเสนอหน้าออกมาจากหน้าต่างห้องครัว
“เป็นอะไร Swine Flu หรอวะ”
“เป็นเก้งหนุ่มหรือกวางหนุ่มนะสิแก” เพื่อนสาวทำมือเป็นเขาบนศีรษะตัวเอง
“นั่นมันควาย” ไตติลาหัวเราะขัน ก่อนจะทำเมนูของหวานตามที่ลูกค้าสั่ง
“ตาถั่ว!”
“ยกไปเสิร์ฟเลยปะ” ไตติลาปัดให้เพื่อนสาวทำแทน
“แกนั่นแหล่ะไป” ไตติลายักไหล่ ก่อนจะยกออกไป แต่ยันไม่ทันพ้นเคาท์เตอร์เพื่อนสาวก็ดึงตัวไว้
“ระวังเก้งกวางกระโดดตัดหน้าเอานา”
“เพิ่งโดนชนมา ยังเสียหายอยู่เลย”
“แกยังทำใจไม่ได้อีกหรอวะ?” เพื่อนสาวลดเสียงเหลือเพียงกระซิบ
“เปล่า” ไตติลาตอบโดยไม่สบตา ก่อนจะเดินออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง
คริษฐ์ละเลียดชิมของหวานพลางอ่านเอกสารงานของเขา การได้เปลี่ยนบรรยากาศออกมานั่งตามร้านอาหารไม่อุดอู้อยู่ที่ทำงาน หรืออยู่แต่ในห้องตัวเองทำให้หัวสมองแจ่มใสดีทีเดียว เขาจึงเลือกมานั่งที่นี้บ่อยๆ คราวละนานๆ อาจเพราะวันนี้ร้านคนไม่มากออกจะเงียบเหงาเสียด้วยซ้ำ จึงเห็นพนักงานร่างโปร่งลากเท็กซ์บุ๊คเล่มหนามานั่งเปิดอ่านข้างๆโทรศัพท์ด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ รับโทรศัพท์จดออเดอร์ด้วยภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ใครหลายคนน่าจะแอบอิจฉา อะไรก็ดีหรอก...เสียอย่างเดียวไม่ยอมยิ้ม
“อ้าว จะไปแล้วหรือคะ?” เจ๊เจ้าของร้านรีบถามทันทีที่คริษฐ์มาชำระเงิน ไตติลาเงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่งก็ก้มลงอ่านหนังสือต่อ
“ครับ วันนี้เหนื่อยๆ”
“แหม สุดสัปดาห์แล้วค่ะพรุ่งนี้พักผ่อน ชาร์จแบตไว้ทำงานต่อสัปดาห์หน้า” ไตติลาฟังๆแล้วนึกอยากมีสุดสัปดาห์กับเขาบ้าง
“วันเสาร์นี้คุณทำอะไรหรือเปล่า?”ไตติลาได้ยินเสียงคริษฐ์ แ ต่ไม่ยักมีใครตอบ จึงเงยหน้าขึ้นมอง ทุกคนจ้องเขาเป็นตาเดียวราวกับรอคอยคำตอบ
“เอ่อ....ทำงาน....มั้งครับ”
“แย่จัง ผมกำลังหาคนไปช่วยเลือกของฝากส่งกลับเมืองไทย สงสัยต้องไปคนเดียวเสียแล้ว”
“แหม ถ้าเจ๊ว่าง เจ๊ช่วยก็ได้ค่ะ”
“ถามสามีเจ๊ก่อนดีกว่าม๊างง” เสียงใครแว่วๆมาจากในครัว เรียกเสียงฮากันครืน
“เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอกครับ สมูธตี้อร่อยมากแล้วจะแวะมาทานอีกบ่อยๆ”
๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔
คริษฐ์จอดรถหน้าอพาร์ทเม้นต์ของตัวเอง ไขเปิดตู้ไปรษณีย์อพาร์ทเม้นต์พีตามปรกติ ห่อพัสดุระบุถึงตัวเขา ที่มาจากเมืองไทย ทำให้เขายิ้มกว้างขวาง เขารีบแกะมันออกทันทีที่ปิดประตูห้องลง นิตยสารฉบับหนึ่งที่ภายในมีโพสต์อิทแปะไว้ เขียนด้วยลายมือคุ้นเขียนข้อความสั้นๆ ‘ได้พิมพ์แล้ว แต่ยังไม่ใช่กระทิง’คนอ่านข้อความหัวเราะ ภาพภูเขาที่สลับซับซ้อนที่สีแสงแห่งธรรมชาติแต่งแต้มราวกับภาพวาด ภาพสัตว์ใหญ่น้อย และภาพต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาอย่างมั่นคงบนลำต้นตรงสูงตระหง่านกว่าต้นอื่นใด เพียงหลับตาลงจินตนาการ คริษฐ์ก็เห็นเจ้าของภาพ แหงนเงยมองต้นไม้สูงใหญ่นั้นจนคอตั้งบ่า ยกกล้องตัวเก่งขึ้นเก็บภาพ
“คิดถึง” เขารำพันออกมาแผ่วเบาราวฝากถ้อยความแขวนลอยไปในอากาศ
เขารีบตอบอีเมลล์นิทเชด้วยหัวใจเบิกบาน ทั้งที่รู้ ระยะนี้นิทเชคงจะไม่ได้เช็คอีเมลล์บ่อยนัก เพราะเจ้าตัวคงเดินท่อมๆเข้าไปในป่า ตามหาตัวโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย ความรู้สึกพองฟูในอกมันอัดแน่นจนยากเกินกว่าจะเก็บไว้คนเดียว เขาจึงเลือกโทรหาเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่ง
“เขาส่งนิตยาสารมาให้ดูว่ะ ว่างานเขาได้พิมพ์แล้ว เขาคงดีใจน่าดู”
“ก็เลยดีใจกับเขาด้วยสิ”ปลายสายหัวเราะ
“แน่สิ เขารอโอกาสนี้มาตั้งกี่ปี” คำตอบคือเท่ากับจำนวนปีที่คริษฐ์คบกันนิทเชนั่นเอง
“ช่วงนี้ได้คุยกับเชเขามั่งหรือเปล่า?”
“ไม่ค่อยหรอก เรางานยุ่ง เชก็คงจะยุ่งเหมือนกัน”
“กูขอเดาว่ามึงยังรักเขาอยู่”
“แน่สิวะ”
“ไอ้คริษฐ์ มึงตัดใจได้แล้ว”ปลายสายทำเสียงอ่อนใจ
“ทำไมวะ?” คริษฐ์ถามทั้งที่ร่องรอยของความสุขยังอ้อยอิ่งอยู่ในหัวใจ
“กูว่า เขามีคนใหม่แล้วว่ะ มึงตัดใจเหอะ”
“ว่าไงนะ?” คริษฐ์ถามอย่างไม่เชื่อหู หัวใจที่เคยพองคับอกกลับแปบพับลงโดยพลัน
“กูเห็นช่วงสิ้นเดือนเขาเข้ากทม. ไปกินข้าวกับไอ้หนุ่มที่ไหนไม่รู้ หน้าตารกๆ พอดีกูไปเจอเขาพอดีเลยทักกัน”
“เพื่อนเขาหรือเปล่า?”
“เขาก็บอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานน่ะแหล่ะ แต่กูดูแววตาเพื่อนเขามองเขาแล้วกูว่ามันไม่ใช่ว่ะ” คริษฐ์พูดอะไรไม่ออก ถ้อยคำเหล่านั้นเหมือนระเหยหายไปสิ้น
“มึงเป็นไรไหมวะไอ้คริษฐ์” ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“หรอ....ก็ดีนะ อย่างน้อยนิทเชจะได้มีคนดูแล ไม่เหงา”
“อืมดูๆแล้วไอ้หนุ่มคนนั้น เขาคงไม่ใช่คนเลวร้ายหรอก”
คริษฐ์วางสายไปเมื่อไหร่เขาจำไม่ได้ ความรักของคนอยู่ไกลเป็นเช่นนี้เอง เหมือนเป็นแต่เพียงดาวเทียมที่หมุนรอบวงโคจร เฝ้ามองมาจากที่ไกลๆ ทำได้เพียงรับส่งสัญญาณแห่งความรักและคิดถึงเป็นบางครั้งคราว โดยไม่รู้ว่าผู้รับได้รับหรือไม่ หรือรับแล้วจะรู้สึกตอบสนองอย่างไร และไม่รู้ว่าตัวเองหลงทางในห้วงความรู้สึกของตัวเองไปถึงไหน ใกล้...เท่ากับระยะความรัก ทว่าไกล...ราวระยะของความรู้สึก
ชายหนุ่มบอกตัวเอง เขายังไม่ปักใจเชื่อเสียทั้งหมด นิทเชยังไม่เคยบอกเขา หรือส่งสัญญาณใดๆ ต่างยังพูดคุยกันปรกติ ชายหนุ่มคิด อยากได้ยินเสียจากปากนิทเชด้วยหูของตนเอง มันอาจเป็นเพียงเรื่องไร้สาระให้ฟังหูไว้หูเสียก็เป็นได้ คริษฐ์พยายามทำใจให้สงบ ทำราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งที่ในหัวใจกลับหาความสงบไม่ได้ เขาอยากจะคว้าโทรศัพท์โทรหานิทเชเสียให้รู้เรื่องแต่อีกใจก็ไม่กล้า เพราะอะไรนะหรือ....เพราะ ‘เรา’ ไม่ใช่เราสองคน แต่เป็น ‘ตัวเรา’ จนเมื่อเวลาล่วงเลยเกือบเข้าวันใหม่ โทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มจึงมีสายเรียกเขา เจ้าของเครื่องชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับ
“ครับ?”
“ดีกแล้วนะ ยังไม่นอนอีกหรือ?” เจ้าของเสียงสดใสยังเรียกรอยยิ้มให้เขาได้เสมอ ทว่าวันนี้ไม่เหมือนวันก่อนๆ หัวใจมันหวังและสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้านอนแล้วจะรับโทรศัพท์ได้ยังไง?”
“ละเมอละมั้ง”
“ภาพสวยดีนะ”
“ได้รับ เร็วจริง”
“ได้แล้ว ไปถ่ายคนเดียวหรอ?” ปลายสายเงียบไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ
“มีใครบอกอะไรหรอ?” คริษฐ์ฟังแล้วหัวเราะ ทว่าเสียงหัวเราะของตัวเองฟังดูแห้งแล้งกว่าทุกคราว
“ใครจะบอกอะไรมันสำคัญที่ไหน แค่ถามเฉยๆ เพราะเรา....ไม่ใช่ ‘เรา’ อย่างเมื่อก่อนแล้ว....จริงไหม?” คนที่ปลายสายเงียบไปได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจแผ่วเบา
“เชไปกับเพื่อน” คริษฐ์พลิกนิตสารเล่มในมือแผ่วเบา สายตาของเขาจับจ้องภาพๆนึง สัตว์ป่าสองตัวคล้ายกวางยืนเคล้าเคลียกันในหนองน้ำนิ่งๆ ท่ามกลางขุนเขาโอบล้อม ภาพดูสงบ และเป็นสุขยิ่ง
“เขารักเชหรือเปล่า?” คริษฐ์หลุดปากถามออกไป นิทเชทำเสียงราวกับคนจมน้ำ
“รัก”
“แล้วเชรักเขาหรือเปล่า?” อีกครั้งที่ปลายสายเงียบไป หัวใจคนถามเต้นอย่างคาดหวัง ทั้งที่เจ้าของหัวใจดวงนั้นเองก็ไม่แน่ใจ ว่าคาดหวังสิ่งใด
“ก็....รัก” คริษฐ์หลับตาลง ฟังน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับขาดความมั่นใจนั้น ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่ง ให้หัวใจตนเองไม่รู้สึกรู้สา
“หรอ ก็ดีแล้ว”
หากคริษฐ์คิดว่าการหลอกตัวเองให้หัวใจไม่เจ็บปวดนั้นสามารถทำได้ง่ายดายละก็ ชายหนุ่มคิดผิดถนัด เพราะหัวใจเขายังคงเต้นอยู่ในอกนี้ส่งผ่านพิษร้ายของความร้าวระบมไปตามร่างกายอย่างช้าๆ ทว่าน่าแปลกใจตรงที่ คริษฐ์ไม่มีน้ำตาให้หลั่งไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
TBC ๔.๒